Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เคราะห์กรรมซ้ำหรือวาสนาซ้อน)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เคราะห์กรรมซ้ำหรือวาสนาซ้อน

  • 13/08/2565

ตอนที่ 42

เคราะห์กรรมซ้ำหรือวาสนาซ้อน

“ท่านสองคนเห็นบุรุษผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่?”

“นายน้อยข้าพเจ้าทั้งสองเห็นคนผู้นั้นแล้ว นายนายมีคำสั่งใดจะกล่าวแก่เราทั้งสองถูกต้องหรือไม่?”            

จางจิ้งเป็นผู้กล่าววาจาสอบถาม ด้วยน้ำเสียงเชิงรู้ว่าเยิ่นหว่อถิงคิดการกระไรอยู่ เยิ่นหว่อถิงกล่าววาจาต่อคนทั้งสองว่า

“ท่านทั้งสองแจ้งข่าวต่อทุกคนหากพบบุรุษผู้นั้นอีกให้ลงมือสังหารเสียอย่าให้มันมีชีวิตสืบไป มิฉะนั้นมันจะเป็นดั่งเสี้ยนหนามตำเท้าข้าพเจ้า และท่านทั้งสองให้คนสืบดูด้วยว่าสตรีกับบุรุษคู่นั้นเป็นผู้ใด? โดยเฉพาะสตรีนางนั้นหากพบพานกับนางจงรีบแจ้งข่าวต่อข้าอย่าได้ผิดพลาด”            

เยิ่ยเหว่ยกับจางจิ้งรับคำสั่งของเยิ่นหว่อถิงโดยพร้อมเพรียง คนทั้งสองเป็นมือดีของสำนักอสูรโลกันตร์ ครั้งก่อนถูกศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวใช้วิชาหลิวชมจันทร์เล่นงาน มันทั้งสองถูกกระบี่หยกไผ่หลิวทำร้ายจนสูญเสียดวงตาข้างขวาไปทั้งสองคน ความแค้นนี้ทั้งสองคิดจะทวงคืนแก่พรรคไผ่หลิวให้จงได้            

จากนั้นเยิ่นหว่อถิงจึงหันมากล่าวต่อเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อว่า

“ท่านทั้งสองรีบกลับที่พักกับข้าพเจ้าแล้วช่วยปรนนิบัติต่อข้าพเจ้า พร้อมกับหายามาประคบใบหน้าให้กับข้าพเจ้าด้วย น่าเจ็บใจยิ่งนักสตรีชุดแดงนางเป็นผู้ใดกัน วิชาฝีมือสุดพิสดารนัก พบกับอาจารย์ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะต้องเรียนถามให้กระจ่างว่ารู้จักนางดั่งที่นางกล่าวหรือไม่?”            

จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางกลับที่พักไป ลับหลังคนทั้งหมดไม่นานนักร่างหนึ่งจึงปรากฏกายขึ้นพร้อมกับหน้ากากอสูรปกปิดใบหน้า แม้จะไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นี้แต่กลิ่นอายของความชั่วร้ายรังสีอำมหิตแห่งการฆ่าฟันแผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรง            

คนผู้นี้หยุดยืนอยู่เพียงครู่เดียวแล้วผละร่างจากไปโดยไม่ทราบแน่ชัดว่าจากไปยังทิศทางใด และเรื่องราวที่คนผู้นี้คิดจะกระทำต่อไปคือเรื่องราวใด แต่พอคาดเดาได้ว่าคงมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

ทางด้านสตรีชุดแดงนางหิ้วร่างจ่านจือวิ่งตะบึงไม่ยั้งหยุด สถานที่ใดมีสิ่งกีดขวางทะยานร่างกระโดดโลดแล่นไปในอากาศคล้ายดั่งเซียนวิเศษก้าวย่างอยู่กลางนภาฉะนั้น ชั่วไม่กี่อึดใจร่างทั้งสองกินระยะทางล่วงเลยมาร่วมร้อยลี้ ไม่นานนักเห็นดงป่าทึบที่หนึ่งไม่ไกลนัก มิรอช้าสตรีชุดแดงโถมร่างลงไปทันทีโดยมีร่างของจ่านจือถูกหิ้วลงไปด้วย เมื่อเท้าสัมผัสพื้นรีบปล่อยมือให้จ่านจือเป็นอิสระ

ในดงป่าทึบจ่านจือทอดสายตามองสำรวจไปโดยรอบ ไม่ห่างจากที่ยืนอยู่เท่าใดนักเห็นมีปากถ้ำที่หนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใด สตรีชุดแดงจึงพาเขามายังสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงหันหน้ามาทางสตรีชุดแดงแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า

“เรียนถามอาวุโสมิทราบว่าท่านพาข้าพเจ้ามาสถานที่นี้ ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าจ่านจือกระทำสิ่งใด? ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องกล่าวขอบคุณต่ออาวุโสยิ่งนักที่มีกุศลเจตนาอันดีต่อข้าพเจ้า หากท่านมีสิ่งใดให้กระทำโปรดบอกกล่าวออกมาอย่าได้เกรงใจ”

สตรีชุดแดงพิศมองใบหน้าจ่านจืออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากกล่าวต่อเขาว่า

“เจ้าหนุ่มก่อนอื่นเราขอทราบชื่อแซ่ของเจ้าอีกสักครั้ง ครั้งก่อนที่เจ้าช่วยเหลือเราไว้ เรามิได้ตั้งใจจดจำว่าเจ้าได้บอกกล่าวชื่อแซ่แล้วหรือไม่ แล้วปีนี้เจ้ามีอายุเท่าใด? จงรีบบอกกล่าวต่อเราออกมาอย่าได้ปกปิด หลังจากนั้นเราจะบอกต่อเจ้าว่าเราพาเจ้ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อันใด”

จ่านจือได้ยินเช่นนั้นรีบกล่าวบอกออกไปต่อสตรีชุดแดงว่า

“ข้าพเจ้าแซ่จ้าวมีชื่อว่าจ่านจือปีนี้ข้าพเจ้ามีอายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว ไม่ทราบว่าอาวุโสต้องการทราบชื่อแซ่และอายุไปเพื่อสิ่งใด? แล้วนามอันสูงส่งของท่านจะกรุณาบอกต่อข้าพเจ้าให้รับทราบอีกครั้งได้หรือไม่?”               

สตรีชุดแดงทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นหันมากล่าวต่อจ่านจือว่า

“ปีนี้เจ้ามีอายุย่างเข้ายี่สิบปีคิดแล้วน่าจะไล่เลี่ยกับลูกของเรา แต่น่าเสียดายเราเองเป็นมารดาที่โง่งมไร้สามารถเพียงให้กำเนิดลูกน้อยยังมิทันได้ชื่นชม แม้แต่ทารกเป็นเพศชายหรือหญิงเรายังมิทันได้ทราบกระจ่างชัด อีกทั้งชื่อแซ่ของลูกน้อยเรายังไม่มีโอกาสได้ตั้งให้ ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้เราเฝ้าออกติดตามเสาะหาแต่ไร้วี่แววไม่พบเบาะแสของลูกเราแต่อย่างใด เมื่อเราได้พบหน้าเจ้าครั้งแรกกลับรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก”

จ่านจือตั้งใจฟังสตรีชุดแดงกล่าววาจาออกมา ดูจากดวงตาที่สตรีชุดแดงเอ่ยถึงลูกที่พลัดพรากจากกันสายตาของนางแม้คล้ายสิ้นหวัง แต่วูบหนึ่งคล้ายมีประกายความหวังบางอย่างขึ้นมา เขาเพิ่งจะเพ่งมองใบหน้าของสตรีนางนี้ชัด ๆ พบว่าแม้ทั่วทั้งใบหน้าจะมีแต่ร่องรอยบาดแผลจนทั่ว ดูแล้วอัปลักษณ์เป็นที่น่ารังเกียจต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก

แต่สำหรับกับจ่านจือแล้วกลับมีความรู้สึกว่าสตรีนางนี้มีอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้นปิดบังอำพรางเอาไว้ แม้นใบหน้านางจะดูอัปลักษณ์ถึงแม้ดวงตาของนางบ่งบอกว่านางมีความทุกข์แสนทรมาน แต่เขาหาคาดเดาออกว่านางปิดบังซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ เขาเองไร้ซึ่งบิดามารดามาตั้งแต่จำความได้ 

หลังจากแม่บุญธรรมคือป้าหนิวเก็บเขามาชุบเลี้ยงอบรมสั่งสอน จนบัดนี้ท่านมาเสียชีวิตไปเขาไม่มีใครเป็นญาติผู้ใหญ่เช่นกัน ที่จะพอมีเพียงเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์กับพี่สาวอีกสองคนเท่านั้น พอได้ทราบว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้านางน่าสงสารยิ่งนักที่เฝ้าติดตามหาลูกน้อยมาถึงยี่สิบปี ความรู้สึกเหล่านี้จ่านจือเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี จึงส่งเสียงกล่าวต่อสตรีชุดแดงออกไปว่า

“อาวุโสข้าพเจ้าจ่านจือเข้าใจในความทุกข์ของท่าน การที่ท่านต้องลำบากติดตามหาลูกที่สูญหายนับว่าสร้างความทุกข์มรมานแสนสาหัส ข้าพเจ้าเองไม่มีบิดามารดาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เล็กได้มารดาบุญธรรมอบรมเลี้ยงดูมาบัดนี้ท่านมาลาจากข้าพเจ้าไปแล้ว หากว่าท่านอาวุโสมิรังเกียจข้าพเจ้าจ่านจือเพื่อทำให้ท่านคลายความคิดถึงลูกของท่านได้บ้าง ท่านสามารถเรียกหาข้าพเจ้าเสมือนเป็นลูกของท่านได้ แล้วข้าพเจ้าจะช่วยท่านสืบหาเบาะแสอีกแรงหนึ่ง ท่านมีความเห็นว่าเช่นไร?”

สตรีชุดแดงทอประกายสายตายินดีขึ้นวูบหนึ่ง แม้ใบหน้านางจะอัปลักษณ์แต่มิอาจซ่อนเร้นอาการดีใจบนใบหน้าเอาไว้ได้ นางส่งสายตาเอ็นดูต่อจ่านจือแล้วกล่าววาจาว่า

“เจ้าหนุ่มเรามองออกแต่แรกที่เจอเจ้า ว่าเจ้าเป็นคนมีน้ำใจเรารู้สึกเอ็นดูเจ้าตั้งแต่แรกเห็น หากเจ้าไม่รังเกียจที่เราเองมีหน้าตารูปร่างอัปลักษณ์จนมีคนตั้งฉายาให้กับเราว่าอัปลักษณ์อาภรณ์แดง แต่ส่วนตัวเราแล้วบอกตามตรงว่าชื่นชอบฉายานี้ยิ่งนัก เจ้าเองสามารถเรียกเราเป็นมารดาของเจ้าได้เช่นกัน เรามีนามว่าเซียวเหยาเซิงเป็นเพียงหญิงทอผ้าธรรมดา หากเจ้าไม่กลัวอับอายขายหน้าต่อชาวยุทธ์ทั้งหลายหากว่าพวกเขารู้ว่าเจ้าเรียกหาเราเป็นมารดา ส่วนตัวเราแล้วกลับรู้สึกยินดีเป็นยิ่งนัก”

จ่านจือมิรอช้ารีบคุกเข่าลงพร้อมกับโขกศีรษะต่อสตรีชุดแดงหนึ่งครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมารีบส่งเสียงกล่าวต่อสตรีชุดแดงว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือบัดนี้ไร้ซึ่งบิดามารดาให้ทดแทนคุณ วันนี้นับว่าสวรรค์ยังปรานี ที่ท่านให้ความเมตตาเอ็นดูต่อข้าพเจ้า ต่อไปข้าพเจ้าจ่านจือจะเรียกหาท่านว่าท่านแม่ตลอดไป”

สตรีชุดแดงได้ยินเช่นนั้นดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง รู้สึกมีความสุขจนบรรยายออกมามิได้ ความทุกข์ทั้งหมดที่สั่งสมมาคล้ายมลายหายไปจนหมดสิ้น รีบก้มลงประคองร่างจ่านจือให้รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวกับเขาว่า

“รีบลุกขึ้นเถอะเด็กน้อยอันประเสริฐ ต่อไปมารดาจะเรียกเจ้าว่าเซี่ยวจือ ส่วนที่เจ้าถามมารดาว่าพาเจ้ามาสถานที่นี้มีจุดประสงค์ใด? มารดาขอบอกต่อเจ้าตามตรงวิชาฝีมือของมารดาส่วนหนึ่งได้รับการชี้แนะจากคนผู้หนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่เหลือเกิดจากความแค้นแสนสาหัสกับความขมขื่นทรมานยากบรรยาย มารดาได้รวบรวมจนกลายเป็นวิชาชุดหนึ่งออกมา พอเจอหน้าเจ้ามารดาคิดเอาไว้ว่าจะถ่ายทอดวิชาชุดนี้ให้กับเจ้า ดูแล้วเจ้ามีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ ค่ำคืนนี้เจ้ากับมารดาอาศัยถ้ำด้านหน้าพักผ่อนแล้วมารดาจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาทั้งหมดให้กับเจ้าจนหมดสิ้น”

จ่านจือรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นยิ่งนักรีบกล่าวคำขอบคุณต่อสตรีชุดแดง หลังจากนั้นทั้งสองพากันตรงไปยังถ้ำที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อเข้ามายังด้านในเป็นผนังถ้ำสีเขียวดั่งมรกต ภายในมีแสงสะท้อนไปมาของก้อนหินเรืองแสง ทำให้ภายในถ้ำแห่งนี้มีแสงสว่างเกิดขึ้นโดยมิต้องจุดชุดไฟแต่อย่างใด หลังเลือกหาสถานที่มุมหนึ่งภายในถ้ำได้แล้ว สตรีชุดแดงบอกกล่าวให้จ่านจือนั่งลง

เมื่อทั้งสองนั่งลงบนแผ่นหินราบเรียบขนาดเท่าสามถึงสี่คนสามารถนั่งได้แล้ว สตรีชุดแดงมิได้เอ่ยปากซักถามว่าวิชาฝีมือของจ่านจือเป็นผู้ใดถ่ายทอดให้ เพียงกล่าวต่อเขาว่า

“อันว่าวิชาฝีมือในใต้หล้าล้วนคิดค้นขึ้นด้วยมนุษย์แทบทั้งสิ้น ปรมาจารย์รุ่นก่อนถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังสืบทอดกันมา หากผู้ใดมีความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องสามารถพลิกแพลงแต่งเติมเสริมต่อจนกระทั่งเด่นล้ำยิ่งกว่า บางคนสามารถพัฒนาฝีมือตนเองจนสูงส่งกว่าคนรุ่นก่อนที่ถ่ายทอดให้ แต่บางคนยิ่งฝึกกลับยิ่งอ่อนด้อยถอยหลังฝึกปรือเท่าไหร่มิอาจก้าวหน้า ทั้งหมดที่กล่าวมาอาจขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งขึ้นอยู่ความพากเพียรหมั่นฝึกฝนมิยอมท้อถอย หรือแม้แต่บางคนอาจได้พบเจอกับวาสนาปาฏิหาริย์อาจสำเร็จเป็นยอดคนได้เช่นกัน ที่มารดากล่าวมาทั้งหมดเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“ท่านแม่ข้าพเจ้าจ่านจือเข้าใจในคำพูดของท่าน แต่ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังที่จะสำเร็จเป็นยอดยุทธ์ไร้เทียมทาน ขอเพียงสามารถใช้วิชาฝีมือของข้าพเจ้าช่วยเหลือผู้อื่นได้เพียงพอแล้ว ในยุทธภพล้วนมีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายข้าพเจ้าแม้เพียงออกท่องยุทธภพได้ไม่นานนัก ยังมีโอกาสได้พบพานกับยอดฝีมือหลายท่าน แต่ละท่านล้วนมีฝีมือสูงส่งข้าพเจ้ามิอาจเปรียบเทียบได้กับยอดฝีมือเหล่านั้น”

เมื่อจ่านจือกล่าวจบสตรีชุดแดงแสดงสีหน้าพึงพอใจ ที่เขาไม่มีความคิดทะเยอทะยานคิดจะเหนือล้ำกว่าผู้อื่น ดังนั้นจึงกล่าววาจาต่อเขาว่า

“วิชาฝีมือของมารดาคิดค้นขึ้นมาจากการทอผ้า เดิมทีมารดาเองคิดว่าในชีวิตนี้มิอาจก้าวหน้าได้ แต่ด้วยความเพียรพยายามพร้อมได้รับคำชี้แนะภายหลังพบว่าฝีมือของมารดาก้าวหน้าขึ้นมาจนน่าตระหนก วิชาชุดนี้มารดาเรียกว่า กระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดง มิทราบว่าเจ้ายังจำกระบวนท่าที่มารดาใช้ออกได้หมดหรือไม่?”

“ข้าพเจ้าจดจำกระบวนท่าที่ท่านแม่ใช้ได้มิตกหล่น เพียงแต่มิทราบถึงเคล็ดความเปลี่ยนแปลงอันพิสดาร มิทราบว่าท่านแม่กระทำได้เช่นไร?”

“วิชาของมารดาช่วงแรกเน้นความอ่อนไหวนุ่มนวล ตอนหลังพอได้รับการชี้แนะจากคนผู้หนึ่งจึงได้เพิ่มความแข็งแกร่งเข้าไป เคล็ดลับความเปลี่ยนแปลงอาศัยความรวดเร็วเคลื่อนไหวไร้ช่องโหว่ลมปราณต่อเนื่อง สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ กระบวนท่าคล้ายจริงคล้ายหลอกไม่ยึดติด เคลื่อนไหวคือสงบนิ่ง สงบนิ่งคือเคลื่อนไหว คล้ายดั่งสายน้ำที่เชี่ยวกรากใต้ผืนน้ำที่สงบราบเรียบ ส่วนเคล็ดการเดินลมปราณเจ้าจงตั้งใจจดจำไว้ให้ดี เริ่มจากกำหนดลมหายใจเข้าออก ศูนย์กลางท้องน้อยดุจท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล...”

เวลาล่วงเลยผ่านไปสองวันในที่สุดวันที่ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างตั้งตารอคอยก็มาถึง วัดเส้าหลินเช้าวันนี้เกณฑ์บรรดาลูกศิษย์เร่งทำความสะอาดลานวัดกันแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือเรียกประชุมศิษย์และผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยุทธ์ในวันนี้ ดังนั้นรุ่งเช้าทุกคนต่างแยกย้ายตระเตรียมงานโดยมิชักช้ายังไม่ทันฟ้าสางทุกอย่างล้วนเรียบร้อย พร้อมสำหรับการจัดงานชุมนุมชาวยุทธ์ในวันนี้

เมื่อฟ้าเริ่มสางเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือจึงเดินออกมาคอยต้อนรับบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย ผู้ที่เดินติดตามเจ้าอาวาสออกมาทางด้านหลังได้แก่ หลวงจีนเต้าเฉียนไต้ซือซึ่งดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาส ถัดมาเป็นหลวงจีนเทียนเกาไต้ซือหลวงจีนทั้งสองด้านฝีมือ เพียงเป็นรองเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือเจ้าอาวาสเพียงขั้นเดียว นับได้ว่าสูงส่งสมกับเป็นสำนักอันดับหนึ่งในขณะนี้

ถัดมาเป็นหลวงจีนซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มรูปหนึ่ง ได้แก่ถู่ฝูอายุราวสามสิบปีใบหน้าหลวงจีนรูปนี้ดูเคร่งขรึมดุดัน ประกายสายตาคมกริบดุจอินทรีรูปร่างสูงใหญ่กำยำตลอดร่างอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ด้วยลักษณะรูปร่างที่เห็นสิ่งที่เด่นชัดขมับสองข้างนูนเด่นบ่งบอกถึงความแก่กล้าของวิชาฝ่ามือ หลวงจีนรูปนี้เป็นศิษย์เอกของเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือนั่นเอง

ส่วนอีกสองรูปมีอายุมากกว่าถู่ฝูอยู่หลายปี หนึ่งรูปมีนามว่าฝู่เสียงเป็นศิษย์ของหลวงจีนเต้าเฉียนไต้ซือ ลักษณะรูปร่างสูงใหญ่กำยำเช่นกันแต่สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความเมตตา ถัดมาอีกรูปหนึ่งมีนามว่าฝ่าเสียงเป็นศิษย์ของหลวงจีนเทียนเกาไต้ซือลักษณะท่าทางไม่ต่างจากฝู่เสียง 

หลวงจีนทั้งสามถูกปลูกฝังให้ศึกษาพระธรรมคำสอนและได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ์จนแตกฉาน แต่มีเพียงศิษย์ของเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือนามว่าถู่ฝูซึ่งอ่อนวัยกว่าศิษย์อีกสองรูป ที่มีความสามารถฝ่าด่านสิบแปดมนุษย์ทองคำได้สำเร็จ

นอกจากนั้นถู่ฝูยังได้รับการสั่งสอนจากหลวงจีนสี่อาวุโสผู้คุมกฎอีกด้วย จึงนับได้ว่าถู่ฝูมีพลังฝีมือที่เทียบเท่ากับเจ้าสำนักชั้นแนวหน้าได้เลยก็ว่าได้ ส่วนหลวงจีนชราผู้คุมกฎวัยน่าจะล่วงเลยร้อยกว่าปีเข้าไปแล้ว แต่ท่านทั้งสี่มิเคยปรากฏกายออกมายังอารามด้านนอก ได้แต่เก็บตัวอยู่ในสถานที่เงียบสงบด้านหลัง ยกเว้นว่ามีพระในวัดรูปใดกระทำความผิดร้ายแรงจนต้องให้ท่านเป็นผู้ตัดสินจึงจะปรากฏกายออกมาครั้งหนึ่ง มีเพียงถู่ฝูที่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบกับท่านเดือนละสี่ครั้งเพื่อถ่ายทอดวิชาให้นั่นเอง

ไม่นานนักขบวนของขอทานพเนจรหวงเกาฉือเดินทางมาถึงวัดเส้าหลินเป็นขบวนแรก ท่านมาพร้อมด้วยผู้เฒ่าเก้าทิกว่อซึ่งบัดนี้หายจากอาการบาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว ด้านหลังยังติดตามมาด้วยผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสองผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่ ส่วนขอทานคนอื่น ๆ จะทยอยเดินทางติดตามมาในภายหลัง

นอกจากนั้นในขบวนประกอบไปด้วยเจ้าสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะอันได้แก่ เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่พร้อมกับศิษย์ทั้งสองคือหนานตี้กับกุ้ยโส่ว ถัดมาเป็นเจ้าสำนักหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าพร้อมศิษย์สตรีทั้งสองได้แก่ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน อีกสี่คนเป็นพรรคไผ่หลิวประกอบไปด้วย ประมุขพรรคเฉิงปู้กงพร้อมศิษย์ทั้งสามอันได้แก่ เหวินมู่กับอวี้หว่อและเทียนจิ้ง

เมื่อทั้งหมดทักทายแนะนำตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือให้ศิษย์ทั้งสามเชิญแขกทั้งหมดไปนั่งยังโต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้ เพื่อให้แขกทุกคนได้ดื่มน้ำชาดับกระหายหลังจากเดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ  ไม่นานนักอีกขบวนหนึ่งจึงเดินทางมาถึงบริเวณจัดการชุมนุม เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือรีบพาศิษย์ทั้งหมดออกไปต้อนรับโดยทันที

ผู้ที่เดินนำหน้ามาเป็นลามะชราสองรูปได้แก่เส่าเทียนเต็กกับทิเทียนเต็กซึ่งเพิ่งเดินทางมาจากทิเบต ส่วนด้านหลังเป็นต๊กม้อเต็กจากทิเบตเช่นกันแต่ว่าพำนักอยู่ที่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าเนิ่นนานแล้ว พร้อมกันนั้นยังติดตามมาด้วยยอดฝีมือในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ประกอบด้วยเล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้ และอีกสามคนสุดท้ายเป็นหัวหน้าตึกทั้งสามคืออันสุ่ยกับฉีฝ่านและต้าถง เสียดายที่เกาฉวนหัวหน้าตึกอีกคนถูกฆ่าตายเสียก่อน จนกระทั่งบัดนี้ยังหาผู้ลงมือมิได้ ดังนั้นผู้ที่ถูกกล่าวหายังคงเป็นมู่ชิวป้าเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวอยู่เช่นเดิม แต่ที่น่าแปลกประหลาดกลับไม่เห็นมหาเสนาบดีหลิวซุ่นกงกงร่วมเดินทางมาด้วย

หลังจากทักทายทำความรู้จักกันจนทั่ว ทุกคนนั่งลงประจำโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว จึงได้ทราบว่าวันนี้หลิวซุ่นกงกงเดินทางมาร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์มิได้ ด้วยถูกติดตามตัวให้เข้าวังหลวงโดยเร่งด่วนเนื่องจากมีกองทัพจากทางเหนือบุกลงมาหวังตีเมืองสำคัญที่อยู่หน้าด่าน ดังนั้นบรรดาแม่ทัพนายกองและมหาเสนาบดีรวมถึงอำมาตย์ทั้งหลายในราชสำนัก จึงถูกเรียกตัวเข้าวังอย่างกะทันหันเพื่อวางแผนในการรับมือกับข้าศึกในครั้งนี้นั่นเอง

ไม่นานเท่าใดนักมีอีกสองขบวนเดินทางมาถึงพร้อม ๆ กัน ทำเอาทุกคนภายในงานหันไปมองเป็นจุดเดียวกันอย่างสนใจ ขบวนที่อยู่ด้านซ้ายเป็นสองยอดฝีมือที่หายไปจากยุทธภพถึงยี่สิบปีนั่นก็คือ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ติดตามมาด้วยศิษย์ของเจ้าผาแห่งสายลมได้แก่ เหมาต้าศิษย์คนโตกับสองเฮียม่วยเฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไป่ชิงซึ่งเป็นศิษย์คนรองและคนเล็กนั่นเอง

เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกับศิษย์คนโตเหมาต้าความจริงอาศัยอยู่ที่พรรคไผ่หลิว เมื่อออกเดินทางท่านได้ขอแยกตัวออกมาเพื่อไปยังสถานที่นัดหมายศิษย์ทั้งสองเอาไว้ และสถานที่นั่นท่านได้พบกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนซึ่งกำลังเดินทางขึ้นเส้าหลินเช่นกัน ดังนั้นจึงร่วมเดินทางมาด้วยกัน

ส่วนขบวนที่อยู่ทางด้านขวาเป็นสองสำนักมารที่เพิ่งผุดชื่อขึ้นมา แต่ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักทั้งสองคือยอดฝีมือที่เก็บตัวหายไปจากยุทธภพถึงยี่สิบปีเช่นกัน นั่นคือเจ้าสำนักมารสวรรค์ฉายานางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ติดตามมาด้วยกุนซือของนางนามอั้งเซี๊ยะเปาพร้อมด้วยมือดีอีกร่วมสิบคน

อีกหนึ่งสำนักที่เพิ่งจะเปิดเผยชื่อสำนักออกมาสด ๆร้อน ๆแม้จะเพิ่งเปิดเผยชื่อสำนักออกมาแต่มิมีผู้ใดที่ไม่รู้จักสำนักแห่งนี้ ด้วยผู้ที่เป็นเพียงนายน้อยของสำนักสามารถทำร้ายเจ้าสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะพร้อม ๆ กันถึงสามคน สำนักที่กำลังกล่าวถึงนั่นคือสำนักอสูรโลกันตร์นั่นเอง 

วันนี้เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันผู้เป็นเจ้าสำนักยอมปรากฏตัวออกมา แต่ยังคงสวมหน้ากากอสูรปกปิดใบหน้าเฉกเช่นเดิม มาพร้อมกับนายน้อยแห่งสำนักอสูรโลกันตร์นามขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ด้านหลังยืนชดช้อยด้วยสองดรุณีเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อในมือทั้งสองของนางยังคงประคองพิณและปี่แป้ไว้ไม่ห่างตัว ถัดจากนางทั้งสองเป็นจางจิ้งกับเยี่ยเหว่ยสองยอดฝีมือของสำนัก ด้านหลังตามติดด้วยมือดีอีกจำนวนมาก

เมื่อสองขบวนมาถึงผู้ที่เป็นเจ้าสำนักทั้งหมดต่างเดินเข้ามาหากัน แล้วหยุดจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนจะเอ่ยกล่าวทักทายขึ้นก่อนว่า

“น้องรอง น้องห้า มิได้พบพานกันนานถึงยี่สิบปี พวกท่านทั้งสองสุขสบายดีหรือไม่?”

พอเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเอ่ยกล่าวทักทาย ทุกคนต่างจ้องมองไปเป็นสายตาเดียวกัน ที่แท้เจ้าโอสถสายรุ้งคือบุคคลคนเดียวกันกับจักรวาลหมอเทพยดาศิษย์คนโตของสำนักตำหนักหมื่นเทพที่ล่มสลายไปยี่สิบกว่าปีนั่นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป