ตอนที่ 133
เพ็ญแปดค่ำเดือนยี่
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ยินยอมบ่งบอกศักดิ์ศรีอันแท้จริงของมันออกมา ที่แท้มันผู้นี้คือ เซียนสุราฉายาเมามายแปดทิศ นามเชียงชุนชิว ในอดีตคนผู้นี้หลบหนีหายไร้ร่องรอย นึกมิถึงว่าจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
แต่เรื่องราวซับซ้อน ผนวกกับชีวิตของประมุขน้อยจ่านจือแขวนอยู่บนเส้นด้าย จึงมิเวลาถามความเป็นมา ว่าเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนผู้นี้ จึงมีฉายาวานรเมามายแปดทิศ อีกทั้งยังคบหาเป็นสหายกับวานรขาวเส้าเหว่ยฉี นอกจากนั้นมันยังยินยอมเป็นศิษย์คนที่สองของวานรขาวเส้าเหว่ยฉี พร้อมยังมีน้ำใจดูแลหุบเขาวานรอีกทั้งบริวารทั้งหมด นอกเหนือจากนี้ยังรับปากต่อวานรขาวเส้าเหว่ยฉี ว่าจะช่วยติดตามหาศิษย์ทรยศของหุบเขาวานรกับเคล็ดวิชาวานรกลับคืนมา
วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิว พิศมองจ่านจือแล้วเอ่ยกล่าวกับนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงว่า
“ท่านกับเด็กน้อยแซ่จ้าวนามจ่านจือ มีความสัมพันธ์ใดกัน? มันเป็นศิษย์ของค่ายพรรคสำนักใด? ดูจากองคาพยพล้วนได้สัดส่วน บุคลิกภาพยังห้าวหาญเปิดเผย ประกายสายตาของมันฉายแววแกล้วกล้าคุณธรรม พฤติกรรมยังน่ายกย่องเลื่อมใสด้วยใจจริง คลื่นลูกหลังยังอาจแซงคลื่นลูกหน้า แต่ทว่าน่าเสียดายกำลังภายในของมันไม่เหลืออีกแล้ว พลังลมปราณในร่างกายแตกซ่านมิอาจรวมรั้งได้อีกแล้ว ช้ำร้ายไปกว่านั้นหลวงจีนเส้าหลินอำมหิตมันยังหักกระดูกทำลายเส้นเอ็นไปทั้งแขนขา”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวด้วยความรันทดตอบว่า
“เซี่ยวจือล้วนมีคุณสมบัติดั่งวาจาท่านกล่าวมาเมื่อครู่ เขาเป็นบุตรบุญธรรมของข้าพเจ้าเอง เรื่องราวยืดยาวมิอาจบอกได้ในเวลาอันสั้น อาจารย์ของเขาเป็นศิษย์คนโตของสำนักตำหนักหมื่นเทพที่ล่มสลาย ในอดีตมีฉายาจักรวาลหมอเทพยดานามเส้าเยี๊ยะเทียน ปัจจุบันใช้ฉายาเจ้าโอสถสายรุ้ง ท่านคงพอคุ้นหูอยู่บ้างกระมัง?”
วานรเมามายแปดทิศเซียงชุนชิว แสดงท่าที่ครุ่นคิดแล้วกล่าวตอบว่า
“อ้อ น่ากลัวว่าเราจะพอคุ้นหูอยู่บ้าง คลับคล้ายมันจะมีศิษย์ร่วมสำนักอีกสี่คน แต่ทั้งหมดได้หายสาบสูญไป หลังจากสำนักล่มสลายไป เราเองยังมิทราบข่าวคราว ด้วยหลังจากเวลานั้นมินานนัก เราถูกบุคคลลึกลับสวมใส่หน้ากากปีศาจอสูร จับเรามากักขังยังสำนักอสูรโลกันตร์แห่งนี้ เราหลังจากหลบหนีไปได้ยังมิได้สืบสาว ภายใต้หน้ากากอสูร ใบหน้ามันเป็นชนชั้นอันธพาลใดกันแน่?”
