ตอนที่ 139
สำแดงวิชาอาจารย์
สุริยันสาดแสงแรงกล้า ลมประจิมพัดผ่านเป็นระลอก แต่กระนั้นยังไม่เข้มข้นไปกว่าประกายกระบี่
จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ กระจายกำลังออกเป็นสี่กลุ่ม สี่สำนักด้วยกัน ประกอบด้วย ผาแห่งสายลม อันมีเหมาต้า เฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไป่ชิง พรรคไผ่หลิว มีเหวินมู่ อวี้หว่อ และเทียนจิ้ง สำนักเมฆฟ้าพิรุณ หนานตี้กับกับกุ้ยโส่ว สุดท้ายเป็นหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ศิษย์สตรีซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน
ส่วนเก้าสำนัก แบ่งกำลังออกเป็นสี่กลุ่มเช่นกัน กลุ่มแรกมีสามคน ปึ้งคุ้น บ้อหลง เหนียงไช่ กลุ่มที่สองมีเพียงสองคน ประกอบด้วย ลิ้มไต้เพ้งกับจงหยวนหยู กลุ่มที่สามมีสองคนเช่นกัน หนานอี้หลางและซู่หยง กลุ่มสุดท้ายมีสองคน เหลียงไฉ่กับเล้งทงที
คำสั่งนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ประดุจดั่งประกาศิตจากฟากฟ้า ปึงคุ้นเจ้าสำนักสี่ปีศาจ ตวาดด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“เฉิงปู้กงกับเรา ในอดีตไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก ทราบข่าวอีกทีกลับกลายเป็นผี มันไม่มีลมหายใจแล้ว”
บ้อหลงกล่าวว่า “น่าเสียดายที่ไม่ได้ประมือกับมัน”
“พวกท่านทั้งสอง จะสนใจไปไยกัน แม้มิได้ประมือกับผู้เป็นอาจารย์ แต่วันนี้ศิษย์ของมันทั้งสามล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นเราสามคนร่วมมือกัน ส่งศิษย์ของมันไปปรนนิบัติรับใช้ ผู้เป็นอาจารย์ของพวกมันเถิด”
ผู้กล่าววาจาเป็นเหนียงไช่ เจ้าสำนักพิณสวรรค์นั้นเอง
เทียนจิ้ง บัดนี้รับตำแหน่งประมุขพรรคไผ่หลิว ส่งเสียงกล่าวกับศิษย์พี่ทั้งสองว่า
“ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกมันทั้งสามคน พากันกล่าววาจาหยามเกียรติท่านอาจารย์ แม้นท่านจะล่วงลับไปแล้ว พวกมันยังไม่คิดละเว้น เช่นนั้นเราทั้งสามซึ่งเป็นศิษย์ คงต้องช่วยกันอธิษฐานถึงดวงวิญญาณท่านอาจารย์ ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองปกป้องพวกเราด้วยเถิด”
เหวินมู่ศิษย์พี่ใหญ่รับคำแล้วกล่าวว่า
“ขอดวงวิญญาณท่านอาจารย์ ได้โปรดคุ้มครอง ขอท่านช่วยปกป้องพวกเราและเหล่าสหาย ให้ปลอดภัยไม่ปราชัยให้แก่เหล่ามารอธรรมด้วยเถิด”
อวี้หว่อศิษย์คนรองส่งเสียงกล่าวว่า
“ขอดวงวิญญาณท่านอาจารย์โปรดช่วยชี้แนะ ให้ศิษย์ทั้งสามประสานวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ ให้บรรลุขั้นอันสุดยอดด้วยเถิด”
กล่าวจบทั้งสามชักกระบี่ไผ่หลิวตระเตรียมพร้อม ไม้เท้าเก้าปล้องอาวุธคู่กายประมุขพรรค เทียนจิ้งประมุขพรรคไผ่หลิวคนปัจจุบัน ดัดแปลงไม้เท้าเก้าปล้องขึ้นมาใหม่ ให้สามารถซ่อนกระบี่หยกไผ่หลิวเอาไว้ภายใน ดังนั้นยามจำเป็นต้องใช้ จะให้เป็นไม้เท้าเก้าปล้อง หรือใช้ออกเป็นกระบี่หยกไผ่หลิว จึงสามารถใช้ออกได้ดั่งใจปรารถนา
ประกายกระบี่สีเขียวดั่งหยกสามสาย คล้ายหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง ในแข็งแฝงความไหวอ่อนในกระบวนท่า เพียงกะพริบตา ทั้งสามเสือกแทงกระบี่หยกไผ่หลิว ในคราวเดียวคนละสิบสามกระบี่ นับรวมได้สามสิบเก้ากระบี่
สิบสามกระบี่ของอวี้หว่อ จ่อเข้าตำแหน่งคอหอยของเหนียงไช่ เจ้าสำนักพิณสวรรค์ เหนียงไช่อดสยิวผิวกายมิได้ มิกล้าชะล่าใจในสิบสามกระบี่ของอวี้หว่อ กระบี่ในมือปัดป่ายรับไว้ได้ทั้งสิบสามกระบี่
สิบสามกระบี่ของเหวินมู่ จู่โจมเข้าใส่ในตำแหน่งลิ้นปี่ ของเจ้าสำนักสายลมบ้อหลง สิบสามกระบี่ของเหวินมู่ เกรี้ยวกราดดุร้ายถึงที่สุด บ้อหลงถึงกับก้าวถอยหลังไปถึงครึ่งก้าว วาดกระบี่ในมือจากซ้ายไปขวา จึงสามารถต้านรับสิบสามกระบี่เอาไว้ได้ แต่ภายในใจอดหวาดเสียวขึ้นมามิได้
สิบสามกระบี่ของเทียนจิ้ง พุ่งตรงเข้าตำแหน่งท้องน้อย ของปึงคุ้นเจ้าสำนักสี่ปีศาจ ปึงคุ้นเกรี้ยวกราดตวาดก้อง ร้องคำรามแล้วพลิ้วร่างขึ้นกลางอากาศ กวาดกระบี่รวดเดียวสิบสามกระบี่ คลี่คลายสิบสามกระบี่ของเทียนจิ้ง
สภาวะของเทียนจิ้งยังไม่สุดสิ้น พลันใช้ออกต่อเนื่องอีกยี่สิบหกกระบี่ ยี่สิบหกกระบี่คล้ายใช้ออกเพียงครั้งเดียว เสียงติงตังดังเกรียวกราว ราวอสนีบาตฟาดฟ้า
เมื่อเจ้าสำนักปึงคุ้นทิ้งเท้าลงสู่พื้น ค่อยคลี่คลายกระบี่สุดท้ายของเทียนจิ้งเอาไว้ได้ พร้อมกับส่งเสียงร้องชมเชยว่า
“เพลงกระบี่อันยอดเยี่ยม”
เทียนจิ้งร้องตอบไปว่า “วิชากระบี่หลิวชมจันทร์ เป็นท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งพรรคบัญญัติขึ้น ย่อมยอดเยี่ยมดั่งคำท่านกล่าวชม”
เทียนจิ้งวาดกระบี่ออกเป็นวงโค้ง แต่ทว่าเป็นวงโค้งซ้อนกันหลายชั้น กระบี่เดียวพลิกแพลงถึงสิบเจ็ดกระบี่ แล้วแย้มยิ้มส่งเสียงกล่าวต่อ
“ในอดีต กระบี่หยกไผ่หลิว ประสานใช้ออกด้วยวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ ล้วนฟันอันธพาล กรีดสังหารมารอธรรมนับครั้งมิถ้วน กล่าวไปแล้วกระบี่นี้เคยดื่มโลหิตคนชั่วมาทั่วยุทธภพ กระบี่ยิ่งได้ดิ่มเลือดคนต่ำช้า ยิ่งส่องประกายดั่งหยกดุจมรกต”
ทางด้านเหวินมู่ ร่ายรำกระบี่สี่สิบแปดกระบี่ในคราวเดียว ทุกกระบี่ล้วนแทงใส่ตำแหน่งสำคัญอันตราย ทุกจุดอันตรายบนร่างของบ้อหลง ล้วนถูกสี่สิบแปดกระนี้นี้ครอบคลุมไว้หมดสิ้น เหวินมู่กล่าววาจาต่อเจ้าสำนักบ้อหลงว่า
“กระบี่หยกไผ่หลิว มิได้ดื่มโลหิตมารชั่วเนิ่นนานแล้ว วิชากระบี่หลิวชมจันทร์ก็เช่นกัน นานมากแล้วที่มิได้สำแดงอานุภาพ”
บ้อหลงเจ้าสำนักสายลม คลี่คลายสิ่สิบแปดกระบี่ของเหวินมู่ ภายในใจอดยอมรับมิได้ว่า ตึงมือยิ่ง กระบี่ยิ่งมายิ่งรัดกุมแข็งแกร่ง แฝงความอ่อนหยุ่นพลิ้วไหวในตัว จากนั้นบ้อหลงส่งเสียงร้องว่า
“นับว่าเฉิงปู้กง สั่งสอนศิษย์ได้ไม่เลว เป็นเพลงกระบี่ที่ร้ายกาจพิสดาร เท่าที่เราเคยประสบพบมา”
“ท่านอาจารย์ย่อมอบรมศิษย์ได้ดียิ่ง วันนี้พรรคไผ่หลิว ขอสำแดงวิชาอาจารย์”
คำพูดนี้เป็นของอวี้หว่อ เมื่อกล่าวจบสามสิบหกกระบี่คำรามก้อง เสียงดั่งฟ้าร้องอุดหูไม่ทัน ตำแหน่งสำคัญบนร่างของเหนียงไช่ เจ้าสำนักมารสวรรค์ ล้วนถูกสกัดไว้จนหมดสิ้น
จวบจนบัดนี้ เหนียงไช่ค่อยทราบว่า อาภรณ์ที่ตนเองสวมใส่ ล้วนโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ยามหายใจเร่งร้อน มือลนลานปัดป่ายกระบี่ต้านทานไม่ง่ายดายนัก ปากส่งเสียงโพล่งว่า
“เป็นวิชากระบี่ที่ยากดูแคลนจริง ๆ ยิ่งมายิ่งพลิกแพลง เราเหนียงไช่ คงต้องประเมินฝีมือพวกเจ้าใหม่แล้วกระมัง?”
แม้กระทั่งนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อีกทั้งวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา ทั้งสองชมดูอยู่ด้านข้าง ต่างร้องอุทานดังอาออกมามิได้ วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปากล่าวว่า
“กระบวนท่าวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ อันตรายถึงเพียงนี้ เห็นทียังเหนือกว่าเฉิงปู้กง ผู้เป็นอาจารย์ของพวกมันอีก นางมารเยืยกเย็น ท่านเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ทอประกายสายตาดุร้าย ในน้ำเสียงเห็นด้วยกล่าวว่า
“เราเองกลับคาดคิดมิถึง ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ศิษย์ของมันจะมีฝีมือรุดหน้าถึงเพียงนี้”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือยืนดูอยู่ด้วยความชื่นชม สมกับคำที่ว่า คลื่นลูกหลัง ไล่คลื่นลูกหน้าจริง ๆ
ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิว สำแดงวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ ได้น่าประทับใจเป็นที่สุด ถึงกับทำให้สามเจ้าสำนัก ซึ่งมีระดับฝีมือมิธรรมดา ต้องสูญเสียกระบวนท่าอยู่หลายครั้ง
เพียงวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ยังร้ายกาจปานนี้ ยังมีวิชาไผ่หลิวกวาดพสุธา ซึ่งถ่ายทอดให้กับผู้เป็นประมุขพรรค แต่หลายคนยังไม่เห็นเทียนจิ้งประมุขพรรคคนใหม่ ใช้กระบวนท่าวิชานี้ออกมา คาดว่าคงร้ายกาจเหนือล้ำกว่าผู้ถ่ายทอดให้อย่างแน่นอน
อวี้หว่อ เหวินมู่ เทียนจิ้ง ยิ่งต่อสู้ยิ่งคึกคัก กระบี่กลับยิ่งเกรี้ยวกราด เสียงกระบี่แหวกฝ่าอากาศ คล้ายดั่งเสียงคำรามของพยัคฆ์ร้าย
เทียนจิ้งกรีดกระบี่เข้าใส่ปึงคุ้น รวดเดียวสิบเจ็ดกระบี่ ใช้กระบวนท่าที่สามนามไผ่หลิวล้อจันทรา ในวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ พลันเห็นจันทร์เพ็ญลอยเด่นเลือนราง ท่ามกลางจันทร์เพ็ญ กลับเห็นคล้ายเฉิงปู้กงผู้เป็นอาจารย์ ท่านมายืนส่งยิ้มให้อยู่กระนั้น
เทียนจิ้งส่งเสียงร้องยินดี “ท่านอาจารย์!”
ปากแม้ส่งเสียงร้อง กระบี่หยกไผ่หลิวในมือกลับมิได้ชะงักยั้งหยุด ยิ่งไปกว่านั้น ลมปราณในร่างโคจรราบเรียบต่อเนื่องอย่างไม่สะดุด ปรากฏการณ์เช่นนี้เทียนจิ้งไม่เคยรู้สึกมาก่อน สร้างความแปลกประหลาดใจให้แก่เทียนจิ้งถึงที่สุด
ความแปลกประหลาดใจของเทียนจิ้งยังไม่สิ้นสุด แต่ที่สุดสิ้นกลับเป็นกระบี่หยกไผ่หลิวในมือ เนื่องด้วยบัดนี้เทียนจิ้งมองไม่เห็นปลายกระบี่ในมือของตนเอง
แม้กระทั่งปึงคุ้นเจ้าสำนักสี่ปีศาจ มันเองมองไม่เห็นปลายกระบี่ในมือของเทียนจิ้งเช่นกัน
หากปึงคุ้นมีดวงตาที่สามงอกเงยอยู่ด้านหลัง มันจะเห็นว่าปลายกระบี่ของเทียนจิ้ง เพิ่งชำแรกแทรกทะลุผิวหนังมันออกมา ตำแหน่งที่ว่า คือใต้ไหล่ซ้ายห่างลงมาราวหนึ่งคืบ
ปึงคุ้นมันเองอดแปลกประหลาดใจมิได้เช่นกัน ไฉนสายตาทุกคู่ จึงจับจ้องมองมาหามันอย่างตื่นตระหนกตกใจปานนั้น
เมื่อมันก้มลงมองหน้าอกด้านซ้ายของตนเอง เห็นด้ามกระบี่สีเขียวดั่งหยกด้ามหนึ่ง ซึ่งด้ามกระบี่กำอยู่ด้วยมือขวาของเทียนจิ้ง ปึงคุ้นมันร้องด้วยความตกใจว่า
“กระบี่หยกไผ่หลิวของเจ้า!?”
