ตอนที่ 189
สี่โสโครกแห่งหันหู่กวน
ท่ามกลางเหตุการณ์ไม่คาดฝัน กลางวันแสก ๆ ในไม่กี่อึดใจไฉนจึงมีคนตายมากมายถึงเพียงนี้ ดรุณีผู้นี้แท้จริงเป็นกุ้ยโส่วที่มีชื่อว่าเหมยเหมย ส่วนท่านตาของนางก็คือเฟิ่นมู่เหอนั่นเอง คนทั้งสองทอดตาสำรวจมองดูซากศพเหล่านั้น ดรุณีนางนั้นส่งเสียงกล่าวตอบท่านตาของนางไปว่า
“แย่แล้วท่านตา พวกเขาเหล่านี้ที่จะจ่ายเงินจ้างเราตาหลานเล่นดนตรีฟ้อนรำ พวกมันทอดกายไม่หายใจหมดสิ้น พวกเราไม่มีข้าวรับประทานประทังความหิวโหยแล้ว ท่านตาท่านอดทนได้หรือไม่?”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังสอดแทรกขึ้นว่า
“พวกเจ้าสองคนเลิกเล่นละครตบตาผู้คนได้แล้วกระมัง? คนพวกนี้เป็นเราลงมือสังหารพวกมันให้กับพวกเจ้าเอง วิธีของเรารวบรัดกว่าแผนการของพวกเจ้าอยู่มาก”
จากนั้น คนชุดดำสวมทับด้วยหมวกเล้ยล้อมผ้าแพรดำห้อยลงมาปกปิดใบหน้า ก้าวเท้าเดินออกมาจากหลังเสาไม้ต้นหนึ่ง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเห็นเช่นนั้นรีบคุกเข่าลงประสานมือ พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาโดยนอบน้อมว่า
“นายท่าน ข้าน้อยเตาเทียนเต็กคารวะนายท่าน คนพวกนี้เป็นคนของราชสำนักฉางอาน นายท่านสังหารพวกมันจนหมดสิ้นเป็นเรื่องราวใดกันแน่?”
มิเพียงแต่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่คุกเข่าประสานมือโดยนอบน้อม แม้แต่เสี่ยวเอ้อที่ยืนตัวสั่นอยู่เมื่อครู่ บัดนี้ล้วนคุกเข่าก้มหน้าประสานมือโดยนอบน้อม ไม่มีผู้ใดส่งเสียงกล่าววาจา คนชุดดำหมุนกายมาทางด้านเฟิ่นมู่เหอกับกุ้ยโส่ว ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เจ้าคือเฟิ่นมู่เหอ ปลอมแปลงเป็นคนตาบอดได้แนบเนียนยิ่ง ส่วนโกวเนี้ยนางนี้เป็นกุ้ยโส่วศิษย์ของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ พวกเจ้าทั้งสองมิต้องสงสัยในตัวเราดอก อีกทั้งไม่ต้องตกใจเกรงกลัวเรา ในโรงเตี๊ยมต้าเหอชุนนี้ล้วนเป็นของเรา คนทั้งหมดภายในโรงเตี๊ยมก็เป็นคนของเรา เรื่องซากศพเหล่านี้พวกมันจะจัดการให้ไม่ทิ้งร่องรอยให้สืบสาว”
จากนั้น คนชุดดำผู้นั้นหันไปส่งเสียงกล่าววาจากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า
“เตาเทียนเต็ก เจ้ารับหน้าที่ไปจัดการซากศพเหล่านี้ จำเอาไว้รีบจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เรื่องราวนี้แพร่งพรายออกไปได้เด็ดขาด”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมนามเตาเทียนเต็ก มันรีบลุกขึ้นแล้วโบกมือเป็นสัญญาณต่อเสี่ยวเอ้อเหล่านั้น บัดนี้พวกมันคล้ายเปลี่ยนท่าทีไปจากเดิมอยู่บ้าง พวกมันไม่ตัวสั่นหวาดกลัวเหมือนในคราวแรก ท่าทีฝีเท้าก้าวย่างกลับดูเข้มแข็งแฝงกำลังภายในอยู่หลายส่วน พวกมันทั้งหมดพากันหามซากศพเหล่านั้นไปทางด้านหลังโรงเตี๊ยม เตาเทียนเต็กส่งเสียงกล่าวกับคนชุดดำว่า
“นายท่าน พวกมันเป็นคนของผู้ใด? ข้าน้อยคาดเดาว่าพวกมันคงมิใช่คนของราชสำนักฉางอานถูกต้องหรือไม่?”
คนชุดดำส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ย่อมไม่ใช่คนของราชสำนักฉางอานแน่นอน พวกมันล้วนแต่เป็นยอดฝีมือจากนอกด่าน หลังจากจัดการเรื่องซากศพของพวกมันแล้ว เจ้าไปจัดการหาชุดที่ยังใช้ได้ของพวกมัน นำมาให้สองท่านนี้ได้ปลอมแปลงตัว เจ้ากับคนของเจ้าคอยช่วยเหลือพวกเขาด้วยอย่าได้ผิดพลาด”
จากนั้น คนชุดดำหันมาทางเฟิ่นมู่เหอกับกุ้ยโส่ว ส่งเสียงกล่าววาจากับทั้งสองว่า
“พวกเจ้าทั้งสองต้องลำบากปลอมตัวอีกครั้งแล้ว พวกเจ้าต้องปลอมตัวเป็นพวกมัน ส่วนคนอื่น ๆ เป็นคนติดตามของเจ้า ในวันพรุ่งนี้สี่คนของสำนักอสูรโลกันตร์คงเดินทางมาถึง แผนการต่อจากนี้เราคงมิต้องอธิบายแล้ว ด้วยมันสมองของพวกเจ้าคงจัดการได้ไม่ยากเย็น ส่วนคนของเราเหล่านี้ เรามอบให้กับพวกเจ้าทั้งสองคน เรายังมีธุระเร่งด่วนต้องไปจัดการ ดังนั้นจึงไม่อาจอยู่ช่วยเหลือพวกเจ้าได้ ไว้ค่อยพบกันอีกครั้งที่วัดเส้าหลิน”
กล่าววาจาจบ คนชุดดำพุ่งร่างทะลวงช่องหน้าต่างออกไปทางด้านหลัง ดูจากรูปร่างและเงาหลังของคนชุดดำ ช่างคุ้นตาของเฟิ่นมู่เหอกับกุ้ยโส่วยิ่ง คนทั้งสองครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด อาจจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ไฉนจึงคลับคล้ายกันจนแทบเป็นคนเดียวกัน ต้องไม่ใช่...?’
หลังจากใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม โรงเตี๊ยมต้าเหอชุนเปิดให้บริการได้ตามปกติ เฟิ่นมู่เหอส่งพิราบสื่อสารตัวหนึ่งออกไป ใจความบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแผนการไปจากเดิม เน้นกำชับในข้อความให้หนานตี้กับซื่อเหมี่ยนรีบจัดกำลังคน แล้วรีบเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหัวหน้าตึกทั้งสี่ เพื่อปลอมตัวเป็นผู้ติดตามของมหาเสนาบดีราชสำนักฉางอาน
กุ้ยโส่ว นางหลังจากแต่งตัวใหม่เสร็จสรรพเรียบร้อย บัดนี้นางอยู่ในชุดหรูหราภูมิฐานมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง ท่วงท่าห้าวหาญเช่นบุรุษ บนใบหน้าแต่งเติมหนวดเคราแนบเนียนยิ่ง มิว่าผู้ใดล้วนดูไม่ออกแน่นอนว่าเป็นนาง
สำหรับกับเฟิ่นมู่เหอเช่นเดียวกัน เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของคนตายผู้หนึ่ง ชุดดูมียศตำแหน่งไม่ธรรมดา หลังจากแต่งเติมหนวดเคราเข้าไป เขาจึงกลายเป็นยอดฝีมือจากนอกด่าน ซึ่งปลอมตัวเป็นมหาเสนาบดีราชสำนักฉางอานไปในทันที
ส่วนเถ้าแก่โรงเตี้ยมนามเตาเทียนเต็ก รวมทั้งเสี่ยวเอ้อทั้งหลายต่างทำหน้าที่เฉกเช่นเดิม มีเพียงบางส่วนที่ปลอมเป็นผู้ติดตามของทั้งสองคน ความจริงพวกมันล้วนมีฝีมือติดตัวไม่ธรรมดาเช่นกัน มีเสี่ยวเอ้ออยู่สามสี่คน เฟิ่นมู่เหอกับกุ้ยโส่วคล้ายจดจำได้ว่า พวกมันเคยเป็นคนของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ดังนั้นจึงเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจ
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง ค่ำคืนที่สองแล้วที่เฟิ่นมู่เหอกับกุ้ยโส่ว คนทั้งสองพักอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมต้าเหอชุนแห่งนี้ ทั้งสองตั้งตารอคอยคนชั่วทั้งสี่ซึ่งเดินทางมาไม่ถึง นับว่าล่าช้ากว่ากำหนดอยู่มาก
ยังมิทันดึกดื่นเท่าใดนัก ขบวนคนกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่าคนเดินทางมาถึง เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมจึงเห็นว่าเป็นหนานตี้กับซื่อเหมี่ยน หลังจากพักผ่อนดื่มน้ำชาแล้ว พากันแต่งกายด้วยชุดของพวกมัน พร้อมกับปลอมแปลงใบหน้ากระทั่งแนบเนียน คนทั้งสี่คำนวณสถานการณ์ ป่านนี้คนชั่วสี่คนยังเดินทางมาไม่ถึง พวกมันอย่างน้อยย่อมมีชั้นเชิงลวดลายอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่อาจประมาทจนเกิดความผิดพลาดได้
คนทั้งหมดเข้านั่งประจำที่ ส่งเสียงสรวลเสเฮฮา ดื่มกินสุราจัดวางอาหารเต็มโต๊ะ อาหารทุกจานล้วนเป็นอาหารชั้นดี มีทั้งเนื้อแพะย่าง ปลานึ่งบ๊วย ไก่ตุ๋นโสม และอีกหลายจานวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ขนมหวานมีผลไม้แห้งเก้าอย่าง
ภายนอกชายคาโรงเตี๊ยม เงาคนวูบวาบเคลื่อนไหวมองคล้ายค้างคาวใหญ่ เหนือขอบหน้าต่างเงาร่างชุดดำสองคน ห้อยศีรษะลงมาจากชายคาใช้สองเท้าเกี่ยวรั้งร่างเอาไว้ สองคนนี้ที่แท้เป็นยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์ พวกมันคนหนึ่งเป็นเสิ่นซื่อสูอวี้ ส่วนอีกผู้หนึ่งคือเล่อต้าเต๋อ พวกมันนับว่ารอบคอบก่อนจะปรากฏตัวค่อยสืบสาวเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด
พร้อมกันนั้น ด้านหน้าประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม มีคนสองเดินเข้ามาแต่งกายมิดชิด สวมหมวกปีกกว้างเดินก้มหน้าเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเห็นเช่นนั้นรีบวิ่งออกไปต้อนรับ ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“เชิญ ๆ นายท่านทั้งสองเชิญด้านใน อากาศด้านนอกเหน็บหนาวเข้ามานั่งจิบสุราเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายก่อน”
คนทั้งสองไม่กล่าววาจา เดินก้มหน้าเข้าไปนั่งยังโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ริมหน้าต่าง เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งรีบกุลีกุจอยกไหสุรามาวางลงบนโต๊ะสองไห แล้วล่าถอยออกมาสองก้าว ส่งเสียงกล่าววาจาไถ่ถามว่า
“นายท่านทั้งสอง สุราสองไหนี้มีเจ้ามือในที่นี้คิดเลี้ยงพวกท่าน มิทราบว่านายท่านต้องการอาหารกับแกล้มใดเป็นพิเศษหรือไม่?”
คนทั้งสองยังคงก้มหน้า เอียงหน้าสอดส่ายสายตาลอดขอบหมวกปีกกว้างมองไปโดยรอบ เห็นว่าภายในโรงเตี๊ยมล้วนนั่งดื่มกินอยู่ผู้คนท่าทางวางก้ามเขื่องโขอยู่ราวยี่สิบกว่าคน มีอยู่ห้าคนแต่งกายภูมิฐานคล้ายมีศักดิ์ฐานะตำแหน่งอยู่บ้าง
มันสองคนยังไม่เงยหน้าขึ้นมอง แต่ประสานมือคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาพร้อมเพรียงกันว่า
“ขอบคุณ สุราสองไหนี้พวกเราจึงไม่เกรงใจพวกท่านทั้งหลายแล้ว”
คนผู้หนึ่งในห้าคน ซึ่งก็คือเฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“มิต้องเกรงอกเกรงใจ สหายยุทธจักรอย่างพวกเรา พบหน้ากันได้แต่คารวะด้วยสุราเช่นนี้ พวกท่านทั้งสองคงไม่ถือสา เชิญพวกท่านดื่มสุราคลายความเหน็บหนาวก่อนเถิด”
คนทั้งสองยกไหสุราวางลงบนหน้าตัก จากนั้นตบดินที่กลบปิดปากไหออก สุราภายในไหส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล พวกมันทั้งสองจ่อปากไหแตะริมจมูก แล้วส่ายปลายจมูกไปมาอยู่เหนือปากไห คนผู้หนึ่งซึ่งจอมยุทธ์รุ่นเยาว์จดจำรูปร่างมันได้ มันคือยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์จางจิ้ง มันส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เป็นสุดยอดสุรา กลิ่นหอมหวนไร้กลิ่นพิษชนิดใดเจือปน”
จากนั้น พวกมันทั้งสองยกไหเทสุราลงชามจนเต็ม วางไหสุราลงบนโต๊ะแล้วคว้าชามบรรจุสุราดึงหมวกปีกกว้างลงมาปกปิดใบหน้า กระดกสุรารวดเดียวจนเหือดแห้งหมดชาม หนานตี้ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ กล่าวว่า
“สุราที่ดีไฉนจึงมีกลิ่นพิษเจือปนได้ พวกท่านมีด้วยกันสี่คน ไฉนจึงเข้ามาเพียงสองคน”
ยามนั้น เงาคนสองสายพุ่งขวับเข้ามาทางหน้าต่าง ร่างยังมิทันบรรลุถึง คนผู้หนึ่งในสองคนสะบัดมืองอนิ้วกลางดีดออกสองคราติดต่อกัน เสียงวัตถุคล้ายก้อนหินเล็ก ๆ พุ่งฝ่าอากาศดังขวับเขวียว จากนั้นเสียงตัง ๆ ดังพร้อมกันสองครั้งคราเช่นกัน ไหสุราสองใบที่วางอยู่บนโต๊ะทะลุออกเป็นรูเล็ก ๆ พร้อมกับน้ำสุราพุ่งออกมาจากรูเล็ก ๆ นั่น
ซื่อเหมี่ยน ซึ่งปลอมแปลงตัวเป็นบุรุษมีปฏิกิริยารวดเร็วเช่นกัน สองมือคว้าชามเปล่าสองใบซัดขว้างออกไป บุรุษปลอมแปลงตัวอีกผู้หนึ่งซึ่งคือกุ้ยโส่ว กระโดดลอยตัวขึ้นตีลังกากลางอากาศสองตลบ ทิ้งเท้าลงริมโต๊ะพร้อมกับคว้ารับชามเปล่าสองใบรองรับน้ำสุราจากไหสองใบไว้ได้พอดิบพอดี
ขณะที่เป็นเวลาเดียวกันกับคนชุดดำสองคนทิ้งร่างลงนั่งยังม้านั่ง พร้อมกับใช้ดินเหนียวบนปากไหอุดปิดรอยแตกของไหไว้ พร้อม ๆ กับชามเปล่าสองใบเติมสุราปริ่มชามพอดี
กุ้ยโส่วดัดสุ่มเสียง กล่าววาจาต่อชุดดำสองคนว่า
“เชิญสหายทั้งสอง สุราสองชามนี้ขอคารวะต่อพวกท่าน ฝีมือดีดอาวุธลับนับว่าสูงส่งน่ากลัวยิ่ง”
ชุดดำสองคนยื่นมือรับชามสุรา ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ ยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นปกปิดใบหน้า ยกชามสุราดื่มรวดเดียวหมดชาม พอวางชามสองใบลงบนโต๊ะ กุ้ยโส่วในคราบของยอดฝีมือจากนอกด่าน รีบยกไหสุรารินสุราเพิ่มจนปริ่มทั้งสองชาม ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“พวกเราล้วนเป็นชนชั้นยอดฝีมือยุทธจักร ทุกท่านในที่นี้ล้วนยึดมั่นปณิธานเดียวกัน ทุกคนล้วนเป็นคนกันเองมิต้องเกรงอกเกรงใจไปแล้ว อีกทั้งไม่ต้องปกปิดใบหน้าอันแท้จริง พวกเราล้วนทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าพวกท่านทั้งสี่เป็นคนของสำนักอสูรโลกันตร์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองคนซึ่งสวมหมวกปีกกว้างรีบปลดหมวกบนศีรษะลง พร้อมกับชุดดำอีกสองคนดึงผ้าคลุมหน้าออก แล้วกับประสานมือส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า
“พวกท่านล้วนมีสายตาแหลมคม ขนาดเราทั้งสี่ปลอมแปลงตัวปกปิดฐานะ ยังไม่อาจตบตาพวกท่านได้แม้แต่น้อย ถูกต้องพวกเราเป็นยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์”
คนชุดดำสองคนส่งเสียงกล่าววาจาแนะนำตนเองก่อนว่า
“เราคือยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์นามว่า เสิ่นซื่อสูอวี้”
จากนั้น ชุดดำอีกผู้หนึ่งส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เราเป็นยอดฝีมือจากอุยกูร์นามว่า เล๋อต้าเต๋อ”
ทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างรีบพากันลุกขึ้นประสานมือตอบรับ ส่งเสียงกล่าววาจาพร้อมเพรียงกันว่า
“ได้ยินชื่อเสียงของทั้งสองท่านมานาน วันนี้นับเป็นวาสนาได้พบพาน”
จากนั้น คนอีกผู้หนึ่งส่งเสียงกล่าวแนะนำตัวว่า
“เราเป็นมือขวาของนายน้อย ฉายาขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เรามีนามว่า เยี่ยเหว่ย”
คนอีกผู้หนึ่ง รีบส่งเสียงกล่าวแนะนำตัวเองเช่นกันว่า
“เราเองก็เช่นเดียวกันกับมัน เรามีนามว่า จางจิ้ง”
ทุกคนประสานมือตอบรับมันสองคนอีกครั้ง ส่งเสียงกล่าวยินดีดังไม่ขาดปาก จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ซึ่งปลอมแปลงตัวเป็นยอดฝีมือจากนอกด่าน เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวแนะนำตัวเองว่า
“พวกเราสี่คน คือสี่โสโครกแห่งหันหูกวน สิ่งใดที่ชั่วช้าเลวทรามต่ำช้า ล้วนเคยผ่านมือพวกเราทั้งสี่มาแล้วทั้งสิ้น เราเองเป็นพี่ใหญ่นามว่า เจ๊กอวู้ข่วย”
หนานตี้ปลอมแปลงตัว รีบประสานมือส่งเสียงแนะนำตัวว่า
“เราเป็นอันดับสองในสี่โสโครกแห่งหันหูกวนนามว่า หนออวู้ข่วย”
ซื่อเหมี่ยน ซึ่งอยู่ในคราบของยอดฝีมือจากนอกด่านเช่นกัน รีบประสานมือส่งเสียงแนะนำตัวว่า
“เราเป็นอันดับสามในสี่โสโครกแห่งหันหูกวนนามว่า ซาอวู้ข่วย”
สุดท้ายเป็นกุ้ยโส่ว ส่งเสียงพร้อมกับประสานมือแนะนำตัวเองว่า
“เราเป็นอันดับสี่ในสี่โสโครกแห่งหันหูกวนนามว่า สี่อวู้ข่วย”
ยอดฝีมือทั้งสี่ของสำนักอสูรโลกันตร์ประสานมือตอบรับ ส่งเสียงกล่าววาจาดังพร้อมเพรียงกันว่า
“ที่แท้เป็นสี่โสโครกแห่งหันหูกวน ได้ยินชื่อเสียงของพวกท่านมานาน ได้พบพานในวันนี้นับว่าเป็นวาสนาเช่นกัน”
จากนั้น คนที่เหลือพากันกล่าวแนะนำตัวเองจนหมดสิ้นทุกคน จากนั้นพากันนั่งลงดื่มสุราอย่างสนุกสนาน อาหารคาวหวานลำเลียงยกออกมาไม่ขาด ต่างรับประทานกันราวอดอยากหิวโหยกันมาเนิ่นนาน
กระทั่งเวลาผ่านไปจนดึกดื่น เห็นว่าในวันรุ่งพรุ่งนี้จะต้องมีงานสำคัญต้องกระทำ จึงกล่าวคำแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามห้องหับที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ หลังจากทุกคนกลับเข้าห้องดับตะเกียงหลับนอนกันหมดแล้ว ในห้องหนึ่ง คนห้าคนยังคงมิได้หลับนอน สี่คนเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์นั่นเอง ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมนามเตาเทียนเต็ก
คนทั้งห้าร่วมปรึกษาหารือถึงแผนการในวันพรุ่งนี้ เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวกับทั้งสี่คนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“ข้าพเจ้าได้รับพิราบสื่อสารตอบกลับมาจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าแล้ว รุ่งเช้าพวกเขาคงเดินทางมาถึง ยอดฝีมือทั้งสี่ของสำนักอสูรโลกันตร์ พวกมันถึงเช่นไรจะต้องมีชีวิตได้อีกเพียงค่ำคืนนี้เท่านั้น หลังกำจัดพวกมันทั้งสี่คนแล้ว พวกเราจะร่วมเดินทางขึ้นวัดเส้าหลินในทันที”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมนามเตาเทียนเต็ก ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“เช่นนั้น พวกท่านทั้งสี่รีบพักผ่อนเก็บออมแรงไว้ ส่วนค่ำคืนนี้เราจะจัดเตรียมกำลังคนคอยสอดส่องผลัดเปลี่ยนเวรยามป้องกันเหตุไม่คาดฝัน พวกท่านพักผ่อนให้สบายไม่ต้องเป็นกังวล นายท่านสั่งกำชับเอาไว้พวกเราจึงไม่กล้าผิดพลาดเช่นกัน”
ด้วยความสงสัย ซื่อเหมี่ยนจึงส่งเสียงกล่าวถามเตาเทียนเต็กว่า
“มิทราบว่า นายท่านที่กล่าวถึง คนผู้นี้ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่? เถ้าแก่ท่านพอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามแท้จริงกับพวกเราทั้งสี่คนได้หรือไม่?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมนามเตาเทียนเต็กแสดงสีหน้าลำบากใจ น้ำเสียงอึกอักล่าวตอบว่า
“กล่าวตามความสัตย์ ความจริงพวกเราทุกคนไม่มีผู้ใดทราบนามอันแท้จริงของนายท่านเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่าท่านเป็นสุดยอดฝีมือผู้หนึ่งของบู๊ลิ้ม หลังจากท่านได้ซื้อกิจการของโรงเตี๊ยมต้าเหอชุนต่อจากอดีตคุ้มกันภัยผู้หนึ่งแล้ว ท่านเองได้ช่วยชีวิตของพวกเราหลายคนในที่นี้ไว้ จากนั้นสั่งให้พวกเราดูแลโรงเตี๊ยมต้าเหอชุนแห่งนี้ นาน ๆ ทีท่านจะปลอมแปลงตัวเข้ามาสักครั้งหนึ่ง คิดว่าวันชุมนุมใหญ่ที่วัดเส้าหลิน พวกเราทุกคนคงได้ทราบโฉมหน้าอันแท้จริงของนายท่านอย่างแน่นอน”
เมื่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมนามเตาเทียนเต็กกล่าวตอบเช่นนั้น ทุกคนได้แต่อับจนปัญญา พากันพยักหน้าส่งสัญญาณให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนหลับนอน ส่วนเถ้าแก่โรงเตี๊ยมต้าเหอชุน มันปลีกตัวไปสั่งคนให้จัดเวรยามอย่างรัดกุม
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564