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่เอ่ยกล่าวบ้างว่า
“หากท่านผู้เฒ่าได้เห็นใบหน้ามัน ท่านคงพอจะจดจำได้ มันมิใช่ผู้ใด? มันคือศิษย์คนที่สองของสำนักที่ล่มสลายไปเมื่อหลายปีก่อน”
วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิวอุทานดังอา พร้อมกับกล่าวว่า
“หรือเป็นภูผาผลักเมฆาหม่าถิงอัน?”
“ถูกต้องเป็นมันนั่นเอง ปัจจุบันมันมีฉายาเจ้าอสูรโลกันตร์ ในเมื่อท่านมีบัญชีหนี้แค้นกันมัน คงได้ชำระสะสางในเร็ววันอย่างแน่นอน แต่มันสำเร็จวิชาในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา คาดว่าท่านผู้เฒ่าคงต้องตึงมืออยู่ไม่น้อย”
วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิว แสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ กล่าวถามด้วยความสงสัยว่า
“คัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา มิใช่ว่าถูกฝังไปพร้อมร่างเจ้าสำนักเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียน ภายใต้ผาเทพนิรันดร์ดอกรึ?”
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กล่าวตอบว่า
“ท่านผู้เฒ่าคงจะยังมิทราบ เหตุการณ์ในวันนั้น ก่อนที่ร่างของปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนกับคัมภีร์สองส่วน จะหล่นลงสู่ก้นหุบเหว มีหลายคนเห็นเงาร่างสองสายเคลื่อนย้ายรวดเร็ว มิอาจชี้ชัดลงไปว่าเป็นผู้ใดแน่? สันนิษฐานว่า เงาร่างสองสายคว้าแย่งคัมภีร์ยุทธ์เอาไว้ได้”
“ท่านหมายความว่า เป็นศิษย์คิดทรยศต่อสำนักอาจารย์ หากเงาร่างนั้นเป็นภูผาผลักเมฆาหม่าถิงอัน แล้วอีกผู้หนึ่งเล่าเป็นผู้ใด?”
วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิว กล่าวถามด้วยความกระตือรือร้น เหตุการณ์ในวันนั้นท่านมิได้สนใจ มัวแต่เมามายจึงมิทราบความเป็นมา เหยาเยี่ยนผิงได้ยินทั้งสามสนทนา คนอีกผู้หนึ่งที่เฒ่าชรากล่าวถามเป็นมารดาของนางเอง อีกทั้งเกรงว่าสองสามีภรรยาแซ่เซียว จะกระอักกระอ่วน กล้ำกลืนคำพูด มิกล้ากล่าววาจาพาดพิงถึงมารดานาง ดังนั้นจึงส่งเสียงนุ่มนวล ด้วยเกรงจะเสียมารยาทว่า
“ข้าพเจ้าเหยาเยี่ยนผิง ของเสียมารยาทต่ออาวุโสทั้งสาม เนื่องด้วยได้ยินอาวุโสทั้งสามสนทนากันโดยมิได้ตั้งใจ ในคำสนทนาของท่านผู้เฒ่าเชียงชุนชิว ซึ่งกล่าวถามซึ่งเงาร่างอีกผู้หนึ่งเป็นผู้ใด? ข้าพเจ้าแม้เยาว์วัย แต่กลับมีความมั่นใจ คนอีกผู้หนึ่งเป็นมารดาของข้าพเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิว รีบกล่าวถามด้วยความสนใจว่า
“โกวเนี้ยน้อยนางนี้ มารดาของเจ้ามีนามเรียกหาว่ากระไร?”
เยี่ยนผิงรีบกล่าวตอบว่า
“มารดาข้าพเจ้ามีฉายานางมารเยือกเย็น นามเหยาเยี๊ยะเหยียน ฉายาเดิมของท่านคืออัคคีสวรรค์ มิทราบท่านผู้เฒ่าจะพอคุ้นหูอยู่บ้างหรือไม่?”
วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิวแสดงท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวตอบว่า
“อัคคีสวรรค์กับนางมารเยือกเย็น ถึงกับเป็นศิษย์คนที่ห้าของสำนักที่ล่มสลาย นามเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่วนศิษย์คนที่หนึ่ง เฒ่าชราทราบแล้ว มันเป็นอาจารย์ของเด็กน้อยแซ่จ้าวนั่น ส่วนศิษย์คนที่สามฉายาเทพธิดาชินแส นามชิ้วโส่ว ถูกอเปหิออกจากสำนัก ก่อตั้งอารามอเทวตา มิได้ออกมาข้องแวะกับเรื่องราวภายนอก แล้วศิษย์คนที่สี่ฉายาวายุล่องลอยเกาทิเหว่ยเล่า? มันอยู่ที่ใด? มีผู้ใดทราบมาบ้างหรือไม่?”
เยี่ยนผิงรับอาสาบอกกล่าวแทนทุกคนว่า
“ท่านเกาทิเหว่ย มีฉายาใหม่แล้วเช่นกัน ท่านมีฉายาว่า เจ้าผาแห่งสายลม หลังจากปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์ ท่านรับศิษย์ไว้ได้สามคน ล้วนแล้วแต่เป็นสหายกับข้าพเจ้ากับจ่านจือ ท่านอาวุโสแซ่เซียวทั้งสองยังรู้จักพูดคุยกับพวกเขา หลังจากแยกทางกัน ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยท่านเดินทางกลับผาแห่งสายลม ส่วนสถานที่ตั้งนั้นลึกลับ ข้าพเจ้ากับจ่านจือก็ยังมิทราบว่าตั้งอยู่สถานที่ใด?”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงส่งเสียงกล่าวถามกับเยี่ยนผิงว่า
“เจ้าพบกับท่านเจ้าผาล่าสุดเมื่อใด?”
เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“น่าจะสองสามเดือนก่อน ตอนนั้นหลังจากแยกย้าย ข้าพเจ้ากับจ่านจือได้พลัดหลงเข้าไปในป่าเก้าหยก จนได้พบกับศิษย์ของท่าน ท่านพี่เหมาต้า ท่านพี่เฟิ่นมู่เหอ และเฟิ่นไป่ชิง เมื่อออกมาจากป่าเก้าหยก ทั้งสามกล่าวลาแล้วเดินทางกลับผาแห่งสายลม กระทั่งบัดนี้ยังมิได้พบหน้าพวกเขาเช่นกัน”
บัณฑิตประหลาดเซียวเหยาเซิงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“หรือว่าเป็นคืนเดียวกับที่เราทั้งสองติดตามสองคนชุดดำไป บริเวณเนินเสือดาว พวกเราแอบได้ยินชุดดำสองคนสนทนากัน พวกมันคิดจะกำจัดเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยเป็นคนต่อไป หากท่านเดินทางกลับผาไปพวกเราก็ค่อยสบายใจ”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงเอ่ยกล่าวต่อว่า
“คืนนั้นเราสองคนแทบจะเอาชีวิตมิรอดเช่นกัน หากไม่ได้ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือรีดรุดมาช่วยเหลือ ป่านนี้คงมิได้มายืนสนทนากับทุกคนแล้วเช่นกัน”
ทั้งหมดยังมิทราบว่า เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ท่านเดินทางไปไม่ถึงผาแห่งสายลม มีเพียงร่างเท่านั้นที่เดินทางไปถึง โดยนางชีเทวราชชิ้วโส่วเป็นผู้นำร่างของท่านไป ทั้งหมดสนทนากันอีกเพียงครู่เดียว วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิวกล่าวขึ้นว่า
“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราคงต้องรีบแยกย้ายกันเถิด พวกท่านรีบนำเด็กน้อยแซ่จ้าวกลับเขาหมื่นเซียน รีบนำไปหาอาจารย์ของเขา อาการของมันหนักหนาสาหัสนัก หากมัวแต่ชักช้าแม้แต่เทพยดาก็มิอาจรักษาช่วยเหลือได้ อาจารย์ของมันมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศพิสดาร บางทีอาจพอมีวิธีรักษาอาการมันเบาบางลงได้บ้าง”
ดังนั้นทุกคนจึงกล่าวคำอำลา แต่ก่อนที่วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิวจะพลิ้วร่างจากไป เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวกับท่านว่า
“เรียนท่านอาวุโส หากท่านมิทราบว่าจะเดินทางไปที่ใด? สำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน มีวานรอาละวาดอยู่ตัวหนึ่ง หากท่านคิดจะไปจับมัน โปรดรีบรุดเดินทางไปที่นั่นอย่าได้ชักช้า”
วานรเมามายแปดทิศเชียงชุนชิวส่งเสียงร้องด้วยความยินดีว่า
“เขาหมางซานถึงกับมีวานรตัวหนึ่งอาละวาดเช่นนั้นรึ? ขอบคุณโกวเนี้ยน้อยท่านนี้ ข้าตาเฒ่าคงต้องรีบรุดไปไม่อาจชักช้า มีวาสนาพวกเราค่อยพบเจอกันใหม่”
กล่าวจบเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน กระโดดคราหนึ่งร่างหายลับดั่งสายลมหอบหนึ่ง นับว่าเป็นวิชาตัวเบาที่เลิศล้ำพิสดารยิ่งนัก ทั้งหมดไม่รีรอชักช้า จัดทำเปลหามหลังหนึ่ง หลังจากนำร่างจ่านจือขึ้นนอนบนเปลแล้ว เฉาลู่ฟางกับบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ รับหน้าที่แบกหามเปลมุ่งหน้าสู่เขาหมื่นเซียนในทันที
ถู่ฝูหลังจากซัดขว้างระเบิดควัน มันทะยานร่างหลบหนีไปไกลหลายลี้แล้ว มันเองมิได้ระแคะระคายว่ามารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงหายไปไหน มันทุ่มเทท่าร่างวิ่งตะบึงมุ่งหน้าสู่วัดเส้าหลิน เพื่อไปสมทบกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ อีกประการหนึ่งเพื่อจะรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังสำนักอสูรโลกันตร์ด้วยนั่นเอง
ม่านวิกาลเลือนราง บนเตียงนอนร่างหนึ่งเริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแล้ว มันลืมตาขึ้นด้วยอาการมึนงง รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงบริเวณกึ่งกลางลำตัว ใบหน้ามันขาวซีดจางราวกับกระดาษ ริมฝีปากแห้งกรังดั่งผืนดินยามแล้ง มันเลื่อนมือลงมาสัมผัสบริเวณที่เจ็บปวดที่สุด
เมื่อทราบว่าสิ่งนั้นไม่อยู่กับมันแล้ว มันส่งเสียงตะโกนร้องลั่นดั่งคนบ้าคลุ้มคลั่ง ถงถงกับเกาเกาได้ยินรีบวิ่งเข้ามาดู ภาพที่เห็นเบื้องหน้า เยิ่นหว่อถิงมีสภาพไม่ต่างจากคนขาดสติ ส่งเสียงฟังสำเนียงมิได้ศัพท์ มันจับปาสิ่งของรอบกายกระจัดกระจาย มันวิ่งลงจากเตียงนอนคว้ามีดสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ ทำท่าคล้ายจะเชือดคอตัวเองไป
ถงถงพุ่งร่างเข้ามาถึงก่อน จ่อนิ้วจี้ออกดั่งปลายทวน จี้ใส่จุดหลับของมันไว้ได้ทันท่วงที ร่างมันทรุดลงปล่อยมีดสั้นร่วงหลุดสู่พื้น ถงถงและเกาเกาช่วยกันพยุงร่างมันกลับมานอนยังเตียงอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเฝ้าดูอาการของมันยามมีสติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เพ็ญแปดค่ำเดือนยี่ ค่ำคืนนี้จันทราลอยเด่นสุกใสสว่างไสวไปทั่วบริเวณ หลังจากใช้เวลาเดินทางอยู่สองวัน ขบวนของเหล่าชาวยุทธ์รุ่นเยาว์ ซึ่งออกเดินทางจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า มุ่งหน้าสู่สำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน
เหลือระยะทางอีกราวห้าสิบลี้จะบรรลุใกล้จุดหมาย ระหว่างทางขบวนของเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ ยังได้ทักทายกับบรรดาชาวยุทธ์จากสารทิศต่าง ๆซึ่งเดินทางไปร่วมงานมงคลยิ่งใหญ่เช่นกัน
ค่ำคืนนี้ทั้งหมดจึงต้องการปลีกตัว เสาะหาโรงเตี๊ยมเล็ก ๆนอกเมืองสักที่หนึ่งพักผ่อน เนื่องด้วยโรงเตี๊ยมใหญ่หลายแห่ง ล้วนเนืองแน่นไปด้วยเหล่าชาวยุทธ์และแขกเหรื่อแน่นขนัด ดังนั้นจึงตกลงกันว่าค่ำคืนนี้จะหาความเป็นส่วนตัวพักผ่อนสักคืนหนึ่ง
หลังจากได้โรงเตี๊ยมเงียบสงบที่หนึ่ง ภายในโรงเตี๊ยมมีเพียงเถ้าแก่ผู้หนึ่งกับพ่อครัวผู้หนึ่งกับเสี่ยวเอ้ออีกผู้หนึ่ง นอกเหนือจากนี้มิมีผู้ใดอีก เมื่อเห็นมีแขกเดินทางเข้ามาหลายคน เถ้าแก่พ่อครัวรวมทั้งเสี่ยวเอ้อต่างรีบวิ่งออกมารับหน้าต้อนรับ เถ้าแก่ส่งเสียงด้วยความยินดีเชื้อเชิญต้อนรับ
เสียงเถ้าแก่วัยราวห้าสิบปีเศษส่งเสียงสดใสกระตือรือร้นดังว่า
“เชิญ ๆ นายท่านทั้งหลาย เชิญเข้ามานั่งพักดื่มน้ำชาให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อน มิทราบว่าพวกท่านต้องการรับประทานอาหาร หรือว่าต้องการจองห้องพักค้างคืนด้วย โรงเตี๊ยมของเราแม้จะเล็ก ๆคับแคบ อาหารออกจะพื้น ๆไปบ้าง แต่รับรองได้ว่ารสชาติอร่อยถูกลิ้นแถมยังสะอาดสะอ้าน มิทราบว่าพวกท่านต้องการ...?”
เถ้าแก่ผู้นั้นยังกล่าวมิทันจบประโยค เฟิ่นไป่ชิงรีบกล่าวตัดบทเสียก่อนว่า
“เถ้าแก่ มิทราบว่าโรงเตี๊ยมของท่าน มีแขกผู้ใด? เข้ามาจับจองห้องพักบ้างแล้วหรือไม่? พวกเรามิได้เรื่องมาก เพียงแต่ต้องการความเป็นส่วนตัวสักนิดหนึ่ง เถ้าแก่พอจะจัดหาอาหารสักสี่ห้าจาน พร้อมกับเตรียมห้องพักสักสี่ห้อง เพียงเท่านี้มิทราบว่าเถ้าแก่พอจะจัดการให้ได้หรือไม่?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบประสานมือโค้งศีรษะแทบจะจรดชิดติดพื้นส่งเสียงกล่าวว่า
“พวกท่านช่างมาได้เหมาะเจาะอย่างยิ่ง โรงเตี๊ยมของเราเพิ่งจะมีดรุณีอ่อนวัยนางหนึ่งจับจองห้องพักเอาไว้เพียงห้องเดียว ในโรงเตี๊ยมยังเหลือห้องพักอยู่อีกสี่ห้องไม่ขาดไม่เกิน เชิญพวกท่านเข้าพักได้ตามสบาย มิทราบว่าพวกท่านจะรับประทานอาหารสุรากันเลยหรือไม่? ข้าพเจ้าจะได้สั่งให้พ่อครัวกับเสี่ยวเอ้อเร่งมือเข้าครัวปรุงอาหารให้กับพวกท่าน”
เทียนจิ้งหัวหน้าพรรคไผ่หลิวคนใหม่ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เถ้าแก่เร่งมือปรุงอาหารง่าย ๆไม่กี่อย่างก็ใช้ได้ สุราไม่กี่ชั่งก็เพียงพอ พวกเราต่างเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ส่วนใหญ่ล้วนต้องการพักผ่อนหลับนอน แต่มีข้อแม้เพียงประการเดียว พวกเราต้องการความเป็นส่วนตัว มิต้องการให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเป็นอันขาด เถ้าแก่จัดการให้ได้ตามนี้หรือไม่?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบส่งเสียงรับปากแข็งขันทันทีว่า
“เรื่องที่พวกท่านต้องการมิมีปัญหา นายท่านทั้งหลายมิต้องกังวล ค่ำคืนนี้โรงเตี๊ยมของเราปิดแล้ว จะไม่ต้อนรับแขกอื่นนอกเหนือจากพวกท่าน กับดรุณีแรกรุ่นนางนั้นอีกห้องหนึ่ง เชิญนายท่านทั้งหลายทางด้านนี้ ข้าพเจ้าจะให้เสี่ยวเอ้อจัดห้องรับประทานอาหารให้กับพวกท่านเป็นส่วนตัว มิให้ผู้อื่นเล็ดลอดเข้ามารบกวนได้เป็นอันขาด”
เสี่ยวเอ้อได้ยินเช่นนั้น รีบก้าวเท้านำหน้า ผายมือเชื้อเชิญทั้งหมดมายังห้องรับประทานอาหาร ซึ่งทุกด้านล้วนปิดม่านลงมิดชิด เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อยกป้านสุราเข้ามาแล้วล่าถอยออกไป
อีกเพียงครู่เดียวอาหารหลายจานถูกยกเข้ามาด้วยเสี่ยวเอ้อคนเดิม อาหารจัดวางบนโต๊ะ ซึ่งประกอบไปด้วยปลานึ่งบ๊วยสองจาน ผัดเต้าหู้ขาวสองจาน ผัดผักสองจาน น้ำแกงผักกาดขาวสองชามใหญ่ นอกนั้นเป็นถั่วลิสงคั่วเกลืออีกสองจาน สุดท้ายเป็นข้าวสวยร้อน ๆสีขาวพูนชาม ส่งกลิ่นหอมโชยแตะจมูกควันสีขาวลอยกรุ่น
ทั้งหมดรับประทานอาหารดื่มสุราด้วยความเร่งรีบ จุดประสงค์เพื่อต้องการเข้าห้องพักผ่อนนั่นเอง ด้วยเห็นว่าควรเก็บเรี่ยวแรงไว้เดินทางเมื่อใกล้สว่างในวันรุ่งขึ้น อีกประการหนึ่งมิต้องการพบหน้าผู้คนเท่าใดนัก ทั้งหมดล้วนประจักว่ามากคนยิ่งมากเรื่องมากความ มิตรหรือศัตรูบางครั้งยังมิอาจแยกแยะ ดังนั้นจึงลุกขึ้นเตรียมก้าวเท้าออกจากห้องกลับเข้าห้องพัก
ห้องพักที่เถ้าแก่จัดเตรียมไว้ให้สี่ห้องพอดี ซึ่งสี่สำนักประกอบด้วยผาแห่งสายลม มีเหมาต้า เฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไป่ชิง พรรคไผ่หลิวมีเหวินมู่ อวี้หว่อและเทียนจิ้ง สำนักเมฆฟ้าพิรุณมีหนานตี้กับกุ้ยโส่ว สุดท้ายเป็นหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมีซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน
ขณะจะผลักประตูก้าวเท้าออกไป ในความมืดสลัวภายใต้หลังคาเบื้องนอก มีเงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนไหววูบวาบผ่านไป ทั้งหมดมองหน้ากันด้วยความสงสัย เงาร่างเบื้องนอกสายนั้น มิทราบว่าเป็นคนดีหรือเป็นคนร้าย คิดได้เช่นนั้นเทียนจิ้งออกความเห็นว่า ให้ทุกคนกลับเข้าห้องพักผ่อน ส่วนเขากับเฟิ่นมู่เหอ จะลองสะกดรอยติดตามเงาร่างสายนั้นไปสืบสาวเรื่องราวดู
เมื่อออกมาจากโรงเตี๊ยม เทียนจิ้งกับเฟิ่นมู่เหอ เร่งฝีเท้าด้วยวิชาตัวเบา เงาร่างนั้นวิ่งตะบึงอยู่เบื้องหน้าราวสิบกว่าก้าว ทั้งสองทิ้งระยะห่างราวสิบก้าวเอาไว้ ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อมิให้เงาร่างนั้นจับได้ว่าถูกสะกดรอยติดตาม
ระยะทางผ่านมาไกลโขผ่านป่าทึบแล้วทะลุสู่ทุ่งหญ้าสูงเลยเอว ถัดไปเป็นเนินดินสูงเลยศีรษะเรียงรายอยู่หลายลูก ร่างนั้นชะลอฝีเท้าแล้วหยุดลง ทั้งสองรีบถลันร่างแนบชิดกับเนินดินซึ่งมีต้นหญ้าหนาแน่นปกคลุม พร้อมกับปิดกั้นลมหายใจเก็บงำประกายให้มิดชิดที่สุด
คืนนี้เพ็ญแปดค่ำเดือนยี่ จันทราส่องแสงสว่างสุกใส ร่างนั้นเป็นดรุณีวัยเยาว์ผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดนักบู๊สีเทาเข้ม ดูจากด้านหลังบอบบางอ้อนแอ้น ในมือยังเพิ่มดาบวงพระจันทร์ด้ามหนึ่ง ดูจากเงาหลังช่างคุ้นตาคลับคล้ายจะเคยผ่านตามาอยู่หลายส่วน
ดรุณีอ่อนวัยนางนั้นหันด้านข้างมาแต่เห็นไม่ถนัดชัดเจนนัก นางงอนิ้วโป้งประกบริมฝีปากเป่าลมออกมาเสียงแหลมเล็ก ยาวครั้งสั้นครั้งเป็นสัญญาณกระไรสักอย่าง? ทันใดนั้นมีเสียงชายเสือปะทะลมดังกระพือใกล้เข้ามาอย่างเร่งร้อน ภายใต้แสงจันทราสว่างไสว ร่างสองสายวิ่งมาดั่งปีศาจยามค่ำคืน ร่างสองสายมิได้วิ่งมากับพื้น แต่ทว่าวิ่งเหยียบย่างมาบนยอดหญ้า ร่างหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีดำสนิท ร่างหนึ่งอยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา
ร่างสีขาวเป็นสตรีวัยชรา ร่างสีดำเป็นบุรุษวัยชราเช่นกัน เมื่อระยะห่างจากดรุณีวัยเยาว์ราวสี่วา ทิ้งเท้าลงสู่พื้นตรงหน้าอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ดูจากวิชาท่าร่างในพิภพจบแดน ยังหาผู้ทัดเทียมได้ยากยิ่ง
แสงจันทร์นวลผ่องอำพันสาดส่องใบหน้า ถึงกับเป็นเฒ่าชราแต่ใบหน้ามิเหี่ยวย่น อีกทั้งยังเปล่งปลั่งดั่งกับเด็กทารกก็มิปาน ดรุณีอ่อนวัยรีบประสานมือพร้อมกับส่งเสียงกล่าว
“ผู้เยาว์ขอคารวะอาวุโสทั้งสอง ผู้เยาว์มีนามว่าเอี้ยวเซียว ค่ำคืนนี้มีวาสนาได้มาคารวะอาวุโสทั้งสองช่างหายากยิ่ง ผู้เยาว์ได้รับมอบหมายให้นำจดหมายฉบับหนึ่งมามอบให้แก่ท่านทั้งสอง ผู้ที่มอบหมายให้ผู้เยาว์มา มิได้แจ้งให้ทราบถึงนามอันสูงส่งของอาวุโสทั้งสอง เพียงแต่บอกให้มาตามสถานที่ กับมอบสัญญาณเสียงเป่าปากติดต่อให้เท่านั้น”
เฒ่าชราใบหน้าทารกซึ่งเป็นสตรีส่งเสียงหัวร่อ เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหู แล้วเปล่งเสียงกล่าวราวเสียงเด็กทารกว่า
“เอี้ยวโกวเนี้ย เอียเท้าเยี่ยงเจ้าอายุยังเยาว์ กลับมีวิชาท่าร่างปราดเปรียว ผู้ที่อบรมสั่งสอนเจ้า มีนามอันน่าระคายหูว่ากระไร?”
