ตอนที่ 79
กระบี่อัคคีน้ำค้าง
อีกด้านหนึ่งบนเขาหมื่นเซียน สำนักตำหนักหมื่นเทพ บุคคลสามคนเดินทางมาถึงเนิ่นนานแล้ว จึงได้เข้าไปรอขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยยังห้องโถง
ไม่นานนักขบวนของท่าน เดินทางมาถึง อีกเพียงครู่เดียวเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเดินทางมาถึงด้วยเช่นกัน ทั้งหมดรีบตรงเข้าไปยังห้องโถง ซึ่งบุคคลสามคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อทั้งหมดก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถง หนึ่งในสามคนซึ่งนั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้ว ลุกขึ้นแล้วส่งเสียง ต่อเจ้าโอสถสายรุ้งกับเจ้าผาแห่งสายลมว่า
“ท่านเจ้าโอสถ ท่านเจ้าผาแห่งสายลม ท่านทั้งสองมาถึงแล้ว ส่วนทางนี้ไม่มีปัญหากระไร? พวกเรานำกระบี่อัคคีน้ำค้างมาถึงโดยปลอดภัย ในระหว่างทางเราทั้งสามมิได้เปิดห่อผ้าออกมาดูแม้แต่น้อย นายน้อยเยี่ยนผิงของพวกเราเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง คาดการณ์แม่นยำว่าคนพวกนั้น จะต้องมาดักรอเล่นงานพวกท่านอย่างแน่นอน จึงได้ดำเนินแผนการสามทาง เพื่อหลอกล่อ โดยให้เราสามคนนำกระบี่อัคคีน้ำค้าง มุ่งหน้าสู่เขาหมื่นเซียนอย่างลับ ๆ ส่วนท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง นำกระบี่ปลอมซึ่งนางเตรียมไว้ให้หลบหนีไปอีกทางหนึ่ง ท่านเจ้าผาแห่งสายลมก็เดินทางอีกเส้นทางหนึ่ง นับวาแผนการนายน้อยของพวกเราช่างร้ายกาจนัก”
ผู้ที่กล่าววาจาเป็นเฉาลู่ฟาง ส่วนอีกสองคนเป็นสองมารฟ้าดินต้าเอ่อคา กับหม่าจิ้งเถา มันเมื่อกล่าววาจาจบ ยื่นส่งห่อผ้าที่ห่อหุ้มกระบี่อัคคีน้ำค้าง ส่งต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อเห็นเช่นนั้น รีบยื่นมือออกรับห่อผ้าจากมือมันมา แล้วแก้เชือกที่พันห่อผ้าอย่างแน่นหนาออก ทุกคนจึงได้เห็นกับตาว่า ที่แท้กระบี่อัคคีน้ำค้างช่างงดงามสมคำร่ำลือ เมื่อทำงานสำเร็จลุล่วง คนทั้งสามจึงรีบอำลาแล้วจากไป เพื่อติดตามไปช่วยงานนายน้อยของพวกตน ตามที่นางได้ออกคำสั่งเอาไว้ คนทั้งสามรักและภักดีต่อนางด้วยใจจริง ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยนผิงจะออกคำสั่งให้ไปกระทำสิ่งใด? แม้สิ่งนั้นจะยากลำบากสักปานใด? คนทั้งสามก็ไม่เกี่ยงที่จะไปกระทำให้
ครั้งนี้เยี่ยนผิง ได้วางแผนให้คนทั้งสามนำกระบี่อัคคีน้ำค้างขึ้นเขาหมื่นเซียน ด้วยคำนวณว่าคนทั้งสามเป็นคนของสำนักมารสวรรค์ จึงมิมีผู้ใดให้ความสำคัญ และไม่มีผู้ใด?คาดคิดว่าทั้งสามคน จะนำกระบี่มาส่งยังสำนักตำหนักหมื่นเทพ นอกจากนั้นนางยังได้ดำเนินแผนการ ให้คนชั่วติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งไป โดยพกพากระบี่เก่า ๆ ขึ้นสนิมที่นางเตรียมไว้ให้พร้อมกันสลักคำด่าเอาไว้บนกระบี่นั้น
นอกจากนั้นแล้ว เยี่ยนผิงยังรู้ใจมารดาของนางยิ่งกว่าผู้ใด สาเหตุที่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี่ยะเหยียน เดินทางมาล่าช้า สืบเนื่องด้วยนางมารเดินทางไปดักรอนางกับจ่านจือ เมื่อเห็นว่ากระบี่อัคคีน้ำค้างไม่ได้อยู่ที่ทั้งสองจริง ๆ จึงได้รีบจากไป และมาสมทบกับทุกคน แต่พอมาถึงกลับต้องผิดหวัง เมื่อพบว่ากระบี่ที่ได้มาเป็นกระบี่ปลอมอย่างน่าเสียดาย
หลังจากทุกคนได้ชมดูความงดงามของกระบี่อัคคีน้ำค้างจนทั่วกันแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เอ่ยกล่าวกับทุกคนว่า
“กระบี่เล่มนี้แท้จริงเป็นสมบัติของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ครั้งนี้เราได้กลับคืนมายังสำนักอีกครั้ง นับเป็นเรื่องน่ายินดี จึงจะนำกระบี่เล่มนี้ไปเก็บรักษาเอาไว้ยังห้องลับก่อน ป้องกันมิให้เหล่ามารทั้งหลายบุกขึ้นมาแย่งชิงไป หลังจากนี้รอให้จ่านจือกลับมาเสียก่อน แล้วเราค่อยนำออกมาดูพร้อม ๆกัน ว่าในกระบี่เล่มนี้ซุกซ่อนความลับหรือเบาะแสใดเอาไว้กันแน่? ดังนั้นสถานที่ซึ่งเราจะนำกระบี่ไปเก็บรักษา จะไม่ขอแจ้งต่อทุกคนเพื่อความปลอดภัย นับจากวันนี้ไปจะต้องจัดเวรยามแน่นหนาเป็นพิเศษ วันนี้ทุกคนต่างเหนื่อยล้ามามากแล้ว เชิญทุกคนไปพักผ่อนตามสบายเถิด”
หลังจากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน หายไปพักใหญ่ เพื่อนำกระบี่อัคคีน้ำค้างไปเก็บรักษา ยังห้องลับซึ่งไม่มีผู้ใดทราบ ว่าห้องลับแห่งนั้นอยู่ที่ใด? บนเขาหมื่นเซียน มีเพียงตัวท่านผู้เดียวเท่านั้น ที่รู้ที่ซ่อนกระบี่เล่มนี้
ทางด้านสำนักอสูรโลกันตร์ มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง แบกหน้านำพาความผิดหวังกลับมายังสำนัก ก่อนหน้านั้นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน เพิ่งเดินทางมาถึงเพียงชั่วหม้อข้าวเดือดเช่นกัน เมื่อมันมาถึงสำนักรีบตรงเข้าพบเจ้าอสูรโลกันตร์ผู้เป็นอาจารย์ในทันที
แม้นเวลาอาศัยอยู่ภายในสำนักเจ้าอสูรโลกันตร์ มันผู้นี้ไม่เคยถอดหน้ากากอสูรออกจากใบหน้าแม้แต่คราเดียว ดังนั้นแม้แต่เยิ่นหว่อถิงเองมันไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ของผู้เป็นอาจารย์มาก่อน ว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร? พอเข้าห้องมาเห็นเจ้าอสูรโลกันตร์นั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้ว มันจึงรีบประสานมือคารวะ แล้วส่งเสียงกล่าวขึ้นด้วยความผิดหวังต่อผู้เป็นอาจารย์ว่า
“ท่านเจ้าอสูรกลับมาถึงนานแล้วใช่หรือไม่? ครั้งนี้ข้าพเจ้าทำงานไม่สำเร็จคว้าน้ำเหลวกลับมา นึกมิถึงว่าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จะเจ้าเล่ห์มากอุบายถึงเพียงนี้ กล้าหลอกให้ข้าพเจ้าและคนอื่น ๆ ติดตามมันอยู่ครึ่งค่อนวัน แถมยังหลอกให้ดำน้ำควานหากระบี่ปลอมสนิมกินไปเสี้ยวหนึ่งยังก้นแม่น้ำ ที่เต็มไปด้วยโคลนดินอีก หากท่านไปด้วยกับข้าพเจ้า คงจะโกรธแค้นจนแทบจะติดตามไปสับร่างมันเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วพวกเราจะดำเนินแผนการใดต่อไปดี?”
พอเจ้าอสูรโลกันตร์ ได้ฟังคำบอกเล่าจากเยิ่นหว่อถิงผู้เป็นศิษย์ กลับไม่แสดงท่าทีเคืองโกรธออกมา ดั่งที่มันคาดคิดเอาไว้ คล้ายกับว่าจอมมารผู้นี้รับทราบเรื่องราวที่ศิษย์ตนเองทำงานไม่สำเร็จก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นจึงส่งเสียงเล็ดลอดผ่านหน้ากากอสูรกับมันว่า
“เรื่องนี้เราค่อยหาทางอีกที ว่าจะเข้าไปช่วงชิงกระบี่อัคคีน้ำค้างมาด้วยวิธีการใด? เจ้ากลับมาถึงก็ดีแล้ว เรามีเรื่องจะกล่าวกับเจ้าอยู่พอดี” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยิ่นหว่อถิงรีบส่งเสียงเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์ทันทีว่า
“ท่านเจ้าอสูรมีสิ่งใด? จะกล่าวกับข้าพเจ้าเช่นนั้นหรือ?” เจ้าอสูรโลกันตร์กล่าวตอบต่อมันว่า
“ตัวเราจะไม่อยู่สำนักสักหลายวัน ดังนั้นเจ้าอย่าได้ออกไปก่อกวนเรื่องราวด้านนอกตอนที่เราไม่อยู่สำนักโดยเด็ดขาด เจ้าจะต้องอยู่ดูแลสำนักให้ดี อย่าให้มีผู้ใดเล็ดลอดเข้ามาก่อเรื่องโดยเด็ดขาด ระยะนี้เรามีเรื่องสำคัญจะต้องไปกระทำมิอาจหลีกเลี่ยง ดังนั้นทางนี้จะมอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตหวงห้ามของสำนักอสูรโลกันตร์ อย่าได้ให้ผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปได้แม้แต่เพียงก้าวเดียว แม้แต่ตัวเจ้าเองเราก็ไม่อนุญาตให้เข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยเด็ดขาด เจ้าเข้าใจที่เราสั่งหรือไม่?” เยิ่ยหว่อถิงฟังจากน้ำเสียง และดูจากท่าทางของอาจารย์ ทราบว่าท่านจริงจังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงส่งเสียงรับคำว่า
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว ท่านเจ้าอสูรโปรดวางใจ รับรองว่าหว่อถิงจะมิให้ผู้ใด? ย่างเท้าเข้ามาภายในสำนักได้แม้แต่ผู้เดียว ส่วนเขตหวงห้ามหากผู้ใด? บังอาจบุกรุกจะไม่ปล่อยให้มันพาร่างที่มีวิญญาณออกไป ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง บริเวณเขตหวงห้ามมิเคยคิดจะย่างกรายเข้าไปอยู่แล้ว เรื่องนั้นท่านอย่าได้เป็นห่วง หว่อถิงจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และจะไม่สร้างความผิดหวังแก่ท่านอย่างแน่นอน แล้วมิทราบว่าท่านจะออกเดินทางไปเมื่อใด?” เมื่อเอ่ยปากรับคำอย่างแข็งขันมั่นเหมาะแล้ว จึงเอ่ยถามเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถึงอัน ว่าจะออกเดินทางไปเมื่อใด? เมื่อศิษย์เอ่ยถาม เจ้าอสูรโลกันตร์รีบกล่าวตอบโดยมิต้องขบคิดว่า
“วันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางตั้งแต่เช้าฟ้ายังมิทันสาง แต่ครั้งนี้เราจะไปหลายวันหน่อย เรื่องนี้มีเพียงเจ้าที่ทราบ ดังนั้นเจ้าต้องระวังเอาไว้ให้มากกว่ากาลก่อน เวลานี้ทุกฝ่ายต่างเคลื่อนไหว เราไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้ แผนการยึดครองบู๊ลิ้มของเรา กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี จึงมิต้องการให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีก”
เมื่อรับทราบคำสั่งของเจ้าอสูรโลกันตร์แล้ว หลังจากสนทนากันอีกเพียงครู่เดียว เยิ่นหว่อถิงขอตัวกลับเข้าห้องพักผ่อน เมื่อเข้าห้องรีบสั่งคนให้ไปเรียกเหนียงเอ๋อ กับเจียวเอ๋อเข้ามาปรนนิบัตินวดเฟ้นให้ดั่งเช่นทุกครั้ง ขณะเดียวกันในสมองอดที่จะคิดถึงใบหน้าของเยี่ยนผิง กับไป่ชิงสองหญิงงามขึ้นมามิได้ หากได้นางทั้งสองมาอยู่เคียงข้างกาย คอยปรนนิบัติรับใช้ดั่งเช่นเหนียงเอ๋อ กับเจียวเอ๋อ คงวิเศษมิใช่น้อย
ดังนั้นในหัวสมองของมัน วาดฝันว่าจะเช่นไรจะต้องแย่งชิงเยี่ยนผิง มาจากจ่านจือให้จงได้ หากนางมิยินยอมแต่โดยดี แม้จะต้องใช้วิธีต่ำช้าเลวทรามสักร้อยพันวิธี มันก็จะกระทำโดยมิละอาย ขอเพียงสนองความต้องการของมันได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนผู้อื่นจะเดือดร้อนหรือทนทุกข์ทรมานหาสนใจไม่ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ความเป็นอยู่ของมันล้วนสุขสบาย ไม่เคยลำบากแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงมิเข้าใจว่าความลำบากความทุกข์ทรมานนั้นเป็นเช่นไร
ทางด้านจ่านจือกับเยี่ยนผิงทั้งสองเดินทางเป็นเวลาสองวันจึงบรรลุเข้าเขตที่ตั้งของสำนักอสูรโลกันตร์ ครั้งนี้หนุ่มสาวทั้งสองคิดจะเข้ามาสืบหาเบาะแสของคนชุดดำปริศนา ที่ลอบเข้าไปทำร้ายประมุขพรรคไผ่หลิวเสียชีวิต ดังนั้นเมื่อเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน มิได้อยู่สำนักจึงเป็นโอกาสเหมาะเคราะห์ดีดั่งสวรรค์เป็นใจ จะมีก็เพียงแต่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณผู้เป็นศิษย์ แม้จะร้ายกาจอุบายลวดลายมิได้อ่อนด้วยไปกว่าผู้เป็นอาจารย์เท่าใดนัก แต่นั่นนางได้กำหนดแผนการไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว จึงเอ่ยกล่าวกับจ่านจือว่า
“จ่านจือ ครานี้ข้าพเจ้าคงต้องยินยอมสิ้นเปลืองน้ำลายสักหลายปี๊บ อีกยังต้องแสดงทีท่าสนิทสนมกับปีศาจชั่วช้าผู้นั้น ท่านเองคงต้องลงทุนปลอมตัวเป็นคนชั่วนั่นให้แนบเนียนไร้พิรุธอย่าให้คนของมันจับเท็จได้เป็นอันขาด ครั้งนี้เราทั้งสองนับว่าเสี่ยงเข้าถ้ำเสือ แม้นจับตัวมิได้จะต้องเฉือนเนื้อเถือหนังติดไม้ติดมือออกไปได้บ้าง จะได้ไม่มาเสียเที่ยว และเสี่ยงชีวิตท่านเข้าใจหรือไม่?” จ่านจือเองก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ จะไม่ยอมออกไปมือเปล่าโดยมิได้เบาะแสใดเป็นอันขาด จึงรีบพยักหน้ารับปากนางออกไปทันที พร้อมกับกล่าวถามนางว่า
“เยี่ยนผิงท่านมีแผนการใดอยู่ในใจแล้วใช่หรือไม่? อย่าได้เสียเวลารีบบอกแผนการของท่านออกมา ให้ข้าพเจ้าจ่านจือได้รับทราบเร็วเข้า” เมื่อบุรุษตรงหน้าพยักรับทราบ อีกทั้งยังรับปากอย่างจริงจังแข็งขัน นางจึงบอกเล่าแผนการให้เขารับทราบทันที
จ่านจือหลังจากรับฟังเยี่ยนผิงแจกแจงแผนการ ในหัวสมองครุ่นคิดถึงความปลอดภัยของนาง ด้วยเห็นว่าเสี่ยงอยู่มาก โดยครานี้นางจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อแสดงท่าทีสอพลอ ทำตัวสนิทสนมชิดใกล้เยิ่นหว่อถิง เพื่อให้เขาได้มีเวลาเข้าไปสืบหาร่องรอยภายในสำนักอสูรโลกันตร์โดยสะดวก
เมื่อวันที่แล้วหนุ่มสาวทั้งสอง เห็นเจ้าอสูรโลกันตร์เร่งร้อนออกจากสำนัก คล้ายกับมีธุระเร่งด่วนสำคัญบางประการ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่คนทั้งสองจะดำเนินแผนการ เพื่อเข้าไปสืบหาความจริงในหลายเรื่องราวที่ยังมิคลี่คลาย
“เยี่ยนผิง ท่านเองก็ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษอย่าได้ประมาท เจ้าปีศาจชั่วผู้นี้มิใช่รับมือโดยง่ายดาย ครั้งนี้ถึงแม้ว่าเราทั้งสองจะกระทำการเสี่ยงชีวิต เพื่อยุทธภพส่วนรวม แต่ถึงเช่นไรอย่าได้ชะล่าใจ จนลืมความปลอดภัยของตัวเอง” จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อนางด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ด้วยทราบดีถึงความชั่วช้าของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณผู้นี้
เยี่ยนผิงส่งเสียงหัวเราะคิก เมื่อเห็นสีหน้าของจ่านจือจริงจังอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะส่งเสียงกล่าวว่า
“เรื่องนั้นจ่านจือท่านมิต้องเป็นห่วง หรือท่านหลงลืมไปแล้วว่า ข้าพเจ้าเหยาเยี่ยนผิงคือมารน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์ ถึงเช่นไรจะมิยอมให้ผู้ใดมาลบเหลี่ยมลูบคมเล่นได้โดยง่ายดาย”
“แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่วางใจ” จ่านจือส่งเสียงเอ่ยขึ้นเมื่อนางกล่าวจบ
“ท่านเองได้แต่ว่ากล่าว ไม่วางใจข้าพเจ้า ท่านละคิดบ้างหรือไม่? ว่าข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะมิเป็นห่วง ให้ท่านปลอมตัวเป็นปีศาจโฉดชั่ว ทำตัวเข้าไปตีสนิทกับสองดรุณีที่งดงามปานนั้น จะให้ข้าพเจ้าไว้วางใจได้เช่นไร?” เยี่ยนผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแง่งอน พร้อมกับยกหมัดทุบใส่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ ทีหนึ่ง จ่านจือกลับคิดว่านางกล่าวล้อเล่นกับเขาเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยหาทราบไม่ว่านางรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เขาจึงส่งเสียงกล่าวต่อนางว่า
“เยี่ยนผิง ท่านอย่าได้กล่าวล้อเล่นต่อข้าพเจ้าเช่นนั้น ถึงแม้จ่านจือจะทำทีตีสนิทกับสองดรุณีงดงาม แต่ภายในใจหาได้คิดอะไรกับพวกนางไม่ ดังนั้นท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้ต่อข้าพเจ้าจะได้หรือไม่?”
เยี่ยนผิงพอได้ฟังเช่นนั้น ส่งสายตาจ้องมองใบหน้าของเขาตรง ๆ แล้วส่งยิ้มทำตาหวานหยาดเยิ้ม แสแสร้งแกล้งทำจริตแล้วกล่าววาจาต่อเขาว่า
“จ่านจือ แล้วที่ท่านสนิทสนมกับข้าพเจ้า มิทราบว่าท่านคิดกระไรกับข้าพเจ้าหรือไม่?” เยี่ยนผิงกล่าวจบ ลอบสังเกตมองปฏิกิริยาของเขา จึงได้เห็นสีหน้าเคอะเขินสองใบหูแดงจนเด่นชัด ก่อนที่เขาจะรีบกล่าววาจากลบเกลื่อนว่า
“เรื่องนั้นท่านย่อมทราบแก่ใจ จะให้ข้าพเจ้าจ่านจือตอบออกไปตรง ๆ ก็เสียเปรียบท่านแย่สิ อย่าได้พูดคุยเรื่องอื่นอยู่เลย เรื่องสำคัญตรงหน้าเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปในสำนักอสูรโลกันตร์ แต่ก็ยังนึกมิออกว่าจะเข้าไปด้วยวิธีการใด?”
