Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สังหารเดรัจฉานยุทธภพ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สังหารเดรัจฉานยุทธภพ

  • 24/09/2565

ตอนที่ 187

สังหารเดรัจฉานยุทธภพ

หลวงจีนนามฮุ่ยเตีย แสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ ส่งเสียงเอ่ยถามว่า

“ประสกทั้งหลายเดินทางมาเพื่อช่วยเหลือพวกอาตมา มิทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น? หรือว่าที่ประสกกล่าวมาเมื่อครู่ ประสกทั้งสี่ทราบอยู่ก่อนแล้ว ว่ามีคนจ้องจะทำร้ายพวกอาตมา”

เทียนจิ้งประมุขพรรคไผ่หลิว ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง พวกเราทราบอยู่ก่อนแล้ว ส่วนผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังพวกมัน เป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ร่วมมือกับเจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินคนปัจจุบัน มันก็คือเทียนเกาหรือเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อนั้นเอง พวกมันส่งเดรัจฉานเหล่านี้มาจัดการปิดปากพวกท่านทั้งหมด”

จากนั้น อวี้หว่อส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“พวกมันวางแผนการกันเอาไว้ ก่อนที่พวกท่านจะลอบเดินทางขึ้นเส้าหลิน เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมอันชั่วช้าของหลวงจีนถู่ฝู ส่วนเทียนเกาพวกเราทุกคนรวมทั้งอดีตเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือล้วนทราบดีอยู่ก่อนแล้ว ในวันที่อดีตเจ้าอาวาสออกจากการเก็บตัว คิดว่าพวกมันคงมีแผนชั่ว ดังนั้นจึงคิดปิดปากหลวงจีนที่หลบหนีได้ในเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ให้เหลือชีวิตรอดแม้แต่ผู้เดียว”

ฮุ่ยเตียไต้ซือ หันไปจ้องมองพวกเดรัจฉานเหล่านั้นวูบหนึ่ง แล้วหันมากล่าวถามกับคนทั้งสี่ว่า

“มิทราบว่าจอมยุทธ์ทั้งสี่ ทราบได้เช่นไร? ว่าพวกเขาเหล่านี้คิดกำจัดพวกอาตมา”

ไป่ชิง นางส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวถามกับพวกมันต่อหน้าพวกท่าน หลังจากนั้น ท่านไต้ซือคงกระจ่างได้ไม่ยากเย็น”

กล่าววาจาจบ ไป่ชิงหันไปทางด้านสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ส่งเสียงกล่าวถามพวกมันทั้งสองว่า

“พวกท่านทั้งสองจดจำได้หรือไม่? บนเขาหมื่นเซียนสำนักตำหนักหมื่นเทพ มีปู่หลานคู่หนึ่งปรากฏกายขึ้น วาจาที่ข้าพเจ้ากล่าวออกมาใช่ถูกต้องหรือไม่?”

ยามนั้น เทวทูตขวาเจียจิ้ง หันไปประสานสบสายตากับเทวทูตซ้ายเจียฮุย รวมทั้งผางกว่าน จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง วาจาที่แม่นางกล่าวมาหาได้แต่งขึ้นมาเอง มีปู่หลานคู่หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่นั่นจริง ๆ”

เมื่อเทวทูตขวาเจียจิ้งกล่าวตอบเช่นนั้น เอวี้ยอี้เซินแย้มยิ้มส่งเสียงกล่าววาจาไถ่ถามว่า

“เมื่อมีปู่หลานคู่หนึ่ง ขึ้นไปเยี่ยมเยียนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนถึงสำนักตำหนักหมื่นเทพ ซึ่งในวันนั้นบนเขาหมื่นเซียน นอกจากพวกท่านแล้ว ยังมีเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเทียนเกาไต้ซือ รวมทั้งศิษย์หลานของมันถู่ฝู ยังมีวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย รบกวนพวกท่านบอกเล่ารายละเอียดออกมาได้หรือไม่?”

สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง รวมทั้งผางกว่าน แม้นว่าพวกมันจะมิใช่ชนชั้นยอดฝีมือ แต่นับว่ายังถือดีในศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ดังนั้นพวกมันทั้งสามคนจึงผลัดกันบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนั้นออกมาโดยมิได้ปิดบัง

เมื่อบอกเล่าเรื่องราวจบลงแล้ว ผางกว่านมือดีของเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ หรืออีกฐานะหนึ่งคือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเทียนเกา ส่งเสียงกล่าวถามคนทั้งสี่ว่า

“เรื่องราวทั้งหมดพวกเราก็บอกกล่าวออกไปจนหมดสิ้น พวกเจ้าทราบหรือไม่? ว่าไฉนพวกเราจึงยินยอมบอกเล่าออกไปไม่คิดปิดบัง”

เทียนจิ้งประมุขพรรคไผ่หลิว จึงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“พวกเราล้วนไม่ทราบ พวกท่านรีบบอกกล่าวออกมาให้กระจ่าง”

ผางกว่าน ส่งเสียงกล่าวตอบทันทีว่า

“ร้านน้ำชาแห่งนี้มีชื่อว่า ร้านน้ำชาไม่อาจทุศีลในเมื่อไม่อาจทุศีลก็ไม่อาจฆ่าคน เมื่อไม่อาจฆ่าคนจึงต้องถูกพวกเราฆ่า วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดในร้านน้ำชานี้ มีปีกก็ไม่อาจโบยบินคิดหลบหนี”

ได้ยินเช่นนั้น ไป่ชิงแค่นเสียงร้องเฮอะคำหนึ่ง หันไปกล่าววาจากับหลวงจีนเหล่านั้นว่า

“ไต้ซือทุกท่าน พวกเราสี่คนเป็นแขกของร้านท่าน พวกท่านเป็นผู้เหย้า คำกล่าวของพวกเขาแม้จะถูกต้องอยู่บ้าง เจ้าบ้านสมควรรับแขกผู้เยือนมิให้ขาดตกบกพร่อง ในเมื่อไต้ซือทั้งหลายไม่อาจฆ่าคน แต่พวกเราสี่คนมิใช่ฆ่าคนมิได้ พวกท่านหลบไปอยู่ทางด้านข้างก่อน ส่วนพวกมันทั้งหลายเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราจัดการเถิด”

หลวงจีนเส้าหลินทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น พากันหลบออกไปด้านข้าง หลวงจีนนามฮุ่ยเตียส่งเสียงกล่าวว่า

“ขอบคุณจอมยุทธ์ทั้งสี่ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เช่นนั้นพวกอาตมาจะคอยคุมเชิงอยู่ด้านข้าง หากจำเป็นที่สุดต้องลงมือฆ่าคน คงต้องยินยอมปลดป้ายชื่อร้าน สลักอักษรบนป้ายชื่อร้านใหม่ว่า ร้านน้ำชาทุศีลแล้ว”

สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง พร้อมด้วยผางกว่านได้ยินเช่นนั้น พากันส่งเสียงหัวร่อเย้ยหยัน พวกมันเห็นว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสี่มีฝีมือพื้นเพธรรมดา หาทราบว่าเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเหล่านี้มีฝีมือรุดหน้ารวดเร็วแทบน่าตระหนก อีกทั้งพวกมันยังถือดีว่ามีมือดีมาด้วยเกือบยี่สิบคน เทวทูตซ้ายเจียฮุย ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“อาศัยพวกเจ้าสี่คน คิดจะคุ้มครองศีรษะหลวงจีนเส้าหลินเหล่านี้ นอกจากจะมิได้กำไรแล้ว เกรงว่าพวกเจ้าจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว แม้แต่ชีวิตของพวกเจ้าเอง ยังต้องฝังเอาไว้ภายในร้านน้ำชาเก่าแก่นี้”

เทวทูตซ้ายเจียฮุยกล่าววาจาจบ มือดีที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง พากันกระจายกำลังออกแล้วบีบล้อมคนทั้งสี่เอาไว้ตรงกลาง เทียนจิ้งประมุขพรรคไผ่หลิว ส่งเสียงกลาวกับไป่ชิง รวมทั้งหนานตี้อีกทั้งเอวี้ยอี้เซินว่า

“สุนัขเดรัจฉานต่ำช้าเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเภทภัยยุทธภพ พวกมันไม่เห็นหลุมฝังศพจึงไม่ไหลหลั่งน้ำตา เช่นนั้นวันนี้เห็นแก่คุณธรรมยุทธภพ พวกเราจัดการสังหารพวกมันให้สิ้นเถิด”

ยามนั้น ไป่ชิง อวี้หว่อและเอวี้ยอี้เซิน คนทั้งสามพยักหน้าแล้วพากันชักกระบี่พาดขวางเตรียมพร้อม เทียนจิ้งใช้ไม้เท้าไผ่หลิวกระบี่หยกเป็นอาวุธ จำเดิมเป็นเพียงไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้อง หลังจากให้ช่างฝีมือดัดแปลงจึงได้ไม้เท้าไผ่หลิวกับกระบี่หยกรวมอยู่ด้วยกัน

คนทั้งสี่แยกย้ายออกเป็นสี่ทิศทาง มือดีผู้หนึ่งฮึกเหิมฟาดฟันกระบี่ถี่ยิบดั่งร่างแห จู่โจมเข้าใส่ศีรษะของเทียนจิ้งอย่างหักโหม

เทียนจิ้ง คล้ายถูกครอบคลุมด้วยร่างแหกระบี่ที่หนาแน่น แต่ทว่าเทียนจิ้งกลับส่งเสียงดังสดใสกล่าววาจาว่า

“เป็นกระบวนท่าวิชากระบี่ที่น่าชื่นชม แต่น่าเสียดายท่านคล้ายทิ้งร่องรอยเปิดเผยช่องโหว่มากจนเกินไป”

สิ้นเสียงสดใสของเทียนจิ้ง ประกายสีเขียวมรกตสว่างวูบเจิดจ้าคราหนึ่ง ไม้เท้าไผ่หลิวกระบี่หยก ใช้ออกด้วยวิชาไผ่หลิวกวาดพสุธา ในกระบวนท่าที่สามนามว่า ใบหลิวเบ่งบานสะพรั่ง ประกายสีเขียวมรกตสว่างวูบแล้วสิ้นสลายการลงมือในครานี้รวดเร็วรวบรัดงดงาม

คนผู้นั้น แผดเสียงร้องโหยหวนคำหนึ่ง แล้วสำรอกสายโลหิตฉีดพุ่งดั่งน้ำพุขึ้นสู่อากาศ ใบหน้าแหงนหงายเหยเกมองแผ่นกระเบื้องหลังคา สองตาเลื่อนลอยหงายหลังร่างพุ่งไปตกกระแทกโต๊ะไม้ตัวหนึ่งเสียงดังโครมใหญ่ โต๊ะไม้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ร่างจะตกลงกระแทกพื้นพร้อม ๆ กับกระบี่ในมือมันที่หลุดเป็นอิสระ ตกลงปักเสียบทะลุทรวงอก ร่างของมันแน่นิ่งไปไม่ไหวติงดั่งคนนอนหลับใหล คนผู้นี้มิได้หลับใหลแต่มันตายแล้ว ตายง่ายดายเกินไป”

ทางด้านไป่ชิง ใช้ออกด้วยกระบวนท่าวิชาวายุกรีดนภา ในกระบวนท่าวิชากระบี่นามว่า ท่องทะยานแดนสนธยา คนผู้หนึ่งซึ่งเป็นมือดีเห็นว่านางเป็นอิสตรี มันถาโถมจู่โจมด้วยกระบี่กระบวนท่าหวาดเสียวน่ากลัว กระบี่ที่ปาดเฉียง ๆ จากขวามาซ้ายพลิกแพลงแยบยล จากปาดกรีดเฉียงเปลี่ยนเป็นแทงตรง ๆ พุ่งตรงเข้าใส่ทรวงอกของไป่ชิง

ไป่ชิง นางส่งเสียงหัวร่อเจื้อยแจ้ว ส่งเสียงร้องว่า

“กระบวนท่าวิชากระบี่ที่เปลี่ยนแปรนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง แต่น่าเสียดาย กระบี่แม้รวดเร็วพลิกแพลงแยบยล แต่คนใช้กระบี่ฝีเท้าคล้ายยังเชื่องช้าอยู่บ้าง ระวังสองขาของท่านเอาไว้ให้ดี ต่อแต่นี้จะไม่มีสองเท้าไว้ก้าวเดิน”

คนผู้นั้นเชื่อวาจาไป่ชิงเสียสนิท รีบวกปลายกระบี่ลงต่ำปกป้องสองขาตนเองไว้ ไป่ชิงนางแย้มยิ้มในใจไม่คิดไว้ไมตรีต่อคนชั่วผู้นี้ สะกิดปลายเท้าโผพุ่งร่างดั่งนางแอ่นเหิน ร่างลอยขึ้นตีลังกากลางอากาศรอบหนึ่งเหินข้ามศีรษะของมันไป พร้อมกับกระบี่วายุกรีดนภาตวัดขวับเขวียวกลับหลัง สะบั้นลำคอคนผู้นั้นเสียงดังฉับ ศีรษะของมันกระเด็นลอยหลุดจากบ่า พุ่งเข้าหาผางกว่านราววัตถุหนังกลม ๆ ลูกหนึ่ง

ผางกว่าน มันมีปฏิกิริยาปราดเปรียวยิ่ง แม้นจะเป็นศีรษะของพวกพ้องพี่น้องของมันเอง ยามนี้มันยังแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ยิ่ง มันสะกิดเท้าพุ่งร่างมายังด้านข้างพร้อมกับหมุนควงร่างกลางอากาศรอบหนึ่ง เท้าซ้ายเตะฟาดใส่กกหูซึ่งไร้ลำตัวคนผู้นั้นเสียงคล้ายดั่งทุบผลแตง หัวคนผู้นั้นพุ่งทะลุฝาหน้าร้านออกไป ก่อนจะตกลงลำคอเสียบเข้ากับปลายธงซึ่งปักอยู่หน้าร้าน

ใบหน้าของมันหันมาทางในร้านอย่างสงสัย สองตาเบิกโพลงจับจ้องมองร่างตนเองที่ไร้ศาษะ กำลังล้มฟาดกระแทกพื้น ลำคอที่ไม่มีหัวกระเซ็นซ่านด้วยม่านโลหิต สลับกับเส้นสายโลหิตฉีดพุ่งยิ่งกว่าน้ำพุ มันคล้ายทราบแล้วว่าร่างของมันไม่อาจหายใจแล้ว

ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง มือดีสองคนรุมกระหนาบหน้าหลังเข้าหาอวี้หว่อ เสียงคำรามดังกึกก้องของพวกมันสองคน คล้ายต้องการทำลายขวัญสะกดข่มร่างอวี้หว่อเอาไว้กับที่ กระบี่สองเล่มกรีดร้องดั่งอึงอลราวอสนีบาตฟาดฟ้า อวี้หว่อแค่นเสียงหัวร่อท่วงท่ายังรักษาความสง่างามปลอดโปร่ง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“พวกท่านทั้งสองพอลงมือก็หักโหมปานนี้ หากเป็นเมื่อกาลก่อนเราคงหวาดหวั่นพรั่นพรึงขวัญฝ่อแทบตายแล้ว แต่ทว่าตอนนี้กับกาลก่อนไม่อาจคล้ายกัน เนื่องจากความแตกต่างของพลังฝีมือของเราคล้ายก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง”

สิ้นเสียงของอวี้หว่อ กระบี่หยกไผ่หลิวใช้ออกด้วยท่า ท่องฟ้าดารารายเส้นสายกระบี่คล้ายดั่งสายฟ้าตวัดวาดออกเป็นวงโค้งดั่งสายรุ้งเส้นหนึ่ง คล้ายดั่งเส้นขอบฟ้าเหนือขุนเขา กระบวนท่าสภาวะคล้ายบางเบาดุจละอองน้ำค้างพร่างพรม แต่กระนั้นคมกระบี่ดุร้ายกราดเกรี้ยว ชั่วพริบตาเดียวพวกเดรัจฉานสองคน ยังมิทันอ้าปากส่งเสียงร้องโหยหวน กลางลำตัวเหนือท่อนเอวถูกคมกระบี่ฟันขาดออกเป็นสองท่อน คนสองคนกลายเป็นสี่ท่อน อวัยวะภายในช่องท้องไหลออกมากองเต็มพื้น โลหิตสีแดงฉานไหลเนืองนองดุจท้องธาร พวกมันเดินทางไปปรภพแล้ว

เมื่อเหลียวมองมาทางด้านเอวี้ยอี้เซิน คนผู้หนึ่งคุมสภาวะกระบี่จู่โจมลงมาจากกลางอากาศ เงากระบี่หนุนเนื่องแน่นหนาคล้ายดั่งร่างแหฟ้าตาข่ายดิน เอวี้ยอี้เซินแหงนหน้าขึ้นมองมัน ส่งยิ้มหยาดเยิ้มให้กับมัน ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“เป็นกระบวนท่ากระบี่เหินหาวอันน่าตระหนก เงากระบี่แม้นหนาแน่นไร้ช่องโหว่ แต่คนที่ควบคุมกระบี่ไม่มีที่หยั่งเท้าได้ในอากาศ เช่นนั้นเราขอทดสอบดรรชนีสกัดจุดว่ามีความก้าวหน้าไปบ้างหรือไม่? เกรงว่าจะทำอับอายขายหน้าต่อเหล่าสหายแล้ว”

สิ้นเสียง เอวี้ยอี้เซินยกนิ้วจี้ปราดขึ้น เกิดเป็นเสียงคล้ายดอกเกาทัณฑ์พุ่งปักกระสอบนุ่นมิปาน ร่างคนผู้นั้นพลันถือกระบี่แข็งทื่ออยู่กลางอากาศ พร้อมกับกระบี่ในมือเอวี้ยอี้เซินพุ่งออกจากมือดุจอสรพิษฉกเหยื่อ กระบี่เคลื่อนไหวรวดเร็วพุ่งเสียบทะลุทรวงอก แล้วพุ่งทะลุออกทางด้านหลังเสียงดังประหลาดพิกล คนก็ส่งเสียงร้องผิดแผกโหยหวนชวนสยดสยอง

เอวี้ยอี้เซินนางสะกิดปลายเท้ากับพื้นโผพุ่งร่างขึ้นไปในอากาศแล้ววกอ้อมไปคว้ารับกระบี่เอาไว้ พร้อมกับฝ่าเท้าขวาประทับลงบนท้ายทอยของมัน ร่างคนผู้นั้นกลางอากาศพุ่งเอาศีรษะปักลงพื้นราวดาวตก เสียงคล้ายดั่งผลแตงถูกโยนลงกระแทกพื้น กะโหลกศีรษะแหลกละเอียดสมองขาวข้นเหนียวกองพื้นปนกับเลือดกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง เอวี้ยอี้เซินเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้นสวยสดงดงาม

บัดนั้น สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง รวมทั้งผางกว่านพากันเดือดดาลเป็นการใหญ่ พวกมันไม่นึกว่าพลังฝีมือของทั้งสี่คนจะมีความน่ากลัวถึงเพียงนี้ ผางกว่านตวาดลั่นสั่งมือดีที่เหลืออีกสิบกว่าคนดังว่า

“พวกเราอย่าได้ตระหนกตกใจไป ลงมือจู่โจมรุมสับพวกมันพร้อมกันให้สิ้น ต่อให้พวกมันมีสามเศียรหกกร แต่พวกเรามีคนมาก เร็วเข้ารีบรุมสังหารพวกมันให้สิ้นซาก”

สิ้นเสียงของผางกว่าน มือดีสิบกว่าคนพร้อมอาวุธครบมือ ฮือโหมโอบล้อมคนทั้งสี่เอาไว้ตรงกลาง จากนั้นเงากระบี่ของทั้งสองฝ่ายพัวพันรุกต้อน เงากระบี่คลี่คลุมฉวัดเฉวียน เสียงคมกระบี่ตวัดกระทบดังเกรี้ยวกราด ผ่านไปเพียงอึดใจเดียว มือดีสิบกว่าคนกลายเป็นซากศพนอนกลาดเกลื่อน กลิ่นคาวโลหิตเหม็นคละคลุ้งจนแทบจะอาเจียน เหลือเพียงสามคนที่ยังมิทันได้ลงมือ นั่นคือสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งและผางกว่าน

พวกมันทั้งสามคนทอดสายตามองซากศพกลาดเกลื่อนบนพื้น แม้นพวกมันจะมิใช่ยอดฝีมือแถวหน้า แต่นับว่าพลังฝีมือยังสูงส่งกว่าบรรดามือดีที่นอนตายเหล่านี้อยู่มากนัก แต่ถึงเช่นไร? ต่อให้พวกมันกำลังขวัญกล้ากว่านี้ เมื่อมองกองซากศพเกลื่อนกล่น อดรู้สึกย่นระย่อท้อแท้อยู่บ้าง ขวัญกำลังความฮึกเหิมห้าวหาญที่มีอยู่เดิมถดถอยไปแทบหมดสิ้น พวกมันหันสบสายตากัน จากนั้นพากันซัดขว้างระเบิดควันออกมาจำนวนหลายลูก พอกลุ่มควันพวยพุ่ง พวกมันทั้งสามคนพากันพุ่งร่างทะลุหลังคากระเบื้องลอยตัวหลบหนีไปในอากาศ

ยามนั้น แผ่นกระเบื้องหลังคาโรงน้ำชาเก่าแก่อีกซีกหนึ่ง พลันแตกกระจายออก ร่างของคนสามคนพุ่งทะลุหลังคากระเบื้องลงมา ก่อนที่จะกระแทกกับพื้นเสียงดังโครมคราม สภาพของคนทั้งสามล้วนแขนขาหักออกเป็นหลายท่อน สองตาเหลือกถลนออกมานอกเบ้า จมูกปากไหลนองด้วยโลหิต พวกมันทั้งสามไม่ส่งเสียงร้องใดออกมา พวกมันล้วนตายแต่กลางอากาศแล้ว ตายอย่างอเนจอนาถ พวกมันคือสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งและผางกว่านนั่นเอง

ไกลออกไป ได้ยินเสียงของหญิงชรา ถ่ายทอดด้วยวิชาคลื่นเสียงไกลพันลี้ดังกลับมาว่า

“เดรัจฉานไร้ยางอายเหล่านั้น กลัวตายไม่รักศักดิ์ศรีฝีมือตัวเอง เดรัจฉานต่ำช้าเช่นนี้มีลมหายใจไปก็ไร้ประโยชน์เสียชาติเกิด เซียวชิง ท่านย่าบ้อซัวลงมือฆ่าพวกมันสามคนให้กับเจ้า ร้านน้ำชาแห่งนั้นไม่อาจเรียกว่า ร้านน้ำชาไม่อาจทุศีลได้อีกแล้ว จุดไฟเผาทำลายไปพร้อมกับร่างซากศพพวกมัน แล้วคุ้มครองไต้ซือทั้งหลายขึ้นเส้าหลินโดยปลอดภัยเถิด”

จ้าวไป่ชิง นางคิดจะถ่ายทอดคลื่นเสียงโต้ตอบกลับไป แต่คล้ายสำนึกถึงพลังฝึกปรือของตนเองยังไม่ถึงขั้นสูงส่งพอ ดังนั้นจึงได้แต่ประสานมือ กล่าววาจาออกไปว่า

“เซียวชิง ขอขอบพระคุณท่านย่าเซียวบ้อซัว ผู้หลานพร้อมด้วยสหายทั้งสาม จะคุ้มครองท่านไต้ซือเหล่านี้กลับเส้าหลินโดยปลอดภัย”

หลังจากหลวงจีนเส้าหลินทั้งหลาย เก็บข้าวของสัมภาระเรียบร้อยแล้ว คนทั้งสี่จึงใช้น้ำมันสนที่เก็บไว้ในร้านน้ำชาเก่าแก่แห่งนี้ เทราดไปโดยรอบร้านน้ำชา ฝาผนังและหลังคาจนทั่ว จากนั้นโยนคบไฟเข้าใส่ร้านน้ำชา กระทั่งเปลวไฟลุกโหมท่วมหลังคาร้านน้ำชาเก่าแก่จนไม่เหลือซาก แม้แต่ซากศพเหล่านั้นยังเหลือไว้เพียงกองกระดูกเท่านั้นเอง

จากนั้น ทั้งหมดจึงพากันออกเดินทางมุ่งหน้าขึ้นวัดเส้าหลิน เพื่อสมทบกับเหล่าสหายและอาวุโสทั้งหลายที่เดินทางมาในภายหลัง

กล่าวย้อนมาทางด้านหนึ่งของยุทธภพ คนสี่คนกำลังสะกดรอยติดตามคนสี่คน สี่คนที่ว่าเป็นคนของสำนักอสูรโลกันตร์ พวกมันสองคนแรกเป็นยอดฝีมือ เล่อต้าเต๋อยอดฝีมือจากอุยกูร์ อีกคนหนึ่งเป็นเสิ่นซื่อสูอวี้ยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์ สองคนหลังใช้แถบผ้าสีดำปิดดวงตาข้างขวาเอาไว้ คนหนึ่งคือเยี่ยเหว่ย อีกคนหนึ่งเป็นจางจิ้ง พวกมันสองคนเป็นมือขวาของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงนั่นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป