ตอนที่ 34
เงื่อนไขสามประการ
แต่นั้นไม่น่าจะเป็นที่น่าสนใจเท่าใดนักเพราะความน่ากลัวของมัน แต่ทว่าทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าย่อมมีสองด้านเสมอ ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณด้านหนึ่งร้ายกาจน่ากลัวจนชวนให้สยองยามเอ่ยถึง แต่อีกด้านหนึ่งกลับสามารถทำให้คนธรรมดาผู้หนึ่งสามารถสำเร็จก้าวข้ามขั้นระดับชั้นยอดฝีมือแถวหน้าไปแบบทิ้งห่างหลายช่วงตัว หากนำตัวยาสองเม็ดต่างสีบดผสมหรือรับประทานลงไปพร้อมกับดีงูมรกตเก้าหัว ดั่งเช่นปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนเคยได้พบพานกับดีงูมรกตเก้าหัวเพียงสิ่งเดียวลำพังในอดีต ยังทำให้ท่านสำเร็จสุดยอดวิชาเป็นที่มาของคัมภีร์ยุทธสุริยันจันทราอันเป็นที่หมายตาต้องใจของบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย
ยิ่งเมื่อทราบว่ามีตัวยาชนิดนี้อยู่ในยุทธภพซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรได้อีกหลายเท่าตัว ลำพังดีงูมรกตเก้าหัวช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรถึงสิบห้าปี หากรับประทานพร้อมกับยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณจะทำให้เพิ่มพูนพลังวัตรได้ถึงสามสิบปีเลยทีเดียว ดังนั้นผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีหรือที่จะมิอยากได้มาครอบครอง
ดังนั้นเรื่องนี้เจ้าสำนักมารสวรรค์เหยาเยี๊ยะเหยียน อีกทั้งยังมีอาคันตุกะชุดดำปริศนาแอบได้ยินการสนทนาของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับสองเฮียม่วนแซ่เฟิ่น จึงทราบว่าตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณอยู่ที่เจ้าโอสถสายรุ้งสี่เม็ดและอยู่ที่สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นหกเม็ด จ่านจือคาดเดาว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นหาทราบว่าเภทภัยกำลังคืบคลานใกล้ถึงตัวดั่งคำกล่าวที่ว่า "คนมิผิด ผิดที่พกหยกติดตัว" ดังนั้นจ่านจือจึงตั้งใจฟังว่าเยี่ยนผิงจะวางแผนการใด เพื่อจะได้รีบเดินทางไปเตือนพี่น้องแซ่เฟิ่นได้ทันท่วงที
พอเยี่ยนผิงกล่าวออกคำสั่งจบลง ได้ยินเสียงเฉาลู่ฟางส่งเสียงรับคำสั่งจากนางโดยแข็งขันว่า
"รับทราบแล้วนายน้อยเยี่ยนผิง ข้าพเจ้าเฉาลู่ฟางจะคอยสะกดรอยคนทั้งสองมิให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว ว่าแต่นายน้อยให้ข้าพเจ้าคอยติดตามคนทั้งสองเอาไว้ มิทราบว่าคนแซ่เฟิ่นทั้งสองมีความสำคัญประการใด สามารถบอกกล่าวออกมาให้ข้าพเจ้ารับทราบได้หรือไม่?"
ได้ยินเยี่ยนผิงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
"เรื่องนี้ท่านมิจำเป็นต้องทราบรายละเอียด เพียงคอยติดตามความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองย่อมเพียงพอ ส่วนรายละเอียดข้าพเจ้าจะบอกกล่าวต่อท่านในภายหลัง"
คนทั้งสองสนทนากันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใคร่ดังมากนัก แต่ด้วยโสตสัมผัสของจ่านจือที่ถือว่าก้าวหน้าจนเขาเองยังคาดคิดไม่ถึง ดังนั้นจึงได้ยินทุกคำพูดของเยี่ยนผิงกับเฉาลู่ฟางจนหมดสิ้น จากนั้นได้ยินเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวต่อเฉาลู่ฟางว่า
"นี่จวนได้เวลาที่ตัวยาหมดฤทธิ์แล้วท่านจงรีบไปดูเจ้าทึ่มก่อน หากเขาฟื้นคืนสติแล้วนำชุดใหม่ที่ข้าพเจ้าสั่งเตรียมไว้ไปให้เขาสวมใส่ หลังจากนั้นนำตัวเขาไปพบข้าพเจ้าที่สวนหลังตึก จำไว้ว่าหากเจ้าทึ่มซักถามสิ่งใด ท่านอย่าได้หลุดปากบอกกล่าวเรื่องราวโดยเด็ดขาด หากเขาต้องการทราบสิ่งใดให้มาสอบถามเอาจากข้าพเจ้า ส่วนท่านคอยปรนนิบัติเขาให้ดีด้วยอย่าได้เสียมารยาทต่อเขาเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่?"