ที่แท้ดรุณีวัยเยาว์นางนั้นมีนามว่าเอี้ยวเซียว แต่นางมิได้หันหน้ามา จึงมิอาจเห็นใบหน้าได้ชัดเจนของนางได้ นางจะใช่เอี้ยวเซียวคนเดียวกันกับที่จ่านจือพามาจากป่าเก้าหยกหรือไม่? ได้ยินเอี้ยวเซียวนางนั้นกล่าวตอบว่า
“บิดาของผู้เยาว์เป็นผู้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้แต่เยาว์วัย บิดาข้าพเจ้ามีชื่อระคายหูว่าเอี้ยวค้วง แต่เมื่อไม่นานมานี้ผู้เยาว์มีวาสนาได้กราบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านได้ถ่ายทอดวิชาให้ได้ส่วนหนึ่ง บวกกับของวิเศษติดตัวผู้เยาว์ชิ้นหนึ่ง ทำให้ผู้เยาว์มีวิชารุดหน้าจนแทบมิอยากเชื่อว่าเป็นไปได้”
เฒ่าชราใบหน้าทารกผู้เป็นบุรุษส่งเสียงกล่าวถามบ้างว่า
“อาจารย์ของเอี้ยวโกวเนี้ย เป็นผู้ใดกัน? อีกทั้งสิ่งของวิเศษที่ว่าคือสิ่งวิเศษพิสดารใดกัน?”
เอี้ยวเซียวกล่าวตอบว่า
“อาจารย์ของผู้เยาว์ เป็นผู้มอบหมายให้นำจดหมายมามอบยังมืออาวุโสทั้งสอง ท่านสั่งกำชับมิให้บอกออกไป เพียงอาวุโสทั้งสองได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย ย่อมเข้าใจกระจ่างมิต้องให้ผู้เยาว์บ่งบอกออกไป ส่วนสิ่งของวิเศษ มิอาจแพร่งพรายได้ในเวลานี้เป็นอันขาด ไว้เมื่อถึงเวลาอาวุโสทั้งสองย่อมจะทราบได้เอง”
นางเฒ่าทารกส่งเสียงหัวร่อแหลมเล็กอีกครา แล้วกล่าวว่า
“ฮา ๆเราสองเฒ่าชรา แต่ทว่าใบหน้ากลับเป็นทารก ในอดีตมีชื่อเสียงกระเดื่อง หลังจากเร้นกายหลายสิบปี ทราบอีกทีอายุล่วงเลยมาร้อยกว่าปีแล้ว ในเมื่อเอี้ยวโกวเนี้ยมิอยากบ่งบอกออกมา เราสองเฒ่าทารกก็มิอาจบังคับ หมดธุระเอียเท้าเจ้าแล้ว จงรีบไสหัวกลับไปอย่าได้เอ่ยปากให้ผู้ใดทราบ? ว่าเอี้ยวโกวเนี้ยมาพบกับเราสองเฒ่าทารกยังสถานที่นี้”
กล่าวจบเงาร่างดำขาวสองสายพลิ้วร่างบนยอดหญ้าหายวับไปในพริบตา ดุจวิญญาณผีภูติพรายก็มิปาน เอี้ยวเซียวเองรีบพลิ้วร่างกลับโรงเตี๊ยมนอกเมืองอย่างเร่งร้อน
เทียนจิ้งกับเฟิ่นมู่เหอออกมาจากที่ซ่อนตัว ทั้งสองต่างแปลกประหลาดใจ ไฉนเอี้ยวเซียวจึงมาปรากฏตัวยังที่นี่ ในเวลานี้นางน่าจะอยู่ที่สำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน
แต่ที่น่าแปลกประหลาดใจยิ่งกว่าเอี้ยวเซียว กลับเป็นสองเฒ่าชราใบหน้าทารกลึกลับดำขาวเสียมากกว่า มันทั้งสองเป็นใครกัน? มีชื่อเสียงเกรียงไกรในทิศทางใดในอดีต ทั้งสองจึงรีบทะยานร่างกลับโรงเตี้ยมนอกเมืองด้วยเช่นกัน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564