Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (มารยุทธภพ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

มารยุทธภพ

  • 13/08/2565

ตอนที่ 73

มารยุทธภพ

เมื่อเหล่ามารพลิ้วกายหนีหายไปหมดสิ้นแล้ว ทุกคนต่างมีความเห็นว่าควรรีบรุดเดินทาง เพื่อไปสมทบช่วยเหลือพรรคไผ่หลิวอีกแรงหนึ่ง ดังนั้นทั้งหมดจึงเร่งออกเดินทางมุ่งหน้าสู่พรรคไผ่หลิวในทันทีโดยมีเต้าเฉียนไต้ซือกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทุ่มเทท่าร่างเดินทางล่วงหน้าไปก่อน

ทางด้านพรรคไผ่หลิวการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน หลังจากต่อสู้ติดต่อหลายชั่วยามผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยต่างได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง บ้างถูกคมกระบี่กรีดร่างสังหารผู้ที่เหลือชีวิตรอดล้วนแล้วแต่มีพลังฝีมือกล้าแข็ง เท่าที่ดูด้วยสายตากำลังคนจากฝ่ายธัมมะกับฝ่ายมารอธรรมที่หลงเหลือมีดังนี้

ฝ่ายธัมมะมีประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง ผู้เฒ่าเก้าทิกว่อกับสองผู้เฒ่ารักษากฎผู้เฒ่าลู่และผู้เฒ่าโอ่ว นอกนั้นล้วนได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปหมดสิ้นหากเทียบกับฝ่ายมารอธรรมในเวลานี้ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับก้นเหวฝ่ายมารอธรรมที่เหลือประกอบด้วย

เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง พร้อมด้วยสองมือดีเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้ง และสองดรุณีเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อ ถัดมาคือเจ้าสำนักอินทรีขาวอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง กับเจ้าสำนักฝ่ามือโลหิตหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย ลำพังเจ้าอสูรโลกันตร์เพียงผู้เดียวเพียงพอสำหรับสังหารฝ่ายธัมมะที่เหลือได้หมดสิ้นโดยมิลำบากยากเย็นกระไรนัก หากจะให้เต้าเฉียนไต้ซือกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเดินทางมาช่วยเหลือด้วยระยะทางที่ไกลโขน้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ เห็นทีคงต้องจบสิ้นด้วยน้ำมือมารโดยมิอาจหลีกพ้น

ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เห็นสภาพของฝ่ายธัมมะที่เหลืออดที่จะแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมามิได้ มันแสดงกิริยาว่าไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา พลางหันมาทางด้านประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงแล้วส่งเสียงกล่าวหยามหยันว่า

“ว่าเช่นไรท่านเฉิง? อ้อ..ไม่สินะต้องเรียกว่าท่านอาวุโสเฉิงจึงถูกต้อง คราก่อนข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงลงมือต่อท่านมิสำเร็จ หากขอทานเฒ่าหวงเกาฉือไม่ยื่นมือเข้ามาแส่แล้วละก็ ป่านนี้วิญญาณของท่านคงเพลิดเพลินกับการเที่ยวชมปรโลกแล้ว แต่มิต้องห่วงไปดอกวันนี้ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงจะยินยอมสิ้นเปลืองทุนโดยไม่มุ่งหวังผลกำไรแม้แต่อีแปะเดียว ในการออกแรงน้อมส่งท่านอาวุโสเฉิงไปลงปรโลก อาวุโสมีคำพูดใดสั่งเสียเชิญท่านเอื้อนเอ่ยออกมาได้มิต้องเกรงอกเกรงใจ ข้าพเจ้ายินดีนำคำสั่งเสียของท่านไปดำเนินการให้ด้วยความเต็มใจ ถือเป็นของขวัญวันตายของท่านเช่นนี้ดีหรือไม่อาวุโส?”

ประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง ได้ฟังวาจาของขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง รู้สึกโกรธแค้นเหลือประมาณแต่มิอาจกระทำเช่นไรได้ ในจำนวนคลื่นลูกหลังผู้ที่มีพลังฝีมือรุดหน้าอย่างเหลือเชื่อ มารน้อยผู้นี้ย่อมถูกจารึกชื่อไว้ในแถวหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่แน่นักหากต่อสู้กันประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงจะสามารถเอาชนะมันได้ ถึงแม้จะเอาชนะได้ก็อาจจะสูสีก้ำกึ่งหวาดเสียว หากเป็นเช่นนั้นต่อให้ไม่ตายภายใต้น้ำมือเด็กน้อยผู้นี้ ก็ต้องตายภายใต้น้ำมือของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันอยู่ดี

คิดได้เช่นนั้นระงับอาการโกรธแค้นเอาไว้ แล้วส่งเสียงกล่าวต่อขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันว่า

“หากเจ้ามั่นใจว่าสามารถเอาชนะเราได้ เรายินดีที่จะประลองฝีมือกับเจ้า ถึงแม้จะถูกหลายคนประณามหยามเหยียดเสียดสี ว่าเราอาวุโสรังแกเด็กรุ่นเยาว์เราก็หาถือสาไม่ แต่มีเรื่องหนึ่งผู้เฒ่าทั้งสามความจริงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราจึงต้องการให้ท่านทั้งสองอย่าได้ลากเอาพวกท่านมาข้องแวะด้วย ก่อนที่เรากับเจ้าจะได้ต่อสู้แตกหักขอให้ปล่อยผู้เฒ่าทั้งสามไป ส่วนเราจะขอสู้กับเจ้าให้ตกตายไปข้างหนึ่ง”

ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงได้ยินเช่นนั้น ส่งเสียงหัวร่อดังกึกก้องด้วยความสนุกสนานพร้อมกับเดินวนรอบกายประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง แล้วใช้สายตาสำรวจอยู่เที่ยวหนึ่ง จากนั้นหันมาสำรวจผู้เฒ่าทั้งสามแล้วส่งเสียงกล่าวตอบออกมาว่า

“ความจริงคำขอร้องของผู้ที่ใกล้ตาย ข้าพเจ้าสมควรส่งเสริมวิญญาณท่านจะได้เดินทางโดยสงบ ย่อมได้ข้าพเจ้ากับท่านเจ้าอสูรโลกันตร์รับปากต่อท่าน ว่าจะปล่อยผู้เฒ่าทั้งสามไป แต่อาวุโสอย่าลืมว่านอกจากข้าพเจ้ากับท่านเจ้าอสูรโลกันตร์แล้ว ในที่นี่ยังมีท่านหลี่ปู้เหว่ยกับท่านหว่าเกาเฉิง มิทราบว่าท่านทั้งสองจะว่าเช่นไร? ข้าพเจ้าเองแม้รับปากปลดปล่อยหากพวกเขาคิดเหนี่ยวรั้งเอาไว้ ข้าพเจ้าก็มิอาจช่วยเหลือได้ แต่ในความเห็นของข้าพเจ้าหากให้พวกเขารีบไป จะหาความสำราญได้เช่นไรเล่า? มิสู้รอให้พวกเขาชมดูการต่อสู้ระหว่างท่านกับข้าพเจ้าก่อนจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ?”

ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง พอกล่าวจบทุกคนของฝ่ายมารอธรรมต่างส่งเสียงสนับสนุนในคำพูดของมัน ถึงแม้สามผู้เฒ่าคิดจะจากไปจริงคงต้องผ่านด่านของหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย กับอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงซึ่งไม่ง่ายดาย เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันก้าวเดินออกมา พร้อมกับส่งเสียงต่อมารน้อยหว่อถิงว่า

“หว่อถิงเจ้าจงแสดงฝีมือให้เต็มที่อย่าได้ออมมือ ส่วนคนอื่น ๆที่เหลือมิต้องกังวล หากพวกมันก้าวเท้าออกมาแม้แต่เพียงครึ่งก้าว ข้าจะส่งพวกมันลงปรโลกล่วงหน้าไปก่อน เมื่อท่านเฉิงเดินทางไปถึงจะได้ไม่อ้างว้างเดียวดายเท่าใดนัก”

สิ้นเสียงเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณกระชับด้ามขลุ่ยสีเงินยาวฟุตครึ่ง แล้วพุ่งร่างเข้าหาประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงในทันใด พอร่างใกล้บรรลุถึงหมุนควงด้ามขลุ่ยเป็นวงกว้างครอบคลุมจากนั้นฟาดฟันออกเป็นรูปกากบาท สภาวะที่ใช้ออกเปี่ยมล้นด้วยพลังลมปราณขั้นสูงสุด ประมุขพรรคไผ่หลิวรับทราบได้ทันทีว่า มารน้อยผู้นี้มีพลังฝีมือรุดหน้ายิ่งกว่าครั้งที่ประมือในครั้งก่อนอีกขั้นหนึ่ง ดังนั้นรีบยกไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องขึ้นตั้งรับกระบวนท่าอย่างสุดกำลัง

เสียงด้ามขลุ่ยกับไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องปะทะดังเลื่อนลั่น เหล่ามารที่อยู่ด้านข้างต่างโห่ร้องชมเชยด้วยความยินดี เยิ่นหว่อถิงเปลี่ยนกระบวนท่าจากฟาดฟันเป็นหมุนควงด้ามขลุ่ยในมือดั่งกงจักรเข้าใส่เฉิงปู้กง ความรวดเร็วของด้ามขลุ่ยประหนึ่งจักรผันมองแทบมิเห็นรูปร่างเห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางพร่างพราวละลานตา มือใช้ออกด้วยอาวุธขลุ่ยส่วนเท้าใช้ออกด้วยวิชาเงาปีศาจพันร่าง เฉิงปู้กงเคยพบพานวิชานี้มาแล้วคราหนึ่งทราบดีถึงความร้ายกาจพิสดารรีบบรรจุลมปราณผ่านไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องแล้วฟาดออกจากซ้ายไปขวาเข้าสกัดต้านทานพร้อมกับพุ่งร่างถอยหลังอีกหลายก้าว

เยิ่นหว่อถิงเห็นเช่นนั้นกระโจนตามติดพลิกร่างกลางอากาศพร้อมปล่อยขลุ่ยเงินในมือออกดั่งซัดอาวุธลับ เสียงด้ามขลุ่ยเงินพุ่งแหวกฝ่าอากาศเข้าใส่ร่างของเฉิงปู้กงดังชัดเจนแจ่มใสในขณะที่จวนเจียนเฉิงปู้กงพลิกร่างตีลังกากลับหลังถึงสามตลบจึงหลบพ้น รู้สึกถึงคลื่นพลังที่บรรจุมากับด้ามขลุ่ยเงินพุ่งเฉียดข้างกายไปอย่างหวาดเสียว ร่างยังไม่ทันหยัดยืนมั่นคงเยิ่นหว่อถิงพุ่งร่างมาถึงแล้วเท้าขวาเตะเข้าใส่เสียงดังโครมใหญ่ แน่นอนเท้านี้มิพลาดเป้าเห็นชัดถนัดเต็มสองเบ้าตาว่าเตะถูกไหล่ซ้ายของเฉิงปู้กงอย่างถนัดถนี่ ส่งผลให้ร่างของเฉิงปู้กงพุ่งถลาไปด้านข้างราวสามสี่ก้าว

ในขณะเดียวกันเยิ่นหว่อถิงอาศัยหยิบยืมพลังจากการเตะเมื่อครู่พุ่งตามติดด้ามขลุ่ยเงินอาวุธคู่กายแล้วยื่นเท้าซ้ายออกใช้ปลายเท้าเขี่ยปลายขลุ่ยด้านใกล้ตัวกดต่ำลง ส่งผลให้ด้ามขลุ่ยเงินพลิกตวัดกลับมายังผู้เป็นเจ้าของ เยิ่นหว่อถิงเฉลียวฉลาดอาศัยหยิบยืมพลังจากด้ามขลุ่ยอีกครั้งหลังจากคว้ารับด้ามขลุ่ยเงินแล้วทะยานร่างกลับมาหาเฉิงปู้กงอีกคราดั่งพยัคฆ์กระหายเหยื่อ

เฉิงปู้กงเพิ่งจะตั้งหลักมั่นพอหมุนร่างกลับมาเยิ่นหว่อถิงก็บรรลุถึง มิเพียงขลุ่ยในมือที่ฟาดฟันเข้าใส่สองเท้าของมารน้อยรุ่นเยาว์ยังเตะสลับอย่างว่องไว ทุกกระบวนท่าล้วนสกัดการหลบหลีกของเฉิงปู้กงจนหมดสิ้น ประมุขพรรคไผ่หลิวหมดสิ้นหนทางหลบหลีกรีบทิ้งตัวหมุนกายไปกับพื้นแล้วไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องใช้ออกด้วยวิชาไผ่หลิวกวาดพสุธาในท่าม้วนพสุธาตีฝ่าคลื่นลม จากนั้นตามติดด้วยท่าคำนับฟ้ากราบจันทราจึงสามารถหนีรอดกระบวนท่าของมารรุ่นหลังได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียว

น้อยครั้งที่เฉิงปู้กงจะใช้วิชาประจำสำนักออกมาจนหมดสิ้น ในวิชาไผ่หลิวกวาดพสุธามีด้วยกันทั้งหมดสิบท่าแต่ละท่าแปรเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ท่าที่หนึ่งกำเนิดไผ่หลิว ท่าที่สองไผ่หลิวแยกกอ ท่าที่สามใบหลิวเบ่งบานสะพรั่ง ท่าที่สี่ไผ่หลิวสะบัดยอด ท่าที่ห้าไผ่หลิวหยอกสายลม ท่าที่หกไผ่หลิวท่องดง ท่าที่เจ็ดม้วนพสุธาตีฝ่าคลื่นลม ท่าที่แปดไผ่หลิวข้ามสมุทร ท่าที่เก้าไผ่หลิวคำนับฟ้ากราบจันทรา ท่าที่สิบไผ่หลิวแหวกเมฆา พอเฉิงปู้กงหลบรอดกระบวนท่าของเยิ่นหว่อถิงแล้วหลังจากหยัดยืนมั่นคงไม่รั้งรอใช้ออกด้วยท่ากำเนิดไผ่หลิวในทันที อาศัยช่วงจังหวะที่เยิ่นหว่อถิงยังไม่บรรลุถึงร่างห่างอีกราวสิบก้าว

ท่านี้ถึงแม้เป็นท่าที่หนึ่งในวิชาไผ่หลิวกวาดพสุธาแต่ทว่าร้ายกาจและพิสดารยิ่งนัก เฉิงปู้กงพุ่งไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องออกจากมือด้วยพลังลมปราณเต็มเปี่ยม ไม้เท้าพอหลุดพ้นจากมือเฉิงปู้กงกลับมุดหายลงไปใต้พื้นดินในพริบตา ภาพที่เห็นปรากฏเป็นคลื่นฝุ่นดินปะทุขึ้นมาพร้อมกับเสียงวัตถุแหวกพื้นดินดังสนั่นดูคล้ายกับมังกรตัวมหึมากำลังมุดดินเข้าหาเยิ่นหว่อถิงก็มิปาน

พื้นดินด้านหน้าเฉิงปู้กงยาวไปถึงเยิ่นหว่อถิงกลายเป็นร่องลึกประมาณสองฟุต ห่างไม่ถึงหนึ่งก้าวก่อนจะถึงร่างของเยิ่นหว่อถิงซึ่งยังคงลอยอยู่กลางอากาศเกิดเป็นเสียงระเบิดตูมดังพร้อมกับฝุ่นคลีดินคละคลุ้ง ไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องผุดขึ้นจากใต้พื้นดินดั่งหน่อไม้โผล่พ้นพื้นดิน แต่ความแรงและความเร็วกลับเพิ่มขึ้นจนเยิ่นหว่อถิงต้องอุทานดังอาออกมาอย่างลืมตัว

เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นกระบวนท่านี้ร่างยังคงลอยอยู่กลางอากาศแต่ทว่าไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องของเฉิงปู้กงพุ่งมาถึงแล้ว ดังนั้นรีบเกรงลมปราณขึ้นคุ้มครองกายแล้วฟาดด้ามขลุ่ยเงินเข้าใส่ไม้เท้าของเฉิงปู้กงอย่างสุดกำลัง เสียงเปรื่องดังสนั่นอีกครั้งเยิ่นหว่อถิงรับรู้ได้ถึงพลังแหลมคมที่บรรจุมากับไม้เท้าส่งผลให้ร่างกระเด็นกลับหลังไปหลายวาแต่ทว่ามิได้รับบาดเจ็บอะไร

ในขณะเดียวกันเฉิงปู้กงทะยานร่างตามติดแล้วคว้ารับไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องที่กระดอนกลับมา จากนั้นหมุนควงไม้เท้าเข้าหาเยิ่นหว่อถิงด้วยท่าไผ่หลิวหยอกสายลม เยิ่นหว่อถิงแม้เหนือความคาดหมายแต่มิได้ลนลานแต่อย่างใด พอร่างสัมผัสพื้นสลับเท้าซ้ายขวาล่อหลอกครานี้ใช้ท่าวิชาเงาปีศาจพันร่างถึงขีดสุดเช่นกัน ส่งผลให้ร่างของเยิ่นหว่อถิงคล้ายจริงคล้ายหลอกเห็นเพียงเงามายาเคลื่อนย้ายวูบไหวไปมา แม้แต่สามผู้เฒ่ากับสามจอมมารที่ยืนชมดูอยู่ด้านข้างเห็นร่างของเยิ่นหว่อถิงแยกย้ายเป็นร้อยพันสายจนสายตาพร่ามัว

เฉิงปู้กงเคยเห็นท่านี้ครั้งที่เยิ่นหว่อถิงบุกมาพรรคไผ่หลิวครั้งก่อนทราบดีว่ายากคาดเดาว่าร่างไหนจริงร่างไหนปลอม ดังนั้นไม่สิ้นเปลืองสมองขบคิดให้มากความล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบอาวุธลับรูปใบไผ่เล็ก ๆขึ้นมากำหนึ่ง จากนั้นใช้เคล็ดวิชาใบหลิวเบ่งบานสะพรั่งซัดขว้างอาวุธลับรูปใบไผ่ออกไปรอบทิศทาง

นับว่าได้ผลจากเงาร่างนับร้อยพันสายของเยิ่นหว่อถิงพออาวุธลับพุ่งออกไปร่างที่แท้จริงของเยิ่นหว่อถิงเคลื่อนไหวชัดเจนเพียงพอที่ระดับฝีมืออย่างเฉิงปู้กงจะคำนวณออกได้ รีบใช้ออกด้วยท่าไผ่หลิวข้ามสมุทรเข้าหาเงาร่างสายนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นท่าไผ่หลิวสะบัดยอดฟาดเข้าใส่ร่างของเยิ่นหว่อถิง

เยิ่นหว่อถิงไม่คิดว่าเฉิงปู้กงจะใช้ไม้นี้และไม่คาดคิดว่าเฉิงปู้กงจะคำนวณร่างที่แท้จริงของตนได้ พอสมองคิดไม้เท้าไผ่หลิวของเฉิงปู้กงก็บรรลุถึงแม้จะวกด้ามขลุ่ยเงินเข้าต้านรับอย่างหักโหมแต่ครานี้ไม้เท้าไผ่หลิวของเฉิงปู้กงคล้ายดั่งไร้ความแข็ง พอด้ามขลุ่ยกับไม้เท้าสัมผัสกันปลายด้านหนึ่งของไม้เท้าไผ่หลิวสะบัดพลิ้วอ่อนไหวเข้ามายังสีข้างของเยิ่นหว่อถิง ในขณะที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันอาศัยพุ่งร่างถอยหลังเพื่อให้สัมผัสปลายไม้เท้าให้น้อยที่สุด

เสียงทึบดังชัดเจนเสนาะโสตช่างไพเราะยิ่งนักในความคิดของสามผู้เฒ่า สิ้นเสียงภาพที่เห็นปรากฏเป็นเส้นสายฉีกขาดบนเสื้อคลุมของเยิ่นหว่อถิงเป็นทางยาว เยิ่นหว่อถิงรีบพุ่งร่างถอยมาอย่างร้อนรนเมื่อก้มลงมองสีข้างเห็นโลหิตไหลซึมออกมายังเสื้อด้านนอกสร้างความขุ่นแค้นแก่มันเหลือประมาณ ยกมือชี้ด้ามขลุ่ยเข้าใส่เฉิงปู้กงแต่ไกลพร้อมกับตวาดออกไปว่า

“เฒ่าโสโครกกล้าสร้างบาดแผลบนตัวข้าพเจ้าเชียวรึ? วันนี้ข้าพเจ้าขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงจะต้องคิดบัญชีต่อท่านคืนมาทั้งต้นทั้งดอกเสียแล้วกระมัง? อย่าได้กล่าวหาว่าข้าพเจ้าหน้าเลือดขูดรีดเป็นเด็ดขาด”

กล่าวจบเยิ่นหว่อถิงสอดขลุ่ยเงินเก็บไว้ระหว่างเอวจากนั้นเร่งเร้าพลังลมปราณอีกครั้ง เฉิงปู้กงรับทราบได้ในทันทีว่าเยิ่นหว่อถิงกำลังจะใช้วิชาอะไรออกมา วิชาที่เยิ่นหว่อถิงใช้และนับว่าร้ายกาจอีกสองวิชานั่นคือฝ่ามืออสูรสยบโลกันตร์กับฝ่ามือเงาอสูรดูดวิญญาณ มารน้อยเมื่อเร่งเร้าพลังลมปราณถึงขีดสุดแยกย้ายฝ่ามือทั้งสองออกแล้วพุ่งร่างเข้าหาเฉิงปู้กงในทันใด

เฉิงปู้กงเคยเห็นเยิ่นหว่อถิงใช้วิชานี้แล้วคราหนึ่งดังนั้นเตรียมพร้อมรับมืออย่างรัดกุม เยิ่นหว่อถิงเมื่อบรรลุถึงมือขวาแผ่พุ่งออกเป้าหมายเป็นบริเวณหน้าอกของประมุขพรรคไผ่หลิว เฉิงปู้กงระวังป้องกันอยู่ก่อนแล้วจึงเบี่ยงตัวหลบกระบวนท่านี้ เยิ่นหว่อถิงกู่ร้องก้องดังกังวานมือซ้ายพุ่งตามติดโดยมิยอมให้เฉิงปู้กงทันตั้งตัวติด แต่เฉิงปู้กงนับว่าโชกโชนเห็นเช่นนั้นก้มตัวต่ำลงพร้อมกับไม้เท้าในมือฟาดออกเรียดพื้นเยิ่นหว่อถิงไม่รั้งรอรีบพุงร่างลอยขึ้นหลบไม้เท้าที่ฟาดมาอีกทั้งยังพุ่งฝ่ามือเข้าใส่บริเวณใบหน้าของเฉิงปู้กงติดต่อกันถึงสิบห้าฝ่ามือ

เฉิงปู้กงโยกหลบซ้ายขวาอย่างว่องไวสมาธิจับจ้องอยู่ที่สองฝ่ามือของเยิ่นหว่อถิง ทุกกระบวนท่าได้แต่คอยตั้งรับ ด้วยทราบว่าหากจู่โจมออกไปเยิ่นหว่อถิงจะใช้วิชาอสูรดูดวิญญาณรั้งดึงเอาไว้ วิชานี้นอกจากจะใช้ทำร้ายคู่ต่อสู้แล้วยังสามารถดูดเอาพลังลมปราณของคู่ต่อสู้เข้ามาแล้วสะท้อนออกไปทำร้ายผู้ที่เป็นเจ้าของได้อีกด้วย ดังนั้นเฉิงปู้กงจึงมิผลีผลามอีกทั้งคำนวณว่าเยิ่นหว่อถิงเป็นคนใจร้อนคงมิอาจอดทนรอให้ตนจู่โจมเป็นแน่แท้ นั่นเท่ากับตนจะคอยตั้งรับโดยรัดกุมรอคอยโอกาสที่เยิ่นหว่อถิงเปิดเผยช่องโหว่ออกมา เมื่อถึงเวลานั้นค่อยลงมือจู่โจมสั่งสอนเด็กน้อยผู้นี้ให้รู้สำนึก

แต่ดูเหมือนความคิดของเฉิงปู้กงจะมิอาจรอดพ้นหูตาของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันไปได้ เมื่อเห็นเฉิงปู้กงได้แต่ตั้งรับถ่ายเดียวจึงได้ส่งเสียงรบกวนสมาธิของเฉิงปู้กงออกไปว่า

“ท่านเฉิงท่านเป็นอะไรไปแล้วดูมือเท้าท่านพันกันวุ่นวายจนไม่สามารถลงมือต่อเด็กรุ่นหลังได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวเห็นแล้วชวนอับอายสายตาของพวกเรายิ่งนัก ประมุขพรรคไผ่หลิวมีชื่อเสียงเลื่องลือกลับไม่สามารถลงมือต่อเด็กน้อยรุ่นหลังได้ ข้าพเจ้าว่าทางที่ดีท่านรามือแล้วยอมพ่ายแพ้จะประเสริฐกว่าท่านเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่ท่านเฉิง?”

สิ้นเสียงของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยกับอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงส่งเสียงสนับสนุนพร้อมเพรียงดังว่า

“ถูกต้องข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับท่านเจ้าอสูร ท่านเฉิงท่านนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือได้รับการยกย่องเป็นถึงประมุขพรรคไผ่หลิวกลับต้องหลบหลีกกระบวนท่าของเด็กน้อยรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เห็นทีคำร่ำลือเกี่ยวกับพลังฝีมือของท่านคงเป็นเพียงวาจาเพ้อเจ้อเหลวไหลของชาวยุทธ์แล้วกระมัง? เท่าที่เห็นท่านมิคล้ายจะน่ากลัวอันใดน่าอับอายน่าอับอายยิ่งนัก”

ทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นวาจายั่วยุให้ตนลงมือจู่โจมต่อเยิ่นหว่อถิง แต่หากมัวแต่ตั้งรับโดยไม่ตอบโต้เท่ากับยอมรับต่อวาจาเหล่านั้น คำพูดอื่นยังพอทนทานรับฟังได้แต่วาจาที่กล่าวหาว่าท่านมีฝีมือหลอกลวงผู้คนหารับได้ไม่ เท่ากับเป็นการดูหมิ่นหยามศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงที่ผ่านมาตำแหน่งประมุขพรรคไผ่หลิวล้วนได้มาจากความสามารถและฝีมืออันแท้จริง ดังนั้นแม้ต้องจบชีวิตภายใต้น้ำมือของมารน้อยผู้นี้ก็หาหวั่นเกรงไม่ คิดแล้วกวัดแกว่งไม้เท้าไผ่หลิวในมือออกเป็นฝ่ายจู่โจมในทันที

เยิ่นหว่อถิงเองเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมล้วนทราบว่าเจ้าอสูรโลกันตร์กับอินทรีกลางฟ้าและหัตถ์อมตะจงใจยั่วยุเฉิงปู้กง หากยังไม่ยอมลงมืออีกคงไม่อาจอยู่สู้หน้าชาวยุทธ์ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นเฉิงปู้กงพุ่งร่างเข้ามาอย่างสุดกำลังทราบว่าตาเฒ่าผู้นี้คงลงมืออย่างสุดกำลังแล้วดังนั้นรีบเกร็งลมปราณรอคอยโดยมิรอช้า

เฉิงปู้กงเมื่อบรรลุถึงห่างไม่ถึงสองก้าวไม้เท้าไผ่หลิวพุ่งออกต่างกระบี่เป้าหมายเป็นบริเวณคอหอยของเยิ่นหว่อถิง พอไม้เท้าของเฉิงปู้กงเข้าใกล้รัศมีสามคืบเยิ่นหว่อถิงประกบสองฝ่ามือรับปลายไม้เท้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว เฉิงปู้กงสมองพลันคิดว่าเยิ่นหว่อถิงคงจะใช้พลังอสูรดูดวิญญาณรั้งดึงไม้เท้าของท่านเอาไว้ ดังนั้นจึงมิกล้าดึงไม้เท้าคืนกลับได้แต่ก้าวเท้าตามไปตามสภาวะ เยิ่นหว่อถิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากแทนที่จะใช้พลังอสูรดูดวิญญาณออกมา แต่กลับใช้ฝ่ามือข้างขวากระแทกเข้าใส่ปลายไม้เท้าวิชาที่ใช้เป็นฝ่ามืออสูรสยบโลกันตร์

เสียงฝ่ามือของเยิ่นหว่อถิงปะทะกับไม้เท้าดังชัดเจนอีกทั้งแผ่พุ่งพลังลมปราณทั้งหมดผ่านฝ่ามือเข้าใส่ปลายไม้เท้า เฉิงปู้กงรู้สึกถึงพลังร้อนซ่านขุมหนึ่งแล่นผ่านตัวไม้เท้าเข้ามาอีกทั้งแรงกระแทกยังมหาศาลจนเลือดลมพลุ่งพล่านดาลเดือด ในขณะที่สมองอื้ออึงสายตาพร่าพราวมองเห็นดาวเดือนปรากฏอยู่เบื้องหน้า มือด้านที่ถือไม้เท้าจรดหัวไหล่ชาวูบอย่างรุนแรง หากไม่ปล่อยไม้เท้าจากมือเห็นทีคงมิอาจรักษาแขนข้างนี้เอาไว้ได้ดังนั้นรีบคลายมือออกจากไม้เท้า

ในขณะที่เท้ารีบก้าวพุ่งถอยหลังอย่างว่องไวแต่ดูคล้ายใบหน้าของเยิ่นหว่อถิงจะยื่นเข้ามาประชิดกับใบหน้าท่านห่างไม่ถึงสามนิ้ว อีกทั้งฝ่ามือของเยิ่นหว่อถิงขยายใหญ่ขึ้นจนน่ากลัวแล้วฝ่ามือข้างนั้นของเยิ่นหว่อถิงบรรจงประทับใส่ทรวงอกของท่านอย่างถนัดถนี่

โดยมิต้องบรรยายสภาพของประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง พอฝ่ามือกระทบโดนร่างลอยละลิ่วดั่งว่าวไร้การควบคุมส่งผลให้ร่างของเฉิงปู้กงปลิวออกไปราวสิบกว่าก้าว อีกทั้งปากยังพ่นโลหิตสีแดงสดออกมาเป็นเส้นสายตำแหน่งที่ร่างกระเด็นปลิวไปเป็นเสาศิลาที่หลงเหลือจากกองเพลิง ยอดเสาศิลาที่เหลือยื่นออกมาเล็กแหลมคล้ายปลายทวนด้ามหนึ่ง เหมือนดั่งเยิ่นหว่อถิงคำนวณมั่นเหมาะให้ร่างของเฉิงปู้กงไปตกลงยังตำแหน่งนั้นพอดิบพอดี สามผู้เฒ่าขอทานร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจร่างของเฉิงปู้กงตกวูบลงมายังเสาศิลาอันแหลมคมห่างไม่ถึงสามฟุต ทุกคนคาดคิดว่าคงจบสิ้นแล้วชีวิตของประมุจพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง

แต่ทันใดนั้นเองก่อนที่ร่างของเฉิงปู้กงจะตกวูบลงร่างกลับกระตุกคราหนึ่งคล้ายกับมีผู้ใดคว้าพลิกร่างเอาไว้ก็มิปาน พอร่างของเฉิงปู้กงพลิกตกลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบาห่างจากเสาศิลาต้นนั้นไม่ถึงห้าคืบชวนหวาดเสียวทุกคนหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน เห็นระหว่างเอวของเฉิงปู้กงถูกตวัดรัดพันด้วยเส้นไหมเงินกลุ่มหนึ่ง เมื่อมองตามกลุ่มเส้นไหมเงินนั้นพบว่าที่แท้เป็นแส้พัดด้ามหนึ่งดูคุ้นตายิ่ง แต่ที่คุ้นตายิ่งกว่ากลับเป็นเจ้าของแส้พัดด้ามนั้นที่ยืนสงบสำรวมไม่ไหวติง พอเห็นร่างของเฉิงปู้กงลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย ร่างนั้นพลิกข้อมือวูบหนึ่งแส้พัดคล้ายมีชีวิตเส้นไหมเงินกลุ่มนั้นคลายออกจากร่างของเฉิงปู้กงแล้วหดกลับไปสู่ตัวด้ามแส้อย่างพิสดาร

ห่างออกไปราวสิบก้าวปรากฏร่างสีขาวสะอาดตาทยอยทิ้งร่างลงสู่พื้นดุจดั่งปุยนุ่นเบาบางอีกแปดร่างด้วยกัน ชุดที่สวมใส่ล้วนเหมือนกันกับผู้ที่ถือแส้พัดช่วยเหลือเฉิงปู้กงเอาไว้ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงพร้อมกันดังว่า

“นางชีเทวราชชิ้วโส่วกับแปดนางชีแห่งอารามอเทวตา”

นางชีเทวราชชิ้วโส่วหันหน้ามาทางด้านเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันแล้วมองสำรวจไปยังอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยและขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงก่อนที่จะส่งเสียงราบเรียบดังว่า

“นึกว่าเป็นคนชั่วช้าจากสารทิศใด? ที่แท้ก็เป็นพวกท่านทั้งสี่คนนี่เองแล้วคนอื่นหายหน้าไปไหนเสียหมด เท่าที่ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วทราบมายังมียายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนและเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋ออลัชชีมารศาสนาแห่งเส้าหลินรวมถึงคนชั่วอื่น ๆอีก ข้าพเจ้าอุตส่าห์พานางชีจากอารามอเทวตามาเยี่ยมเยียนไยไม่รอพบหน้ากันก่อน แต่นับว่ามาไม่เสียเที่ยวยังมาทันเห็นเหตุการณ์กระทำชั่วช้าของพวกท่าน”

พอนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวจบเสียงหัวร่อหนึ่งพลันดังมาพร้อมกับร่างกลุ่มหนึ่งพลิ้วกายเข้ามาดั่งเมฆหมอก

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป