Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (คัมภีร์เสียวลิ้มยี่)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

คัมภีร์เสียวลิ้มยี่

  • 13/08/2565

ตอนที่ 50

คัมภีร์เสียวลิ้มยี่

ส่วนที่ว่าคัมภีร์ล้างไขกระดูกท่านต้าทงไต้ซือท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้ใดนั้น ความลับนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับคัมภีร์สุริยันจันทราที่หายสาบสูญ ถึงแม้ท่านต้าทงไต้ซือจะทราบวิชาในคัมภีร์ล้างไขกระดูกแต่ท่านเองกลับมิสามารถที่จะฝึกฝนจนสำเร็จได้ เพราะวิชานี้ว่าด้วยการฝึกลมปราณก่อนกำเนิดซึ่งถือว่ายากที่จะมีผู้ฝึกได้สำเร็จ ที่ผ่านมาก็มีเพียงเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนเพียงผู้เดียวที่ฝึกคัมภีร์นี้สำเร็จ            

ขณะที่จ่านจือท่องเคล็ดลับในคัมภีร์ทั้งสองเล่มแม้จะยังมิได้ทำความเข้าใจได้กระจ่าง แต่ก็นับว่าคัมภีร์สองเล่มนี้เป็นสุดยอดวิชาที่ร้ายกาจถึงที่สุด ทางด้านเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันตอนนี้ย่อมทราบแล้วว่ากระทำเรื่องราวผิดพลาดยากให้อภัยจะถอนฝ่ามือกลับก็มิอาจกระทำได้ หากขืนโง่เขลากระทำเช่นนั้นพลังลมปราณที่เปี่ยมล้นในร่างของจ่านจือจะกระแทกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสถึงพิการ หากน้อยนิดก็อาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกส่งผลให้วรยุทธ์ถดถอยลงไปถึงยี่สิบสามสิบปี ดีมิดีพลาดพลั้งร้ายแรงอาจเอาชีวิตมาโยนทิ้งยังสถานที่แห่งนี้ก็อาจเป็นไปได้            

ครั้นจะถอนตัวกลางคันก็กระทำมิได้ จะเพิ่มพลังเข้าไปอีกก็เป็นการช่วยเหลือจ่านจืออีกทางหนึ่งสถานการณ์ในตอนนี้เรียกว่ากลืนมิเข้าคายมิออกสร้างความคับแค้นให้กับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเป็นที่สุด ครั้นจะส่งเสียงร้องเรียกให้ยอดฝีมือคนอื่น ๆ เข้ามาคลี่คลายช่วยเหลือก็มิอาจกระทำได้เช่นกัน เพราะหากกระทำเช่นนั้นต่อไปจะมีหน้าอยู่ในยุทธภพนี้ได้เยี่ยงไรด้วยศักดิ์ศรีจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง            

ผู้ที่จะคลี่คลายและช่วยให้ถอนฝ่ามือกลับมาได้โดยที่มิได้รับอาการบาดเจ็บในตอนนี้มีเพียงผู้เดียวนั่นก็คือจ่านจือนั่นเอง ทั้งต้าทงไต้ซือและจ่านจือต่างรับทราบเรื่องราวนี้ดังนั้นเจ้าอาวาสต้าทงใต้ซือจึงคิดจะทดสอบจิตใจของจ่านจืออีกสักครั้งหนึ่ง จึงได้ถ่ายทอดเสียงออกไปกล่าวกับเขาความว่า            

“ประสกน้อย ตอนนี้เจ้าอสูรโลกันตร์จอมมารอธรรมตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายมิออก รุกก็มิได้ถอยก็ไม่ได้นี่นับว่าเป็นโอกาสของประสกแล้วที่จะลงมือ ประสกคิดจะกระทำเช่นไร?ต่อจอมมารผู้นี้”

จ่านจือรีบส่งเสียงผ่านลมปราณโต้ตอบกลับไปว่า

“เรียนท่านไต้ซือคนผู้นี้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ต่อไปคงสร้างความเดือดร้อนแก่ยุทธภพอย่างแน่นอน แต่หากให้ข้าพเจ้าลงมือต่อคนผู้นี้ในขณะที่เขาไม่สามารถตอบโต้ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจ่านจือก็มิสามรถกระทำได้เช่นกัน ลูกผู้ชายอันกล้าหาญควรกระทำเรื่องราวโดยผ่าเผยเที่ยงธรรม แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าอาจต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกับคนผู้นี้สักเล็กน้อย คิดว่าท่านไต้ซือคงมิตำหนิข้าพเจ้า”

“ประสกน้อยคิดจะให้จอมมารผู้นี้กระทำเรื่องราวใด?ในการแลกเปลี่ยนไหนลองบอกกล่าวต่ออาตมาดู”

“เรียนต่อท่านไต้ซือตามตรงไม่ปิดบัง บัดนี้ในร่างของข้าพเจ้าชีพจรทุกจุดถูกทะลวงแทบหมดสิ้น มีเพียงจุดเดียวที่ข้าพเจ้ามิสามารถทะลวงเปิดได้สำเร็จ มีเพียงผู้ที่มีพลังลมปราณกล้าแข็งถึงที่สุดถึงจะช่วยทะลวงจุดชีพจรนี้ให้กับข้าพเจ้าได้ ฝ่ามือพญายมหายสาบสูญไปเนิ่นนานกลับหวนคืนมาทำร้ายเข่นฆ่าผู้คนอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม เหตุใดข้าพเจ้าจะไม่ใช้โอกาสนี้ให้ฝ่ามือพญายมอันร้ายกาจทะลวงจุดที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเล่า? ผู้ที่จะช่วยข้าพเจ้าได้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าแล้วท่านไต้ซือคิดว่าข้าพเจ้าเอาเปรียบผู้อื่นไปหรือไม่?”            

ท่านต้าทงไต้ซือส่งเสียงหัวร่ออย่างพึงพอใจในคำพูดของจ่านจือ นับว่าเขานอกจากมีน้ำใจและคุณธรรมแล้วยังรู้จักใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสต่อตนเอง ต้าทงไต้ซือยอมรับนับถือต่อความเฉลียวฉลาดของจ่านจืออย่างหมดใจ พร้อมกับกล่าวตอบจ่านจือไปว่า

“อาตมานับถือต่อความคิดของประสกนัก คนเราต้องรู้จักพลิกแพลงบ้างตามสถานการณ์รู้จักปล่อยวางจะตึงหรือหย่อนเพียงอย่างเดียวมิได้ อาตมามิคิดจะตำหนิติเตียนเจ้าแต่ประการใดในความคิดอาตมานี่เป็นการมอบบทเรียนให้แก่จอมมารผู้นี้บทหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าก็ถ่ายทอดต่อประสกหม่าด้วยตัวเองเถิด อาตมาจะแสร้งกระทำเป็นไม่รู้เห็นต่อเรื่องราวนี้ เกรงว่าจะสร้างความลำบากใจต่อประสกหม่าที่ถูกเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าสั่งสอนเอาได้”            

ชาวยุทธ์ทั้งหลายที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างไม่รู้ความนัยที่ต้าทงไต้ซือกับจ่านจือส่งถึงกัน ต่างเข้าใจว่าตอนนี้ต้าทงไต้ซือแห่งเส้าหลินกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกำลังประลองกำลังภายในกันอยู่ ต่างคิดเห็นตรงกันว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ผู้ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมต้องเป็นจ่านจืออย่างแน่นอนมิอาจหลีกเลี่ยง            

จ่านจือเมื่อได้รับฟังคำกล่าวของท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลิน จึงมิรอช้ารีบส่งเสียงผ่านลมปราณต่อเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันทันที โดยมิให้ผู้คนโดยรอบระแวงสงสัยแต่ประการใดว่า