เทียนจิ้งเองก็ร้องตกใจเช่นกัน
“กระบี่หยกไผ่หลิวของข้าพเจ้า!?”
จวบจนบัดนี้ เทียนจิ้งค่อยทราบว่า ปลายกระบี่ของตนเองแทงทะลุหน้าอก ตำแหน่งขั่วหัวใจของปึงคุ้นมิดเสมอด้าม ปลายกระบี่จึงไปโผล่ยังด้านหลังของปึงคุ้นนั้นเอง เทียนจิ้งกลับมีมารยาทยิ่ง กล่าวคำ
“อาวุโสปึง ข้าพเจ้าเทียนจิ้ง ขออนุญาตดึงกระบี่หยกไผ่หลิวของข้าพเจ้า ออกมาจากร่างท่าน”
ปึงคุ้นมันยังมิทันกล่าวตอบอนุญาต หรือกล่าวสำเนียงใดออกมาจากริมฝีปาก เทียนจิ้งกระชากกระบี่หยกไผ่หลิวออกมาโดยไร้เสียง กระบี่สีเขียวมรกตส่องประกายวาววับราวหยกเนื้อดี ไม่มีคราบโลหิตแปดเปื้อนบนตัวกระบี่แม้แต่หยาดหยดเดียว
แม้แต่ร่างของปึงคุ้น ยังไม่ปรากฏหยาดหยดโลหิตแปดเปื้อนเช่นกัน จวบจนร่างมันสั่นระริกหงายตึงล้มลงกับพื้น ค่อยปรากฏเส้นสายโลหิตฉีดพุ่งออกมาดั่งน้ำพุ แล้วติดตามด้วยฟูมฝอยละอองโลหิตละเอียด ฉีดพรมพร่างพราวไปในอากาศ ดั่งม่านโลหิตบาง ๆผืนหนึ่ง
ขอทานเฒ่าหวงเกาฉือกล่าวว่า
“เด็กน้อยอันประเสริฐ ช่างมีมารยาทนัก จะชักกระบี่ออกจากร่างมัน ยังมีน้ำใจกล่าวคำขอก่อน น่าเสียดายตอนที่เจ้าแทงใส่ร่างมัน เจ้ายังมิทันเอ่ยวาจากล่าวขอมันก่อน”
เทียนจิ้งกล่าวว่า “หากตอนนั้นข้าพเจ้าเอ่ยปากขอต่อมันก่อนเล่า?”
ขอทานเฒ่ากล่าวตอบว่า “มันคงมิกล้ากล่าวคำปฏิเสธต่อเจ้ากระมัง? มีคนอยู่จำพวกหนึ่ง มักจบชีวิตลงด้วยความโอหังลำพองของตนเอง”
เทียนจิ้งพุ่งร่างเข้าช่วยเหลือศิษย์พี่ทั้งสองของเขา ปากยังส่งเสียงกล่าวตอบโต้ว่า
“คนจำพวกที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวถึง ใช่หมายถึงอาวุโสบ้อกับอาวุโสเหนียงด้วยหรือไม่?”
ขอทานเฒ่าหัวร่อขบขัน กระทั่งเห็นฟันหน้าสองซี่ที่ยังไม่ได้ทอดทิ้งเหงือกท่านไป แล้วโต้ตอบว่า
“พวกมันทั้งสองล้วนใช่ ไม่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์เด็ดขาด ความโอหังลำพองของมันทั้งสอง สมควรต้องได้รับการสั่งสอน”
เหนียงไช่กับบ้อหลง เห็นภาพปึงคุ้นตายอนาถ อดสยิวกายออกมามิได้ ช่วงเวลาคับขัน พลันมาสูญเสียสมาธิ กระบี่ในมือจึงเชื่องช้าอ่อนลง แม้นว่าจะยกกระบี่ขึ้นปัดป้อง แต่ยังต้องส่งเสียงร้องโหยหวน เทียนจิ้งเมื่อพุ่งปราดมาถึง เสียงแควกดั่งฉีกแพร กระบี่หยกไผ่หลิว แยกร่างเจ้าสำนักพิณสวรรค์เหนียงไช่ ออกเป็นสองซีก
คราบหยาดโลหิตหยดสุดท้าย หยดลงจากคมกระบี่ กระบี่หยกไผ่หลิว กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ไม่ดื่มกินโลหิตอีกแล้ว เงากระบี่สีเขียวมรกต ส่งประกายวูบวาบ ประดุจผิวน้ำต้องแสงอุทัยในยามเช้า
ในขณะเดียวกัน ในเสียบขวับขวับ ดังสองครั้งครา ถึงกับสะบั้นหั่นร่าง ของบ้อหลงเจ้าสำนักสายลม ออกจากกันเป็นสามท่อน
ท่อนแรกเป็นกระบี่หยกไผ่หลิวของเหวินมู่ ฟันลำคอบ้อหลง กระทั่งศีรษะของมัน กระเด็นหลุดจากลำคอ ลอยไปไกลถึงห้าหกวา ในเวลาเดียวกัน กระบี่หยกไผ่หลิวของอวี้หว่อ ฟันส่วนกลางลำตัวบริเวณสะเอว แยกร่างบนล่างออกเป็นสองส่วน และเป็นเวลาเดียวกันกับศีรษะของบ้อหลง ตกกระแทกพื้น
เสียงตุบดังดั่งลูกขนุนตกลงสู่พื้น ลำคอบ้อหลงถึงกับตั้งอย่างสวยงามบนพื้นศิลา มันหันหน้ามาทางร่างสองท่อนของมัน ในดวงตาเบิกโพลง คล้ายกับมีคำถามต้องการคำตอบ คำตอบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น? กับลำตัวสองท่อนของมันนั้นเอง
พื้นศิลาสีอ่อนจาง ธารโลหิตเข้มข้นสายหนึ่ง
อีกฟากหนึ่งของพื้นศิลา ปราศจากสายธารโลหิตเข้มข้น แต่ทว่ากลับเข้มข้นและดุเดือดเผ็ดร้อน ศิษย์ทั้งสามของผาแห่งสายลม เหมาต้า เฟิ่นมู่เหอ และเฟิ่นไป่ชิง กำลังต่อสู้สูสีก้ำกึ่ง กับสองเจ้าสำนัก ลิ้มไต้เพ้งแห่งสำนักทะเลทราย จงหยวนหยูเจ้าสำนักทวนทอง
ถึงแม้นเจ้าสำนักทั้งสอง จะมีพลังฝีมือสูงเยี่ยม แต่ศิษย์ของผาแห่งสายลม ก็มิรวบรัดธรรมดา ทั้งสามคนได้รับการถ่ายทอดวิชาวายุกรีดนภา จากเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย มาตรว่าท่านจะล่วงลับไปแล้ว ด้วยน้ำมือของชุดดำปริศนา แต่วิชาของท่านยังคงอยู่
ภายหลังศิษย์ทั้งสาม กลับได้รับการชี้แนะ จากนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ดังนั้นพลังฝีมือของทั้งสามจึงรุดหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
นางชีเทวราชชิ้วโส่ว ยังได้ถ่ายทอดวิชาฝ่ามือลมบูรพา ซึ่งเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย เพิ่งคิดค้นขึ้นมาใหม่ให้กับเฟิ่นมู่เหอ พร้อมกับแต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าผาแห่งสายลมคนใหม่ นอกจากนั้นยังมอบฉายาให้กับเขาว่า ลมบูรพาเฟิ่นมู่เหอ อีกด้วย
ท่ามกลางเงากระบี่แน่นหนา ศิษย์ของผาแห่งสายลม ร่ายรำกระบี่แคล่วคล่อง สองเจ้าสำนัก ลิ้มไต้เพ้งกับจงหยวนหยู ประสานวิชากระบี่เข้าคลี่คลายไม่ง่ายดายนัก
เหมาต้าฟันกระบี่รวดเดียวเจ็ดกระบี่ เฟิ่นมู่เหอแทงออกเก้ากระบี่ เฟิ่นไป่ชิงกลับกรีดกระบี่ออกคราวเดียวสิบสามกระบี่ สภาวะกระบี่เกรี้ยวกราดดุดัน
ปราณกระบี่หล่อหลอมรวมเป็นหนึ่ง คล้ายดั่งคลื่นวายุแน่นหนาลูกหนึ่ง กระบวนท่าในวิชาวายุกรีดนภา ล้วนถูกนำออกมาใช้ ในเสียงคนร้องก้อง กระบี่คำรามดั่งพยัคฆ์ร้าย
ลิ้มไต้เพ้งกับจงหยวนหยู กู่ร้องก้องกังวาน รับกระบวนท่าในวิชาวายุกรีดนภา นามว่ามรสุมทะยานคลื่น กับกระบวนท่าสายลมเปลี่ยนทิศ ลิ้มไต้เพ้งเปล่งวาจากล่าวว่า
“เป็นกระบวนท่ากระบี่อันพิสดารนัก”
จงหยวนหยูกล่าวต่อว่า
“สมควรยกย่องชมเชย เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพ ท่านลวี้ยู่เฉียนคือปรมาจารย์แห่งยุคจริง ๆ วิชากระบี่นี้ยังคงเป็นท่านบัญญัติขึ้น”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เค้นเสียงกล่าวว่า
“เป็นปรมาจารย์แห่งยุคแล้วเป็นเช่นไร? ท่านกลับเอนเอียงรักศิษย์ไม่ทัดเทียมกัน วันนี้พวกท่านทั้งสอง จะต้องสยบวิชากระบี่วายุกรีดนภา เพื่อหยามชื่อปรมาจารย์แห่งยุค เด็กน้อยเพียงสามคนจะมีปัญญาใด? ใช้วิชากระบี่ที่ท่านผู้เฒ่าคิดค้นขึ้น ถึงแม้จะใช้เป็น แต่มิเห็นจะร้ายกาจอันใด? วายุล่องลอยเกาทิเหว่ย อาจารย์ของพวกมัน พลันตายไปเสียก่อน”
กล่าวถึงตอนนี้ วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา ส่งเสียงกล่าวสนับสนุนขึ้นว่า
“เมื่อผู้เป็นอาจารย์ลาโลกไป ทิ้งศิษย์ทั้งสามไว้คล้ายเด็กกำพร้า จะมีปัญญาใด? ฝึกปรือฝีมือพัฒนาวิชาให้รุดหน้าได้”
ได้ยินเช่นนั้น เหมาต้าร้องเพ่ยคำหนึ่ง เสียงถึงคนถึงกระบี่ถึง ใช้กระบี่ออกรวดเดียวสามสิบหกกระบี่ เป้าหมายเป็นจงหยวนหยูเจ้าสำนักทวนทอง ปากส่งเสียงร้องก้องว่า
“พวกท่านกล่าววาจา เหยียดหยามเราศิษย์สามคนได้ แต่อย่าได้กล่าววาจาหยามเกียรติท่านอาจารย์ และปรมาจารย์ผู้ล่วงลับเป็นเด็ดขาด”
เฟิ่นมู่เหอก็เช่นกัน ตวาดร้องก้อง ร่ายรำกระบี่รวดเดียวถึงเจ็ดสิบสองกระบี่ เงากระบี่กรีดกรายพรายพร่าง ดั่งบุปผาเบ่งบานท่ามกลางสายลมชิวเทียน
เสียงคมกระบี่ที่เกรี้ยวกราด ฝ่าอากาศดั่งข้าวตอกแตกถี่ยิบ เจ็ดสิบสองกระบี่คล้ายใช้ออกเพียงกระบี่เดียว
เจ้าสำนักทั้งสอง ถึงเช่นไรด้วยวัยซึ่งอาวุโสกว่า ดังนั้นพลังการฝึกปรือย่อมจะสูงชั้นกว่า ประสบการณ์การต่อสู้ยิ่งต้องโชกโชนเหนือกว่า
ดังนั้นสามสิบหกกระบี่ของเหมาต้า กับอีกเจ็ดสิบสองกระบี่ของเฟิ่นมู่เหอ ยังถูกสองเจ้าสำนักสลายคลี่คลายไปได้
ลิ้มไต้เพ้งส่งเสียงกล่าวว่า
“ถึงแม้เราส่วนหนึ่ง อดนิยมเลื่อมใส ในกระบวนท่าวิชาของพวกเจ้าทั้งสามมิได้ แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวของเราเท่านั้น”
จงหยวนหยู ส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“เรื่องส่วนตัวมิอาจนับรวมเรื่องส่วนรวม ในเมื่อท่านเหยาเยี๊ยะเหยียนมีคำสั่ง ดังนั้นเราสองคน จึงจำเป็นต้องกำจัดพวกเจ้าทั้งสาม”
ลิ้มไต้เพ้งเจ้าสำนักทะเลทราย เจ้าสำนักทวนทองจงหยวนหยู กู่ร้องก้องกังวาน กระบวนท่ากระบี่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต รังสีกระบี่เย็นเยียบ ผสานกับปราณพลังทะมึนขุมหนึ่ง ปกคลุมแผ่ซ่านไปในบริเวณกว้าง
สถานการณ์คับขันหวาดเสียว ในเสี้ยวเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ขอวิญญาณท่านอาจารย์โปรดคุ้มครอง ศิษย์ทั้งสามพร้อมทั้งเหล่าสหาย พวกเราศิษย์ทั้งสามขอให้ดวงวิญญาณท่าน โปรดช่วยให้พวกเราเหล่าศิษย์ทั้งสาม สำแดงวิชาอาจารย์ สังหารเหล่าคนชั่วช้าในพริบตานี้ด้วยเถิด”
กล่าวจบ เฟิ่นไป่ชิงถีบร่างถอยหลังห่างออกไปสองวา แล้วพลิกร่างกลางอากาศ ตีลังกากลับหลังครึ่งตลบ แล้วเหยียดตัวตรงขนานกับพื้น พร้อมกับหมุนร่างดั่งเกลียวรวดเร็วรอบหนึ่ง
ในมือซ้ายของนางยังคงกำกระบี่ มือขวากลับสะบัดออก พร้อมกับตวาดดังว่า
“เข็มโปรยบุปผาร่วง”
ยังมิทันจบคำ “เข็มโปรยบุปผาร่วง” ของเฟิ่นไป่ชิง จุดแต้มเล็กละเอียดสีขาวดั่งไหมเงินสองกลุ่มบรรลุถึง ลิ้มไต้เพ้งกับจงหยวนหยู เห็นเพียงประกายแหลมคมในคลองจักษุ แต่มิอาจรู้ได้ว่าเป็นสิ่งใด
ในโลกของแสงสว่าง มีความรู้สึกหฤหรรษ์ประการหนึ่ง แต่ในความมืดมิด ความรู้สึกเป็นเช่นใด? ประการนี้ไม่มีผู้ใด? ปรารถนาลิ้มลองรสชาติประการนี้
ลิ้มไต้เพ้งกับจงหยวนหยู ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน มันทั้งสองมิต้องการลิ้มลองรสชาติประการนี้
แต่ทว่าพวกมันทั้งสอง ยังคงต้องลิ้มลองรสชาติประการนี้ จุดแต้มสีขาวนวลดุจไหมเงิน มาตรแม้นจะเล็กละเอียดเกินไป ในดวงตาของมันทั้งสองคน ยังคงปราดเปรียวยิ่ง
และนี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย ในสายตาปราดเปรียวของมันทั้งสอง ที่จะได้เห็นแสงสว่างเป็นครั้งสุดท้าย
แสงสว่างสุดท้าย คือจุดแต้มสีไหมเงิน จากนี้พวกมันพลันไม่เห็นสิ่งใดในบัดดล พวกมันทั้งสองแม้นทราบว่า ได้เหยียบย่างเข้าสู่โลกแห่งความมืดมิด แต่ยังมิทันกระจ่างชัด ว่ารสชาติในโลกแห่งความมืดมิดเป็นเช่นใด
ระหว่างคิ้วของลิ้มไต้เพ้ง ปรากฏรูกระบี่ขึ้นรูหนึ่ง เฟิ่นมู่เหอเองเขาเพิ่งดึงกระบี่ออกมาจากรูกระบี่นี้
สำหรับจงหยวนหยู เหมาต้าเพิ่งชักกระบี่ออกมาจากคอหอยมันเช่นกัน พลันบังเกิดเป็นรูกระบี่เรียวแคบรูหนึ่ง พร้อมกับโลหิตลำหนึ่ง ฉีดพุ่งติดตามปลายกระบี่ของเหมาต้าออกมา
พื้นศิลาสีอ่อนจาง เพิ่มธารโลหิตเข้มข้นอีกสายหนึ่ง ซึ่งเกิดจากธารโลหิตสองสายไหลมารวมกัน
ไม่ไกลเท่าใดนัก ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว กำลังต่อสู้อยู่กับสองเจ้าสำนัก เหลียงไฉ่เจ้าสำนักหอกมรกต และเจ้าสำนักเหยี่ยวมังกรเล้งทงที
วิชากระบี่ดรุณีปราบมาร ประสานต่อเนื่องแน่นหนาราวร่างแหปากหนึ่ง ซื่อเหมี่ยนเปลี่ยนกระบวนท่าไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า กระบี่ใช้ออกร้อยกว่ากระบี่
ส่วนเอวี้ยอี้เซิน พลิกแพลงท่าร่างพลิ้วไหวดั่งหลิวล้อลม คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้าละลานตา ใช้ออกแล้วถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองกระบี่
นางทั้งสองสลับสับเปลี่ยน ทั้งรุกรับ วิชากระบี่ดรุณีปราบมาร ยิ่งใช้ออกยิ่งเปล่งอานุภาพ เคล็ดลับใจความสำคัญของเคล็ดวิชา ล้วนเป็นจ่านจือเป็นผู้ชี้แนะให้ ดังนั้นนางทั้งสองจึงใช้ออกอย่างคล่องแคล่ว
ครั้งนั้นก่อนสิ้นใจ เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ได้มอบบันทึกวิชาประจำสำนักทั้งหมดให้แก่จ่านจือ ขอร้องให้เขาเก็บรักษาไว้ พร้อมกันถ่ายทอดชี้แนะให้กับพี่สาวบุญธรรมทั้งสองของเขา
สองเจ้าสำนัก เหลียงไฉ่กับเล้งทงที แม้นมีฝีมือสูงเยี่ยม แต่เมื่อเห็นเจ้าสำนักทั้งห้า ถูกเหล่าจอมยุทธ์รุ่นหลัง เข่นฆ่าตายอนาถ อดที่จะเสียขวัญกระเจิดกระเจิงมิได้
ถึงแม้ว่าจะคลี่คลายสภาวะกระบี่เอาไว้ได้ แต่มิมีกะใจจะออกกระบวนท่าตอบโต้ ซื่อเหมี่ยนและเอวี้ยอี้เซิน ภาวนาในใจให้ท่านอาจารย์ ช่วยส่งเสริมให้วิชากระบี่มีอานุภาพเพิ่มพูน เพื่อให้นางทั้งสองซึ่งเป็นศิษย์ ได้สำแดงวิชาอาจารย์
คนพละกำลังมิได้อ่อนโทรม แต่กำลังขวัญกระเจิดกระเจิง มีวิชาท่าร่างยอดเยี่ยม แต่มิได้ใช้ออกก็ไร้ประโยชน์ ในเสียงกระบี่ดังขวับขวับสองครั้ง ฟันเส้นผมบนศีรษะของเล้งทงทีขาดไปแถบหนึ่ง กับมือซ้ายของเหลียงไฉ่ขาดเสมอข้อ เผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลน โผล่ออกมาจนน่ากลัว
เม็ดเหงื่อเย็นเยียบ ไหลผ่านหน้าผากทั้งสองของเจ้าสำนัก ไหลเข้าสู่ดวงตา ทั้งสองรีบกะพริบตาพร่ามัว เป็นเวลาเดียวกันกับปลายกระบี่สองเล่ม ทิ่มแทงเข้าสู่ลิ้นปี่ทะลุออกด้านหลัง เมื่อชักกระบี่ออก สองเจ้าสำนัก เหลียงไฉ่กับเล้งทงที ล้มหงายตึงลงกับพื้นศิลา
สองเจ้าสำนัก มิขยับเคลื่อนไหวอีกแล้ว คล้ายกับนอนหลับไปไม่ตื่นกระนั้น สภาพทั่วไปแม้คล้ายกับคนนอนหลับ แต่ที่แตกต่าง กลับเป็นดวงตาที่เบิกโพลง กับตั่งเตียงที่ใช้รองแผ่นหลัง เป็นพื้นศิลากับคราบโลหิตแทนนั้นเอง
ในขณะเดียวกัน วิชากระบี่พิรุณโปรยปราย ใช้ออกแล้วสองร้อยยี่สิบกระบี่ หนานตี้กับกุ้ยโส่ว ศิษย์ทั้งสองของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ประสานท่าวิชากระบี่เข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นเงากระบี่แน่นหนาราวห่าฝน
หนานอี้หลางเจ้าสำนักดาบเงิน สะบัดดาบเงินต้านทานคมกระบี่ของหนานตี้
ซู่หยงเจ้าสำนักกระบี่เขียว เพิ่งใช้กระบี่เขียวสลายกระบี่สิบสามกระบี่ของกุ้ยโส่ว
เจ้าสำนักทั้งสองเฉกเช่นเดียวกัน ขวัญกล้าที่เคยมีมาก่อนหน้านั้น บัดนี้สลายหายไปจนหมดสิ้น สายตาพร่าพรายมองออกไปเบื้องหน้า เห็นเป็นใบหน้าเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่
เจ้าสำนักทั้งสองตระหนกตกใจยิ่ง ก้าวเท้าสับสนจนลนลาน เห็นศิษย์คิดว่าเป็นอาจารย์ หนานอี้หลางปากส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านเหิงปี้ไป่ ในเมื่อท่านตายไปแล้ว อย่าได้มารังควานข้าพเจ้าเลย แล้วข้าพเจ้าจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล พร้อมกับเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้แก่ท่าน”
ซู่หยงเองละล่ำละลักส่งเสียงกล่าว
“คนก็ตายไปแล้ว เรื่องราวในอดีตขอให้ยุติเลิกแล้วต่อกันเถิด วันนี้ที่เรารังแกศิษย์ท่าน ล้วนเป็นคำสั่ง ของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน หากจะคิดบัญชี ขอท่านโปรดคิดบัญชีโดยตรงต่อนางเถิด”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่งเสียงตวาดดังลั่นว่า
“หนานอี้หลาง ซู่หยง ท่านทั้งสองช่างบังอาจนัก คิดจะทรยศหักหลัง ต่อข้าพเจ้าเช่นนั้นรึ?”
ปฏิกิริยาอันเกรี้ยวกราดของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สร้างความแตกตื่นต่อสองเจ้าสำนักถึงที่สุด เมื่อเห็นนางก้าวเท้าออกมา รีบพากันหันหลังกลับ ขยับวิ่งหลบหนี
พอดีวิ่งเข้าใส่กระบี่ในมือ ของหนานตี้กับกุ้ยโส่วเข้าพอดิบพอดี กระบี่สองเล่มเสียบเข้าสะดือ ปลายกระบี่ทะลุออกด้านหลัง เจ้าสำนักทั้งสองร่างสั่นกระตุกเพียงไม่กี่ครั้ง พอหนานตี้กับกุ้ยโส่วถอนกระบี่ ร่างล้มโครมลงกับพื้นศิลา ดวงตาทั้งสองยังคงเบิกโพลง
เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ พากันวิ่งมารวมตัวกัน โดยมีขอทานพเนเจรหวงเกาฉือ กับขอทานอาวุโสอีกสี่คน คาดว่าถึงเวลาที่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กับวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา คงต้องลงมือด้วยตัวนางอย่างแน่นอน
ส่วนมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงตัวปลอม ไม่ทราบอันตรธานหายไปตั้งแต่เมื่อใด? และยังไม่มีผู้ใดทราบ? ว่าผู้ใดปลอมแปลงโฉมเป็นมัน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564