"ข้าพเจ้าทราบแล้วนายน้อย"
กล่าวจบได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินตรงมาทางห้องที่จ่านจือนอนอยู่ เขารับทราบได้ทันทีว่าเป็นเฉาลู่ฟางนั่นเอง ดังนั้นจึงแกล้งทำเป็นนอนหลับโดยไร้เรื่องราวไม่นานนักประตูห้องนอนถูกผลักออกเบา ๆ ร่างของเฉาลู่ฟางเดินเบียดผ่านประตูเข้ามา ในมือข้างหนึ่งยังเพิ่มเสื้อผ้าสีเนื้อตัดกับสีขาวพับหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งหิ้วรองเท้าสีเทาเข้มอีกคู่หนึ่งทั้งหมดอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมยังมิเคยสวมใส่มาก่อน เมื่อวางเสื้อผ้าลงบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งกับวางรองเท้าลงบนพื้นใกล้ ๆ กับโต๊ะตัวนั้นซึ่งไม่ไกลจากเตียงนอนของเขาเท่าใดนัก หลังจากนั้นเฉาลู่ฟางเดินมายังเตียงนอนของจ่านจือแล้วส่งเสียงกล่าวเรียกขึ้นว่า
“ท่าน...ท่านตื่นแล้วหรือไม่?"
เมื่อเห็นจ่านจือยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงหลังจากเรียกอยู่หลายคำ เฉาลู่ฟางจึงเดินเข้ามาพร้อมกับใช้มือจับขาของเขาแล้วเขย่าเบา ๆ จ่านจือแสร้งทำอาการงัวเงียส่งเสียงอู้อี้ในลำคอพลิกร่างกลับมาแล้วลืมตาขึ้นพร้อมทั้งใช้สองมือขยี้ตาไปมา เฉาลู่ฟางเมื่อเห็นเขารู้สึกตัวตื่นแล้วจึงร้องเรียกว่า
"ท่านรีบลุกขึ้นเถอะแล้วรีบไปอาบน้ำชำระร่างกาย นายน้อยของข้าพเจ้าให้นำชุดใหม่ทั้งหมดมาให้ท่านผลัดเปลี่ยนเมื่อเรียบร้อยแล้วจงส่งเสียงเรียก ข้าพเจ้าจะออกไปรอท่านอยู่ด้านนอกห้อง"
จ่านจือพยุงร่างลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ กลิ้งกลอกดวงตาไปมามองไปรอบ ๆ ห้อง จากนั้นหันมามองเฉาลู่ฟางแล้วกล่าวว่า
"ท่านคืออาฉินนั่นเอง แล้วสถานที่นี้เป็นสถานที่ใด? มิทราบว่าข้าพเจ้าไฉนมานอนหลับไใหลอยู่ภายในห้องนี้ได้"
เมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวถามเรื่องราว เฉาลู่ฟางรีบกล่าวตัดบทขึ้นว่า
"ท่านมิต้องซักถามให้มากความรีบไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวเสียใหม่ หากมีสิ่งใดอยากสอบถามค่อยเรียนถามต่อนายน้อยของข้าพเจ้าเอาเอง ข้าพเจ้าจะออกไปนั่งรอท่านอยู่นอกห้องเมื่อเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าจะพาท่านไปพบกับนายน้อยของข้าพเจ้า ท่านจงรีบ ๆ เข้าอย่าได้ชักช้าเป็นอันขาดมิเช่นนั้นหากนายน้อยโกรธกริ้วขึ้นมา ท่านจะกล่าวโทษข้าพเจ้ามิได้เป็นอันขาด"
