ตอนที่ 47
เริ่มการประลองยุทธ์
เยิ่นหว่อถิงคำนวณในใจว่าถึงเช่นไร ต้าทงไต้ซือคงมิอาจบรรลุมาทันท่วงทีได้ แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้เป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินจริง ๆ มิแปลกปลอม อีกทั้งสองข้างหูยังได้ยินเสียงปลายไม้เท้าพระธรรมของหลวงจีนชราส่งเสียงดั่งคำรามดังติงติงตังตังยามเคลื่อนไหว
แต่ที่สร้างความแตกตื่นแก่เยิ่นหว่อถิงมากไปกว่านั้นนั่นเป็นเพราะไม้เท้าพระธรรมของต้าทงไต้ซือยามสัมผัสกับด้ามขลุ่ยเงินของมันแม้เพียงฉิวเฉียด พลังลมปราณของมันที่เร่งเร้าเข้าใส่ตัวขลุ่ยจนเปี่ยมล้นพลันสลายหายไปสิ้นในพริบตา อีกทั้งยังรับรู้ได้ถึงขุมพลังสายหนึ่งแม้คล้ายนุ่มนวลไร้ซึ่งพิษสงอันใด แต่จริงแท้ยากยิ่งต้านทานตั้งรับเอาไว้ได้
พอรับรู้ได้ถึงพลังสายนั้นเยิ่นหว่อถิงตระหนกตกใจกระทำสิ่งใดมิถูก เมื่อรู้สึกตัวอีกคราร่างของมันพลันซวนเซถอยหลังไปถึงห้าหกก้าว เมื่อตั้งหลักยืดตัวตรงรู้สึกงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อหายจากอาการซวนเซเสียหลักได้แล้ว ข้างหูพลันได้ยินต้าทงไต้ซือส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
"การประลองเพียงเพื่อหาผู้ชนะเท่านั้นมิได้หมายให้เอาชีวิต เมื่ออาวุธสัมผัสต้องร่างแล้วควรหยุดมือตามกฎกติกาที่ตั้งไว้ ประสกเยิ่นเจ้าช่างอำมหิตนัก หากอาตมาไม่เข้ามาขัดขวางเอาไว้ได้ทันผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร? การประลองรอบนี้ระหว่างประสกเยิ่นกับประสกเฟิ่น ถือว่าเจ้าเป็นฝ่ายชนะแม้จะไม่สะอาดสดใสเท่าใดนัก เชิญประสกเยิ่นกลับเข้าไปนั่งพักผ่อนได้"
ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงรู้สึกเจ็บแค้นเคืองออกมามิได้ ที่ลงมือทำร้ายเฟิ่นมู่เหอไม่สำเร็จแถมยังรู้สึกเสียหน้าที่ถูกต้าทงไต้ซือกลาวตำหนิเอาอีกด้วย จึงรีบหมุนกายก้าวเท้าเข้ามานั่งยังที่ทางของตน ต้าทงไต้ซือหันมาทางด้านมู่เหอซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก พร้อมทั้งกล่าววาจาต่อเขาขึ้นว่า
"ประสกเฟิ่น อาตมาขอชื่นชมในความสามารถของเจ้า ถึงแม้ครั้งนี้เจ้าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่เยิ่นหว่อถิง แต่ประสกก็แสดงออกถึงความมีน้ำใจกอปรด้วยคุณธรรมเป็นที่น่าชื่นชมยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่อาจารย์ของเจ้าอบรมสั่งสอน เพียงเท่านี้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายในสถานที่นี่ต่างดูออกว่าผู้ใดเป็นคนดีผู้ใดเป็นคนต่ำช้า เชิญประสกเฟิ่นเข้าไปนั่งพักผ่อนเถอะ"
มู่เหอประสานมือขอบคุณต่อเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินก่อนที่จะเก็บกระบี่แล้วกลับไปยังที่นั่งของตน เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วไป่ชิงน้องสาวกับเหมาต้าศิษย์พี่ใหญ่พร้อมด้วยเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยผู้เป็นอาจารย์ต่างกล่าวต่อเขาว่ามิต้องคิดกระไรมาก เท่าที่เห็นเขากระทำนับว่าดีที่สุดแล้วเพียงเท่านี้ก็สร้างความยินดีมาสู่สำนักมากแล้วนั่นเอง
คู่ต่อไปที่จะลงประลองเป็นคู่ของเหยาเยี่ยนผิงแห่งสำนักมารสวรรค์กับหนานตี้แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ทั้งสองก้าวออกมายังกลางลานประลองหากจะให้วิจารณ์ตามฝีมือแล้วนั้น เยี่ยนผิงย่อมมีฝีมือสูงกว่าหนานตี้มากนัก ขณะที่ก้าวเท้าเดินออกมาเยี่ยนผิงหันไปมองจ่านจือวูบหนึ่ง นางเห็นเขามองมาทางด้านนี้พอดีดังนั้นสายตาของทั้งสองจึงประสานกันโดยมิได้ตั้งใจ
สายตาของจ่านจือที่มองมายังเยี่ยนผิงมีความรู้สึกถึงการตำหนิติเตียนกระไรบางอย่าง แต่เป็นเพียงชั่ววูบเดียวจากนั้นสายตาของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นห่วงใยและให้กำลังใจขึ้นมาแทนที่ เพียงเท่านี้นางมีความรู้สึกตื้นตันใจและยินดีปรีดาออกมาอย่างบอกไม่ถูก รับรู้ได้ถึงความสุขที่ผุดขึ้นในจิตใจดังนั้นท่วงท่าที่ดูกระด้างแข็งกร้าวของนางจึงดูอ่อนลง กิริยาท่าทีซึ่งเยี่ยนผิงไม่คิดจะแสดงออกมาก่อนแก่สายตาผู้คนนางก็แสดงออกมาโดยมิรู้ตัว
เยี่ยนผิงหันหน้าเข้าหาหนานตี้แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ประสานมือทั้งสองซึ่งมือข้างหนึ่งยังคงกำกระบี่อยู่ต่อหน้าเขาและเหล่าผู้กล้าทั้งหลายแล้วกล่าววาจาต่อหนานตี้ขึ้นว่า
"ข้าพเจ้าเหยาเยี่ยนผิงมีความยินดีที่ได้ประลองกับท่าน การประลองในครั้งนี้ขอให้ท่านลงมือโดยเต็มที่มิต้องออมมืออย่าได้คิดว่าข้าพเจ้าเป็นอิสตรีเป็นอันขาด แต่อาวุธไร้ตาฝ่ามือไร้เงาหากเกิดผิดพลาดประการใดข้าพเจ้าต้องขออภัยต่อท่านล่วงหน้าด้วย หากทว่าท่านเกิดทำร้ายข้าพเจ้าได้ข้าพเจ้าก็ไม่ถือโกรธโทษท่านเช่นกันเพราะนี่เป็นการประลองยุทธ์หาได้เป็นการเข่นฆ่าสังหารกัน ดังนั้นท่านอย่าได้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นใครบางคนในสถานที่นี้เป็นอันขาด"
เยี่ยนผิงกล่าวจบพลางใช้สายตาชำเลืองไปทางด้านเยิ่นหว่อถิงเป็นการบ่งบอกให้ทุกคนทราบว่าผู้ที่ตนกล่าวถึงเป็นผู้ใด ทำเอาเยิ่นหว่อถิงถึงกับกระอักกระอ่วนแสดงสีหน้าท่าทีมิถูก กิริยาท่าทีของบุตรีที่เปลี่ยนไปสร้างความประหลาดใจให้กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนกับอั้งเซี๊ยะเปาเป็นยิ่งนัก คนทั้งสองเลี้ยงดูนางมาด้วยกันมิเคยเห็นเยี่ยนผิงแสดงกิริยาท่าทีเช่นนี้มาก่อนดังนั้นได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ภายในใจ ทางด้านหนานตี้ประสานมือตอบต่อเยี่ยนผิง พร้อมกับกล่าววาจาต่อนางออกมาว่า
"ข้าพเจ้าหนานตี้มีความยินดีเช่นกันที่ได้ประลองยุทธ์กับแม่นางในครั้งนี้ และขอขอบคุณแม่นางเยี่ยนผิงที่มีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้า การประลองขอเพียงรู้ผลแพ้ชนะข้อนี้ข้าพเจ้าย่อมกระจ่างแม่นางเยี่ยนผิงอย่าได้กังวลใจไป"
ทางด้านจ่านจือรู้สึกแปลกใจต่อการกระทำของเยี่ยนผิงเช่นกัน เท่าที่คบหากับนางมาส่วนใหญ่นางมักจะมากเล่ห์ร้อยพันเหลี่ยมคู หรือว่าครั้งนี้ที่แสดงออกมาเป็นเพียงการแสแสร้งแกล้งทำดั่งเช่นที่ผ่านมาแท้จริงแอบมีแผนการอันใดซ่อนอยู่ ส่วนหนึ่งจ่านจืออดจะยินดีต่อกิริยาของนางเมื่อครู่มิได้ หากว่านั่นคือการแสดงออกที่แท้จริงของนางนับว่าประเสริฐยิ่ง ขออย่าให้นางมีแผนการชั่วใดซุกซ่อนอยู่เลยเขาคิดขึ้นในใจ
เมื่อเห็นทั้งคู่พร้อมต้าทงไต้ซือส่งสัญญาณให้ทั้งสองเริ่มประลองได้ เยี่ยนผิงกับหนานตี้ต่างชักกระบี่ออกจากฝักโดยพร้อมเพรียงแล้วเสียงคมกระบี่ปะทะกันติงติงดังสดใส เยี่ยนผิงแยกย้ายกระบี่ในมือเป็นหนึ่งล่างหนึ่งบนเข้าใส่ร่างหนานตี้สองตำแหน่งในเวลาเดียวกัน ส่วนหนานตี้แลเห็นเงากระบี่ของนางเป็นจุดแต้มสองจุดลางเลือนเคลื่อนไหววูบวาบรวดเร็วเข้ามา ดังนั้นมิรอช้าสะบัดกระบี่ในมือเข้าต้านทานต้านรับเอาไว้ เมื่อสลายท่ากระบี่ของเยี่ยนผิงแล้ว เขารีบวาดกระบี่ออกเป็นวงกว้าง ใช้วิชาประจำสำนักออกไปนั่นคือวิชากระบี่พิรุณโปรยปรายที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นอาจารย์นั่นเอง
เยี่ยนผิงเองแลเห็นเงากระบี่ของหนานตี้กระจายปกคลุมเต็มท้องฟ้าเบื้องหน้าคล้ายห่าฝนโปรยปราย ดังนั้นมิรอช้ารีบกรีดกระบี่ในมือใช้ออกด้วยวิชากระบี่อัคคีน้ำค้างออกไปมิกล้าประมาท ถึงแม้ในมือจะมิใช่กระบี่อัคคีน้ำค้างซึ่งมารดามอบให้แต่อานุภาพหาได้อ่อนด้อยถอยลงเท่าใดนัก ด้านหนึ่งเพลงกระบี่สุขุมนุ่มนวลพลิ้วไหวดั่งสายฝนโปรดปราย อีกด้านหนึ่งเพลงกระบี่เร่าร้อนรุนแรงดั่งเปลวอัคคีลุกโหมกระหน่ำ
ผู้ที่ยืนชมดูอยู่โดยรอบต่างโห่ร้องออกมาชื่นชมต่อเพลงกระบี่ของทั้งสอง นับว่าไม่เสียแรงที่เข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้นับว่าเป็นบุญตาคราหนึ่ง คลื่นลูกหลังฉายแววเปล่งประกายนับว่าควรส่งเสริมสนับสนุน ผ่านไปร้อยกว่าเพลงทั้งสองยังคงสลับสับเปลี่ยนอีกคนรุกอีกฝ่ายหนึ่งต้าน ที่น่าแปลกเยี่ยนผิงมีโอกาสจู่โจมเอาชนะอยู่หลายครั้งคราแต่ทว่านางกลับมิรีบร้อนยังคงใช้เพลงกระบี่อัคคีน้ำค้างแก้กระบวนท่าเพลงกระบี่พิรุณโปรยปรายของหนานตี้อย่างใจเย็น
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าสร้างความไม่พอใจแก่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเป็นอย่างมาก เห็นอยู่ว่าบุตรีสามารถพิชิตคู่ต่อสู้ได้ภายในไม่กี่สิบกระบวนเพลง แต่เวลานี้ผ่านไปร่วมสองร้อยกระบวนท่าแล้ว ดูเหมือนคนทั้งสองกำลังซ้อมเพลงกระบี่มากกว่าการประลองยุทธ์ก็มิผิดเท่าใดนัก ไม่นานขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องดูการประลองว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะอยู่นั้น จู่ ๆหนานตี้พลันหยุดมือเก็บกระบี่คืนฝักพร้อมกับประสานมือต่อเยี่ยนผิงแล้วส่งเสียงกล่าวต่อนางว่า