“อันที่จริงข้าพเจ้ามิจำเป็นต้องเรียกหาท่านว่าอาวุโสแต่อย่างใด แต่ถึงเช่นไรข้าพเจ้าก็นับว่าเยาว์วัยกว่าท่านมากนัก อีกไม่นานท่านก็แก่ชราต้องอำลาจากโลกนี้ไปก่อนหน้าข้าพเจ้าอยู่หลายสิบปี ดังนั้นข้าพเจ้าจ่านจือจะไม่ถือสาหาความจะยินยอมเรียกท่านว่าอาวุโส แต่ที่น่าเสียดายตอนที่ท่านอำลาจากโลกนี้ไป ความชั่วทั้งหลายที่ท่านได้กระทำไว้คงจะติดตัวท่านไปด้วย หากข้าพเจ้ามีสิ่งดีเรื่องหนึ่งให้ท่านกระทำลบล้างเผื่อสิ่งดีที่ว่านี้จะได้ติดตัวท่านไปยามล่วงลับดับสูญ และจะเป็นการช่วยท่านให้ถอนฝ่ามือของท่านกลับไปโดยไร้เรื่องราวแถมตัวท่านเองก็มิต้องเสื่อมเสียหน้าและชื่อเสียงต่อบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายด้วย ท่านคิดจะรับฟังข้อเสนอของข้าพเจ้าดูก่อนหรือไม่?”            

จ่านจืออาจจะคลุกคลีกับเยี่ยนผิงนานเกินไป วาจาที่ส่งออกไปจึงคล้ายจะเหน็บแนมและเยอะเย้ยอยู่มิน้อย คำพูดเหล่านี้เขามักได้ยินนางกล่าวออกมาเป็นประจำ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันได้ยินเช่นนั้นแทบจะกลืนกินเลือดเนื้อของเขาเสียบัดเดี๋ยวนั้นแต่มิอาจจะกระทำได้ จึงได้ระงับความโกรธแค้นเอาไว้อย่างลำบากยากเย็นแสแสร้งแสดงสีหน้าเป็นปกติ แล้วส่งเสียงโต้ตอบทางลมปราณต่อจ่านจือโดยที่ชาวยุทธ์ท่านอื่นไม่ระแคะระคายว่า

“เด็กทารกร้ายกาจครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดีไม่ตาย แต่อย่าได้คิดว่าข้าเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจะปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างสุขสบายในภายหน้า มีสิ่งใดจะกล่าวต่อข้าก็จงรีบกล่าวมาข้าจะลองรับฟังดู” 

จ่านจือทราบอยู่ก่อนแล้วว่าถึงเช่นไรเจ้าอสูรโลกันตร์ย่อมเลือกหนทางนี้เป็นทางลงอย่างสวยงามหมดจดให้กับตัวเอง ดังนั้นจึงผุดรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปากแล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เรียนต่อท่านตามตรงข้าพเจ้าคิดจะช่วยท่านถอนฝ่ามือคืนไปอย่างปลอดภัย โดยที่ท่านไม่ต้องเสื่อมเสียหน้าและชื่อเสียงต่อชาวยุทธ์ทั้งหลายแต่ประการใด หากในยามปกติข้าพเจ้าอาจจะสู้ท่านมิได้แต่ในตอนนี้ท่านคงต้องพึ่งพาข้าพเจ้าโดยมิอาจหลีกเลี่ยง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ช่วยเหลือท่าน ข้าพเจ้าจะขอหยิบยืมพลังวัตรของท่านในการทะลวงจุดชีพจรที่เหลือของข้าพเจ้า ก่อนหน้านั้นท่านคงค้นหาจุดชีพจรของข้าพเจ้าไม่พบใช่หรือไม่? เรื่องนี้ข้าพเจ้าขอเก็บเอาไว้ให้ท่านปวดหัวเล่นน่าจะสนุกมิน้อย มิทราบว่าท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร จะยินยอมกระทำแลกเปลี่ยนตามข้อเสนอของข้าพเจ้าหรือไม่?”            

เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันพอได้รับฟังวาจาของจ่านจือจบ อยากจะขยี้ร่างเขาให้แหลกเละคามือแต่หากระทำได้ ครั้นไม่ทำตามข้อแลกเปลี่ยนของเด็กน้อยผู้นี้ก็ไม่มีหนทางอื่นที่ดีไปกว่านี้ ยิ่งทำให้รู้สึกอัปยศแก่ตนเองจนถึงที่สุดดังนั้นจึงกัดฟันกล่าวตอบจ่านจือไปว่า

“ครั้งนี้ข้าถือว่าเจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบตกลงข้าจะช่วยทะลวงจุดชีพจรที่เหลือให้แก่เจ้า แต่เจ้าต้องรับปากต่อข้าเรื่องหนึ่งห้ามนำเรื่องราวนี้ไปบอกกล่าวต่อบุคคลที่สามเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วข้าจะถือว่าเจ้าเป็นคนตระบัดสัตย์เสียทีที่เรียกหาตนเองว่าเป็นฝ่ายธัมมะ”

จ่านจือรีบส่งเสียงผ่านลมปราณโดยแสแสร้งเป็นว่าท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือก็มิทราบเรื่องนี้เช่นกันว่า”

“ข้าพเจ้าจ่านจือที่ผ่านมากระทำเรื่องราวโดยเปิดเผย ท่านมิต้องเป็นห่วงไปจะไม่มีบุคคลที่สามรับทราบเรื่องราวเหล่านี้จากปากข้าพเจ้าเป็นเด็ดขาด แต่ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าอย่าใช้ลูกไม้เล่นสกปรกเป็นอันขาด ท่านย่อมทราบแก่ใจนอกจากข้าพเจ้าแล้วด้านหลังยังมีท่านต้าทงไต้ซือที่อีกท่านหนึ่ง หากท่านมีลูกเล่นคงทราบผลที่จะติดตามมา เมื่อท่านรับปากเช่นนั้นข้าพเจ้ากับท่านอย่ามัวชักช้าเสียเวลาเดี๋ยวเหล่าผู้กล้าจะสงสัยเอาได้ว่าท่านมิมีน้ำยา ข้าพเจ้าจะเปิดเผยจุดชีพจรที่ต้องการให้ท่านช่วยทะลวงจากนั้นท่านก็เริ่มลงมือได้เลย”            

เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถังอันแม้โกรธจนลมออกหูแต่หมดสิ้นหนทางจำต้องกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ดังนั้นจึงเริ่มถ่ายทอดลมปราณอันแข็งกร้าวถึงที่สุดเข้าไปโดยการชักนำของจ่านจือผ่านเข้าไปยังจุดชีพจรในร่างเขา โดยมีต้าทงไต้ซือใช้ลมปราณของท่านคอยสำรวจตรวจดูอยู่ด้วยเกรงว่าเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจะมีอุบายใดแอบแฝงอีก            

ผ่านไปไม่นานจุดชีพจรที่เหลือเพียงจุดเดียวของจ่านจือก็ถูกทะลวงจนเปิดออก จากนั้นเขากับท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือจะแสแสร้งแกล้งทำเป็นเพลี่ยงพล้ำชั่วขณะเพื่อให้เจ้าอสูรโลกันต์ถอนฝ่ามือกลับไปโดยไม่เสียหน้าชาวยุทธ์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ดังนั้นหลวงจีนแห่งเส้าหลินกับเจ้าอสูรโลกันตร์จึงค่อยลดพลังลงโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นว่าผ่านพ้นช่วงอันตรายไปแล้วหากถอนฝ่ามือในเวลานี้จะมิมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด            

ดังนั้นเจ้าอสูรโลกันตร์จึงกระแทกฝ่ามือคราหนึ่งโดยมีจ่านจือแอบใช้พลังของเขาหนุนส่งออกมา แล้วทั้งจ่านจือกับท่านต้าทงไต้ซือทำทีเป็นเซถลาออกไปสองก้าว เหล่ายอดฝีมือฝ่ายมารอธรรมรีบส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมต่อเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันโดยที่มิทราบความนัยของเรื่องราวครั้งนี้ หากพวกเขาทราบเรื่องเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด            

ขณะที่ต้าทงไต้ซือกับจ่านจือเซถลาออกไปนั่นเองในเวลานี้จึงมิมีผู้ใดได้ระมัดระวังตัว ฉับพลันทันใดนั่นเองเงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งทะยานเข้าหาด้วยความเร็วถึงที่สุดพร้อมกับแยกย้ายฝ่ามืออาศัยพละกำลังทั้งหมดที่มีกระแทกสองฝ่ามือเข้าใส่ร่างของต้าทงไต้ซือทางด้านหลังสุดแรง เสียงฝ่ามือของคนผู้นั้นกระแทกกับร่างของต้าทงไต้ซือดังทึบหนัก ๆ พร้อมกับร่างของท่านเจ้าอาวาสกระเด็นลอยไปตามแรงฝ่ามือ 

เมื่อร่างตกถึงพื้นกระอักโลหิตออกมาจากมุมปากพร้อมกับใช้สายตาหันมายังผู้ที่ใช้ฝ่ามือลอบทำร้ายท่านทางด้านหลัง เมื่อเห็นคนผู้นั้นอย่างถนัดชัดตาถึงกับแสดงสีหน้าออกมาอย่างคาดคิดมิถึง จากนั้นท่านยกมือขึ้นชี้ไปยังคนผู้นั้นแล้วส่งเสียงกล่าวออกมาว่า

“ท่าน เป็นท่าน?”            

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันชวนตื่นตระหนกตกใจเป็นยิ่งนัก ทั้งรวดเร็วรวบรัดจัดเจนจนแทบมิน่าเชื่อว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จ่านจือบัดนี้อยู่ใกล้ที่สุดรีบสะอึกเข้าไปใช้สองมือประคองร่างหลวงจีนต้าทงไต้ซือเอาไว้ปากร่ำร้องส่งเสียงเรียกว่า            

“ท่านไต้ซือ! ท่านไต้ซือ ท่านรู้สึกเช่นไร เป็นข้าพเจ้าไม่ดีหากมิใช่ข้าพเจ้าท่านคงไม่ถูกลอบทำร้ายง่ายดายเช่นนี้?”

เจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินแม้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ท่านรีบโบกมือต่อจ่านจือแล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ประสกน้อยอันประเสริฐอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น อาตมาคาดว่าปรโลกคงไม่ยินดีเท่าใดนักหากอาตมาจะลงไปเยี่ยมเยียนในเวลานี้ เจ้ามิต้องคิดมากมิใช่ความผิดของผู้ใด ผิดที่อาตมาไม่ระแวงสงสัยคนใกล้ตัวปล่อยให้ลอบทำร้ายเอาได้”            

จ่านจือประคองร่างต้าทงไต้ซือเข้ามายังที่ร่มแล้วจัดแจงให้ท่านนั่งลง ภายนอกคาดดูจากสายตาอาการบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส ด้วยผู้ที่ลงมือกระแทกฝ่ามือเข้าใส่บริเวณกลางหลังอย่างถนัดถนี่พลังฝ่ามือที่ใช้ลมปราณที่บรรจุมาล้วนเปี่ยมล้นจนทะลัก ต่อให้อยู่ในยามปกติแม้แต่ยอดฝีมือยังไม่แน่นักว่าจะรับฝ่ามือนี้เอาไว้ได้โดยมิได้รับบาดเจ็บ

หากทว่ายามปกติต่อสู้ซึ่ง ๆ หน้าจะทำร้ายท่านต้าทงไต้ซือได้ใช่ง่ายดาย ด้วยทักษะยุทธ์ของวัดเส้าหลินแม้แต่หลวงจีนน้อยกระจ้อยร่อยยังมิอาจดูแคลน จะนับเช่นไรได้กับหลวงจีนชราที่ครองตำแหน่งถึงเจ้าอาวาสพลังฝีมือจะลึกล้ำไพศาลสุดหยั่งคาดสักปานใด            

คนผู้ที่ลงมือนั้นจากที่คำนวณคงจับจ้องหาโอกาสเหมาะเจาะก่อนลงมือ เห็นว่ายามนั้นหลวงจีนพร้อมด้วยจ่านจือถอนฝ่ามือพร้อมกับส่งเจ้าอสูรโลกันตร์ออกมาคงไม่มีโอกาสได้ป้องกันระมัดระวังตัวแต่อย่างใด โอกาสอันงดงามเช่นนี้หาได้ไม่ง่ายดายนักจึงทุ่มเทท่าร่างพุ่งเข้ามาแล้วซัดฝ่ามือเข้าใส่จนสุดกำลังหวังผลที่ได้ในฝ่ามือเดียว            

คนผู้นั้นพอลงมือประสบผลอาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนยังคงตื่นตระหนกอ้าปากตาค้าง ชิงลอยตัวขึ้นพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสุดระงับแต่ถึงกระนั้นก็ยังมียอดฝีมือพุ่งร่างติดตามไปอย่างกระชั้นชิดเป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยิ๊ยะเทียนอาจารย์ของจ่านจือนั่นเอง ส่วนยอดฝีมือท่านอื่น ๆ พอเรียกสติกลับคืนต่างกรูกันเข้ามาชมดูอาการบาดเจ็บท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือโดยทันที            

ผู้ที่ลงมือเมื่อครู่สวมใส่ชุดดำอำพรางรูปร่างอีกทั้งยังปิดคลุมใบหน้ามิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดลำคอเหลือไว้เพียงดวงตาคู่หนึ่งที่พอสังเกตได้ คล้ายกับท่านเจ้าอาวาสจะดูออกว่าคนผู้นี้เป็นผู้ใดแต่ยังมิได้บอกกล่าวออกมา ดูจากการลงมือและท่วงท่าสภาวะที่ทะยานสาดร่างออกไปฝีมือและกำลังภายในคงลึกล้ำไม่ต่ำทรามอย่างแน่นอน            

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์วิ่งเข้าไปถึงเห็นจ่านจือล้วงต้นหญ้ามังกรดำที่เหลืออยู่ในอกเสื้อยื่นส่งต่อท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือพร้อมกับส่งเสียงกล่าวต่อท่านด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า

“ท่านไต้ซือนี่เป็นหญ้ามังกรดำ ข้าพเจ้าได้มาจากดอยตะวันสรรพคุณช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและบอบช้ำภายในรักษาอาการเลือดคั่งและสมานแผลได้ชะงัดยิ่ง ข้าพเจ้าขอมอบให้กับท่านไต้ซือ”

“อมิตตาพุทธน้ำใจเจ้าอาตมาขอสรรเสริญ”

หลวงจีนชราแห่งเส้าหลินรับต้นหญ้ามังกรดำจากมือจ่านจือแล้วขบเคี้ยวกลืนลงไป อีกทั้งใช้พลังวัตรของท่านรักษาอาการบาดเจ็บอีกแรงหนึ่ง            

ทางด้านเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันหลังจากถอนฝ่ามือกลับออกไปได้แล้ว รีบตรงเข้าไปดูอาการของขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงโดยทันที หลังจากสำรวจดูพบว่ามิได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด คาดว่าใช้เวลาพักรักษาตัวเพียงวันสองวันก็คงหายสนิทไม่น่าเป็นห่วง            

ขณะที่ทางฝ่ายยอดฝีมือและบรรดาศิษย์ของเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะต่างเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน อีกส่วนหนึ่งคือเยี่ยนผิงกับไป่ชิงรวมทั้งซื่อเหมี่ยนและอี้เซินต่างตรงเข้ามาจับต้องตามเนื้อตัวของจ่านจือด้วยความเป็นห่วงและแปลกประหลาดใจไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้งยังแข่งกันเอ่ยถามจ่านจือไม่หยุดหย่อนว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่? ผู้ที่แสดงความเป็นห่วงเขามากที่สุดก็น่าจะเป็นเยี่ยนผิงยิ่งทำให้ผู้ที่มิทราบความนัยต่างพากันงุนงงสงสัย

เมื่อมียอดฝีมือหลายท่านเฝ้าดูแลท่านเจ้าอาวาสแล้ว จ่านจือจึงปลีกตัวออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมกับกล่าวต่อทุกคนว่าตนมิเป็นไร ตอนแรกเขาเองก็เข้าใจว่าคงไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ต้องขอบพระคุณท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือที่ท่านได้เข้ามาช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน แต่ที่น่าเสียใจเขากลับมีส่วนให้ท่านถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส

แท้จริงแล้วในตอนนั้นมียอดฝีมือหลายคนพุ่งเข้ามาเพื่อช่วยจ่านจือ หากแต่ทว่าเจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินท่านอยู่ใกล้จ่านจือมากที่สุดบวกกับความลึกล้ำของวิชาฝีมือท่านจึงบรรลุมาถึงก่อน พร้อมกับใช้กำลังภายในของท่านเข้าสู่ฝ่ามือส่งผ่านร่างของเขาอีกต่อหนึ่งเข้าต้านทานฝ่ามือพญายมอันสุดอำมหิตของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเอาไว้ได้ทันท่วงที

จ่านจือเมื่อเดินออกมาเห็นว่ายังมิได้แนะนำเยี่ยนผิงให้แก่ไป่ชิงและพี่สาวทั้งสองได้รู้จักอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงได้กล่าวแนะนำพร้อมกับเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ เกี่ยวกับตัวเยี่ยนผิงให้แก่นางทั้งสามได้รับทราบ พร้อมกันนั้นเยี่ยนผิงยังได้เอ่ยกล่าวขอขมาต่อเห็นการณ์ที่เกิดขึ้นบนดอยตะวันแก่ซื่อเหมี่ยนและอี้เซินด้วย แต่สำหรับกับไป่ชิงเยี่ยนผิงยังคงแสดงอาการไม่พอใจเท่านัก ด้วยเห็นว่าที่ผ่านมานางดูสนิทสนมกับจ่านจือเป็นพิเศษ

ขณะที่ทางด้านฝ่ายธัมมะต่างรอดูอาการของเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือ ฝ่ายมารอธรรมต่างปรึกษาหารือกันคล้ายกับมีแผนการชั่วร้ายกระไรบางอย่าง ได้ยินนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนกล่าววาจาต่อยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วว่า

“ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วท่านคิดว่าแผนการที่ได้วางเอาไว้จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่?”

 ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วรีบกล่าววาจาตอบกลับมาโดยทันทีว่า

“นางมารเยือกเย็นท่านไม่เชื่อมือยายเฒ่าเนี๊ยะซิ้วเชียวรึ? ที่ผ่านมาทุกท่านย่อมทราบดีว่ายาพิษของยายเฒ่าร้ายกาจเพียงใด อีกทั้งยาพิษชนิดนี้ไร้ทั้งสีกลิ่นรสและที่สำคัญผู้ที่วางยาพิษให้กับเรากลับเป็นคนใกล้ชิดของหลวงจีนเหล่านั้นด้วย ดังนั้นท่านจะกังวลไปใย  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ายายเฒ่ามิเข้าใจคนชุดดำเมื่อครู่เป็นผู้ใดกัน หรือว่าท่านมีแผนการอื่นนอกเหนือจากวางยาพิษพวกมันโดยที่ไม่แจ้งเรื่องนี้ต่อข้าพเจ้าใช่หรือไม่?” 

เมื่อยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกล่าวจบเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันรีบสวนคำขึ้นว่า

“ยายเฒ่าข้าพเจ้าเองก็สงสัยเช่นกันว่าคนชุดดำเมื่อครู่เป็นผู้ใดกัน? มีใครพอจะให้คำตอบนี้แก่ข้าพเจ้าได้บ้าง โหงวม่วย(น้องห้าที่เป็นหญิง)ท่านน่าจะเป็นคนที่ทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน รีบบอกกล่าวออกมาอย่าได้ปิดบังต่อข้าพเจ้ารวมถึงท่านอื่น ๆ ด้วย”

ไหน ๆ เหตุการณ์ก็ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว นางมารเยือกเย็นแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วกล่าววาจาต่อทุกคนว่า

“ถูกต้องข้าพเจ้าย่อมทราบว่าเป็นผู้ใด? แต่เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้รับปากต่อคนผู้หนึ่งเอาไว้ว่าจะไม่แพร่งพรายเกี่ยวกับคนผู้นี้ให้ผู้ใดทราบรวมทั้งพวกท่านด้วย เรื่องนี้ทุกท่านอย่าได้เป็นห่วงข้าพเจ้ารับรองว่าอีกไม่นานทุกท่านย่อมกระจ่าง ตอนนี้ขอทุกท่านอย่าได้คาดคั้นเอาจากข้าพเจ้าเป็นอันขาด จากนั้นได้ยินเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันยิงคำถามอีกประโยคหนึ่งว่า

“เช่นนั้นก็ได้ข้าพเจ้าจะไม่ถามว่าคนชุดดำนั่นเป็นผู้ใด? แต่ข้าพเจ้าขอถามท่านว่าคนผู้ที่เจ้ารับปากเอาไว้มันผู้นั้นเป็นใคร ท่านอย่าได้ปฏิเสธหรือไม่กล่าวออกมาอีกมิได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้วท่านกับข้าพเจ้าจะไม่อาจไว้ใจกันได้อีกต่อไป”            

นางมารเยือกเย็นมองหน้าทุกคนอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนผู้นั้นให้แก่ทุกคนได้รับทราบว่า คนผู้นั้นนางรู้จักตอนที่ทุกคนจะเร้นกายจากยุทธภพเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นในขณะที่สำนักตำหนักหมื่นเทพเกิดเรื่องราวช่วงแรกนางท่องเที่ยวอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนางมิได้ท่องเที่ยวเพียงลำพังแต่กลับมีทารกทาริกาน่าเอ็นดูอยู่ด้วยผู้หนึ่ง จวบจนกระทั่งมาวันหนึ่งได้พบกับคนชุดดำผู้หนึ่งคนผู้นั้นมีวรยุทธ์สูงส่งสูสีกับนาง            

คนผู้นั้นปกปิดอำพรางใบหน้าและรูปร่างแถมยังดัดแปลงน้ำเสียงตอนกล่าววาจาอีกด้วย  หลังจากสนทนากันนานพอสมควร คนผู้นั้นกล่าวถามว่าเป็นสตรีตัวคนเดียวแถมยังมีทารกน้อยมาด้วยอีกผู้หนึ่งคงลำบากมิใช่น้อย            

หลังจากนั้นไม่นานคนชุดดำกล่าวข้อเสนอต่อนางว่า เป็นสตรีลำพังแถมยังมีทารกน้อยอย่าได้เดินทางสร้างความลำบากให้กับตนเองกับทารกอยู่เลย  คนผู้นั้นจะก่อสร้างสถานที่ให้พำนักพักพิงเป็นหลักแหล่ง เมื่อเสาะหาสถานที่เสร็จสรรพคนชุดดำได้นำคนมาก่อสร้างบ้านเรือนแล้วมอบต่อนาง ส่วนข้อแลกเปลี่ยนในครั้งนั้นคือต้องร่วมมือกับคนชุดดำผู้นั้นในการยึดครองบู๊ลิ้มในภายหน้า            

ต่อมานางจึงตั้งใจเลี้ยงดูทาริกาน้อยอันเป็นบุตรีของนางโดยปกปิดร่องรอยมิเคยเปิดเผยตัวออกมาได้แต่เก็บตัวฝึกวรยุทธ์และถ่ายทอดวิชาให้กับบุตรีทุกคืนวัน คนชุดดำผู้นั้นก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหานางอีกเลยจนเวลาล่วงเลยผ่านไปราวสิบห้าปี คนผู้นั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับกล่าวทวงสัญญาต่อนาง ซึ่งในตอนนั้นสถานที่ซึ่งนางพำนักถูกตั้งชื่อว่าสำนักมารสวรรค์ แต่ตลอดเวลานางมักจะเฉยเมยเย็นชาชอบกล่าวถึงอดีตจนคนในสำนักต่างเรียกนางว่านางมารเยือกเย็น            

คนชุดดำหลังจากปรากฏตัวก็ได้มาพบนางอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนปกปิดใบหน้าและดัดน้ำเสียงที่แท้จริงเอาไว้ จากนั้นทั้งสองจึงได้ร่วมวางแผนการหลายอย่างในการจะยึดครองยุทธภพให้จงได้ โดยเริ่มวางกำลังคนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ส่วนบุตรีของนางเคยเอ่ยถามนางอยู่หลายครั้ง ว่าคนชุดดำเป็นใครกันแต่นางก็ไม่เคยให้คำตอบชัดเจน ด้วยแท้จริงแล้วนางเองก็มิอาจทราบเช่นกันว่าคนชุดดำเป็นใครจากสารทิศใดกันแน่

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า