เฉาลู่ฟางยังคงเข้าใจว่าจ่านจือคือหานชง ขอทานซอมซ่อที่ตนสนทนาด้วยบนดอยตะวัน จึงมิได้ให้ความสำคัญกระไรมากนัก หลังจากผ่านไปราวก้านธูปมอดจ่านจือแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยชุดใหม่เสร็จเรียบร้อย เสื้อผ้ารองเท้าที่เยี่ยนผิงสั่งเตรียมไว้ให้ช่างพอดิบพอดีกับรูปร่างเขาหยั่งกับสั่งตัดให้กับเขาโดยเฉพาะเลยนับว่าได้ เมื่อเรียบร้อยแล้วจ่านจือส่งเสียงเรียกเฉาลู่ฟางให้เข้ามาได้ เฉาลู่ฟางเมื่อผลักประตูเข้ามาอีกครั้งพอเห็นจ่านจือในเสื้อผ้าชุดใหม่ เฉาลู่ฟางถึงกับเบิกตาอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อพบว่าขอทานยกจกเมื่อครู่บัดนี้ไม่หลงเหลือคราบเก่าเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยนิด
จ่านจือในชุดสีเนื้อตัดสีขาวนวลสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเทาเข้ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาคมคายคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ดวงตาของเขาคมกล้าส่องประกายจนเฉาลู่ฟางอดสะท้านขึ้นมาคราหนึ่งโดยมิทราบสาเหตุ ผมเผ้าล้วนถูกจัดแต่งรวบตึงสวมรัดเกล้าสีเงินปล่อยปลายเส้นผมพาดอยู่ด้านหลัง เมื่อสวมใส่รองเท้าคู่ใหม่ที่นำมาให้แล้ว หากว่าไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเฉาลู่ฟางต้องกล่าวว่าจ่านจือคือคุณชายที่มีรูปงามบุคลิกภาพที่สง่าหาบุรุษใดเทียบได้เลยทีเดียว
หลังจากหายตกตะลึงเฉาลู่ฟางรีบก้าวเดินนำหน้าออกจากห้องนอน พอจ่านจือออกมาแล้วเฉาลู่ฟางปิดประตูลงเช่นเดิม แล้วเดินนำเขามายังสวนอุทยานหลังตึก จ่านจือสังเกตเห็นว่าเมื่อเดินผ่านห้องโถงใหญ่มาเป็นทางเดินที่ตัดอ้อมมายังหลังตึก เมื่อก้าวผ่านประตูรูปวงกลมขนาดใหญ่เป็นทางเดินปูด้วยหินอ่อนสีเลือดนก สองด้านเป็นต้นไม้หลากสีสันสูงเลยศีรษะมีทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ ไม่นานนักเขากับเฉาลู่ฟางจึงบรรลุถึงเก๋งสี่เหลี่ยมหลังหนึ่งบรรยากาศร่มรื่น
ภายในเก๋งนั่งอยู่ด้วยสตรีในชุดสีน้ำทะเลอ่อน เมื่อเห็นเฉาลู่ฟางเดินนำหน้ามาจึงร้องกล่าวขึ้นว่า
"เฉาลู่ฟางท่านมาแล้วรึ ไฉนท่านถึงได้ชักช้านักเจ้าทึ่มเล่า?"
เฉาลู่ฟางมิตอบคำถามรีบขยับก้าวออกมาด้านข้างเพื่อให้เยี่ยนผิงได้เห็นจ่านจือด้วยตาตัวเอง ภาพที่เห็นจ่านจือในเสื้อผ้าอาภรณ์และรองเท้าชุดใหม่ ทำเอาเยี่ยนผิงอ้าปากค้างเช่นกันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเป็นเจ้าทึ่มที่ตนเรียกหา บัดนี้ขอทานมอมแมมที่นางเคยพบเห็นก่อนหน้านี้ไม่หลงเหลือเค้าเดิมอีกแล้ว ที่เห็นมีเพียงจ่านจืออันหล่อเหลาคมคายสง่างามยิ่งนัก เยี่ยนผิงเมื่อหายตกตะลึงแล้วจึงกล่าวกับเฉาลู่ฟางขึ้นว่า
"เฉาลู่ฟางท่านไปบอกต่อจ้งก้วง(พ่อบ้าน) ให้จัดเตรียมอาหารให้พร้อมอีกสักครู่ข้าพเจ้าจะตามไป ส่วนท่านหากมีงานอะไรจงรีบไปทำ"
"รับทราบแล้วนายน้อย เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวไปบอกต่อพ่อบ้านให้จัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะ ส่วนทางนี้เชิญนายน้อยคุยธุระตามสบาย หากมีสิ่งใดเรียกใช้ให้คนไปเรียกข้าพเจ้าได้ทันที"
กล่าวจบเฉาลู่ฟางล่าถอยออกไป คงเหลือเพียงเยี่ยนผิงกับจ่านจือเพียงสองคน เมื่อเห็นเขายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่นางจึงกล่าวขึ้นว่า
"เจ้าทึ่ม เอาเถอะต่อไปข้าพเจ้าจะไม่เรียกท่านว่าเจ้าทึ่มอีก ต่อจากนี้ท่านก็เรียกหาข้าพเจ้าว่าเยี่ยนผิง ส่วนข้าพเจ้าจะเรียกท่านว่าจ่านจือ เชิญท่านเข้ามานั่งพักผ่อนด้านในก่อน ข้าพเจ้าคิดว่าท่านน่ามีคำพูดที่จะกล่าวถามต่อข้าพเจ้า"
จ่านจือก้าวเข้าไปภายในเก๋งพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามกับเยี่ยนผิง ขณะนั่งลงลอบสังเกตว่าในยามนี้เยี่ยนผิงยังดูงดงามยิ่งกว่าเมื่อคืนเสียอีก ใบหน้าริมฝีปากผ่านการปัดแป้งแต้มชาดพร้อมกับกลิ่นน้ำอบหอมกรุ่นโชยมากระทบปลายจมูกชื่นใจยิ่งนัก พิจารณาดูแล้วเป็นคนละคนกับเมื่อครั้งที่ปลอมเป็นบุรุษโดยสิ้นเชิง บัดนี้นางดูเป็นดรุณีแรกรุ่นที่งดงามผุดผาดบาดตาบาดใจ เชื่อแน่ว่าบุรุษใดได้พบหน้านาง หากไม่ลุ่มหลงงมงายล้วนไม่มีคำพูดใดจะกล่าวแล้ว
จ่านจือขยับริมฝีปากจะกล่าววาจาขึ้น แต่เยี่ยนผิงชิงกล่าวขึ้นก่อนว่า
"ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่าท่านมิเคยดื่มสุรามาก่อน แค่ดื่มไปเพียงสองถ้วยท่านถึงกับฟุบหลับไปช่างคออ่อนยิ่งนัก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงให้เฉาลู่ฟางแบกท่านมายังสถานที่แห่งนี้ ส่วนเรื่องขอทานทั้งหลายท่านไม่ต้องห่วงข้าพเจ้าได้ให้สองมารฟ้าดินนำยาถอนพิษเดินทางไปให้พวกเขาแล้ว และพวกเขาทั้งสองส่งข่าวมาบอกว่าคนทั้งหมดปลอดภัยพร้อมกับเดินทางลงจากดอยตะวันหมดสิ้นแล้ว"
จ่านจือเขาทราบตั้งแต่ต้นแล้วว่า เยี่ยนผิงส่งสองมารฟ้าดินเดินทางนำยาถอนพิษไปช่วยเหลือขอทานทั้งหมด แต่เมื่อนางยังคงเข้าใจว่าที่เขาสลบไปเป็นเพราะยานอนหลับจึงให้นางเข้าใจอย่างนั้นไป พอเยี่ยนผิงบอกกล่าวจบเขาจึงส่งเสียงกล่าวถามไปว่า
"ขอบคุณแม่นางเยี่ยนผิงที่รักษาสัจจะ เมื่อเหล่าขอทานทั้งหมดปลอดภัยข้าพเจ้าเบาใจและหายกังวล ข้าพเจ้าจ่านจือคออ่อนดั่งเช่นแม่นางกล่าว สุราเพียงสองถ้วยทำเอาหลับไม่ตื่นไปเสียนานเชียว อาจเป็นเพราะข้าพเจ้ามิเคยดื่มกินมาก่อนอีกทั้งสุราของแม่นางอาจจะรุนแรงไปสำหรับข้าพเจ้า เมื่อทุกคนลงจากดอยตะวันหมดสิ้นแล้ว พอจะทราบหรือไม่พี่สาวทั้งสองของข้าพเจ้า นางทั้งสองเดินทางไปทิศทางใด?"
"คนของข้าพเจ้าบอกว่าเห็นพวกนางกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เดินทางมุ่งหน้าไปยังพรรคไผ่หลิว ดูท่านรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยพวกนางมากทีเดียว"
เยี่ยนผิงบอกกล่าวเรื่องราวต่อจ่านจือ แต่มิได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นให้เขาได้รับทราบ เนื่องด้วยเยี่ยนผิงเคยพบเห็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเดินทางไปยังหุบเขาสายรุ้งพร้อมกับเขาจึงทราบว่าเป็นสหายกัน จึงเกรงว่าแผนการที่วางไว้อาจจะผิดพลาดได้เลยไม่บ่งบอกออกไป
"ถูกต้องข้าพเจ้าเป็นห่วงพี่สาวทั้งสองนัก ถึงแม้นางทั้งสองกับข้าพเจ้าจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมานางทั้งสองช่างดีต่อข้าพเจ้า ดังนั้นหากนางทั้งสองมีเรื่องเดือดร้อนหรือมีสิ่งใดให้ช่วยเหลือได้บ้างจะมากน้อยปานใด ข้าพเจ้าจ่านจือใคร่ช่วยแบ่งเบาจากนางในฐานะน้องชายผู้หนึ่ง"
จ่านจือบอกกล่าวความรู้สึกที่มีต่อพี่สาวทั้งสองให้กับเยี่ยนผิงได้รับทราบ พร้อมกับกล่าวต่อว่า
"หลังจากเสร็จสิ้นธุระที่นี้แล้ว ข้าพเจ้าจ่านจือจะรีบเดินทางติดตามนางทั้งสองไป" จ่านจือเมื่อกล่าวจบเยี่ยนผิงหันมาทำตาเขียวใส่เขา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงปนความกระด้างขึ้นว่า
"ท่านจะยังคงไปไหนมิได้ทั้งนั้น ตั้งแต่วันนี้กระทั่งถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ท่านจะต้องอยู่กับข้าพเจ้าเยี่ยนผิงและคอยปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้าต้องการ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือขอทานเหล่านั้นให้กับท่าน และเคยช่วยเหลือชีวิตท่านไว้ด้วยครั้งหนึ่ง"
จ่านจือทราบแต่ต้นว่าสตรีตรงหน้าเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมน่ากลัวนัก ผิดกับรูปโฉมที่งดงามปานเทพธิดาของนาง แต่สิ่งที่นางกล่าวมาเมื่อครู่นับว่ามิผิด นางช่วยเหลือเหล่าขอทานกับเคยช่วยเหลือชีวิตเขาเอาไว้ครั้งหนึ่ง หากครั้งนี้จะเป็นการทดแทนบุญคุณต่อนางเขาคิดว่าสมควรกระทำ ต่อไปภายหน้าจะได้ไม่มีสิ่งใดติดค้างคาใจต่อกัน เพราะสิ่งที่มิสามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นคือเขาอยู่ฝ่ายธัมมะ ส่วนนางเป็นฝ่ายมารอธรรมซึ่งต้องห้ำหั่นกันอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวตอบต่อเยี่ยนผิงไปว่า
"แม่นางเยี่ยนผิงจะให้ข้าพเจ้าจ่านจืออยู่กับแม่นาง เกรงว่าจะเป็นการขวางมือขวางเท้าแม่นางเสียเปล่า ๆ ด้วยศักดิ์ศรีของแม่นางเป็นถึงนายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์ สำนักมารอธรรมที่จะมาทำความเดือดร้อนใหญ่หลวงให้แก่ยุทธภพ ข้าพเจ้าจ่านจือเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ค่าในสายตาของคนทั่วไป แม่นางเองมียอดฝีมือข้างกายมากหลายคอยปรนนิบัติรับใช้ อีกอย่างหากพี่สาวทั้งสองของข้าพเจ้านางทราบว่า ข้าพเจ้าจ่านจือสนิทสนมกับคนของสำนักมารนางทั้งสองคงไม่พอใจและไม่เห็นด้วยโดยเด็ดขาด"
เยี่ยนผิงเมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวเช่นนั้น ร้องเฮอะขึ้นคำหนึ่งพร้อมกับกล่าวว่า
"สำนักมารแล้วเป็นเช่นไร? เจ้ากล่าวเหมือนกับฝ่ายธัมมะล้วนวิเศษเลิศเลอ ฝ่ายธัมมะประพฤติตัวชั่วช้ามิเป็นเช่นนั้นรึ? ถึงข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะเป็นคนของสำนักมารแต่เคยช่วยเหลือชีวิตของท่านเอาไว้กับยังช่วยเหลือขอทานเหล่านั้นเอาไว้อีก หากพี่สาวของเจ้านางทั้งสองต่อว่าเจ้าข้าพเจ้าจะตัดลิ้นของนางทั้งสองออกมาเอง ดูสิว่านางทั้งสองจะยังจะสามารถต่อว่าท่านได้อีกหรือไม่?"
จ่านจืออับจนคำพูด ขืนถกเถียงกับนางไปล้วนไร้ประโยชน์อันใด อีกอย่างเขาทราบว่าเยี่ยนผิงผู้นี้เป็นคนทำจริง เขามิอยากสร้างความเดือดร้อนไปสู่พี่สาวทั้งสอง ดังนั้นจึงรับปากต่อนางกล่าวว่า
"แม่นางเยี่ยนผิงข้าพเจ้าจ่านจือยอมจำนนต่อแม่นาง เอาเถอะในเมื่อแม่นางต้องการให้ข้าพเจ้าคอยปรนนิบัติรับใช้ ข้าพเจ้าจะยินยอมปฏิบัติแต่จะต้องรับปากข้าพเจ้าก่อนสามข้อ แม่นางเยี่ยนผิงท่านจะตกลงหรือไม่?"
"ท่านอวดดีเช่นไรกล้ามาต่อรองกับข้าพเจ้าเยี่ยนผิง แต่เอาเถอะข้าพเจ้าจะรับปากท่านดูสักครั้งลองบอกกล่าวออกมาว่าสามข้อของท่านมีกระไรบ้าง?"
เยี่ยนผิงทำเสียงแข็งในตอนแรกแต่แล้วลดเสียงเป็นอ่อนลง แล้วถามข้อแม้สามข้อของจ่านจือว่ามีอะไรบ้าง จ่านจือจึงกล่าวตอบออกไปว่า
"ข้อที่หนึ่งข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของแม่นาง แต่เมื่อวันชุมนุมชาวยุทธ์มาถึงถือว่าข้าพเจ้าจ่านจือเป็นอิสระมิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับแม่นางอีกต่อไป"
"ข้อที่หนึ่งข้าพเจ้าเยี่ยนผิงรับปากท่าน แล้วข้อที่สองของท่านรีบกล่าวมา"
เยี่ยนผิงเอ่ยปากรับคำต่อข้อที่หนึ่งของจ่านจือ แล้วถามต่อทันทีว่าข้อสองคืออะไร จ่านจือรีบกล่าวตอบว่า
"ข้อที่สองเรื่องที่แม่นางเยี่ยนผิงจะให้ข้าพเจ้าจ่านจือกระทำ เรื่องราวเหล่านั้นจะต้องไม่ขัดต่อศีลธรรม และข้าพเจ้าจะมิยอมเข่นฆ่าผู้อื่นให้กับแม่นางโดยเด็ดขาด"
เยี่ยนผิงเมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวจบ อดหัวร่อครืนใหญ่ออกมามิได้ เมื่อสิ้นเสียงหัวร่อแล้วกล่าวตอบจ่านจือไปโดยทันทีว่า
"ท่านนะรึจะเข่นฆ่าผู้คนให้กับข้าพเจ้าเยี่ยนผิงได้ ชีวิตท่านเองยังไม่แน่นักว่าจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่? ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงมิมีความสามารถกระทำเช่นนั้นได้อย่างเด็ดขาด ข้อที่สองข้าพเจ้าเยี่ยนผิงรับปากท่านแล้ว ข้อสุดท้ายเล่ารีบบอกกล่าวมาโดยเร็ว"
"ข้อสุดท้ายแม่นางจะทำร้ายพี่สาวทั้งสองของข้าพเจ้ามิได้ รวมถึงสหายของข้าพเจ้าทุกคนด้วย ห้ามมิให้แม่นางแตะต้องทำร้ายพวกเขาเหล่านั้นเป็นอันขาด หากยินยอมรับปากข้าพเจ้าจ่านจือจะอยู่รับใช้จนถึงวันชุมนุม"
เยี่ยนผิงเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้อยเหลี่ยม การที่จะรับปากข้อที่สามโดยง่ายดายหาใช่นางไม่ จึงกล่าวตอบออกมาว่า
"ข้อที่สามข้าพเจ้าเยี่ยนผิงรับปากท่านเช่นกัน แต่ทว่าเมื่อถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ถือว่าแล้วกันไปคล้ายกับมิมีข้อตกลงอันใดกันระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงรับปากต่อท่านเพียงพี่สาวทั้งสองของท่านพร้อมกับสหายเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ที่มิใช่สหายไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือที่ท่านคบหาในฐานะอื่น ๆ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงไม่นำมานับรวมในข้อตกลงนี้โดยเด็ดขาด"
จ่านจือเมื่อได้รับฟังคำตอบของเยี่ยนผิงในใจร่ำร้องว่าสตรีงดงามผู้นี้ร้ายกาจนัก แต่มิได้นำพากระไรเขาทำสีหน้าเรียบเฉยแล้วกล่าวถามขึ้นว่า
"เช่นนั้นแม่นางจะให้ข้าพเจ้าจ่านจือกระทำสิ่งใดเป็นงานแรก"
เยี่ยนผิงผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวต่อจ่านจือขึ้นว่า
"ตอนนี้ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกว่าอย่างท่านจะให้กระทำสิ่งใดได้บ้าง เอาเป็นว่าตอนนี้ท่านไปนั่งรับประทานอาหารเป็นเพื่อนข้าพเจ้า หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะค่อย ๆ บอกกล่าวต่อท่านว่าจะให้กระทำสิ่งใดต่อไป ขืนข้าพเจ้าบอกกล่าวออกไปตอนนี้เกรงว่าท่านจะมิมีสมองจดจำไว้ได้หมด แต่ข้าพเจ้าว่าตอนนี้ดูท่านออกจะพูดมากไปสักหน่อย หรือว่าที่แท้ท่านแกล้งทำเป็นทึ่ม ๆ เซ่อ ๆ"
จ่านจือคิดในใจขึ้นว่า "เป็นแม่นางเองที่กล่าวหาว่าข้าพเจ้าทึ่ม กล่าวหาว่าข้าพเจ้าเซ่อ ข้าพเจ้ายังมิได้บอกกล่าวเช่นนั้นต่อแม่นางแม้คำเดียว เป็นแม่นางคิดสรุปเอาเองจะมากล่าวโทษข้าพเจ้าในภายหลังมิได้โดยเด็ดขาด ตอนนี้ข้าพเจ้าจ่านจือยินยอมให้แม่นางขึ้นขี่หลัง แต่หากแม่นางนั่งไม่ดีตกลงมาหาใช่ความผิดของข้าพเจ้าแล้ว"
แล้วเยี่ยนผิงจึงออกเดินนำหน้าจ่านจือไปยังห้องรับประทานอาหารภายในตึกใหญ่ ตั้งแต่เดินมาเขายังไม่เห็นผู้คนภายในตึกเลยแม้แต่คนเดียว แสดงว่าเยี่ยนผิงต้องสั่งเอาไว้ว่ามิให้ผู้ใดมารบกวน มีเพียงพ่อบ้านซึ่งยืนรอคอยเยี่ยนผิงอยู่ภายในห้องรับประทานอาหาร จ่านจือลอบชำเลืองสายตามองพ่อบ้านผู้นั้นวูบหนึ่ง เป็นชายรูปร่างไม่สูงมากนักอายุราวห้าหกสิบปี เมื่อเห็นเยี่ยนผิงกับจ่านจือเดินมาถึงโต๊ะอาหารจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
"เชิญนายน้อย เชิญคุณชาย วันนี้โฮ่วจ้งก้วง(พ่อบ้านแซ่โฮ่ว) เตรียมอาหารเช้าไว้หลายอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่นายน้อยโปรดปราน ทราบว่าท่านมีแขกจึงลงมือปรุงสุดฝีมือหากต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมโปรดเรียกหา ข้าพเจ้าโฮ่วจี๋ขอตัวเข้าไปในครัวสักครู่"
พ่อบ้านนามโฮ่วจี๋กล่าวเชื้อเชิญทั้งสอง จ่านจือรู้สึกกระดากต่อคำเรียกหาว่าคุณชายของพ่อบ้านผู้นั้น ส่วนเยี่ยนผิงนางอดขำเขามิได้เมื่อเห็นเขาแสดงอาการกระอักกระอ่วนออกมา รีบกล่าวต่อจ่านจือขึ้นว่า
"เชิญคุณชายนั่งลงก่อน อาหารเตรียมพร้อมแล้วลงมือรับประทานได้ จะว่าไปแล้วบุคลิกของท่านในยามนี้คล้ายคุณชายสูงศักดิ์มากทีเดียว หากข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมิเคยพบเห็นท่านมาก่อนคงถูกท่านตบตาเอาได้อย่างแน่นอน"
จ่านจือได้ยินเยี่ยนผิงเลียนเสียงเป็นพ่อบ้านโฮ่วจี๋ เขาจึงรีบนั่งลงเห็นบนโต๊ะอาหารวางเรียงรายไปด้วยจานกับข้าวราวสิบกว่าอย่าง พร้อมด้วยข้าวสวยสีขาวเม็ดนุ่มซึ่งกำลังส่งควันสีขาวโชยกรุ่นตลบอบอวลชวนให้หิวขึ้นมา หลังจากจ่านจือนั่งลงแล้วเยี่ยนผิงคีบกับข้าวใส่ชามข้าวสวยให้กับเขาพร้อมกับกล่าวว่า
"ท่านเชื่อหรือไม่? ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมิเคยปรนนิบัติผู้ใดมาก่อน แม้แต่มารดาของข้าพเจ้ายังมิเคยเอาใจมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นท่านจงรับประทานให้มาก ๆ อิ่มแล้วจะได้ออกเดินทาง"
จ่านจือรีบพุ้ยข้าวสวยเข้าปากรับประทานลงไปด้วยความหิว ภายในใจครุ่นคิดว่าดรุณีงดงามนางนี้ถึงแม้คล้ายอำมหิตแฝงความเจ้าเล่ห์อยู่เก้าส่วน กลับมีส่วนดีอยู่หนึ่งส่วนแต่ไม่ทราบว่าสาเหตุใดตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากได้เจอกับนาง ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่ทราบด้วยซ้ำว่านางเป็นสตรี เขากลับนึกถึงดวงตาเจ้าเล่ห์ทั้งคู่ของนางอย่างบอกความรู้สึกไม่ถูก
ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารโดยมิได้กล่าวอะไรกันมากนัก ตอนแรกจ่านจือใคร่เอ่ยถามนางว่าจะพาเขาเดินทางไปสถานที่ใด แต่แล้วเก็บคำพูดไว้รอให้ถึงเวลาย่อมทราบเอง ทางด้านเยี่ยนผิงขณะรับประทานอาหาร พลางสายตาลอบชำเลืองมองจ่านจือซึ่งตอนนี้ข้าวสวยหมดไปสองชามแล้วจึงคิดขึ้นในใจว่า
"ท่านคงหิวสินะ? หรือไม่ท่านคงไม่เคยลิ้มลองอาหารดี ๆ รสชาติอร่อยเช่นนี้มาก่อน”
เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองนั่งพักผ่อนอีกเพียงครู่หนึ่งจึงออกเดินทางออกจากสถานที่แห่งนั้น หลังจากเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ นี่ล่วงเลยผ่านไปห้าวันแล้ว ส่วนใหญ่เยี่ยนผิงจะพาจ่านจือเดินทางไปยังสาขาต่าง ๆ ของสำนักมารสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ บางสถานที่เป็นร้านน้ำชาบ้างเป็นร้านขายผ้า บ้างเป็นร้านตีเหล็กและอีกหลายสถานที่มิอาจกล่าวหมด ส่วนใหญ่เมื่อเดินทางไปถึงเยี่ยนผิงจะให้จ่านจือรอคอยอยู่ด้านนอกลำพัง ส่วนนางจะปลีกตัวเข้าไปคุยธุระบางอย่างกับคนเหล่านั้น
จ่านจือคาดคิดไม่ถึงว่าสำนักมารสวรรค์จะวางคนเอาไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียน หากว่ามิได้ติดตามเยี่ยนผิงมาเขาเองไม่อาจทราบได้ว่า สถานที่เหล่านั้นจะเป็นสาขาของสำนักมารสวรรค์ ตลอดเวลาเขาซุกงำเก็บประกายมิดชิดมิมีผู้ใดดูออกว่าเขาเป็นวรยุทธ์แม้แต่เพียงผู้เดียว
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยทั้งสองเดินทางมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองลั่วหยาง เมื่อเหยียบย่างผ่านตัวเมืองวันนี้ดูคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งที่เดินทางมาจากที่อื่นและผู้คนที่ไปทำงานค้าขายอยู่ถิ่นอื่นเดินทางมาฉลองเทศกาลสารทง่วนเซียวกับครอบครัว ร้านรวงสองฟากข้างถนนประดับประดาโคมไฟสำหรับค่ำคืนนี้หลากหลายสีสัน ที่ดูมีเยอะสุดน่าจะเป็นโคมไฟสีแดง
ทันใดนั้นสุดมุมถนนห่างไปราวห้าสิบวา ปรากฏกลุ่มคนจำนวนสามคนวิ่งตรงมา คนวิ่งนำหน้าครองจีวรของนักบวชศีรษะโล้นเลี่ยนระหว่างลำคอกับใต้ซอกแขนขวาพาดไว้ด้วยห่วงทองเหลืองคู่หนึ่ง ด้านหลังตามติดด้วยคนผู้หนึ่งในมือถือดาบสันหนาอีกผู้หนึ่งถือค้อนเหล็ก ดูท่าทางรีบร้อนคล้ายกับกำลังติดตามหาผู้ใดอยู่กระนั้น
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564