เยี่ยนผิงเมื่อได้ยินจ่านจือเปลี่ยนเรื่องสนทนา ทราบว่าเขาเขินอายนางที่กล่าววาจาหยอกล้อเช่นนี้ ดังนั้นรีบล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อด้านซ้าย พร้อมกับหยิบฉวยสิ่งหนึ่งติดมือออกมาแล้วกล่าวว่า
“จ่านจือ ท่านยังจดจำสิ่งนี้ได้หรือไม่?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวพร้อมกับยื่นส่งสิ่งของในมือต่อให้เขา เมื่อยื่นมือออกรับสิ่งของจากนางมาแล้วคลี่กางออก พบว่าเป็นหน้ากากปีศาจชิ้นหนึ่ง ยังมิทันจะขยับปากตอบคำถามนางรีบกล่าวขึ้นก่อนว่า
“หน้ากากปีศาจชิ้นนี้ ข้าพเจ้าได้มาตอนที่ท่านต่อสู้กับปีศาจชั่วนั้น ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ขอร้อง ให้ปีศาจตนนั้นลงมือต่อยตีท่าน และได้ขอหน้ากากชิ้นนี้เอาไว้ ต่อมาได้คิดจะขว้างทิ้งไปมิอยากเก็บไว้กับตัว กลัวเป็นเสนียดมิเป็นมงคล แต่พอนึกอีกทีคิดว่าอาจจะมีประโยชน์ได้ในภายหน้า จึงได้เก็บมันเอาไว้”
“เยี่ยนผิง ท่านจะให้ข้าพเจ้าสวมใส่หน้ากากชิ้นนี้ปลอมตัวเข้าไปยังสำนักอสูรโลกันตร์ใช่หรือไม่?” จ่านจือพิศดูหน้ากากในมือพร้อมส่งเสียงกล่าวถามนางรีบกล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง ท่านกับปีศาจตนนั้นรูปร่างมิแตกต่างกันมากนัก เมื่อท่านแต่งตัวเยี่ยงมันแล้วสวมทับหน้ากากปีศาจชิ้นนี้ รับรองได้ว่ามิมีผู้ใดสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นตัวจริงตัวปลอมอย่างแน่นอน” เยี่ยนผิงส่งเสียงตอบว่าถูกต้อง พร้อมชี้แจงรายละเอียดให้เขาได้รับทราบก่อนที่จะกล่าวต่อว่า
“แต่ก่อนอื่นเราทั้งสองต้องวกกลับเข้าไปในตลาด ซื้อหาพัดจีบกับขลุ่ยเงินอีกด้ามหนึ่ง ข้าพเจ้านัดหมายสองมารฟ้าดิน กับเฉาลู่ฟางไว้ที่นั่น หลังจากซื้อหาสิ่งของที่ต้องการแล้วค่อยร่วมวางแผนโดยละเอียดกันอีกครั้ง จ่านจือท่านว่าดีหรือไม่?”
“ดี ๆ ข้าพเจ้าเห็นด้วย สมองของท่านหลักแหลมมีหรือที่ข้าพเจ้าจะมิเห็นด้วย?” จ่านจือส่งเสียงตอบนาง เยี่ยนได้ได้ฟังเช่นนั้นแสดงท่าทางครุ่นคิดวูบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าวกับเขาว่า
“จ่านจือ มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าปิดบังท่านยังมิได้บอก ระหว่างทางที่เรากลับจากซื้อหาสิ่งของ และพบเจอกับคนทั้งสามของข้าพเจ้าแล้ว จะพาท่านไปยังสถานที่หนึ่ง?” เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าคล้ายสำนึกเสียใจ เหมือนกับว่าได้กระทำความผิดใหญ่หลวงเอาไว้ ยิ่งสร้างความสงสัยใคร่รู้ให้แก่เขามากยิ่งขึ้นไปอีก รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เยี่ยนผิงท่านมีเรื่องราวใดปิดบังข้าพเจ้า? เห็นท่านแสดงสีหน้าไม่สบายใจคล้ายกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายใหญ่หลวง รีบบอกออกมาให้ข้าพเจ้าจ่านจือรับทราบจะได้หรือไม่?” เขาส่งเสียงกล่าวถามนางด้วยความอยากรู้
“เอาไว้ให้ข้าพเจ้ากับท่าน ไปถึงสถานที่นั้นก่อน แล้วข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟังโดยมิปิดบัง ส่วนท่านจะถือโกรธข้าพเจ้าหรือไม่? เป็นสิทธิ์ของท่านที่สามารถจะกระทำได้” เยี่ยนผิงยิ่งกล่าว จ่านจือยิ่งใคร่อยากรู้ทวีคูณ แต่ทราบว่านางมิต้องการบอกกล่าวออกมาในเวลานี้ ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนคาดคั้นจากนางต่อ
“ถ้าเช่นนั้นท่านกับข้าพเจ้า อย่ามัวชักช้าเสียเวลารีบเดินทางกลับเข้าไปในตลาดกันเถอะ เสร็จธุระแล้ว จะได้รีบกลับมายังสำนักอสูรโลกันตร์ หวังว่าคงไม่มืดค่ำเสียก่อน หากมิเช่นนั้นแล้วจะต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน” จ่านจือกล่าวจบ รีบชักชวนเยี่ยนผิงออกเดินทางมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองทันที
หลังจากสาละวนเลือกหาสิ่งของที่ต้องการได้แล้ว เยี่ยนผิงชักชวนจ่านจือขึ้นไปยังเหลาที่หนึ่ง ซึ่งมิค่อยมีผู้คนพลุกพล่านเท่าใดนัก ทั้งสองเดินขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อก้าวข้ามบันใดขั้นสุดท้าย เลี้ยวขวาเดินเลยมาอีกสองโต๊ะเบื้องหน้า ซึ่งเป็นโต๊ะอาหารนั่งอยู่ด้วยคนสามคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
“นายน้อยท่านมาถึงแล้ว? พวกเราสามคนสั่งอาหารกับสุราเตรียมไว้รอท่านกับประมุขน้อยแล้ว” เฉาลู่ฟางรีบยืนขึ้นยืนพร้อมกับส่งเสียงกล่าวอย่างอย่างนอบน้อม สองมารฟ้าดินต้าเอ่อคา กับหม่าจิ้งเถา รีบลุกขึ้นประสานมือต่อเยี่ยนผิงกับจ่านจือ แล้วเลื่อนเก้าอี้ให้กับหนุ่มสาวทั้งสองนั่งลง ก่อนที่ทั้งสามจะนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม
“เรื่องที่ท่านให้พวกเราทั้งสาม นำกระบี่อัคคีน้ำค้างไปส่งยังสำนักตำหนักหมื่นเทพ เราสามคนทำงานสำเร็จลุล่วงมิมีปัญหา จึงได้รีบเดินทางมาตามที่นายน้อยสั่ง” มารนภาหม่าจิ้งเถากล่าวต่อเยี่ยนผิง เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
“แล้วเจ้าโอสถสายรุ้ง กับเจ้าผาแห่งสายลม ท่านทั้งสองได้ว่ากระไรหรือไม่? ที่ท่านทั้งสามรีบจากมา ทุกคนเดินทางถึงเขาหมื่นเซียนโดยปลอดภัยใช่หรือไม่?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามกับทั้งสาม
“ทุกคนเดินทางถึงสำนักตำหนักหมื่นเทพโดยปลอดภัย นายน้อยท่านมิต้องเป็นห่วง ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้ง กับเจ้าผาแห่งสายลม ท่านทั้งสองมิได้ว่ากระไร คิดว่าป่านนี้คงนำกระบี่เล่มนั้นไปเก็บรักษาเอาไว้ ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว คนที่หมายตากระบี่เหล่านั้น คงมิสามารถเข้าไปแย่งชิงได้ง่ายดาย” มารธุลีต้าเอ่อคากล่าวตอบเยี่ยนผิงตามความจริง
“คนอื่น ๆไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก ที่ข้าพเจ้าไม่ไว้ใจคือเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน อีกผู้หนึ่งที่ไม่ควรประมาทคือ มารดาของท่าน คนทั้งสองจะเช่นไรก็เคยเป็นศิษย์ของสำนักตำหนักหมื่นเทพมาก่อน ย่อมมีหนทางขึ้นเขาหมื่นเซียน เข้าไปช่วงชิงกระบี่ได้ง่ายกว่าผู้อื่น เพราะชำนาญเส้นทางสถานที่” จ่านจือส่งเสียงกล่าวขึ้นต่อนาง
“เรื่องนั้นจ่านจือท่านมิต้องเป็นห่วง ก่อนที่อาวุโสเซียวทั้งสองจะออกเดินทาง ข้าพเจ้าได้ขอร้องท่านทั้งสองให้ไปแจ้งเรื่องนี้ แก่นางชีเทวราชชิ้วโส่วแห่งอารามอเทวตา ขอร้องให้นางกับแม่ชีในอารามมาคอยช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง” เยี่ยนผิงส่งเสียงบอกกล่าวต่อจ่านจือ แล้วคีบอาหารใส่ปากคำหนึ่ง ตามด้วยยกสุราขึ้นดื่มจนหมดถ้วยแล้วกล่าวกับเขาต่อว่า
“ตอนนี้สำนักตำหนักหมื่นเทพ เป็นที่หมายตาแก่ชาวยุทธ์ทั้งหลาย เนื่องด้วยเป็นสถานที่ซึ่งเก็บกระบี่ล้ำค่า อีกทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งอาจมีเบาะแสเกี่ยวกับคัมภีร์ยุทธ์สุดวิเศษที่หายสาบสูญไปอีกด้วย แน่นอนทุกฝ่ายล้วนจ้องที่จะเล่นงานสำหนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียนอย่างแน่นอน”
“ข้าพเจ้าก็คิดเหมือนท่าน อีกยังเรื่องของคนชุดดำลึกลับปริศนาซึ่งมีถึงสามคน หากพวกเรายังไม่สามารถทราบว่าแท้จริงเป็นผู้ใด? สามคนนี้ถือว่าเป็นเภทภัยใหญ่หลวงต่อบู้ลิ้ม” จ่านจือส่งเสียงเห็นด้วยกับเยี่ยนผิง อีกทั้งยังได้กล่าวถึงชุดดำปริศนาสามคน ที่ปรากฏตัวก่อกวนยุทธภพในเวลานี้
“แต่เราก็ทราบรหัสลับที่คนชุดดำผู้หนึ่ง ใช้ติดต่อกับยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว นับว่าโชคดีที่ในค่ำคืนนั้น ขบวนของเทียนจิ้งแอบได้ยินพวกมันสนทนากันยังอารามร้าง หลังจากเสร็จสิ้นธุระที่สำนักอสูรโลกันตร์แล้ว พวกเราคงต้องดำเนินแผนโดยใช้รหัสลับนี้เปิดเผยโฉมหน้าคนชุดดำ ผู้ซึ่งติดต่อกับยายเฒ่าหมื่นพิษเจ้าเล่ห์นั่นให้จงได้” จ่านจือกล่าวต่อทุกคน
“ชุดดำอีกผู้หนึ่ง คนผู้นี้แอบติดต่อกับมารดาของข้าพเจ้า ถึงแม้จะเคยพูดคุยกับคนผู้นี้หลายหน แต่ทว่าทุกครั้งคนผู้นี้ปลอมแปลงเส้นเสียงหาใช่น้ำเสียงแท้จริง สำหรับชุดดำผู้นี้คิดว่ายังพอคลำหาตัวได้ไม่ลำบากมากนัก ส่วนชุดดำอีกคนยังเป็นปริศนายังมิมีเบาะแสใดที่สืบสาวเข้าใกล้ตัวได้เลย คนหลังที่กล่าวนับว่าน่ากลัวที่สุดในบรรดาคนชุดดำลึกลับทั้งสามคน” เยี่ยนผิงแจกแจงอีกสองคนชุดดำให้ทุกคนได้ช่วยกันคิด
“เยี่ยนผิงแล้วท่านสงสัยผู้ใดเป็นพิเศษหรือไม่? ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้าจ่านจือ ผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดมีอยู่สามคนด้วยกัน หนึ่งเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน สองหลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า และสุดท้ายเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ” จ่านจือเสนอความคิดขึ้นถึงบุคคลที่น่าจะเป็นไปได้ แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดของเขา
“สองคนแรกที่ท่านกล่าวออกมาข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าน่าสงสัย เพียงสำหรับคนสุดท้ายข้าพเจ้ากลับไม่เห็นด้วยกับท่าน แต่ข้าพเจ้ากลับสงสัยคนอีกผู้หนึ่ง? แต่ยังมิกล้าบอกออกมาในเวลานี้ รอให้แน่ใจได้หลักฐานมัดตัวมากกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยบอกแก่ทุกคนให้รับทราบในภายหลัง”
เมื่อคนทั้งห้ารับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญเรียบร้อยแล้ว หลังจากชำระค่าอาหารกับสุราเสร็จสรรพ จึงพากันลงจากเหลาสุราแห่งนั้น เดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านระยะทางราวห้าสิบลี้ เบื้องหน้าเป็นสาขาที่ตั้งของสำนักมารสวรรค์
เยี่ยนผิง รีบเดินนำหน้าเข้าไปพร้อมกับส่งเสียงเรียกหัวหน้าสาขาแห่งนั้นออกมา ไม่นานเท่าใดนัก ชายผู้หนึ่งรูปร่างท้วมใบหน้าคล้ายดั่งสุกร ใบหูกางดั่งพัดโบก จมูกใหญ่ตากลมโต วิ่งออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นว่าเป็นนางชายคนดังกล่าวรีบประสานมือ แล้วเชื้อเชิญทั้งหมดเข้าไปยังด้านใน จ่านจือลอบมองเงาหลังของชายร่างฉุผู้นั้นวูบหนึ่ง แม้รูปร่างจะค่อนข้างท้วมแต่ยามก้าวเท้ากลับดูคล่องแคล่วว่องไว ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่างไร้น้ำหนักพอคาดเดาได้ว่าวิชาตัวเบาของคนผู้นี้มิต่ำทราม
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564