Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ลิขิตฟ้าบัญชาสวรรค์)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ลิขิตฟ้าบัญชาสวรรค์

  • 13/08/2565

ตอนที่ 44

ลิขิตฟ้าบัญชาสวรรค์

“เรียนต่อเหล่าจอมยุทธ์ผู้กล้าทั้งหลาย เรื่องนี้ข้าพเจ้ามู่ชิวป้าสามารถอธิบายได้ ถูกต้องในค่ำคืนนั้นที่เกิดเหตุมีเพียงข้าพเจ้าเป็นแขกของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ลูกผู้ชายกล้าทำย่อมกล้ารับในเมื่อมิใช่ฝีมือของข้าพเจ้าจะให้ยอมรับได้เช่นไร ส่วนเรื่องที่ลามะรูปนี้กล่าวว่ามีหลักฐานมัดตัวชัดเจน จนบัดนี้ข้าพเจ้ายังมิทราบว่าเศษชิ้นเสื้อผ้าไปตกอยู่ในมือของผู้ตายได้เช่นไร? แต่เรื่องนี้ความจริงต้องมีการสืบเรื่องราวให้ชัดเจนก่อน แต่หมู่ตึกกระเรียนฟ้านอกจากมิฟังคำแก้ตัวใด ๆ แล้ว กลับใช้กำลังกลุ้มรุมทำร้ายหมายเอาชีวิตข้าพเจ้าโดยพลันคล้ายมีเบื้องหน้าเบื้องหลังบางประการ”

เมื่อได้ยินเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้ากล่าววาจาเช่นนั้น ทุกคนภายในงานต่างสนใจรับฟังโดยสงบ ส่วนใหญ่แล้วเหล่าบรรดาชาวยุทธ์ต่างทราบประวัติของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวเป็นอย่างดี ตลอดมาท่านกระทำแต่เรื่องราวเปิดเผยช่วยเหลือเรื่องราวยุทธภพมาโดยตลอด จนกระทั่งชื่อเสียงสำนักถูกยกให้เป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะซึ่งไม่นับรวมวัดเส้าหลิน เมื่อเห็นว่าทุกคนตั้งใจฟังเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวจึงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“เรื่องราวเหตุการณ์ในวันนั้นความจริงสามารถเรียกสำนักต่าง ๆมาร่วมตัดสินหาคนผิด แต่หมู่ตึกกระเรียนฟ้ากระทำโดยรวบรัดป้ายความผิดมาให้อย่างเห็นได้ชัด อีกประการหนึ่งหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนกับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวคุ้นเคยกันมานานอีกทั้งไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน จากร่องรอยที่พบสาเหตุการเสียชีวิตอวัยวะภายในแหลกสลายซึ่งมิใช่แนวทางวิชาของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ก่อนหน้านั้นเมื่อห้าปีก่อนเคยมีคนถูกสังหารตายในลักษณะเช่นนี้ จนป่านนี้ยังมิมีผู้ใดสืบแน่ชัดว่าเป็นฝีมือของบุคคลใด? แล้วไฉนยังมิทันสอบสวนป้ายความผิดทั้งหมดมาให้แก่ข้าพเจ้ามู่ชิวป้า”

บัดนี้ภายในงานเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นอีกครั้ง ส่วนใหญ่รู้สึกเห็นด้วยต่อคำพูดของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินต้าทงไต้ซือท่านรู้จักกับเจ้าหุบเขามาช้านาน จึงยกมือบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลงก่อนพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า

“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบก่อนเถิด อาตมาต้าทงไต้ซือรู้จักกับเจ้าหุบเขามู่มาช้านาน อุปนิสัยเป็นเช่นไรอาตมาพอทราบ เมื่อเกิดเรื่องราวที่ว่าจะต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้กระจ่างเสียก่อน ผิดค่อยว่าไปตามผิดถูกก็ว่าไปตามถูก เพื่อเป็นการให้ท่านหุบเขามู่ได้กล่าวแก้ต่างต่อเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย หลังจากนั้นค่อยปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการหาตัวคนทำผิดตัวจริงมาลงโทษในภายหลัง มิทราบว่าประสกมู่มีคำพูดใดจะกล่าวอีกหรือไม่?”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าประสานมือต่อต้าทงไต้ซือ จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ขอบคุณท่านไต้ซือที่เข้าใจอุปนิสัยของข้าพเจ้า ในวันนั้นหมู่ตึกกระเรียนฟ้านอกจากมิสืบหาความจริงให้กระจ่างแล้ว ใช้คนมากกลุ้มรุมทำร้ายมิเพียงแต่ตัวข้าพเจ้ายังคิดจะสังหารศิษย์สตรีทั้งสองให้ตกตายไปพร้อมกันอีกด้วย หากหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามิมีเบื้องหน้าเบื้องหลังไฉนคิดจะฆ่าปิดปากทั้งศิษย์อาจารย์ไปพร้อมกัน ยังนับว่าสวรรค์มีตาในวันนั้นขณะเหตุการณ์คับขัน พอดีได้จอมยุทธ์น้อยสามคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วป่านนี้ข้าพเจ้ามู่ชิวป้ากับศิษย์ทั้งสองคงมิอาจมาร่วมงานในวันนี้ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงก้าวเดินเข้ามาหลังจากปลีกตัวออกไปเก็บตัวอยู่ฟากหนึ่ง เมื่อหยุดเท้าลงนางส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า

“ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วแม้ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวยุทธภพเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อครู่ได้รับฟังเรื่องราวทั้งสองฝ่ายมีความเห็นว่ามิถูกต้องอยู่หลายส่วน ไต้ซือท่านกล่าวได้ถูกต้อง ผิดก็ว่าไปตามผิดถูกก็ว่าไปตามถูก เรื่องราวที่ถูกผู้อื่นป้ายสียัดเยียดความบัดสีมาให้ข้าพเจ้าย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่ารู้สึกเป็นเช่นไร? ในเมื่อประสกมู่กล่าวว่าในเหตุการณ์วันนั้นมีจอมยุทธ์น้อยสามคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือเอาไว้ ผู้ที่กระทำความดีย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญ ดังนั้นขอประสกมู่จงรีบกล่าวแนะนำจอมยุทธ์น้อยทั้งสามให้แก่เหล่าผู้กล้าในที่นี้ได้รับทราบด้วย”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าประสานมือต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่วคราหนึ่ง จากนั้นหันมองสำรวจว่าเฮียม่วยแซ่เฟิ่นนั่งอยู่บริเวณใด เมื่อท่านมองจึงเห็นทั้งสองนั่งอยู่ไม่ไกลนักจะขาดไปก็เพียงแต่จ่านจือซึ่งบัดนี้ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เมื่อเห็นเพียงมู่เหอกับไป่ชิงเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าจึงส่งเสียงกล่าวว่า

“จอมยุทธ์น้อยสามคนในขณะนี้ข้าพเจ้าเห็นเพียงสองคน ดังนั้นจึงขอกล่าวแนะนำให้แก่ทุกได้รับทราบถึงความมีน้ำใจของเด็กน้อยทั้งสอง ถึงแม้ข้าพเจ้าเองยังมิทราบว่าเด็กน้อยทั้งสองเป็นศิษย์ของสำนักใด? แต่ก็อดที่จะชื่นชมยินดีไปถึงผู้เป็นอาจารย์ที่อบรมศิษย์ได้ดีถึงเพียงนี้มิได้ คนแรกมีชื่อว่าเฟิ่นมู่เหอกับอีกคนมีชื่อว่าเฟิ่นไป่ชิงทั้งสองเป็นเฮียม่วยกัน ในวันนั้นหากมิได้สองคนนี้กับจอมยุทธ์น้อยอีกผู้หนึ่งข้าพเจ้าคงเสียชีวิตไปพร้อมกับศิษย์ทั้งสองแล้ว”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกล่าววาจาแนะนำชื่อสองเฮียม่วยออกมาพร้อมกับผายมือไปยังมู่เหอกับไป่ชิง ทั้งสองรีบลุกขึ้นยืนแสดงตัวพร้อมกับประสานมือแสดงการคารวะแก่เหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลายภายในงาน มู่เหอในฐานะเป็นพี่ชายจึงส่งเสียงกล่าวแนะนำตัวเองกับน้องสาวว่า

“ข้าพเจ้ามีนามว่าเฟิ่นมู่เหอส่วนน้องสาวของข้าพเจ้ามีชื่อว่าเฟิ่นไป่ชิงขอคารวะเหล่าอาวุโสและบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย เราทั้งสองในวันนั้นมิอาจเปิดเผยชื่อสำนักและอาจารย์ให้แก่ท่านอาวุโสมู่ได้รับทราบได้ ความจริงในวันนั้นเราสองพี่น้องมิได้ลำบากออกแรงแม้แต่น้อยอย่าได้ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงนัก วันนี้เราสองพี่น้องได้รับอนุญาตจากอาจารย์ให้บอกกล่าวชื่อเสียงสำนักออกไปได้ ข้าพเจ้ามู่เหอจึงขอเรียนแก่ทุกท่านว่าเราทั้งสองเป็นศิษย์ของท่านเจ้าผาแห่งสายลมนามเกาทิเหว่ย ซึ่งเราทั้งสองเพิ่งทราบว่าแท้จริงท่านคือศิษย์คนที่สี่ของสำนักตำหนักหมื่นเทพนั่นเอง”

พอมู่เหอพี่ชายกล่าวจบไป่ชิงน้องสาวจึงส่งเสียงกล่าวต่อบ้างว่า

“ข้าพเจ้าเฟิ่นไป่ชิงความจริงมิได้ออกแรงกระไรนัก แต่เมื่อได้รับคำชมจากท่านอาวุโสมู่ก็ยินดีน้อมรับเอาไว้ ความจริงเหตุการณ์ในวันนั้นยังมีสหายอีกผู้หนึ่งที่น่ายกย่อง ก่อนหน้านั้นเขาได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือศิษย์ทั้งสองของท่านอาวุโสมู่เอาไว้จากคนร้ายชุดดำห้าคน ต่อมายังได้ช่วยเหลือนางทั้งสองจากน้ำมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าไว้ได้ก่อนที่เราพี่น้องจะไปช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง แต่น่าเสียดายวันนี้สหายผู้นี้มิได้มาร่วมงานด้วย มิเช่นนั้นแล้วเราพี่น้องจะได้กล่าวแนะนำให้แก่ทุกท่านได้รู้จัก”

เสียงเหล่าชาวยุทธ์ที่มาชุมนำต่างส่งเสียงยกย่องชมเชยต่อพี่น้องแซ่เฟิ่น อีกทั้งยังส่งเสียงกล่าวชมต่อสหายของคนทั้งสอง ต่างส่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าเสียดายจอมยุทธ์น้อยอีกผู้หนึ่งน่าจะมาร่วมงานด้วยในวันนี้

เมื่อเป็นเช่นนั้นพอเสียงทุกคนสงบลง เจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินต้าทงไต้ซือจึงกล่าวว่าให้ทุกคนกลับไปนั่งที่เดิมก่อน ส่วนเรื่องราวบาดหมางใด ๆ ให้เก็บเอาไว้ก่อนหลังจากเสร็จสิ้นงานชุมนุมแล้วค่อยสะสางกันอีกที

สรุปได้ว่าในตอนนี้มีผู้ที่ถูกเสนอชื่อออกมาทั้งหมดมีด้วยกันสี่คนดั่งที่ได้ทราบไปเมื่อครู่ส่วนทางฝั่งของฝ่ายธัมมะผู้ที่ถูกเสนอชื่อขึ้นมามีด้วยกันสี่คนเช่นกัน คนแรกเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือ คนที่สองเป็นท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ คนที่สามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน คนที่สี่เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ส่วนนางชีเทวราชชิ้วโส่วนางกล่าวว่าขอดูเหตุการณ์ไปก่อน ไม่แน่นักนางอาจเข้าร่วมชิงตำแหน่งในครั้งนี้ด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเสนอชื่อขึ้นมาอีก เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินจึงกล่าวขึ้นว่า

“เมื่อไม่มีผู้ใดเสนอชื่อขึ้นมาอีกอาตมาก็จะให้ทุกท่านออกเสียงสนับสนุน โดยให้แต่ละสำนักสนับสนุนได้เพียงเสียงเดียว หากว่าผู้ใดได้รับได้รับการสนับสนุนมากที่สุดผู้นั้นก็จะมาทำหน้าที่ผู้นำในครั้งนี้ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?”

หลายสำนักต่างส่งเสียงเห็นด้วย บ้างไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือ ฝ่ายที่เห็นด้วยย่อมเป็นฝ่ายสำนักมารอธรรม เพราะหากใช้วิธีการนี้ฝ่ายตนย่อมได้เปรียบ เนื่องจากนางมารเยือกเย็นได้วางสาขาไว้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังได้กวาดต้อนสำนักเล็ก ๆ เอาไว้เป็นฝ่ายตน หากใช้จำนวนเสียงผู้สนับสนุนสำนักละหนึ่งเสียง แน่นอนสำนักมารสวรรค์จะต้องเป็นฝ่ายมีชัยอย่างแน่นอน ในตอนแรกนางคิดเอาไว้ว่าจะต้องใช้การประลองฝีมือในการตัดสินในครั้งนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะใช้การประลองฝีมือนางก็มิได้หนักใจเท่าใดนัก คล้ายกับมั่นอกมั่นใจต่อฝีมือของตนว่าสามารถสยบเหล่ายอดฝีมือฝ่ายธัมมะได้

ฝ่ายเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือหาทราบเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ เพียงแต่คาดการณ์เอาไว้ว่าฝ่ายธัมมะย่อมมีจำนวนมากกว่า ซึ่งความจริงการประลองยุทธ์เลือกผู้นำถือว่าเป็นกฎกติกาปฏิบัติกันมายาวนาน แต่ครั้งนี้ท่านเห็นว่ามิต้องการให้มีการนองเลือดเกิดขึ้นอีกจึงเสนอวิธีการนี้ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมีผู้คัดค้านและต้องการให้มีการประลองยุทธ์ก็ต้องตกลงกันใหม่อีกที เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านดังนั้นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือจึงก้าวออกมา แต่ก่อนที่จะกล่าววาจาใดออกมาเสียงหนึ่งดังสอดขึ้นมาเสียก่อนว่า

“ช้าก่อน ข้าพเจ้าผู้หนึ่งไม่เห็นด้วย”            

ทุกคนหันไปมองตามเสียงโดยพร้อมเพรียงผู้ที่กล่าววาจาเป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่ว นางพอกล่าววาจาจบก้าวออกมาตรงกลางลานกว้างแล้วหยุดร่างลงไม่ไกลกับเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือเท่าใดนัก เจ้าอาวาสเส้าหลินได้ยินเช่นนั้นจึงส่งเสียงกล่าวถามไปว่า

“ซือไท่ท่านไม่เห็นด้วยมิทราบว่ามีข้อเสนอใดนอกเหนือจากนี้โปรดบอกกล่าวออกมา หรือว่าซือไท่จะเสนอตัวเองเป็นผู้นำในครั้งนี้ หากเป็นเช่นนั้นซือไท่ก็สามารถกระทำได้”            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วใช้สายตาสำรวจมองไปจนทั่วบริเวณ ก่อนที่จะหยุดสายตาอยู่ที่กลุ่มของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จากนั้นส่งเสียงกล่าวออกมาว่า

“เรียนท่านไต้ซือ ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วความจริงด้านคุณสมบัติและฝีมือย่อมคู่ควรเข้าชิงตำแหน่งในครั้งนี้ แต่ในอดีตข้าพเจ้าต้องทนอัปยศเก็บตัวมาถึงยี่สิบปีด้วยสาเหตุอันใด พวกท่านทั้งหลายในที่นี้ย่อมจดจำได้ เพื่อคลายข้อสงสัยและล้างมลทินของข้าพเจ้าให้หมดไป ดังนั้นในครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงไม่อาจจะผิดพลาดได้อีก ข้าพเจ้ามีคนผู้หนึ่งแต่มิใช่ตัวข้าพเจ้าซึ่งจะเสนอเข้าเป็นผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้”

นางชีเทวราชชิ้วโส่วหยุดช่วงจังหวะพลางหมุนกายมองไปโดยรอบ จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อในทันทีว่า

“ในอดีตท่านทั้งหลายกล่าวหาว่าข้าพเจ้าทำนายเรื่องราวผิดพลาด จนเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นซึ่งกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าเองยังมิทราบสาเหตุ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอทำนายอีกสักครั้งว่าคนที่ข้าพเจ้าจะเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่ง เขาผู้นี้จะเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้ามากล้นด้วยคุณธรรมน้ำใจอีกทั้งยังจะเป็นจอมยุทธ์ที่มีฝีมือเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินในอนาคต หากครั้งนี้ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วทำนายผิดพลาดอีกก็จะยอมรับว่าในอดีตข้าพเจ้าเป็นผู้ผิดโดยไร้ข้อโต้แย้งใด ๆอีก หากทว่าเป็นไปตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้เมื่อครู่แล้วละก็ ทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ในอดีตจะต้องชดใช้ต่อข้าพเจ้าอย่าได้ติดค้างอีกเป็นอันขาด”            

ทุกคนต่างนั่งนิ่งเงียบงันรับฟังนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าว ทุกคนต่างให้ความสนใจจนหันมองเป็นจุดเดียวกัน มู่เหอกับไป่ชิงสองเฮียม่วยเมื่อมองดูนางชีตรงหน้าต่างต้องแสดงอาการแปลกใจ เมื่อพบว่าแม่ชีที่ตนพบพานสองครั้งมิใช่นางชีที่ยืนอยู่ในขณะนี้ แสดงว่านางชีที่ตนพบและประมือด้วยจะต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน ดังนั้นทั้งสองจึงรอฟังว่านางจะกล่าวกระไรต่อไป            

เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือเมื่อได้ยินนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวเช่นนั้น จึงส่งเสียงกล่าวถามทันทีว่า

“ซือไท่หากมิใช่ท่านแล้วเป็นผู้ใด? เท่าที่เห็นอยู่ในที่นี้ก็ไม่มีผู้ใดที่ท่านน่าจะเสนอชื่อออกมาได้อีก”            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วแสดงสีหน้าเรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ จากนั้นกล่าววาจาต่อเหล่าชาวยุทธ์ทั้งหมดว่า

“ผู้ที่ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วจะเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งในครั้งนี้ ข้าพเจ้าเองมิเคยรู้จักกับคนผู้นี้มาก่อน บอกตามตรงข้าพเจ้าเคยพบพานคนผู้นี้เพียงหนเดียว แม้แต่หน้าตารูปร่างลักษณะข้าพเจ้าก็มิเคยเห็นในความมืดข้าพเจ้าเพียงรับรู้ได้เท่านั้นเอง ส่วนชื่อแซ่ของเขาข้าพเจ้าได้ยินเขากล่าวแนะนำต่อข้าพเจ้าก่อนจากไปจึงยังไม่ขอเอ่ยในตอนนี้ แต่เพื่อพิสูจน์ว่าวิชาทำนายของข้าพเจ้ามีความแม่นยำเพียงใด ในอดีตพวกท่านเคยกล่าวหาว่าข้าพเจ้าทำนายผิดพลาดมาแล้วหนหนึ่ง ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะพิสูจน์ให้ทุกท่านได้ทราบว่าข้าพเจ้าทำนายผิดพลาดอีกหรือไม่?”            

เมื่อนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวจบ ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงกล่าวดังออกมาว่า

“ซือไท่ในอดีตท่านทำนายผิดพลาดยังมิเข็ดหลาบอีกรึ? เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุให้ตัวท่านถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนัก ครานี้ท่านยังกล้าทำนายทายทักอีกมิเกรงว่าเหตุการณ์ในอดีตจะกลับมาซ้ำรอยอีกคราวกระมัง?”            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วได้ยินเช่นนั้น มิรอช้ารีบกล่าววาจาสวนกลับไปโดยทันทีว่า

“ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วจงรีบหุบปากสุนัขของท่าน วันนี้ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วยังมิต้องการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ความจริงข้าพเจ้าสมควรคิดบัญชีกับท่านตั้งแต่ค่ำคืนนั้นทางที่ดีท่านควรหุบปากแล้วเก็บวาจาเหล่านั้นไว้ ในอดีตสำนักของท่านก่อกรรมทำเข็ญมากมายอย่าให้ข้าพเจ้าต้องนำมากล่าวในที่นี้ให้บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายได้รับรู้เลย เอาไว้ถึงเวลาแล้วท่านก็จะทราบเองว่าที่ข้าพเจ้ากล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่?”            

นางมารเยือกเย็นนั่งฟังเรื่องราวอยู่เนิ่นนานแล้วชักรู้สึกรำคาญ ด้วยเห็นว่านางชีเทวราชชิ้วโส่วพูดจาเพ้อเจ้อเลอะเลือน ถึงกับกล้าเสนอชื่อคนที่ยังไม่เคยรู้จักเข้าชิงตำแหน่งชาวยุทธ์ในครั้งนี้จึงส่งเสียงกล่าวสอดขึ้นว่า

“ข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนนั่งฟังมาก็ยังไม่เห็นว่าจะมีผู้ใด? ที่ท่านจะเสนอชื่อเข้าชิงในครั้งนี้แม้แต่ประวัติท่านยังมิรู้จัก หน้าตารูปร่างเป็นเช่นใด ท่านก็มิทราบ แล้วเช่นนี้ท่านยังกล้าที่จะเสนอชื่อคนผู้นั้นอยู่อีกรึ? คนที่ท่านกล่าวถึงจะมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่?ยังมิอาจทราบชัด  ความจริงท่านอย่าเพิ่งด่วนบอกกล่าวสรุป ข้าพเจ้าว่าพี่สามอย่าเพิ่งมั่นใจจนเกินไปหากผิดพลาดขึ้นมาเกรงว่า...”            

ยังไม่ทันที่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนจะกล่าววาจาจบ นางชีเทวราชชิ้วโส่วพลันส่งเสียงสอดขึ้นมาก่อนว่า

“ท่านยังกล้าเรียกข้าพเจ้าเป็นพี่สามอยู่อีกรึ? ตั้งแต่ข้าพเจ้าออกจากสำนักก็ไม่เคยคิดว่ามีน้องร่วมสำนักเยี่ยงท่าน ดังนั้นจงอย่าได้เรียกข้าพเจ้าเป็นพี่สามของท่านอีกเป็นอันขาด”            

เมื่อนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวจบทุกคนต่างนิ่งเงียบเพื่อรอฟังว่า ที่แท้นางจะเสนอชื่อผู้ใดกันแน่? แต่มีคนผู้หนึ่งซึ่งลอบสังเกตและเก็บรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ ใบหน้ายังคงแสดงกิริยาปกติโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ดังนั้นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือจึงเอ่ยกล่าวต่อนางว่า

“ซือไท่ในเมื่อท่านไม่รู้จักของคนผู้นี้ อีกทั้งหน้าตาลักษณะท่านก็ยังมิเคยพบเห็น แล้วท่านยังคิดจะเสนอคนผู้นี้อีกเช่นนั้นรึ?”            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วยกมือข้างขวาขึ้นมาพร้อมกับนับนิ้วในมือท่าทางใช้ความคิด ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วกล่าวต่อทุกคนว่า

“คนผู้นี้กำลังเดินทางขึ้นมาอีกเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปมอดก็จะบรรลุถึง ดังนั้นข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงมีข้อเสนอว่า ผู้นำชาวยุทธ์นอกจากมีความสามารถแล้วจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรม และที่สำคัญข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านและข้าพเจ้าต่างผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากมาย เรื่องราวในอนาคตสมควรให้คนรุ่นหลังได้สะสางคลื่นลูกหลังย่อมแรงกว่าคลื่นลูกแรกเสมอ คลื่นลูกหลังแซงคลื่นลูกแรกฉันใดคนรุ่นใหม่ก็ย่อมฉันนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอเสนอว่าในการคัดเลือกผู้นำในครั้งนี้ ทุกท่านควรคัดเลือกศิษย์ของแต่ท่านออกมาแล้วทำการประลองยุทธ์ หากศิษย์ของท่านใดสามารถผ่านด่านสุดท้ายได้ก็สมควรให้เป็นผู้นำยุทธจักร ทุกท่านมีความเห็นว่าเช่นใด?”            

พอนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวจบทุกคนส่งเสียงกันดังอื้ออึงอีกครั้ง ไต้ซือต้าทงแห่งวัดเส้าหลินเพ่งมองนางท่าทางเลื่อมใสต่อความคิดของนาง ดังนั้นท่านจึงรีบกล่าวเสริมขึ้นทันทีว่า

“ทุกท่านที่ซือไท่ชิ้วโส่วเสนอมาเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมวิเศษนัก อาตมาเห็นด้วยกับความคิดนี้มิทราบว่าท่านใด ไม่เห็นด้วยก็จงรีบกล่าวออกมา”

“ข้าพเจ้าขอทานพเนจรหวงเกาฉือเห็นด้วยต่อความคิดของซือไท่ชิ้วโส่ว”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวขึ้นก่อนเป็นคนแรก เจ้าสำนักทั้งสามอันได้แก่สำนักเมฆฟ้าพิรุณ หุบเขาผาพยัคฆ์ขาว พรรคไผ่หลิวต่างต่างกล่าวพร้อมกันว่าเห็นด้วยเช่นกัน เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยก็ส่งเสียงออกมาว่าเห็นด้วยเช่นกัน แล้วหันไปกล่าวต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนว่า

“พี่ใหญ่เห็นท่านนั่งนิ่งเงียบงันมิแสดงความคิดเห็น มิทราบว่าเป็นเพราะศิษย์ของท่านยังเดินทางมาไม่ถึงหรือเพราะว่าท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้”

“น้องสี่ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกเป็นห่วงศิษย์ข้าพเจ้าเช่นกันจนป่านนี้แล้วยังเดินทางมาไม่ถึง มิทราบว่าติดปัญหาใดหรือเกิดอะไรขึ้น  ถึงแม้ศิษย์ข้าพเจ้าจะเดินทางมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าศิษย์ข้าพเจ้าคงมิมีความสามารถถึงขั้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับวิธีการนี้เสียดายที่ตอนนั้นข้าพเจ้ามิได้...”

“มิได้กระไรหรือพี่ใหญ่? ดูคล้ายท่านมีความนัย ท่านอย่าได้ดูแคลนความสามารถของศิษย์ท่านถึงเพียงนั้น นอกจากความสามารถแล้วหากฟ้ากำหนดให้เป็นผู้นำแล้วก็มิมีผู้ใดจะฝืนโชคชะตาได้”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเงียบงันอย่างใช้ความคิด เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยเห็นเช่นนั้นจึงไม่ซักถามต่อ หันไปทางเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือเห็นว่าในขณะนี้ทุกสำนักต่างเริ่มเห็นด้วยต่อความคิดของนางชีเทวราชชิ้วโส่ว โดยเฉพาะเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันยิ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทราบว่าศิษย์ของตนแม้แต่เจ้าสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะทั้งสามยังต้องพายแพ้มาแล้ว และวันนี้ยังมองไม่เห็นศิษย์ของผู้ใดที่มีฝีมือทัดเทียมเสมอกับศิษย์ตนได้ในสายตา ดังนั้นจึงหันไปกล่าวกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนและสำนักฝ่ายอธรรมว่า

“เห็นทีครานี้สวรรค์จะเข้าข้างฝ่ายเราคิดไม่ถึงว่าความคิดของน้องสามจะประเสริฐเยี่ยงนี้ มิทราบว่านางจะส่งศิษย์คนใด ลงแข่งขัน หนนี้หากนางทำผิดพลาดอีกเห็นทีคงมิกล้าสู้หน้าชาวยุทธ์ได้อีก ข้าพเจ้าคิดดูแล้วมีเพียงศิษย์ของเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือที่น่าจะมีฝีมือกล้าแข็งที่สุด หากเทียบกับหว่อถิงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาทุกท่านคิดเห็นว่าเช่นไร?”

ทุกคนต่างเห็นด้วยต่อคำพูดของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นนางก็เห็นด้วยเพราะเชื่อในฝีมือของเยี่ยนผิงบุตรีเช่นกัน หากสุดท้ายต้องต่อสู้กันเองในรอบสุดท้ายกับเยิ่นหว่อถิง หากต่อสู้กันแล้วเยิ่นหว่อถิงมีฝีมือสูงกว่าก็ไม่น่าวิตกเพราะถึงอย่างไรเหยิ่นหว่อถิงจะต้องออมมือยินยอมให้เยี่ยนผิงเป็นผู้ชนะอยู่ดี หากมิเช่นนั้นแล้วการพูดคุยเรื่องสู่ขอนางให้แก่มันคงมิเกิดขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นจึงมีผู้ที่ถูกเสนอชื่อเข้าประลองทั้งหมดคือ หนึ่งเยี่ยนผิงแห่งสำนักมารสวรรค์ สองเยิ่นหว่อถิงแห่งสำนักอสูรโลกันตร์ สามซื่อเหมี่ยนแห่งหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว สี่หนานตี้แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ห้าเทียนจิ้งแห่งพรรคไผ่หลิวซึ่งเป็นศิษย์คนที่สามแต่ทว่ามีพรสวรรค์และฝีมือสูงเยี่ยมกว่าศิษย์พี่ทั้งสองนัก หกเฟิ่นมู่เหอแห่งผาแห่งสายลม เจ็ดถู่ฝูแห่งวัดเส้าหลิน

ทางด้านขอทานพเนจรท่านมิได้รับศิษย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้มาก่อน จะมีก็แต่เพียงขอทานระดับอาวุโสที่ได้รับการชี้แนะ ดังนั้นจึงไม่ขอส่งผู้ใดลงประลองด้วย แต่ก็อดมิได้ที่จะหันมากล่าวเบา ๆ กับผู้เฒ่าเก้าทิกว่อว่า

“ผู้เฒ่าเก้าท่านคิดเห็นเหมือนข้าพเจ้าหรือไม่? ศิษย์ของทั้งหมดในที่นี่หากเปรียบเทียบกับเจ้าเด็กหนุ่มจ่านจือ ทั้งด้านฝีมือน้ำใจและคุณธรรมเจ้าหนุ่มผู้นี้ย่อมมีคุณสมบัติคู่ควรที่สุด เสียดายว่าจนป่านนี้ข้าพเจ้ายังไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์ของผู้ใดกันแน่ แถมในงานนี้กลับไม่มาเข้าร่วมงานชุมนุมอีกด้วย หากไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าจะเสนอชื่อเจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะเป็นศิษย์ของสำนักใดก็ตาม”

ผู้เฒ่าเก้าทิกว่อเห็นด้วยต่อคำพูดของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ หากว่าจ่านจืออยู่ในงานชุมนุมท่านเองก็จะสนับสนุนให้เขาเข้าแข่งขันในครั้งนี้ เสียดายมิทราบว่าป่านนี้ไปอยู่สถานที่ใด?

เมื่อทุกสำนักต่างส่งรายชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือเรียกให้ทุกคนที่มีชื่อก้าวออกมาด้านหน้า เพื่อที่จะให้แต่ละคนกล่าวแนะนำตัวให้ทุกคนในงานได้รู้จักชื่อแซ่และสำนักพร้อมทั้งผู้ที่เป็นอาจารย์ ทุกคนที่มีชื่อต่างก้าวออกมาแล้วกล่าวแนะนำตัวทีละคนเมื่อคนสุดท้ายแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือแห่งวัดเส้าหลินหันมากล่าวกับนางชีเทวราชชิ้วโส่วว่า

“ซือไท่ทุกคนก็แนะนำตัวหมดสิ้นนี่ก็ผ่านไปครึ่งก้านธุปมอดแล้ว คนที่ท่านจะเสนอชื่อมิทราบว่ามาถึงแล้วหรือไม่? เพราะเดี๋ยวจะต้องมากำหนดกติกาในการประลองอีก หากคนที่ท่านกล่าวยังไม่มาก็จะถือว่าสละสิทธิ์ไป”

นางชีเทวราชชิ้วโส่วแสดงสีหน้ามั่นอกมั่นใจก่อนจะกล่าววาจาตอบกลับมาว่า

“ในเมื่อฟ้ากำหนดผู้ใดก็มิอาจขัดขวาง ไต้ซือมิต้องกังวลไปคนผู้นั้นมาถึงแล้วเชิญไต้ซือพิจารณาดูเอาเองเถิด”

นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวจบ ไต้ซือต้าทงแห่งวัดเส้าหลินรวมถึงทุกคนภายในงานชุมนุมต่างหันไปมองยังบริเวณด้านหน้าซึ่งเป็นบันไดทางขึ้น ทุกคนคล้ายกับไม่เชื่อถือในคำพูดของนางนั่นเอง ภาพที่ปรากฏตรงหน้า...

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป