Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สุริยันสะกดจันทรา)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สุริยันสะกดจันทรา

  • 21/09/2565

ตอนที่ 181

สุริยันสะกดจันทรา

ทางด้านวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย กับผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว หลังจากพุ่งร่างจากมา พากันทะยานร่างดั่งเหินบิน วานรเหินด้านหลังพุ่งร่างตามติด ผีเสื้อโลหิตด้านหน้าพุ่งร่างปราด ๆ แต่กระนั้นยังระมัดระวังไม่อาจไว้ใจ เกรงกลัวว่าวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยจะลอบทำร้ายในยามเผลอ ส่วนวานรเหินด้านหลังก็เช่นเดียวกัน นางไม่อาจไว้วางใจต่อเอี้ยวเซียว ศิษย์ทรยศอาจารย์ผู้นี้ได้

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ส่งเสียงกล่าววาจาโดยที่มิได้เหลียวกลับมามองว่า

“อาจารย์รอง ข้าพเจ้าทราบว่าท่านกำลังคิดเรื่องราวใดอยู่?

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย แค่นเสียงร้องเฮอะออกมาคำหนึ่ง กล่าววาจาโต้ตอบว่า

“เราเองก็ทราบเช่นกัน ในใจของเจ้ากำลังวางแผนการอันชั่วร้าย”

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวทางด้านหน้า ส่งเสียงหัวเราะฮา ๆ กล่าววาจาโต้ตอบกลับมาว่า

“อาจารย์รองเอง ท่านใช่กำลังคิดเรื่องราวอันดีใด?”

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย กระหายใคร่ฟาดฝ่ามือซัดพลังจัดการกับผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวในบัดดล เพียงแต่ว่ายังมิพ้นเขตแนวป่า คาดว่าระยะทางอีกไม่ถึงครึ่งลี้ คงจะทะลุออกสู่พื้นโล่งทุ่งหญ้า ซึ่งไม่มีบรรดาสัตว์ร้ายแมลงพิษเหล่านี้มาก่อกวนใจ

ดังนั้นวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย สาดประกายสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะพ้นเขตป่านี้ไป เห็นทีว่ามิอาจปลดปล่อยเอี้ยวเซียวให้หลุดรอดเงื้อมมือไปได้ พลันครุ่นคิดขึ้น

“เอี้ยวเซียว ศิษย์เนรคุณอาจารย์ เจ้าอย่าได้ตำหนิกล่าวโทษเราเด็ดขาด ในเมื่อเจ้าอำมหิต เราจำต้องโหดเหี้ยม หากเจ้าคิดจะเป็นพยัคฆ์ เราจักต้องเป็นมังกรเช่นกัน”

ดังนั้นขณะเหินร่างอยู่ทางด้านหลัง วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ในหัวสมองของนาง จึงคิดวางแผนการกำราบเอี้ยวเซียวขึ้น

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวทางด้านหน้า ในหัวสมองของนางกำลังวางแผนการเช่นกัน ห่างออกไปไม่ไกลเท่าใดนัก มองเห็นแสงไฟเรืองรองหมอกควันล่องลอย เอี้ยวเซียวอยู่ทางด้านหน้า จึงมองเห็นทัศนียภาพด้านหน้าได้ดีกว่า อีกทั้งหนทางสลัดหลุดได้รวบรัดชัดเจนกว่า

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยด้านหลัง สองมือกำอาวุธลับเรียกว่า “คมเขี้ยววานร” เพียงสยบผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวไว้ แย่งเศษชิ้นผืนผ้าโลหิตจากมือนาง จากนั้นรีบออกไปจากป่าพิษนี้ ปล่อยให้เอี้ยวเซียวซึ่งปราศจากสิ่งป้องกันสัตว์พิษแมลงร้าย เมื่อถึงเวลานั้นนางก็ออกพ้นจากป่าพิษนี้ไปไกลโขแล้ว

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยทางด้านหลัง สองมือที่กำอาวุธลับคมเขี้ยววานรเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว นางตวัดข้อมือวูบเสียงดังขวับ ๆ อาวุธลับคมเขี้ยววานรพุ่งออกจากมือเสียงดังซี่ ๆ ในระยะเผาขนเช่นนี้ อาวุธลับที่ปล่อยออกไป ไม่มีวันจะพลาดเป้าไปได้ พลังอันเร่งร้อนซ่อนประกายเย็นเยียบ ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ส่งเสียงแปลกประหลาดพิกลคำหนึ่ง ซัดขว้างบางสิ่งบางอย่างออกจากใจกลางฝ่ามือเช่นกัน

ในห่าอาวุธลับคมเขี้ยววานรอันร้อนฉ่า ผืนผ้าโลหิตในมือผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ถูกใช้เป็นเกราะป้องกันต้านรับห่าอาวุธลับคมเขี้ยววานรเอาไว้ การลงมือของทั้งสองทั้งรวบรัดทั้งรวดเร็วยิ่ง แม้ผืนผ้าโลหิตที่ซัดขว้างออกมา จะห่อรับกับห่าอาวุธลับไว้ได้เกือบหมดสิ้น แต่มีอยู่เล่มหนึ่งพุ่งปักฉึกเฉียง ๆ บริเวณหัวไหล่ด้านขวาของเอี้ยวเซียว ได้ยินนางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง พลางถีบเท้าพุ่งร่างทะยานขึ้นสู่ยอดไม้เหนือศีรษะ ร่างหายลับไปกับความมืดมิด

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย แค่นเสียงหัวร่อฮา ๆ รีบคว้ารับผืนผ้าโลหิตเอาไว้ แล้วหมุนกายกลางอากาศดั่งลูกข่างรอบหนึ่ง เมื่อทิ้งสองเท้าลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล ส่งเสียงเย้ยหยันกล่าววาจาว่า

“เอี้ยวเซียว ต่อให้เจ้าหลบซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้ ในไม่ช้าก็ต้องเป็นอาหาร ตกเป็นเหยื่อของเหล่าอสรพิษ แมลงหนอนร้ายทั้งหลายเหล่านี้แน่นอน”

ยามนั้น ด้านนอกแนวเขตป่า มีเสียงสะท้อนดังกลับมาว่า

“อาจารย์รอง ท่านมั่นใจได้เช่นไร? ว่าผืนผ้าโลหิตในมือท่าน คือโลหิตของศิษย์พี่จ่านจือ มิใช่โลหิตสดใหม่ของข้าพเจ้าเอง”

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ตระหนกตกใจยิ่ง สองตาเบิกกว้างสำรวจตรวจสอบผืนผ้าโชกชุ่มโลหิตสดใหม่ในมือ จากนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยน ส่งเสียงร้องตกใจว่า

“นี่เป็นชายแขนเสื้อแถบหนึ่งของเจ้าเอี้ยวเซียว บัดซบถึงกับใช้ลูกไม้นี้แหกตาหลอกลวงเราเชียวรึ? หากเรารอดออกไปจากป่าพิษนี้ได้ สาบานได้ว่าจะสับเจ้าเป็นร้อยพันหมื่นชิ้นทีเดียว”

แต่ทว่าในเวลานี้ ไม่มีเวลาให้ก่นด่ามากนัก สืบเนื่องจากอสรพิษแมลงหนอนร้าย ต่างกรูดาหน้าเข้ามาดั่งห่าฝน วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยมือหนึ่งกำอาวุธลับคมเขี้ยววานร อีกมือหนึ่งตบฉาดเข้าที่หว่างเอวคอดกิ่วของนาง กระบี่อ่อนเล่มหนึ่งดีดสะท้อนออกมา วานรเหินคว้าหมับรับกระบี่อ่อนไว้ ปลายกระบี่ยังคงสั่นไหวระริกราวเปลวไฟในตะเกียง ที่แท้สายรัดเอวคอดกิ่วของนาง เป็นกระบี่อ่อนช้อยคมกริบเล่มหนึ่ง

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ส่งเสียงร้องคำรามกึกก้อง ซัดขว้างอาวุธลับคมเขี้ยววานรออกไปโดยรอบชุดหนึ่ง แล้วฟาดฟันกระบี่อ่อนในมือสะบั้นอสรพิษ กระจัดกระจายไปหลายร้อยตัว จากนั้นซัดขว้างอาวุธลับในมืออีกชุดเบิกทาง พุ่งร่างไปด้านหน้าสี่ห้าสิบวา ในใจครุ่นคิดขึ้น

“หากเราใช้อาวุธลับคมเขี้ยววานรหมดสิ้น อีกทั้งกระบี่อ่อนในมือสะบั้นเหล่าอสรพิษเหล่านี้ กระทั่งเราหมดสิ้นเรี่ยวแรง ระยะทางออกจากป่านี้ มิอาจคำนวณได้ว่าใกล้ไกลปานใด? ก่อนที่เราจะสลัดหลุดจากป่าพิษบัดซบนี่ คงจมคมเขี้ยวสัตว์พิษเหล่านี้แล้วก็อาจเป็นได้”

ยามนั้น เหนือยอดไม้ได้ยินเสียงกู่ร้องของอินทรี เหล่าแมลงพิษคล้ายตกใจตื่นกลัว พากันบินหลบหนีไปในป่าลึก พร้อมกับร่างสองสายสาดทะยานมา ยังมิทันทิ้งเท้าสัมผัสพื้น คนผู้หนึ่งกระแทกฝ่ามือเร่งร้อน คนอีกผู้หนึ่งแผ่พุ่งพลังจากอุ้งกรงเล็บ อีกทั้งยังซัดขว้างอาวุธลับออกมาราวห่าฝน วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย เมื่อเห็นชัดถนัดตา ส่งเสียงร้องยินดีว่า

“อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย ท่านสองคนมาได้ทันเวลาพอดี เสียงกู่ร้องเมื่อครู่คงเป็นอินทรีขาวดุร้ายของท่านเหิงแล้ว เช่นนั้นเราไยยังต้องกลัวเกรงสัตว์พิษร้ายเหล่านี้ด้วย”

ในเสียงกู่ร้องของอินทรีขาวดุร้าย เสียงปีกทั้งสองกรีดฝ่าอากาศดังเกรียวกราว พร้อมกับประกายสีทองสองวงพุ่งฉวัดเฉวียนตัดลำตัวของอสรพิษเสียงดังกึกก้อง ในเสียงกรีดร้องของอินทรีขาวดุร้าย ห่วงทองสองวงยังคงคำรามกราดเกรี้ยว พร้อมกับร่างของลามะรูปหนึ่งพุ่งมาราวเกาทัณฑ์ดอกหนึ่ง เมื่อสะกิดปลายเท้ากับห่วงทองสองวงในอากาศคราหนึ่ง พลิกร่างตีลังกาด้วยท่วงท่าพลิ้วไหว ทิ้งเท้าลงสู่พื้นแผ่วเบาคว้ารับห่วงทองสองวง นามห่วงทองคู่ประทับฟ้าเอาไว้

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย แสดงสีหน้ายินดียิ่ง ซัดขว้างอาวุธลับคมเขี้ยววานรออกอีกชุดหนึ่ง ส่งเสียงร้องทักทายดังว่า

“ต๊กม้อเต็กลามะ ไฉนท่านไต้ซือจึงมาปรากฏตัวที่นี้ได้ ท่านมิใช่อยู่กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อีกทั้งเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันหรอกรึ?”

ต๊กม้อเต็กลามะ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง อาตมาอยู่กับพวกเขา แต่นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้อาตมาอยู่กับพวกท่าน อีกทั้งยังจะช่วยประสกเส้าฮ่วยฮวย ขับไล่สัตว์แมลงพิษเหล่านี้ไปอีกด้วย”

อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง สบสายตากับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยวูบหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับต๊กม้อเต็กลามะว่า

“ท่านไต้ซือ มิทราบว่าท่านจะใช้สิ่งใด? ในการขับไล่สัตว์ร้ายแมลงพิษเหล่านี้ได้หมดสิ้น”

ต๊กม้อเต็กลามะ ส่งเสียงหัวร่อกล่าวตอบว่า

“อาตมาแม้เป็นลามะ แต่มิได้พร่ำสวดท่องคำสอนเพียงถ่ายเดียว หากวิจารณ์ในด้านพลังฝีมือ ถือว่ายังมิด้อยไปกว่าประสกทั้งสองนัก เพียงแต่กับประสกเส้าฮ่วยฮวย อาตมายังมิกล้ามั่นใจเท่าใดนัก อาจจะสูสีก้ำกึ่ง จึงยากต่อการชี้ชัดอยู่บ้าง แต่สำหรับสัตว์ร้ายแมลงพิษเหล่านี้ อาตมามิจำเป็นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ใช้กำลังสักเท่าใด?”

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย แสดงสีหน้าสงสัย หากมิใช้กำลังจัดการกับสัตว์แมลงพิษเหล่านี้ ต๊กม้อเต็กลามะรูปนี้ จะมีวิธีการใด? ในการขับไล่ให้พวกมันไปหมดสิ้น ดังนั้นนางจึงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า

“ท่านไต้ซือ หากท่านมิใช้กำลังจัดการพวกมัน ท่านจะใช้วิธีการใดขับไล่พวกมันไปหมดสิ้น? หากท่านมีความสามารถปานนั้น จงรีบแสดงฝีมือออกมา อย่าเพียงแต่กล่าววาจาอวดโอ่”

ต๊กม้อเต็กลามะ ล้วงเข้าไปในจีวร ฉวยขวดหยกออกมาใบหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า

“ในขวดหยกนี้ เรียกว่า “มหากำยานชมพูทวีป” มีสรรพคุณมากมาย ใช้ขับไล่สัตว์ร้ายแมลงพิษเหล่านี้ก็ได้ด้วย หากประสกทั้งสามยังมิเชื่อวาจาอาตมา เช่นนั้นอาตมาคงต้องแสดงให้แก่พวกท่านได้ประจักษ์แล้ว”

ต๊กม้อเต็กลามะ กล่าวจบนั่งลงในท่าขัดสมาธิ ประคองขวดหยกไว้ในใจกลางฝ่ามือทั้งสอง จากนั้นแผ่พุ่งพลังวัตรผ่านฝ่ามือทั้งสอง ลักษณะฝ่ามือตั้งฉากแนวนอน ประกบฝ่ามือเข้าหากันอยู่เบื้องหน้า แล้วพลิกฝ่ามือทั้งสองอยู่ในท่าประนมมือ ต่อจากนั้นผายมือหงายตั้งขวดหยกอยู่บนฝ่ามือซ้าย

ยามนั้น ต๊กม้อเต็กลามะ สะบัดฝ่ามือขวาคราหนึ่งเหนือปากขวดหยก จุกผ้าสีแดงชาดพุ่งออกจากปากขวดหยก ไอละอองคล้ายควันบาง ๆ ค่อย ๆ พวยพุ่งขึ้นจากในขวดหยก มือขวาของลามะต๊กม้อเต็ก กระแทกออกสิบกว่าฝ่ามือติดต่อกัน ส่งควันมหากำยานชมพูทวีป ออกไปในทุกทิศทาง

คนทั้งสามจึงประจักษ์ชัดแก่สายตา เป็นจริงดั่งวาจาของลามะรูปนี้ มันมิได้อวดโอ่ประโคมตนแต่อย่างเดียว สัตว์ร้ายแมลงพิษพากันเตลิดหลบหนีไปในพริบตา วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยพ่นลมออกจากปากคำหนึ่งอย่างโล่งใจ คล้ายดั่งเคลื่อนย้ายขุนเขาออกจากอก นางแสดงสีหน้ายินดีได้เพียงครู่เดียว ฉับพลันสีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง มองเห็นภาพเบื้องหน้าเลือนรางดั่งภาพฝัน ส่งเสียงแผ่วเบาราวกระซิบกล่าวว่า

“ต๊กม้อเต็กไต้ซือ หลี่ปู้เหว่ย หว่าเกาเฉิง พวกท่าน...?”

ต๊กม้อเต็กลามะ ปิดขวดหยกด้วยจุกผ้าสีแดงชาด เก็บขวดหยกไว้ในจีวรที่เดิม หลังจากนั้นก้าวเท้าลุกขึ้น สายตาสำรวจมองวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ซึ่งนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่กับพื้นเที่ยวหนึ่ง สีหน้าแสดงความพึงพอใจ วาดภาพครุ่นคิดว่า

“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย อายุของท่านก็มิน้อยแล้ว กลับมิอยากเชื่อสายตาว่าท่านยังคงรักษารูปร่างได้ดีเพียงนี้ ทรวดทรงองเอวยังคงคอดกิ่ว สะโพกงอนผึ่งผายยั่วยวน หน้าอกหน้าใจชูชันท้าทาย ปทุมถันเต่งตึงมิหย่อนยาน ใบหน้าจมูกปากคิ้วคางยังคงงดงามสะสวย ผิวพรรณยิ่งขาวเนียนเรียบลื่น แต่ไฉนชายใดจึงยังมิได้เชยชมครอบครองท่าน?”

อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง พร้อมด้วยหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย มันทั้งสองคล้ายเห็นสายตากระสันรัญจวน อีกทั้งปฏิกิริยาเคลิบเคลิ้มปรารถนาราคะ ของต๊กม้อเต็กลามะรูปนี้ มันทั้งสองล้วนจ้องมองเรือนร่างนางอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ลามะรูปนี้ใช้สายตาจับจองเป็นเจ้าของเพียงนี้ มันทั้งสองจึงได้แต่ยืนกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกเท่านั้นเอง

หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย ส่งเสียงเอ่ยกล่าวดังว่า

“ต๊กม้อเต็กไต้ซือ ในเมื่อท่านต้องการครอบครองเรือนร่างนางเป็นคนแรก เราทั้งสองจึงได้แต่ขอแบ่งปันเศษอาหารจานนี้บ้าง หลังจากท่านรับประทานอิ่มหนำสำราญแล้ว”

จากนั้นอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“คิดว่าท่านไต้ซือคงใจกว้าง มิหวงก้างจิตใจคับแคบ กระทั่งไม่คิดแบ่งปันความสุขให้กับเหล่าสหาย”

ต๊กม้อเต็กลามะ กล่าวตอบว่า

“เอาไว้อาตมาสมใจในเรือนร่างของนางแล้ว พวกท่านจะสุขสมบ้างก็ไม่อาจหวงแหน เพียงแต่พี่ใหญ่ของนาง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พวกเรายังต้องใช้นางเป็นเครื่องมือ เพื่อล่อพี่ชายของนางมาติดกับ ดังนั้นพวกเราจะต้องทะนุถนอมเบามือ อย่าได้หยาบรุนแรงกับนางเกินไปนัก กระทั่งไม่อาจใช้งานเป็นเครื่องมือต่อรองได้”

ยามนั้น ก่อนที่คนทั้งสามจะได้สนทนาเรื่องราวใดต่อ ไกลออกไปไม่อาจคำนวณระยะทางได้ อีกทั้งไม่อาจจำแนกทิศทางได้อีกด้วย คนผู้หนึ่งถ่ายทอดคลื่นเสียงไกลพันลี้ ในเสียงถ่ายทอดแฝงพลังอันเร้นลับ บ่งบอกถึงพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำ ถือได้ว่าบรรลุขอบขั้นชนชั้นยอดฝีมือแล้ว

คลื่นเสียงไกลพันลี้ ที่ถ่ายทอดด้วยลมปราณอันสูงสุด คล้ายดั่งห้วงมหรรณพยามสายลมสงบนิ่ง แต่ทว่าแฝงพลังก่อกวนดั่งคลื่นใต้น้ำอันเชี่ยวกราก คลื่นเสียงที่ถ่ายทอดมาความว่า

“พวกท่านทั้งสามมัวเล่นลวดลายอันใดอยู่? รีบนำร่างนางบรรจุลงกระสอบผ้า แล้วรีบรุดเร่งเดินทาง หากพวกท่านก่อกวนเรื่องราวใด? ซึ่งไม่อยู่ในคำสั่งของเราแล้วละก็ พวกท่านทั้งสามเตรียมตัวไปพบพานยมบาลแน่นอน เรากล่าวเตือนพวกท่านได้เพียงนี้”

เมื่อสิ้นเสียงของผู้ที่ถ่ายทอดคลื่นเสียงมา ต๊กม้อเต็กลามะ รีบส่งเสียงกล่าวกับอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง และหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยว่า

“พวกท่านทั้งสอง รีบประคองร่างนางขึ้นมา คลุมด้วยกระสอบผ้า เราจะเป็นผู้นำทาง ท่านทั้งสองคนช่วยกันแบกหามร่างนางติดตามเรามา ระมัดระวังให้มากอย่าได้หนักมือ เดี๋ยวบุปผาที่เบ่งบาน จะพานเหี่ยวเฉาร่วงโรยไป ก่อนที่พวกเราจะได้ดอมดม”

หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยเจ้าสำนักฝ่ามือโลหิต รีบนั่งลงประคองร่างของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ให้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง จากนั้นเจ้าสำนักอินทรีขาวอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง นำกระสอบผ้าที่เตรียมติดตัวมาคลุมร่างนางจากทางศีรษะ แล้วประคองร่างนางเอนนอนลงกับพื้นอีกครั้ง ช่วยกันรั้งดึงปากกระสอบผ้ามาทางด้านปลายเท้า ใช้เชือกเอ็นวัวผูกมัดปากกระสอบผ้าแน่นหนา มันทั้งสองประคองแบกหามร่างนางในกระสอบผ้า เร่งฝีเท้าออกเดินทางจากป่าไป

            เนินตะวันตก ดอยตะวัน

            ยังมิทันอรุณรุ่งฟ้าสาง ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว นางเดินทางมาถึงแล้ว ดอยตะวันแตกต่างจากกาลก่อน บัดนี้มีเรือนชานโอ่อ่าปลูกสร้างอยู่หลายหลัง แต่ละหลังพำนักได้หลายสิบคน เรือนชานอันโดดเด่นหลังหนึ่ง ประดับโคมไฟสว่างไสวเรืองรอง ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ยังมิทันเหยียบย่างขึ้นบนพื้นเรือนชาน เสียงหนึ่งเอ่ยกล่าวดังออกมาก่อนว่า

“เดินทางกลับมาถึงแล้วรึผีเสื้อโลหิต?”

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว รีบชะงักฝีเท้า เอ่ยกล่าวโต้ตอบกลับไปว่า

“ท่านผีเสื้อหยกดำ ข้าพเจ้าผีเสื้อโลหิตกลับมาถึงแล้ว งานที่ท่านสั่งยังมิทันลุล่วงทั้งหมด เนื่องด้วยมีผู้เฒ่าอมโรคท่าทางอิดโรยใกล้ตายผู้หนึ่ง อีกทั้งยังมีเด็กทารกผู้ชายคล้ายท่าทางกะล่อนอีกผู้หนึ่งด้วย คนทั้งสองที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง พวกมันทั้งสองเป็นปู่หลานกัน พลังฝีมือพิสดารมิเคยพบพานมาก่อน พวกมันขัดขวางงานของข้าพเจ้า”

ยามนั้นภายในเรือนชาน น้ำเสียงผู้ที่กล่าวอยู่ด้านใน กล่าววาจาราบเรียบดังออกมาว่า

“ดังนั้น ผีเสื้อโลหิต เจ้าจึงได้รับบาดเจ็บ บาดแผลที่ข้อมือของเจ้า กับที่หัวไหล่สาหัสรุนแรงหรือไม่?”

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว สั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง ยกมือซ้ายที่มีบาดแผลเล็กน้อยเกาะกุมหัวไหล่ขวาของตนเอง พลันครุ่นคิดขึ้นว่า

“ผีเสื้อหยกดำ มิกล่าวถามคาดคั้นถึงงานที่ผิดพลาด อีกทั้งยังทราบว่าเราได้รับบาดเจ็บไม่รุนแรงนัก หรือว่าผีเสื้อหยกดำมีญาณทิพย์กันแน่? หากมิเช่นนั้นแล้ว ไฉนนางจึงทราบได้?”

ขณะที่ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวครุ่นคิด นางยังมิทันตอบคำถาม ภายในเรือนชานมีเสียงกล่าวดังออกมาอีกว่า

“ผีเสื้อโลหิต เจ้าคิดจะวิจารณ์พฤติการณ์ของเราเช่นนั้นรึ? เรามิได้มีญาณทิพย์ดั่งที่เจ้ากำลังครุ่นคิด เพียงแต่เราใช้เคล็ดวิชาสุริยันสะกดจันทรา ในคัมภีร์สุริยันจันทรา ถ่ายทอดผ่านปราณพลังบังคับจิตติดตามพวกมันสามคนไป ดังนั้นจึงทราบเหตุการณ์ตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บหลบหนี เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ยังต้องเป็นหน้าที่เจ้าบอกกล่าวรายงานต่อเรา”

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ขยับริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมศีรษะจะกล่าววาจาตอบ ภายในเรือนชานส่งเสียงสอดแทรกผ่านบานประตูออกมาก่อนว่า

“ผีเสื้อโลหิต เจ้ายังมิต้องกล่าววาจาตอนนี้ รีบเข้าไปล้างทำความสะอาดบาดแผลก่อน แล้วนอนหลับพักผ่อนสักตื่นหนึ่ง เอาไว้ตอนสาย ๆ เราค่อยเรียกเจ้ามาบอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียด”

ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ประสานมือขึ้นคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวโต้ตอบว่า

“ข้าพเจ้าทราบแล้ว เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัว”

กล่าวจบผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว หมุนกายก้าวเท้ากลับออกมา เดินอีกร้อยกว่าวาเลี้ยวซ้ายทางตะวันออก มีโรงเรือนเตี้ย ๆ หลังหนึ่ง ภายในโรงเรือนมีห้องพักห้าห้อง เอี้ยวเซียวก้าวเท้าเข้าไปในห้องซึ่งหนึ่ง อยู่สุดทางห้องสุดท้ายซ้ายมือ

ขณะที่ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ปิดงับบานประตูห้องหับลง เบื้องนอกปรากฏเงาร่างสามสายสาดทะยานมา สองร่างทางด้านหลังคล้ายแบกหามกระสอบผ้ามาใบหนึ่ง ร่างที่อยู่ทางด้านหน้าผลักประตูอ้าออก สองคนทางด้านหลังแบกหามกระสอบผ้าก้าวเท้าเข้าไป ผู้ที่ผลักประตูให้ในตอนแรก ก้าวเท้าเข้าไปเป็นคนสุดท้าย แล้วปิดบานประตูลง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป