Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ลางสังหรณ์อันน่าสะพรึง)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ลางสังหรณ์อันน่าสะพรึง

  • 29/09/2565

 ตอนที่ 205

ลางสังหรณ์อันน่าสะพรึง

สองเฒ่าพิษครุ่นคิดใคร่ครวญ หวนนึกถึงสุดยอดฝีมือในอดีต คิดจนสมองแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เพียงแต่ยังคิดมิออก นอกเหนือจากเส้าหลินกับบู๊ตึ๊งซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ถือว่าชุมนุมอยู่ด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ อีกทั้งยังซ่อนเร้นยอดฝีมือซึ่งปิดชื่ออำพรางตนอยู่อีกมาก หากจะเค้นหัวสมองไตร่ตรองออกมานั้นนับว่ายากยิ่งกว่ายาก

หากทว่าในยุทธจักรสำนักอันดับหนึ่ง  จึงควรยกย่องให้สำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน รองลงมาน่าจะเป็นสำนักอาจารย์ของตนเอง สำนักเทพอสูรฟ้า ต่อมาคือหุบเขาวานร สำหรับเรือนดรุณีกลับไม่มีลูกศิษย์ เล่าลือกันว่าผู้เป็นเจ้าเรือนซึ่งเป็นสตรีเก็บตัวไม่ราวีข้องแวะเรื่องราวบู๊ลิ้ม อีกทั้งไม่มีชาวยุทธ์ผู้ใดกล้ำกรายเข้าใกล้ในรัศมีร้อยวาอีกด้วย

บัดนี้ กลับมีคนผู้หนึ่งเรียกฉายาตนเองเป็นเฒ่าอมโรคนามหยางปู้ตงชิว สองเฒ่าพิษนอกจากขบคิดไม่ออกแล้ว ที่น่าตระหนกจนต้องตะลึง คนผู้นี้ถึงกับขจัดพิษเจ็ดหนอนให้แก่ทารกแซ่หยางปู้ใช้ระยะเวลาเพียงครู่เดียว มิใช่ฝีมือของมันบรรลุถึงขอบขั้นชั้นเซียนวิเศษแล้ว

จ้าวจ่านจือในร่างเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าววาจาสืบต่อว่า

“พวกท่านทั้งสองกำลังไตร่ตรองประลองเชาวน์ นึกถึงประวัติความเป็นมาคราวหลังของเราอยู่กระมัง? อย่าได้พะว้าพะวังสิ้นเปลืองสมองใคร่ครวญให้เวียนหัว เราเองมิได้เป็นตัวดีกระไรนักในอดีต แต่ทว่ายังรู้จักจารีตประเพณีดีชั่วอยู่บ้าง ดังนั้นซ่อนกายหลบเร้นปิดชื่อเสียงเป็นเวลาหลายสิบปี พอเราโผล่หน้าหวนคืนยุทธจักรอีกที พวกท่านสองคนยังคงทำตัวชั่วช้าเสมอต้นเสมอปลายได้ดีแท้”

ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว คนทั้งสองยังคงเข้าใจว่าเฒ่าชราผู้นี้ เป็นผู้ใช้ดัชนีจี้สกัดจุดสยบพวกตนเอาไว้ ความจริงพวกมันนั้นคิดได้ถูกต้องเพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งแท้จริงเป็นจ่านจือในร่างหยางปู้ชุยชิว หาใช่ในร่างของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวไม่ ดังนั้นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ฝ่ายสามี ส่งเสียงเรียงร้อยถ้อยวจีกล่าวด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจไปว่า

“ขอบคุณท่านผู้แซ่หยางปู้ที่รู้ใจ พวกเราสองสามีภรรยาจะถือว่าวาจาท่านนั้นกล่าวชมอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งความจริงพวกเราล้วนเป็นคนกันเอง เป็นนักเลงบู๊ลิ้มที่ชื่นชมนิยมผู้หาญกล้า ประหนึ่งว่าในจำนวนนั้นมีท่านหยางปู้อยู่ด้วย เพียงแต่เราทั้งสองลองพยายามนึกทบทวนดู กลับคิดมิออกบอกไม่ถูกสมองตื้อตีบตันไปชั่วขณะ คล้ายกับว่าจะเคยรู้จักกับท่านมาก่อนหรือไม่? ทางที่ดีวิธีที่ประเสริฐขอท่านผู้เฒ่าอย่าถือสาเอาความ ขอร้องท่านกรุณายกมือสะบัดตบคลายจุดให้กับพวกเราก่อน แล้วเราทั้งสองจะน้อมคารวะต่อท่านเบื้องหน้าสักคราหนึ่ง”

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว เห็นด้วยอย่างยิ่งส่งเสียงสนับสนุน กล่าววิวาทะน่าฟังดังเสริมขึ้นทันทีว่า

“ถูกต้อง เราทั้งสองมาตรว่าชั่วช้ากล้ารังแกหลานท่าน แต่กระนั้นเกิดจากความหลงผิดไปชั่วขณะ เวลานี้รู้ตัวสำนึกตนเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านผู้แซ่หยางปู้ พวกเราทั้งคู่ได้แต่ต้องเจียมตัวรู้ตน ควรทราบว่าสมควรปฏิบัติตัวเยี่ยงไร? วิงวอนท่านผู้เฒ่ารีบคลายจุดให้แก่เราทั้งสองก่อน  แล้วสองเฒ่าพิษจึงคิดกราบขอขมาอยู่ต่อหน้าท่าน อีกทั้งจะยังเชื่อฟังปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดมิขัดขืน”

เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวส่งเสียงหัวร่อ คล้ายกับขบขันกระทั่งไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ สะบัดมือดัชนีจี้ออกสองคราติดต่อกัน สองเฒ่าพิษรู้สึกยินดียิ่งคิดว่านิ้วที่จี้ใส่นี้สลายคลายจุดให้กับพวกตน คนขยับริมฝีปากจะกล่าววาจา จึงได้ทราบว่าไม่อาจเปล่งเสียงสำเนียงใดได้ ดัชนีที่จี้ใส่เมื่อครู่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกสกัดจุดใบ้เอาไว้ทั้งสองคน บัดนี้สองเฒ่าพิษร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวขยับเขยื้อน น้ำเสียงไม่อาจเอื้อนเจรจาพาทีอีก พากันส่งเสียงก่นด่าบิดามารดาอยู่ในใจ หากหลุดออกไปได้จะคิดบัญชีหนี้แค้น ทวงคืนความอัปยศนี้เพิ่มทวีเป็นหมื่นเท่า

ยามนั้น ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก เสียงฝีเท้าคนมุ่งตรงมาทางด้านนี้ เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ใช้สองมือหิ้วปกเสื้อสองเฒ่าพิษลอยขึ้นราวไร้น้ำหนัก ดั่งยกกระสอบนุ่นปานฉะนั้น จัดแจงจัดท่านั่งให้แก่พวกมันทั้งสองคน จวบจนกระทั่งนั่งชิดติดกันอิริยาบถคล้ายกำลังนั่งพักผ่อนไร้เรื่องราว จากนั้นหมอบร่างแนบชิดอยู่ทางด้านหลังของสองเฒ่าพิษ ปิดกั้นลมหายใจส่งเสียงกล่าวแผ่วเบาว่า

“เฒ่าพิษทั้งสอง บุตรของพวกท่านกำลังมาแล้ว เราเกรงว่ามันเมื่อเห็นร่างเราจะตระหนกเตลิดเปิดหนีไป ดังนั้นจึงขอยืมใช้ร่างพวกท่านทั้งสองเป็นดั่งโล่มนุษย์อันวิเศษ พวกท่านทั้งสองจงอย่าแสดงสีหน้าพิรุธกระทั่งถูกมันจับได้เด็ดขาด หากเราเผลอพลั้งพลาดมือจะถือเป็นความผิดเรามิได้ในภายหลัง อย่าได้ให้มันรู้ตัวคิดวิธีเตลิดหนีไปได้ทราบหรือไม่?”

สิ้นสุดวาจาของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ร่างของคนสองคนวิ่งตะบึงมาถึงอย่างเร่งร้อน คนด้านหน้าเป็นเซียวเยี่ยนผิง คนทางด้านหลังเป็นหลวงจีนชั่วถู่ฝูแห่งวัดเส้าหลิน เมื่อหยุดเท้าเห็นสองเฒ่าพิษนั่งพักผ่อนอยู่โดยปลอดโปร่ง เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวขึ้นทันทีว่า

“ที่แท้อาวุโสทั้งสองท่านนั่งอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าได้ไปทำหน้าที่ที่พวกท่านไหว้วานตามปณิธานจนลุล่วง บุตรท่านมันมาอยู่ตรงนี้แล้ว พวกท่านมีวาจาใดต้องการสั่งเสียต่อมันให้รีบกล่าว”

สองเฒ่าพิษเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทราบได้โดยมิต้องใคร่ครวญ บุตรมันพลันพลาดพลั้งกระทั่งตกหลุมพรางเข้าแล้ว แม้แต่พวกมันทั้งสองเองที่คิดว่าแน่ยังต้องสิ้นลาย ถูกสยบไว้โดยชายชราที่ไม่รู้หน้าตาสารรูป บนแผ่นหลังถูกนิ้วกดจี้ไว้คล้ายคอยเตือนอย่าได้เคลื่อนไหวพลการ ส่งสัญญาณด้วยสีหน้าสายตาเด็ดขาด

หลวงจีนชั่วถู่ฝูเมื่อเห็นบิดามารดายังอยู่ดี ไม่มีท่าทีว่าได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายที่ตรงไหน คล้ายกับรู้ตัวว่าหลงกลพลาดท่า ส่งเสียงกล่าวถามบิดามารดาของมันว่า

“พวกท่านทั้งสองอยู่ที่นี่เอง อาตมาเสียท่าแก่สีกาเจ้าเล่ห์ผู้นี้อีกแล้ว ว่าแต่ทารกแซ่หยางปู้ผู้นั้นมันอยู่ที่ใด? ไฉนจึงมีแต่พวกท่านทั้งสองนั่งอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”

สองเฒ่าพิษถลึงดวงตาจ้องมองมาที่เยี่ยนผิง ทราบว่านี่เป็นอุบายอันร้ายกาจของนาง แต่ยังไม่เข้าใจว่านางใช้ลูกไม้อันใดหลอกให้บุตรของมันตกหลุมได้ง่ายดาย เยี่ยนผิงนางโปรยยิ้มคราหนึ่งส่งเสียงกล่าวว่า

“อาวุโสทั้งสองมองข้าพเจ้าคล้ายดั่งเคียดแค้นอันใด? งานที่ข้าพเจ้ารับปากเอาไว้ คล้ายไปกระทำให้สำเร็จจนลุล่วง มันก็ได้ติดตามข้าพเจ้ามาพบหน้าพวกท่าน ส่วนชาวบ้านที่มันจับตัวไว้ล้วนปลอดภัย ในเวลานี้สหายน้อยแซ่เอียวได้พาชาวบ้านเหล่านั้นไปในที่ปลอดภัยแล้ว ไฉนอาวุโสทั้งสองจึงไม่คำนับขอบคุณข้าพเจ้าสักครึ่งคำ?”

สองเฒ่าพิษคิดส่งสายตาด้วยสีหน้าและสายตา เพื่อส่งสัญญาณเตือนแก่บุตรของพวกมันว่าอย่าได้ก้าวเข้ามา แต่ทว่ากลับช้าเกินไปแล้ว อีกทั้งด้านหลังยังมีนิ้วจี้ใส่เอาไว้ไม่อาจวู่วามทำตามอำเภอใจ เยี่ยนผิงที่เบื้องหน้าส่งเสียงกล่าววาจาต่อหลวงจีนชั่วถู่ฝูว่า

“หลวงจีนโสโครกต่ำช้า บิดามารดาของท่านนั้นใกล้สิ้นลมอยู่รอมร่อ ท่านกลับอกตัญญูไม่รู้คุณ แทนที่จะรีบเข้าไปตรวจดูอาการพวกมันทั้งสองก่อน กลับมาพูดจาพิรี้พิไรไถ่ถามหาผู้อื่นอยู่กระไร?”

หลวงจีนเส้าหลินถู่ฝูเห็นบิดามารดาไม่ส่งเสียง อีกทั้งร่างยังไม่ไหวติงนั่งนิ่งมิเคลื่อนไหว ในใจพลันคิดว่าผิดท่า หรือว่าบิดามารดาได้รับอันตรายร้ายแรง ด้วยความห่วงใยรับสะอึกเข้าไปคุกเข่านั่งลงตรงหน้า เอื้อมสองมือสัมผัสร่างกายของสองเฒ่าพิษ ฉับพลันมันสะดุ้งเฮือกสะท้านขึ้นคราหนึ่ง ทั้งร่างแข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เช่นกัน

ในขณะที่มันสัมผัสร่างของสองเฒ่าพิษผู้เป็นบิดามารดา พลันรู้สึกว่ามีพลังขุมหนึ่งสองสาย คล้ายสายหนึ่งร้อนสายหนึ่งเย็น วิ่งเข้าสู่สองมือของมันอย่างพิสดาร พอสะดุ้งตกใจร่างกายก็ไม่เคลื่อนไหวแล้ว นี่เป็นความก้าวหน้าของวิชาสกัดจุดที่เรียกว่า “ดัชนีสกัดจุด” ซึ่งเป็นวิชาจี้สกัดจุดโดยไม่ต้องสัมผัสร่าง

ความจริงวิชาดัชนีสกัดจุดนี้เป็นของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ซึ่งครั้งหนึ่งเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าผู้ล่วงลับ ได้ใช้ออกอย่างพิสดารร่างลอยอยู่กลางอากาศ แต่สามารถจี้สกัดจุดคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าที่อยู่ห่างไปหลายวาได้แทบไม่น่าเชื่อ เพียงแต่ครานี้จ่านจือใช้ออกโดยอาศัยผสานกับเคล็ดลับดัชนีเทวะ ที่มีพลังสุริยันและจันทราสองสายใช้ออกพร้อมเพรียงกันผ่านร่างของสองเฒ่าพิษ

ยามนั้น ปรากฏร่างของชายชรารูปร่างผอมซูบเซียวขึ้นมาผู้หนึ่ง หลวงจีนชั่วถู่ฝูเมื่อเห็นรู้สึกตระหนกตกใจยิ่ง ทราบได้ทันทีว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น มันเพียงแต่ร่างกายแข็งทื่อแต่ยังพอกล่าววาจาออกมาได้ ส่งเสียงตวาดอย่างโกรธแค้นดังว่า

“ตาเฒ่าอมโรคผู้นี้ ทั้งหมดเป็นฝีมือท่าน? อาตมาทราบมาจากท่านเจ้าอาวาส ท่านมีฉายาว่าเฒ่าอมโรคนามหยางปู้ตงชิว มีหลานชายอีกผู้หนึ่งซึ่งก็คือหยางปู้ชุยชิว ท่านทำกระไรต่อบิดามารดาของอาตมาทั้งสอง ท่านกับอาตมาจะว่าไปไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไฉนจึงลงมือเร่งร้อนลอบกัดเช่นนี้”

เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ ส่งเสียงกล่าววาจาโต้ตอบว่า

“ที่แท้หลวงจีนชั่วช้ามารศาสนาเยี่ยงท่านยังรู้จักฉายาเราด้วย ท่านกล่าวผิดแล้ว ทั้งหมดนี้มิใช่ฝีมือของเราผู้เดียว เพียงแต่ได้รับความร่วมมือจากบิดามารดาท่าน อีกทั้งหลานเราทั้งสองหยางปู้ชุยชิวและเซียวเยี่ยนผิง รวมถึงสหายของหลานเราแซ่เอียวแห่งป้อมอาชามังกรเขียว คิดว่าหลานเราเยี่ยนผิงคงได้กล่าวแนะนำให้ท่านรู้จักแล้ว ส่วนหลานเราหยางปู้ชุยชิวมันไม่อยู่ที่นี่แล้ว บิดามารดาท่านได้ประทานภาพวาดแก่มันผืนหนึ่ง มันจึงยินดียิ่งรีบออกไปสืบหาที่ซ่อนกระบี่ล้ำค่าในเวลานี้ เรากับหลานเยี่ยนผิงมิมีเวลาสนทนาเช่นกัน เนื่องด้วยต้องรีบไปสมทบกับมันยังสถานที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้”

เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวกล่าววาจาจบ เยี่ยนผิงนางรีบวิ่งเข้ามาเกาะกุมแขน ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า

“ท่านตา วิชาจี้สกัดจุดของท่านพิสดารนัก คาดว่าอีกราวหกชั่วยามจุดจึงจะคลายออก น่าเวทนาบิดามารดาและบุตร หากให้พวกมันนั่งอยู่ว่าง ๆ โดยที่ไม่ได้พูดคุยโต้ตอบ ผู้หลานคิดว่าพวกมันคงอกแตกตายกันไปก่อน ท่านตาคลายจุดใบ้ให้แก่พวกมันสองคน ถือว่าเอาบุญสร้างกุศลโปรดสัตว์ดีหรือไม่?”

เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ตกลง ผู้หลานของตาบอกว่าให้คลายก็คลาย เพียงคลายแต่จุดใบ้ให้พวกมันได้เจรจา เพื่อจะได้ปรึกษาหารือเรื่องราวคราวหลัง สหายของหลานตาแซ่จ้าวนามจ่านจือ ใช่ถูกหลวงจีนผู้นี้ทำลายวรยุทธ์หักกระดูกแขนขาใช่หรือไม่? ในงานชุมนุมเส้าหลินที่จะมาถึง หลานเราเจ้าได้คิดบัญชีหนี้แค้นมันผู้นี้แน่นอน”

กล่าววาจาจบ เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวชี้นิ้วไปในอากาศ ตำแหน่งสะบักหลังของสองเฒ่าพิษ มันทั้งสองเมื่อปากเป็นอิสระวาจาหลุดออกมาได้ ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี้ยซิ้ว ส่งเสียงกล่าวตวาดกราดเกรี้ยวว่า

“ถู่ฝู ไฉนเจ้าจึงพลาดท่าเสียทีแก่โกวเนี้ยผู้นี้ได้ง่ายดาย ภาพวาดผู้แซ่หยางปู้มันชิงไปแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นยังถูกช่วยเหลือไปสิ้น แผนการของพวกเราคราวนี้ย่อยยับพินาศสิ้นไม่มีชิ้นดี เห็นทีคงยากแก้ไขกลับคืน อุตส่าห์วางแผนการเนิ่นนานหลายสิบปี ต้องมาป่นปี้เพราะสตรีผู้นี้ ทั้งหมดนี้เนื่องจากเจ้าไม่รู้จักสะกดกลั้นศีลกาเม ถู่ฝูเราอยากฟาดเจ้าให้ตายเสียคามือเสียตอนนี้”

เยี่ยนผิงนางหันมาประสานมือต่อสองเฒ่าพิษโดยนอบน้อม ค้อมตัวโค้งศีรษะกล่าวว่า

“ขอบคุณอาวุโสทั้งสอง พวกท่านประทานภาพวาดคืนให้แก่ตี่ตี๋ จึงถือว่ายังมีความดีอยู่บ้าง ดังนั้นข้าพเจ้ากับท่านตาจึงยังมิฆ่าพวกท่าน เอาไว้ภายในงานชุมนุมเส้าหลิน พวกเราไม่เก็บพวกท่านไว้แน่ เชิญพวกท่านทั้งสามนั่งสนทนาปราศรัยกับให้เบิกบานใจ ข้าพเจ้ากับท่านตาขอตัวอำลาพวกท่าน”

กล่าววาจาจบ เยี่ยนผิงกับท่านตาแซ่หยางปู้ของนาง ต่างพากันโลดแล่นละลิ่วไปกระทั่งลับสายตา สองเฒ่าพิษขบกรามกรอดด้วยความเคียดแค้น ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ส่งเสียงอย่างตำหนิกล่าววาจาใส่หน้าถู่ฝูว่า

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าที่เอาแต่มัวเมาลุ่มหลงอิสตรี แผนการที่พังครืนลงไปในวันนี้จะแก้ไขกลับคืนได้เยี่ยงไร? เราอยากจะจะตีเจ้าให้ตายลงไปคามือนัก”

หลวงจีนชั่วถู่ฝูรู้ตัวว่าพลาด มาตรว่าไม่อาจทำเช่นไรได้ แต่มันคล้ายยังมีสติปัญญาเหนือกว่าบิดามารดาอยู่บ้าง ส่งเสียงกล่าวถามกับบิดามารดาว่า

“ผู้เฒ่าทั้งสอง อาตมาขอกล่าวถามสักเรื่องราวหนึ่ง ทารกแซ่หยางปู้กับผู้เป็นปู่ของมันใช่ปรากฏกายต่อหน้าพวกท่านพร้อม ๆ กันหรือไม่? คราก่อนบนเขาหมื่นเซียนท่านเจ้าอาวาสเล่าเหตุการณ์ให้อาตมาฟัง ครั้งนั้นพวกมันปู่หลานก็มิได้ปรากฏตัวพร้อมกันในคราวเดียว ครั้งนี้จึงต้องการถามให้แน่ใจ สิ่งที่อาตมาสงสัยใช่ไม่มีเค้ามูลความจริงอยู่บ้าง”

สองเฒ่าพิษส่งเสียงร้องโพล่งออกมาพร้อมเพรียงกันว่า

“ถูกต้องของเจ้าพวกเราหลงลืมคิดไปในเรื่องนี้”

จากนั้น ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงกล่าววาจาแจกแจงว่า

“พวกมันทั้งสองผู้แซ่หยางปู้ปู่หลาน พวกมันไม่เคยปรากฏกายพร้อมกันแม้สักคราต่อหน้าเรา เพียงได้ยินเสียงพวกมันทางด้านหลัง ทารกแซ่หยางปู้อยู่ด้านหน้า พอเวลาตาเฒ่าอมโรคผู้นั้นกล่าววาจา ทารกน้อยมันต้องเดินอ้อมไปด้านหลังทุกครั้งไป เป็นไปได้หรือไม่...?”

ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินส่งเสียงร้องดังว่า

“สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ซึ่งความจริงเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักกับบิดามารดา พวกมันทนทุกข์ทรมานจึงต้องการฆ่าคนจึงคลี่คลาย ใบหน้าร่างกายกายพวกมันคล้ายบัดเดี๋ยวกลายเฒ่าชรา บัดเดี๋ยวกลายเป็นเด็กทารก ชาวยุทธ์ทั้งหลายจึงเรียกพวกมันทั้งสอง เป็นสองเฒ่าทารกแห่งสำนักสี่ปีศาจ เป็นไปได้หรือไม่? บัญชาเทพอสูรตกอยู่ในมือของมัน”

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงกล่าวว่า

“เรานึกออกแล้ว มันทั้งสองปู่หลานพลันสวมอาภรณ์เดียวกัน พวกเราล้วนถูกมันตบตาเข้าให้แล้ว หากบัญชาเทพอสูรตกอยู่ในมือมัน ฉะนั้นแสดงว่ามันฝึกฝนได้บรรลุสำเร็จขั้นสุดยอดของวิชาในคัมภีร์ เช่นนี้แสดงว่ามันยังมีคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราอีกด้วย ดังนั้นจึงเปลี่ยนแปลงรูปกายใบหน้าได้โดยไม่ทรมาน อีกทั้งเรายังเคยเห็นทารกน้อยแซ่หยางปู้แสดงวิชาวานร ตอนต่อสู้กับวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ดูท่าคนผู้นี้ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ที่แท้ร่างอันเที่ยงแท้ของมันเป็นผู้ใดแน่?”

หลวงจีนชั่วถู่ฝูส่งเสียงสั่นสะท้านอย่างหนาวเหน็บว่า

“บิดา มารดา พวกมันกล่าวย้ำวาจาว่าจะคิดบัญชีหนี้แค้นแก่พวกเรา ความจริงพวกมันหากจะเข่นฆ่าพวกเราตอนนี้ง่ายดายยิ่ง คำพูดของพวกมันเมื่อครู่ อาตมารู้สึกสะทกสะท้านกระทั่งอธิบายมิถูก ประมุขน้อยจ่านจือมันถือว่าตายไปแล้วจริง ๆ หรือแปลกปลอม?”

สองเฒ่าพิษได้ยินเช่นนั้น ร่างสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง ติดที่ร่างกายแข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ แต่เป็นที่ทราบได้พวกมันทั้งสามทั้งแตกตื่น ทั้งสะท้านหวั่นไหว ใช่สิ่งที่พวกมันคาดคิด...กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้

เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว โลดแล่นละลิ่วพลิ้วร่างดั่งเหินบิน ข้าง ๆ ติดตามด้วยเยี่ยนผิง ฝีเท้าวิชาตัวเบาพลิ้วบนยอดหญ้า เยี่ยนผิงนางก้าวหน้าขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่ง คนทั้งสองมุ่งหน้าตรงสู่สุสานร้าง เมื่อบรรลุถึงประตูสุสานบานนั้น จึงเป็นเส้นทางเข้าสู่สุสานของทั้งสองคน

ยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป