ตอนที่ 173
ผีเสื้อหยกดำ
สายลมยามค่ำคืนพัดโชยแช่มช้า ท้องนภายังคงมืดมิด บรรยากาศยามนี้คล้ายดั่งเมฆหมอกปกคลุม รังสีอำมหิตยังคงแผ่กระจายไม่สลายคลาย ในสายลมพัดเสียงครืนดังขึ้นเมื่อผีเสื้อหยกดำโยนซากศพของขันทีเฒ่าเล่าอีจากอุ้งมือราวกระสอบนุ่นมิปาน
ผีเสื้อหยกดำส่งเสียงหัวเราะหึ ๆ ในลำคอเบา ๆ จากนั้นแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมกับยกชูสองมือขึ้นก่อเกิดเป็นคลื่นประหลาดสาดกระจายออกรอบทิศทาง ในขณะที่ขอทานเฒ่ากำลังถ่ายทอดเคล็ดวิชาไม้หวดสุนัขเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมิได้ยินเสียงประหลาดนั่น
เคล็ดวิชาไม้หวดสุนัขแบ่งออกเป็นสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแปรเปลี่ยนไม่สิ้นสุด กระบวนท่าสุดท้ายที่ขอทานเฒ่าถ่ายทอดจบลงเรียกว่า “แผ่นดินไร้สุนัข” ถือเป็นเคล็ดความสำคัญของวิชาชุดนี้ โดยสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดทาง ส่วนเคล็ดลับมีด้วยกันทั้งสิ้นแปดประการนั้นคือ เกาะเกี่ยว ฟาดฟัน พัวพัน ทิ่มแทง ตวัดเขี่ย ชักนำ ปิดป้อง หมุนวน
เสียงคลื่นลมจากไม้เท้าที่จ่านจือใช้ออกกระทบโสตผีเสื้อหยกดำ นางรีบพุ่งร่างปราด ๆ ไปตามทิศทางของเสียงนั้น สำหรับขอทานพเนจรหวงเกาฉือคล้ายรับทราบถึงการมาของนางแล้วเช่นกัน ดังนั้นหันมากล่าวกับจ่านจือว่า
“เซียวจือ จดจำเคล็ดลับความเปลี่ยนแปรให้ดี ค่ำคืนนี้เจ้าไม่อาจรั้งอยู่สถานที่นี้เนิ่นนาน ได้พบกันนับว่าเป็นวาสนา ช้าเร็ววันนี้ก็ต้องมาถึงเจ้ารีบออกเดินทางเสียแต่ตอนนี้ ยุทธภพต่อจากนี้มีแต่มรสุมคลุมไปด้วยความชั่วร้ายทำลายขวัญผู้คน เจ้าคือความหวังของเรา ดังนั้นรีบเดินทางแล้วอย่าได้หวนกลับมายังสถานที่นี้อีกเป็นเด็ดขาด”
จ่านจือรู้สึกแปลกประหลาดใจส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ไฉนอาวุโสจึงให้ข้าพเจ้ารีบร้อนออกเดินทาง อาวุโสเล่าอีท่านคล้ายยังรอคอยข้าพเจ้าอยู่ทางฟากโน้น เพื่อถ่ายทอดเคล็ดวิชากรงเล็บอเวจี หากข้าพเจ้ารีบร้อนจากไปเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”
ขอทานเฒ่ามีท่าทีร้อนรน ส่งเสียงกำชับดังว่า
“เจ้าไม่มีเวลาซักถามมากความ รีบเดินทางทันที ขันทีเฒ่ามันไม่อาจถ่ายทอดเคล็ดกรงเล็บอเวจีให้แก่เจ้าแล้ว ที่สำคัญวิชานี้ชั่วร้ายไม่ได้รับการถ่ายทอดถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว อย่าได้สงสัยใคร่รู้ให้มากรีบเดินทางจากไปเดี๋ยวนี้”
จ่านจือเห็นท่าทีจริงจังรวมถึงปฏิกิริยาร้อนรนของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แม้มีความสงสัยแต่มิกล้าเอ่ยปากกล่าวถาม รีบทะยานร่างจากมาชั่วพริบตาพุ่งร่างปราด ๆ มาไกลหลายสิบลี้แล้ว
ทางด้านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เมื่อคล้อยหลังจ่านจือได้ไม่นาน ผีเสื้อหยกดำพลันพุ่งร่างมาถึง เมื่อทิ้งร่างลงอย่างแช่มช้าแผ่วเบา สอดส่ายสายตาไปมาเที่ยวหนึ่งสำรวจบริเวณนั้น แล้วส่งเสียงกล่าวกับขอทานเฒ่าว่า
“มันไปแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านอยู่กับผู้ใด? ไฉนท่านจึงรีบร้อนให้มันจากไปรวดเร็วปานนี้ หรือทราบว่าข้าพเจ้ากำลังเร่งรุดมาเอาชีวิตของมันด้วย”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือทอดถอนใจยาวนาน จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า
“เราขอทานเฒ่าผาดโผนยุทธภพมาชั่วชีวิต กลับคาดคิดมิถึงเลยว่าเรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแทบทั้งสิ้นเป็นน้ำมือของท่าน แม้นว่าบุคคลลึกลับที่เคลื่อนไหวอยู่ในยุทธจักรมีอยู่ไม่น้อย แต่กลับอยู่เหนือความคาดหมาย ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะเป็นท่าน แต่กระนั้นเศษกระเบื้องมิอาจกลับกลายเป็นหยก ผู้ที่อยู่เบื้องหลังอันแท้จริงเป็นท่านมิแปลกปลอม ไฉนผีเสื้อหยกดำจึงเพิ่งปรากฏกายในเวลานี้?”
ผีเสื้อหยกดำระเบิดเสียงหัวร่อดังยาวนาน จากนั้นเค้นเสียงเย็นชาเอ่ยกล่าวว่า
“ขอทานเฒ่า สมแล้วที่ท่านมีฉายามังกรล่องเมฆา ข้าพเจ้าคล้ายกับทราบว่าท่านรู้เรื่องราวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ท่านเองเมื่อทราบว่าในยุทธภพมีผีเสื้อหยกดำ ไฉนท่านจึงมิออกมาเปิดโปงให้รวดเร็วกว่านี้เล่า? ทำไมต้องรอให้ถึงค่ำคืนนี้จึงยอมรอคอยพบหน้าข้าพเจ้า หรือว่าท่านยังมิมั่นใจว่าแท้จริงแล้ว โฉมหน้าของผีเสื้อหยกดำเป็นผู้ใดกันแน่?”
ขอทานเฒ่ากล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง เราคล้ายไม่ต้องการมั่นใจว่าภายใต้ผีเสื้อหยกดำของท่าน แท้จริงแล้วจะเป็นท่านจริง ๆ ภาวนาให้แปลกปลอมกลับกลายเป็นผู้อื่นไป บัดนี้เราคิดว่าจะเปิดโปงท่านคงมิมีโอกาสแล้วถูกต้องหรือไม่? ขันทีเฒ่าเล่าอีคงถูกท่านสังหารปิดปากไปแล้วกระมัง? คนต่อไปที่ท่านต้องการปิดปากคือเรา ดังนั้นเราจึงรอคอยท่านไม่หลบหนีไปที่ใด? อาศัยเทวยุทธ์ผีเสื้อกับกรงเล็บอเวจี ไม่แน่นักว่าท่านจะจัดการกับเราขอทานเฒ่าได้โดยง่ายดาย”
ผีเสื้อหยกดำระเบิดเสียงหัวร่อออกมา จากนั้นส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“เรื่องราวเหล่านี้ข้าพเจ้าย่อมทราบดีอยู่แก่ใจ ฝ่ามือมังกรล่องเมฆามีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไปทั่วทั้งยุทธภพ เพลงไม้หวดสุนัขร้ายกาจอาละวาดปราบเหล่าสุนัขชั่วช้ามาทั่วภพจบแดน นอกเหนือจากนั้นมีผู้ใดบ้างที่มิทราบ สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของท่านกลับเป็นกำลังภายใน พลังวัตรที่ผ่านการฝึกปรือของขอทานเฒ่าสูงส่งปานใด? การที่จะเอาชัยเหนือท่านใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายดายปานฟันหยวก แต่นั่นเป็นปัญหาของผู้อื่นมิใช่สำหรับข้าพเจ้าไม่? คัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ข้าพเจ้าศึกษามากระทั่งฝึกฝนได้หมดสิ้น เช่นนั้นวิชาดาวดึงส์ในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ข้าพเจ้าคิดว่าจะนำออกมาจัดการกับท่าน จากนั้นป้ายความผิดทั้งหมดให้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ เช่นนี้ท่านว่าดีหรือไม่?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงกล่าวว่า
“ความจริงแล้วเรากับท่านมิเคยมีเรื่องราวบาดหมางกันมาก่อน แต่เราทราบว่าท่านต้องการฆ่าคนปิดปาก เนื่องด้วยทราบว่าเรารู้เรื่องราวของท่านมากเกินไป เราเองคล้ายยังพอจดจำได้ถึงคำพูดประโยคหนึ่งของซือแป๋ท่าน ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า “เพียงเพราะคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา อย่าว่าแต่คนนอกเลยที่ต้องการได้ครอบครอง แม้แต่ศิษย์ทั้งห้าของตนก็ไม่อาจละเว้น เมื่อปลงมิตกแก้ไขเรื่องราวมิได้ สุดท้ายได้แต่ปลิดชีวิตตนเองทำลายคัมภีร์ยุทธ์ไปพร้อมกัน”ร้อยคนพันเรื่องราว คนหรือจะสู้ชะตาฟ้าลิขิต ในที่สุดวังวนของคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรายังคงเวียนวนมิจบสิ้น”
ผีเสื้อหยกดำเค้นเสียงเย็นชา ประกายสายตาเย็นเยียบสาดประกายอำมหิตเคียดแค้นชิงชัง ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“หากในเวลานั้นซือแป๋ยินยอมเชื่อถือวาจาข้าพเจ้า มาตรว่าไม่เชื่อถือข้าพเจ้าเสียเจ็ดส่วน ควรจะไว้หน้าข้าพเจ้าสักสามส่วน แต่นี่กระไรซือแป๋มิฟังคำทัดทานข้าพเจ้าแม้แต่ประโยคเดียว ขอทานเฒ่าท่านทราบหรือไม่? ข้าพเจ้าเสื่อมเสียหน้าอับอายบรรดาชาวยุทธ์ปานใด? ตลอดเวลาข้าพเจ้าต้องทนถูกชาวยุทธ์เหล่านั้นหยามหยันวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า จากเดือนกลายเป็นปี เป็นท่านจะทนกับความอัปยศเช่นนี้ได้หรือ?”
ผีเสื้อหยกดำเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นกระแทกฝ่ามือข้างหนึ่งใส่รูปปั้นมังกรที่อยู่ไม่ไกลนักแตกกระจายกลายเป็นฝุ่นผงคลีคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ จากนั้นเค้นเสียงโกรธแค้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ยังมีหลายเรื่องราวที่ท่านยังมิทราบ ลวี้เหวินอี้กับเพ่ยอิง คนทั้งสองแท้จริงมิได้มีความแค้นบาดหมางใดกับข้าพเจ้า แต่บิดาก่อเรื่องราวความแค้นแน่นอก บุตรหลานจะมาแบ่งรับเอาไปบ้างจะเป็นเช่นไรได้ ฝ่ามือพญายมมิใช่มีเพียงแต่ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองที่ฝึกฝนสำเร็จ ความจริงแล้วข้าพเจ้าฝึกฝนสำเร็จก่อนหน้าศิษย์พี่ทั้งสองเสียอีก ดังนั้นจึงแสร้งทำเคล็ดวิชาดังกล่าวให้ศิษย์พี่ทั้งสองได้มีโอกาสฝึกฝน ชะตาฟ้ากำหนดหรือจะเทียบเท่าแผนการคน ท่านทราบเช่นนี้แล้วพอจะคาดเดาได้แล้วหรือไม่? ว่าความแค้นของข้าพเจ้ามันมากมายปานใด?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือทอดถอนใจออกมา ส่งเสียงกล่าวกับผีเสื้อหยกดำว่า
“หากเป็นเราแล้วไซร้ จะนำเอาความแค้นทั้งหลายที่มี หักลบกลบทิ้งด้วยบุญคุณของซือแป๋ที่อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดวรยุทธ์รวมทั้งศาสตร์พยากรณ์ ซือแป๋ของท่านอาจจะมีเรื่องราวมิถูกต้องอยู่บ้าง ร้อยบิดรพันมารดาเมื่อมาอยู่รวมกัน การที่มีเรื่องราวบาดหมางมิลงรอยกันย่อมยากหลีกหนีพ้น ท่านก็มิน่าจะมีจิตใจคับแคบปานนั้น”
ผีเสื้อหยกดำระเบิดเสียงหัวร่อ ผลักสองฝ่ามือออกก่อเกิดเป็นคลื่นพลังวังวน แล้วกระแทกใส่โรงเตี๊ยมกระทั่งเกิดเป็นเสียงปานอสนีบาตฟาดทำลาย โรงเตี๊ยมทั้งหลังพังครืนลงมากลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในพริบตา เค้นเสียงเกรี้ยวกราดดังว่า
“จิตใจคับแคบกระนั้นรึ? เป็นซือแป๋ต่างหากเล่า? ที่มีจิตใจคับแคบปานนั้น ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องห้าประพฤติผิดศีลธรรม แม้ว่าลวี้เหวินอี้จะออกหน้ารักษาชื่อเสียงให้แก่ศิษย์น้องห้าและสำนัก แต่ซือแป๋ท่านยังมิลงโทษศิษย์ทั้งสองแม้แต่น้อย เรื่องราวเหล่านี้อาจปกปิดคนนอกข้าพเจ้ามิติดใจ แต่ไฉนเรื่องราวภายในสำนักตำหนักหมื่นเทพ ซือแป๋กลับมิจัดการ แต่เมื่อเรื่องราวของข้าพเจ้า ซือแป๋กลับมิไว้หน้ามิให้อภัย ลงโทษรุนแรงปานนั้น ถึงกับอเปหิตัดสิ้นสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ ตัดขาดมิให้เหยียบย่างสำนักแม้แต่ก้าวเดียว ซือแป๋กระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้าถือว่ายุติธรรมแล้วกระนั้นรึ?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือระบายลมออกมาจากปาก จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับผีเสื้อหยกดำว่า
“เทพธิดาชินแสชิ้วโส่ว เราทราบว่าท่านเป็นผู้รอบรู้ เดิมท่านเป็นคนจิตใจโอบอ้อมอารี มีไหวพริบปฏิภาณเฉลียวฉลาด ท่านกลับมีเหนือกว่าผู้อื่นประการหนึ่ง ท่านสามารถทำนายทายทักเรื่องราวต่าง ๆ ได้โดยมิเคยผิดพลาดมาก่อน แต่บัดนี้เราคล้ายเข้าใจผิด แท้จริงท่านนั้นเป็นตัวโง่งม ผงเข้าตาเพียงเล็กน้อยแต่ท่านกลับมิเขี่ยออก กลับเก็บเอาไว้ให้ระคายเคืองอยู่สืบไป สุดท้ายสายตาท่านคงมืดบอดหมดสิ้นไม่อาจรักษา”
ผีเสื้อหยกดำสะบัดฝ่ามือวูบหนึ่ง ดึงดูดกระถางธูปขนาดเท่าสองคนโอบพุ่งออกมาจากซากปรักหักพัง จากนั้นผลักฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกระแทกกระถางธูปแตกละเอียดกระจายเป็นผุยผง ตะคอกเสียงกราดเกรี้ยวตวาดว่า
“ขอทานเฒ่า ข้าพเจ้ามิมีเวลาให้กับท่านเนิ่นนานเกินไปนัก ท่านจะกล่าววาจาใดจงรีบกล่าวออกมาอย่าได้เสียเวลาอ้อมค้อม หากมิเช่นนั้นแล้วร่างสังขารท่านจะเป็นเช่นกระถางธูปนั่น”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าเบิกบานใจ ปลอดโปร่งใจยิ่ง ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“ใบไม้ที่บังตา มีตาแต่ไม่เห็นภูเขาไท่ มีอยู่สองเรื่องที่ท่านอาจจะยังมิทราบ แต่เราขอทานเฒ่าทราบ แม้นจะไม่ได้ยินมาจากปากของซือแป๋ท่าน แต่เรื่องราวที่เรากำลังจะเอ่ยต่อท่าน เราได้ยินมาจากปากของไต้ซือเกี้ยบฉิก วาจาที่กล่าวจากปากท่านไต้ซือ เชื่อว่าท่านคงมิกล้าปฏิเสธว่าแปลกปลอม หนึ่งนั้นดรรชนีเทวะซือแป๋ถ่ายทอดให้แก่ท่านเพียงผู้เดียว ไต้ซือเกี้ยบฉิกกล่าวว่า ดรรชนีเทวะถือเป็นวิชาข่มของทุกวิชาในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา มิทราบว่าท่านเคยคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้บ้างหรือไม่?”
ผีเสื้อหยกดำแสดงสายตาประหลาดวูบหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงเค้นถามว่า
“ขอทานเฒ่าท่านกล่าววาจาต่อไป เฒ่าชรากระดูกห่อหุ้มด้วยคราบสนิมรอวันผุกร่อนเช่นท่าน คงมิคิดปั้นน้ำเติมแต่งวาจามากล่อมข้าพเจ้าดอกนะ? ข้าพเจ้าจะให้เวลาท่านมีลมหายใจอีกสักครู่หนึ่ง ท่านเองมิต้องถือเป็นบุญคุณหรือปลาบปลื้มไปดอก ถึงเช่นไรข้าพเจ้ายังต้องเอาชีวิตท่านอยู่ดี”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือยังคงมีสีหน้าปลอดโปร่งไร้เรื่องราว ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“ปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนแม้จะทิ้งสังขารใต้ผาเทพนิรันดร์ไปเนิ่นนานแล้ว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่ปรากฏ นั่นคือกระบี่คู่วิเศษ หนึ่งกระบี่สุริยัน หนึ่งกระบี่จันทรา ซือแป๋ท่านมอบดรรชนีเทวะให้แก่ท่านเพียงผู้เดียว ท่านเองเป็นผู้ถ่ายทอดศาสตร์พยากรณ์ให้แก่ท่าน ดังนั้นท่านเองย่อมจะทราบว่าท่านมีคุณสมบัติ ที่จะสืบหากระบี่คู่วิเศษ พบกระบี่คู่วิเศษถือว่าพบเจ้าสำนัก กุญแจนี้คือเครื่องมือที่จะนำท่านกลับสำนักตำหนักหมื่นเทพโดยหมดจดสดใส เช่นนี้เราจึงได้แต่กล่าวใบไม้ที่บังตาท่านไปจริง ๆ”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเว้นจังหวะเพียงเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อว่า
“ดังนั้นเราขอทานเฒ่าจึงได้แต่ภาวนา ขอให้ในเวลานั้นที่ปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนทำนายทายทักคุณสมบัติท่าน กับเวลานี้ที่ท่านหลงเดินทางผิดไป เราเพียงมีความหวังริบหรี่ขอให้ซือแป๋ท่านทำนายทายทักผิดพลาดไป ผีเสื้อหยกดำท่านเองอย่าเพิ่งลำพองว่าคำทำนายทายทักของท่านจะมิผิดพลาดเช่นกัน เราขอทานเฒ่าชราปูนนี้แล้ว มิมีสิ่งใดที่ติดค้าง ดังนั้นเราขอทานเฒ่าจะมิให้ท่านได้สมหวังกับสิ่งที่วางแผนการไว้เด็ดขาด”
กล่าวจบขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เร่งเร้าลมปราณขึ้นทั่วร่าง ทะลวงจุดชีพจรของตนเอง กระทั่งร่างระเบิดออกไม่เหลือเศษชิ้นส่วน เหลือไว้แต่เพียงไม้เท้าเก้าปล้องสีเขียวราวหยกด้ามหนึ่งเท่านั้นเอง
ผีเสื้อหยกดำตวาดก่นด่าด้วยเสียงเกรี้ยวกราดปานโกรธแค้นมาแสนนาน พร้อมกับซัดฟาดฝ่ามือออกติดต่อกันสิบกว่าฝ่ามือ เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นพลังไร้สภาพแตกทะลักออกรอบทิศทาง ต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณนั้นหักโค่นล้มครืนลง แม้กระทั่งพื้นดินโดยรอยยังกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่หลายสิบหลุมด้วยกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งผีเสื้อหยกดำระบายลมออกมาจากปาก ค่อยมีสติแจ่มใสส่งเสียงร้องดังว่า
“ผีเสื้อโลหิต เจ้ารีบออกมา มาถึงแล้วทำไมยังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ”
สิ้นเสียงร่างหนึ่งพุ่งร่างปราด ๆ ออกมา ด้วยชุดปกปิดมิดชิดเฉกเช่นเดียวกัน แตกต่างกันที่คนที่เพิ่งปรากฏตัวอยู่ในชุดสีแดงดั่งโลหิตเท่านั้นเอง ลักษณะการเคลื่อนไหวปราดเปรียว ผู้ที่อยู่ภายใต้อาภรณ์โลหิตผู้นี้เป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเอี้ยวเซียวนั่นเอง
เมื่อหยุดเท้าสอดส่ายสายตาสำรวจเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“เรียนอาวุโส เกิดเรื่องราวใดขึ้น ไฉนบริเวณนี้จึงมีสภาพเช่นนี้ แถมข้าพเจ้ายังได้กลิ่นคาวคละคลุ้งคล้ายกลิ่นคนตาย เป็นผู้ใดที่สังเวยวิญญาณให้แก่อาวุโส?”
ผีเสื้อหยกดำส่งเสียงกล่าวว่า
“ต่อไปอย่าได้เรียกเราว่าอาวุโสอีก เรียกเราเป็นผีเสื้อหยกดำ ส่วนเราจะเรียกเจ้าว่าผีเสื้อโลหิตมิเรียกเอี้ยวเซียวอีก การเคลื่อนไหวของเราทั้งสองต่อจากนี้ จะให้ผู้ใดทราบมิได้ ถูกต้องย่อมเป็นกลิ่นคาวโลหิต เศษชิ้นเนื้อของคนตาย เจ้าลองคาดเดาดูว่าสมควรเป็นผู้ใด?”
ผีเสื้อโลหิตสำรวจสายตาไปมาอีกเที่ยวหนึ่ง ก่อนจะมาสะดุดเข้ากับวัตถุหนึ่งสีเขียวดั่งหยก จึงก้าวเข้าไปแล้วฉวยขึ้นมาส่งเสียงกล่าวว่า
“ไม้เท้าเก้าปล้อง ไม้เท้าอยู่คนอยู่ เอ๊ะ มิถูกต้องแล้ว ไม้เท้าอยู่แต่เจ้าของมิอยู่แล้ว เช่นนั้นผู้ที่สังเวยวิญญาณให้กับท่าน ย่อมเป็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือแล้ว ถูกต้องหรือไม่?”
ผีเสื้อหยกดำ ส่งเสียงหัวร่อพึงพอใจ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ผีเสื้อโลหิต เจ้านับว่ามีหูตาปราดเปรียวอยู่บ้าง ถูกต้องของเจ้าไม้เท้าอยู่คนอยู่ เมื่อมีไม้เท้าเก้าปล้อง แผนการต่อไปเราจะต้องควบคุมบรรดาขอทานทั้งแผ่นดินไว้ในอุ้งมือ เรามีคนที่แอบส่งไปอยู่กับบรรดาขอทานผู้หนึ่ง ถือว่าเป็นผู้อาวุโสเป็นที่ยอมรับแก่บรรดาขอทาน มันผู้นี้คลุกคลีอยู่กับขอทานเฒ่ามานาน ย่อมทราบรายละเอียดต่าง ๆ ไม่น้อย อีกทั้งเคยเห็นขอทานเฒ่าใช้เพลงไม้เท้าหวดสุนัขมาบ้าง เราต้องใช้คนผู้นี้ดำเนินแผนการต่อไป”
ผีเสื้อโลหิตพยักหน้าเห็นด้วย ส่งเสียงกล่าวสนับสนุนดังว่า
“ผีเสื้อหยกดำ ข้าพเจ้าคิดเอาไว้ไม่เคยผิดพลาด ท่านจะต้องวางคนเอาไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน เช่นนั้นพวกเราจะนัดพบกับคนผู้นั้นได้เช่นไร?”
ผีเสื้อหยกดำส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เรื่องนั้นเจ้ามิต้องเป็นห่วง เจ้าเดินทางไปทิศตะวันตกสักครึ่งลี้ แล้วทำเครื่องหมายตามที่เราบอกแก่เจ้าเท่านั้นก็พอ จากนั้นเจ้าเดินทางไปรอคอยพบกับมันตามสถานที่นี้ก็แล้วกัน”
ผีเสื้อโลหิตพยักหน้าส่งเสียงรับทราบ จากนั้นคนทั้งสองทะยานร่างดั่งสายหมอกยามค่ำคืนเคลื่อนหายไปไม่เห็นเงาหลัง เหลือไว้เพียงซากความเสียหายที่เกิดขึ้นเอาไว้เบื้องหลัง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564