"ข้าพเจ้าหนานตี้ต้องกล่าวขอบคุณแม่นางเยี่ยนผิงยิ่งนัก ความจริงข้าพเจ้าสมควรต้องพ่ายแพ้ในไม่กี่สิบกระบวนท่าแต่แม่นางกลับให้เกียรติแก่ข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าได้เปิดหูเปิดตานับว่าเพลงกระบี่ของแม่นางช่างลึกล้ำนักแม้เป็นอิสตรีแต่ความสามารถสูงส่งมากกว่าบุรุษเช่นข้าพเจ้าเสียอีก ดังนั้นข้าพเจ้าขอยอมแพ้ทั้งกายใจและเชื่อว่าอาจารย์ท่านก็ย่อมรู้สึกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเช่นกัน"
เยี่ยนผิงประสานมือตอบต่อหนานตี้แล้วถอยกลับเข้าไปนั่งยังที่ทางของตนเช่นเดิม แต่ภายในจิตใจของนางกลับมีความรู้สึกถึงความปิติตื้นตันใจอย่างบ่งบอกออกมามิถูกไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ยิ่งพอเหลียวมองมาด้านจ่านจือพบว่าสายตาของเขาแสดงถึงความชื่นชมส่งมาให้นางด้วยแล้ว
พอเห็นสายตาเช่นนั้นของจ่านจือยิ่งทำให้เยี่ยนผิงอดมิได้ที่จะส่งยิ้มกลับไปให้เขา เพิ่งประจักษ์ว่าการกระทำความดีช่างมีความสุขเช่นนี้เอง ไม่เพียงแต่ตนเองแม้แต่ผู้อื่นก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย ที่ผ่านมามารดากับผู้เป็นน้าคอยเสี้ยมสอนให้ตนกระทำแต่ความชั่ว นางเองก็เห็นชอบกับการกระทำของมารดากับผู้เป็นน้าและคนในสำนักมารสวรรค์ จนกระทั่งได้มารู้จักกับจ่านจือเห็นความมีน้ำใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นของเขา สุดท้ายมีแต่ผู้คนรักใคร่ให้การต้อนรับ แต่เหตุผลที่สำคัญไปมากกว่านั้นเขาเป็นบุรุษคนแรกและคนสุดท้ายซึ่งนางคิดจะมอบใจให้นั่นเอง
ตั้งแต่แยกทางกับจ่านจือในวันนั้นเยี่ยนผิงรู้สึกว่าเหมือนขาดสิ่งใดไปในชีวิต หลังจากใคร่ครวญดีแล้วจึงตัดสินใจว่า ต่อไปหากบุรุษผู้นี้จะกระทำสิ่งใดตนจะคอยให้ความช่วยเหลือ และพร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟไปทุกแห่งหนพร้อม ๆ กับเขา แต่ถึงเช่นไรเยี่ยนผิงนางก็ยังคงเป็นเยี่ยนผิงจะให้บ่งบอกออกไปตรง ๆ คงมิได้ ดังนั้นจึงได้แต่รอคอยให้เขารู้สึกและรับรู้เอาเอง
คู่ต่อไปที่จะประลองเป็นคู่ที่สามคือคู่ของถู่ฝู่ศิษย์เอกของต้าทงไต้ซือแห่งเส้าหลินกับซื่อเหมี่ยนศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ก่อนการประลองต้าทงไต้ซือเรียกศิษย์เอกถู่ฝูเข้ามาหาแล้วสั่งกำชับเอาไว้ว่า
"ถู่ฝู จำเอาไว้เจ้าอย่าได้ทำความเสื่อมเสียมาสู่อาจารย์และสำนักเป็นอันขาด อาจารย์ย่อมทราบว่าฝีมือของเจ้ามิมีผู้ใดจะเอาชนะได้โดยง่ายดาย แต่คู่ประลองของเจ้าเป็นอิสตรีดังนั้นเจ้าจงระมัดระวังเอาไว้ให้มากอย่าได้ลงมือโดยหักโหมเป็นเด็ดขาด อีกอย่างหนึ่งเจ้าเป็นบรรพชิตควรแสดงออกถึงความเมฆตาเอาไว้ให้มาก ที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดเจ้าเข้าใจหรือไม่?"
"รับทราบแล้วท่านอาจารย์ ศิษย์รับปากต่อท่านจะไม่กระทำการใดอันเสื่อมเสียชื่อเสียงมาสู่อาจารย์และวัดเส้าหลินเด็ดขาด"
ถู่ฝูตกปากรับคำต่อผู้เป็นอาจารย์อย่างแข็งขันแล้วก้าวออกมายังลานประลอง ถูฝู่มิใช้อาวุธในการประลองในครั้งนี้ ส่วนซื่อเหมี่ยนใช้กระบี่คู่กายของนางในการประลอง ก่อนการประลองเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวสั่งกำชับต่อศิษย์ด้วยเช่นกันว่า
"ซื่อเหมี่ยน ในการประลองเจ้าอย่าได้ฟุ้งซ่านจงแสดงฝีมือออกมาโดยเต็มที่ ครั้งนี้เป็นการประลองเพื่อหาผู้ชนะเท่านั้น ผลจะออกมาเช่นไรก็อย่าได้ใส่ใจคิดเสียว่าเป็นการหาประสบการณ์ ขอเพียงอย่างเดียวการประลองจงกระทำอย่างเปิดเผย อย่าได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายอันใดโดยเด็ดขาด"
เมื่อทั้งสองประสานมือทำความเคารพต่อกันแล้ว การประลองของทั้งคู่จึงเริ่มขึ้นโดยทันที ซื่อเหมี่ยนเปิดฉากจู่โจมเข้าใส่ถู่ฝูก่อนกระบี่ในมือใช้ออกด้วยกระบวนท่าในวิชาดรุณีปราบมารของสำนัก ส่วนถู่ฝูใช้ออกด้วยกระบวนท่าในวิชากรงเล็บพยัคฆ์ของเส้าหลินเข้าต้านทานกระบี่โดยมิได้เกรงกลัวคมกระบี่แต่ประการใด
เงากระบี่กรีดกรายเป็นวงคล้ายดั่งจิตรกรเอกกำลังลงเส้นสายในภาพวาดก็มิปาน เสียงคมกระบี่ตวัดฟาดฟันผ่านอากาศดังควับเขวี้ยว ฝ่ายถู่ฝูกระบวนท่าที่ใช้ออกกรงเล็บพยัคฆ์เป็นวิชาของเส้าหลินเน้นไปในทางกล้าแข็งดุดัน ดังนั้นกระบี่ดรุณีปราบมารของซื่อเหมี่ยนหาทำเช่นไรได้แม้เป็นเพียงสองมือเปล่า ผู้ที่ชมการประลองแม้มิใช่ผู้ทักษะยุทธ์ต่างดูออกว่าถู่ฝูออมมือต่อซื่อเหมี่ยนอยู่ถึงสี่ห้าส่วน
การประลองผ่านไปราวห้าสิบกระบวนท่า ซื่อเหมี่ยนทิ่มแทงกระบี่ดรุณีปราบมารเข้าใส่บริเวณหัวไหล่ของถู่ฝูโดยหวังผล ถู่ฝูหาได้หลบหลีกปลายกระบี่กรงเล็บพยัคฆ์ยื่นออกพร้อมกับตะปบเข้ากับกระบี่โดยไม่เกรงกลัวต่อความคมของกระบี่แต่อย่างใด เมื่อตะปบแล้วพลิกข้อมือด้านที่ตะปบกระบี่ไว้ ส่งผลให้ซื่อเหมี่ยนต้องลอยตัวขึ้นตามสภาวะของข้อมือซึ่งถูกหมุนหากมิเช่นนั้นแขนอาจจะหักเอาได้แล้วหมุนร่างกลางอากาศตามทิศทางของกระบี่
พอทิ้งร่างลงสู่พื้นรีบพลิกกระบี่เปลี่ยนกระบวนท่าจากทิ่มแทงเป็นกวัดแกว่งกระบี่ออกไปคราเดียวถึงยี่สิบกระบี่ด้วยกัน ถู่ฝูสลับเท้าถอยหลังอย่างใจเย็นจากนั้นกรงเล็บพยัคฆ์เปลี่ยนเป็นหมัดเส้าหลินเสียงหมัดต่อยใส่อากาศดังทึบทึบหนัก ๆ ซื่อเหมี่ยนเองไม่ผลีผลามแม้รู้ตัวว่าตกเป็นรอง กระบี่ในมือกรีดเฉียง ๆ จากล่างขึ้นบนเมื่อเห็นถู่ฝูเบี่ยงตัวหลบหลีก รีบสืบเท้าเข้าไปอีกครึ่งก้าวพร้อมกับวกกระบี่ฟันจากบนลงล่าง ถู่ฝูปล่อยให้กระบี่ฟันผ่านด้านหน้าไปเพียงเอี้ยวตัวหลบคมกระบี่จากนั้นต่อยหมัดใส่ด้านข้างของขอบกระบี่
เสียงปงเมื่อหมัดปะทะกับด้านข้างของขอบกระบี่ ถู่ฝูไม่ปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยผ่านไปเปลี่ยนจากหมัดเป็นกรงเล็บมังกรไหลไปตามตัวกระบี่ของซื่อเหมี่ยนอย่างรวดเร็วและดุดัน ซื่อเหมี่ยนคิดจะดึงกระบี่กลับคืนก็ไม่ทันการ เมื่อกรงเล็บมังกรของถู่ฝูอยู่ห่างจากข้อมือไม่ถึงสองนิ้ว ดังนั้นจึงกระทำสิ่งใดมิถูกรีบปล่อยกระบี่พ้นจากอุ้งมือในทันที ถู่ฝูเห็นเช่นนั้นรีบเปลี่ยนจากกรงเล็บมังกรเป็นวกฝ่ามือลงต่ำแล้วคว้ารับกระบี่ของซื่อเหมี่ยนเอาไว้ ต่อจากนั้นประสานมือต่อนางพร้อมกับส่งกระบี่กลับคืนให้แล้วส่งเสียงกล่าวต่อนางว่า
"ประสกมิเป็นไรใช่หรือไม่? อาตมาคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เปิดหูเปิดตากระบี่ดรุณีปราบมารของประสกนับได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นยิ่งนัก ในภายหน้าคาดว่าคงสร้างชื่อให้กับสำนักได้อย่างแน่นอน"
ซื่อเหมี่ยนรีบเก็บกระบี่คืนฝักแล้วประสานมือตอบต่อถูฝูพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณที่ถู่ฝูออมมือให้แก่ตน จากนั้นรีบถอยเข้าไปยังที่นั่งของตนซึ่งอี้เซินผู้เป็นศิษย์น้องรีบเดินออกมารับ แล้วพากันไปนั่งยังที่นั่งเดิม เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าเอ่ยปากต่อซื่อเหมี่ยนว่า
"เจ้ามิต้องเสียใจไปเท่าที่อาจารย์ดูเจ้ากระทำได้ดีเยี่ยม ต่อไปอาจารย์จะหมั่นอบรมสั่งสอนให้กับเจ้าทั้งสองให้มากกว่านี้ ที่ผ่านมาอาจารย์มีเวลาสั่งสอนเจ้าสองคนน้อยเกินไป แต่เจ้าก็แสดงให้อาจารย์เห็นได้ดีกว่าที่อาจารย์คาดเอาไว้เสียอีก"
การประลองผ่านไปแล้วสามคู่ผู้ชนะจากสามคู่คือ ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกับเหยาเยี่ยนผิงและถู่ฝูแห่งวัดเส้าหลิน คู่สุดท้ายเป็นการประลองระหว่างจ่านจือศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับเทียนจิ้งศิษย์คนเล็กของพรรคไผ่หลิว เทียนจิ้งใช้อาวุธเป็นกระบี่หยกไผ่หลิว ส่วนจ่านจือที่ผ่านมาไม่เคยพกพาอาวุธแต่อย่างใด
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือคำนวณออกว่าจ่านจือจะใช้มือเปล่าเข้าประลองกับเทียนจิ้ง หากกระทำเช่นนั้นจะดูเป็นการสบประมาทฝีมือของพรรคไผ่หลิวเกินไป ซึ่งแท้จริงจ่านจือเองเขาก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกันแต่ก่อนที่จะกล่าวกระไรออกมา ขอทานพเนจรหวงเกาฉือบอกให้ผู้เฒ่าลู่นำไม้ไผ่อาวุธประจำกายของขอทานไปมอบให้แก่เขาใช้เป็นอาวุธในการประลอง จ่านจือเห็นเช่นนั้นรู้สึกยินดียิ่งรีบกล่าวคำขอบคุณต่อผู้เฒ่าลู่แล้วรับลำไม้ไผ่มาถือไว้
การประลองคู่สุดท้ายระหว่างจ่านจือกับเทียนจิ้งความจริงทุกคนไม่น่าจะให้ความสำคัญมากนัก แต่กลับตรงกันข้ามบรรดาชาวยุทธ์ต่างขยับเท้าเข้ามาเพื่อรอชมการประลองในคู่นี้ให้ชัดถนัดตายิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่เคยรู้จักจ่านจือมาก่อนแต่ด้วยผู้ที่เสนอชื่อเขาเข้าประลองในครั้งนี้เป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่ว อีกยังทราบว่านางเสนอชื่อเขาเป็นตัวแทนนางทั้งที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุทธภพ
นอกจากนั้นภาพก่อนหน้านั้นที่บรรดายอดฝีมือชั้นแนวหน้าต่างเข้ามาทักทายต้อนรับจ่านจือตอนที่เดินทางมาถึงประหนึ่งกับเป็นจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือก็มิผิด ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดทุกคนในที่ชุมนุมไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายมารอธรรมต่างต้องการชมดูด้วยเช่นกันว่าฝีมือของเขาจะเป็นเช่นใด
เมื่อจ่านจือกับเทียนจิ้งพร้อมสำหรับการประลองแล้วจึงประสานมือทำความเคารพแก่กันตามมารยาท แล้วนางชีเทวราชชิ้วโส่วกับอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงต่างส่งเสียงต่อจ่านจือว่า
"นี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็นเจ้ายุทธ์ของเจ้า จงแสดงความสามารถของเจ้าออกมาให้เต็มที่ ในเมื่อชะตาฟ้ากำหนดแล้วผู้ใดก็มิอาจขัดขวางเจ้าได้"
ประโยคหลังนางชีเทวราชชิ้วโส่วเป็นผู้กล่าว บรรยากาศในที่ชุมนุมเงียบกริบปราศจากสุ้มเสียงใด ๆ ต่างใจจดจ่ออยู่ที่คู่ประลองทั้งสองกลางลานประลอง เมื่อจ่านจือประสานมือต่อเทียนจิ้งฝ่ายเทียนจิ้งก็ไม่รั้งรอส่งยิ้มให้จ่านจืออย่างเป็นมิตร พร้อมกับประสานมือตอบต่อจ่านจือพร้อมกับกล่าววาจาต่อเขาก่อนการประลองว่า
"ข้าพเจ้าเทียนจิ้งยินดียิ่งนักที่ได้มีโอกาสพบเจอกับท่าน ฟังจากปากของอาวุโสมู่ได้กล่าวถึงความกล้าหาญและมีน้ำใจของท่าน ทำให้ข้าพเจ้าใคร่จะได้พบกับท่านมากยิ่งขึ้น เมื่อได้พบท่านแล้วทำให้ข้าพเจ้าไม่ผิดหวังจริง ๆ ด้วยบุคลิกของท่านไม่ผิดกับที่อาวุโสมู่กับแม่นางซื่อเหมี่ยนและแม่นางอี้เซินได้กล่าวเอาไว้ หากท่านมิรังเกียจข้าพเจ้าหลังจากการประลองแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะคบหากับท่านเป็นสหายจะได้หรือไม่?"
จ่านจือเมื่อได้ฟังวาจาของเทียนจิ้งที่แสดงออกถึงความจริงใจและเป็นมิตร รีบก้าวเข้าไปหาเทียนจิ้งอีกสองก้าวแล้วกล่าววาจาตอบเทียนจิ้งไปว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือรู้สึกยินดีเช่นกันที่ได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าต่างหากที่เกรงว่าท่านจะรังเกียจข้าพเจ้า หากท่านยินดีที่จะคบหากับข้าพเจ้าเป็นสหายแล้วใยต้องรอให้จบการประลองก่อนเล่า? สู้ท่านและข้าพเจ้ามาจับมือเป็นสหายกันก่อนการประลองจะไม่ประเสริฐกว่าหรอกรึ?ได้พบพานสหายผู้รู้ใจแม้เพียงหนึ่งคนย่อมประเสริฐกว่าพบพานคนชั่วร้อยพันหมื่นคนนัก เช่นนั้นเราทั้งสองอย่าได้เรียกหากันอย่างเกรงอกเกรงใจอยู่เลยท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
"กล่าวได้ถูกต้องสหายอันประเสริฐ ต่อไปข้าพเจ้าจะเรียกท่านว่าจ่านจือส่วนท่านก็เรียกข้าพเจ้าว่าเทียนจิ้งเช่นนี้ท่านว่าดีหรือไม่?"
"ตกลงตามนั้นเทียนจิ้งสหายของข้าพเจ้า ต่อไปเราจะมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ต่อจากนี้เราทั้งสองจะช่วยกันผดุงคุณธรรมให้กับยุทธภพ"
กล่าวจบทั้งจ่านจือและเทียนจิ้งต่างจับมือคบหากันเป็นสหาย และให้สัญญากันว่าจะเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน พร้อมกับจะช่วยกันผดุงคุณธรรมให้กับบู๊ลิ้มต่อไป เมื่อปล่อยมือแล้วทั้งสองต่างยื่นมือตบไหล่ของกันและกัน จากนั้นทั้งสองต่างถอยออกมาคนละสามก้าวแล้วการประลองก็เริ่มขึ้นโดยทันที
จ่านจือเพื่อให้เกียรติต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะลงมือได้หันมาประสานมือทำความเคารพต่อท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนเทียนจิ้งก็หันไปทำความเคารพต่อประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงด้วยเช่นกัน
วิชาดาวดึงส์ความจริงเป็นกระบวนท่าที่เน้นไปทางฝ่ามือหมัดและเท้า เมื่อการประลองต้องใช้อาวุธทำให้จ่านจือนึกถึงคำสั่งสอนของแม่บุญธรรมอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง ว่าผู้ที่จะเป็นยอดคนได้นั้นจะต้องรู้จักประยุกต์ ใช้วิชาฝีมือจากคนรุ่นก่อนมาปรับปรุงพัฒนา ดังนั้นด้วยพรสวรรค์ที่มีในตัวของเขา จึงมีความคิดที่จะประสานวิชาดาวดึงส์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับวิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงของแม่บุญธรรมเข้าด้วยกันดูว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นใด
เมื่อเห็นเทียนจิ้งใช้กระบี่หยกไผ่หลิวจู่โจมเข้ามารีบใช้ลำไม้ไผ่ในมือออกด้วยกระบวนท่าที่หนึ่งในวิชาดาวดึงส์นามดาวเย้ยเดือนเข้าต้านรับ ซึ่งความจริงวิชานี้จะกล้าแข็งและดุดันถึงที่สุด ส่วนวิชาไผ่หลิวชมจันทร์ของเทียนจิ้งเน้นความคล่องแคล่วพลิ้วไหว แต่เมื่อจ่านจือใช้ไม้ไผ่ในมือต่างกระสวยทอผ้าจึงดูพลิ้วไหวแต่ท่วงท่ายังคงหนักแน่น บรรดาชาวยุทธ์ต่างส่งเสียงชื่นชมพร้อมทั้งปรบมือต่อท่าร่างของจ่านจือและเทียนจิ้ง ทุกคนต่างมีความเห็นตรงกันว่าในทุกคู่ที่ประลองผ่านมาคู่ของจ่านจือกับเทียนจิ้งดูงดงามและทรงอานุภาพที่สุด
เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะทั้งสองมีความตั้งใจในการประลองโดยไม่ยึดติดกับผลแพ้ชนะสักเท่าใดนัก เมื่ออีกคนรุกอีกคนรับครั้นเกิดช่องโหว่ต่างรอให้อีกฝ่ายแก้กระบวนท่า แม้แต่ต้าทงไต้ซือแห่งเส้าหลินยังอดยินดีต่อทั้งสองออกมามิได้ นางชีเทวราชชิ้วโส่วเองปกติจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา เมื่อเห็นภาพของทั้งสองตรงหน้าอดที่จะแสดงสีหน้าปลาบปลื้มออกมามิได้เช่นเดียวกัน
แต่ก็มีฝ่ายมารอธรรมกับมือดีของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าที่มีความเห็นไปอีกทาง ต่างมองว่าจ่านจือและเทียนจิ้งไม่เอาไหนการประลองยุทธ์ต้องเร่งเผด็จศึกคู่ต่อสู้ ทุกกระบวนท่าต้องช่วงชิงจู่โจมช่องโหว่ของฝ่ายตรงข้ามโดยมิรั้งรอจึงจะถือว่าเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด แม้แต่ผู้ที่มีฝีมืออ่อนด้อยกว่าหากรู้จักช่วงชิงโอกาสอาศัยช่องโหว่ของคู่ต่อสู้แล้ว ย่อมจะกำชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือร้ายกาจกว่าได้เช่นกัน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564