ตอนที่ 1
เขาหมื่นเซียน
สำนักตำหนักหมื่นเทพ เขาหมื่นเซียน
ยอดเขาสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่าน ผู้คนเรียกขานนาม “เขาหมื่นเซียน” ดึกสงัดบรรยากาศหาได้เงียบสงบ สายลมพัดกระโชกดังครืนครั่น สายวิชชุแลบแปลบปลาบน่ากลัว อสนีบาตฟาดเปรี้ยงเสียงดั่งฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ห่าฝนกระหน่ำสาดเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง
สำนักตำหนักหมื่นเทพ ในค่ำคืนนี้โกลาหลอลหม่าน พ่อบ้านคนรับใช้ ต่างเร่งก่อไฟเติมฟืนต้มน้ำจนเดือดพล่าน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเทลงมาไม่หยุดยั้ง ร่างเลือนรางห้าสายวิ่งฝ่าสายฝนอย่างเร่งร้อน พอเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้นซึ่งมีหลังคาปกคลุม คนทั้งห้าหยุดยืนแลเห็นเป็นสองบุรุษ กับสตรีอีกสามนาง
บุรุษหนึ่งแต่งกายคล้ายบัณฑิต บุรุษหนึ่งแต่งกายมิดชิดรัดกุม เพียงมองผ่านคาดคะเนได้ไม่ผิดพลาด ทั้งสองมีวิชาฝีมือติดตัว อายุราวสามสิบเศษ สตรีสามนางวัยกลางคน แต่งกายไม่คล้ายชาวยุทธ์เท่าใดนัก คนรับใช้เห็นเช่นนั้น รีบวิ่งออกมาพร้อมกับชุดใหม่ให้ทั้งหมดผลัดเปลี่ยน
บุรุษในชุดใหม่เพิ่งผลัดเปลี่ยน แต่ยังคงไว้ซึ่งบุคลิกภาพของบัณฑิต ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ท่านหมอทั้งสาม พวกท่านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
สตรีหนึ่งในหมอตำแย ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เราทั้งสามคน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว”
จากนั้น สตรีอีกผู้หนึ่ง ในจำนวนหมอตำแยสามนาง ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เราทั้งสามคน ล้วนเตรียมตัวพร้อมแล้ว ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสอง จะให้เราทั้งสามทำคลอดให้กับผู้ใด?”
บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในชุดแต่งกายรัดกุม ส่งเสียงกล่าวตอบกับหมอตำแยทั้งสามว่า
“ฮูหยินทั้งสาม บังเอิญเจ็บท้องคลอดพร้อมกันมิได้นัดหมาย เราได้จัดแจงห้องหับ แยกเป็นสามส่วนมิปะปน ท่านหมอทั้งสามติดตามคนของเราไป อุปกรณ์น้ำต้มล้วนเตรียมพร้อม มิตกหล่นขาดเหลือ”
ที่แท้สตรีวัยกลางคนทั้งสาม พวกนางเป็นหมอตำแยนั่นเอง บุรุษทั้งสองคน ลงเขาไปรับตัวพวกนางมาตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากทราบแน่ว่าสตรีภายในห้องสามนาง ต่างร้องครวญครางโอดโอยท้องแก่ อีกทั้งยังมีน้ำคร่ำไหลหลั่งมิยั้งหยุด คำนวณแน่ไม่พ้นค่ำคืนนี้ สตรีทั้งสามต้องให้กำเนิดทารกน้อยให้เชยชม
หมอตำแยทั้งสามชำนาญการทำคลอด ไม่ส่งเสียงลอดถามให้มากความ แยกย้ายก้าวเท้าตามติดผู้นำพา เบียดร่างผ่านบานประตูห้องหับเข้าไป ก่อนที่หญิงรับใช้จะปิดประตูลง
ฟ้าฝนไม่เป็นใจดั่งกลั่นแกล้งผู้คน ผ่านมาหลายวันอากาศแห้งแล้งไร้เมฆหมอก ค่ำคืนนี้ไม่มีเค้าลางว่าจะมีพายุฝนเกิดขึ้น จู่ ๆ พลันพายุพัดโหมรุนแรงกระหน่ำทั้งสี่ทิศแปดทาง หนำซ้ำฟ้ายังร้องก้องคำรามดั่งโกรธแค้น สายวิชชุสีขาวปนเหลืองแลบแปลบปลาบ ฉาบทั่วท้องนภาราตรีอันมืดมิด ก่อนที่สายฝนจะสาดเทลงมา โดยมิลืมหูลืมตาอย่างบ้าคลั่ง
ภายในห้องทำคลอดทั้งสาม เสียงร้องโอดโอยของสตรีดังเล็ดลอดออกมามิขาดหู ปานว่าจะขาดใจลงไปบัดเดี๋ยวนั้น เสียงหมอตำแยส่งเสียงกำชับเอาใจช่วย ดังสลับสับเปลี่ยนกับเสียงร้อง จนยากจำแนกเสียงคนกับเสียงฟ้าฝน
ยามนั้น ได้ยินเสียงหมอตำแยผู้หนึ่ง ส่งเสียงเร่งเร้าเอาใจช่วยดังออกมาว่า
“ออกแรงเบ่งอีกที นั่นแหละใกล้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นศีรษะเด็กแล้ว สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วเบ่ง”
ภายในห้องทำคลอดทั้งสาม เสียงหมอตำแยส่งเสียงดังออกมาเป็นระยะ ภายนอกห้องทำคลอด บุรุษหลายคนต่างเดินไปมาไม่หยุดนิ่ง บ้างชะเง้อเงี่ยหูสดับรับฟัง ภายในห้องทำคลอดพลันเงียบเสียงลงชั่วขณะ แต่ทว่าภายนอกห้อง เสียงหัวใจของหลายคนต่างเต้นตูมตาม ดั่งกลองนับร้อยถูกตีกระหน่ำพร้อม ๆ กัน ผู้คนกระสับกระส่ายคล้ายยืนไม่ติดพื้น บ้างเดินสวนสลับกันไปมา ปานพยัคฆ์ติดกับดักนายพรานปานฉะนั้น
ทันใดนั้น สายอสนีบาตฟาดทลายเปรี้ยงลงมา จนสว่างจ้าไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน ภายในห้องที่เงียบสงบ พลันดังกึกก้องด้วยเสียงร้องของทารก
“อุแว้ อุแว้ อุแว้”
เสียงร้องจ้าดังแข่งพร้อมกันทั้งสามห้อง ผู้ที่ยืนรออยู่ภายนอกห้อง ต่างส่งเสียงร้องตื่นเต้นยินดี แทบกระทำสิ่งใดไม่ถูก ผ่านไปเพียงชั่วลัดนิ้วบนฝ่ามือ เสียงภายในห้องทั้งสามพลันค่อย ๆ เงียบสงบลง แต่ทว่าจู่ ๆ ห้องทำคลอดที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เกิดเสียงทารกร้องลั่นสนั่นจ้าขึ้นอีกครา เสียงทารกตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงฟ้าและพายุฝน จนกระทั่งฟังไม่ได้ศัพท์ จับทิศทางจำแนกไม่ออก
ชั่วครู่ให้หลัง ทุกสรรพสิ่งเงียบงันลงอีกครั้ง ภายในห้องจุดเทียนไขสว่างไสว ภายนอกตึกใหญ่พายุพัดผ่านพ้นเลยไป สายฝนไม่มีร่วงหล่นจากฟากฟ้าแม้แต่เม็ดเดียว ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส อรุโณทัยไขแสงในตอนเช้าของวันนี้ สำนักตำหนักหมื่นเทพ จะรีบแจ้งข่าวดี เกี่ยวกับทารกที่เพิ่งคลอดไปทั่วยุทธภพ ทารกน้อยที่เกิดมาพร้อมกับสายฟ้า และพายุฝนกระหน่ำ ปรากฏการณ์เช่นนี้ คงมิใช่ลางร้ายบอกเหตุเภทภัย
บุรุษที่ยืนคอยอยู่เบื้องนอก ต่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อใด หมอตำแยจะอุ้มทารกน้อยออกมาให้เชยชม บ้างอยากทราบว่า ทารกที่กำเนิดเกิดมา เป็นทารกเพศชาย หรือว่าเพศหญิงกันแน่
ทันใดนั้น ภายในห้องทั้งสาม บังเกิดเสียงประหลาดดังขึ้น ฟังคล้ายมีคนทลายช่องหน้าต่างเข้ามาจากทางด้านหลัง มิรอช้าบุรุษด้านนอกหลายคน พุ่งร่างพังบานประตู แยกย้ายเข้าไปภายในห้องทั้งสาม เป็นเวลาเดียวกันกับเงาร่างชุดดำสามคน ทลายช่องหน้าต่างพุ่งร่างหลบหนีออกไปพอดี ท่าร่างช่างรวดเร็วน่ากลัวยิ่ง
ยามนั้น ยังไม่ทันส่งเสียงกล่าวถาม สตรีทั้งสามนางที่เพิ่งให้กำเนิดทารกร้องขึ้น พร้อมกับยกมือชี้นิ้วไปยังช่องหน้าต่างทางด้านหลังห้อง ซึ่งคนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนี พวกนางต่างส่งเสียงร้องด้วยสีหน้าท่าทางแตกตื่นพร้อมเพรียงกันว่า
“ลูกข้าพเจ้า! มีคนร้ายขโมยทารกไปแล้ว”
บุรุษในที่นั้น พากันพุ่งร่างติดตามไปทันที เมื่อติดตามมายังเบื้องนอก เงาร่างของคนชุดดำผู้หนึ่ง ซึ่งเข้ามายังห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลาง คนผู้นี้มีท่าร่างปราดเปรียวรวดเร็วยิ่ง พุ่งร่างปราด ๆ ราวเหินบิน เห็นเพียงเงาร่างเลือนราง ราววิญญาณผีภูตพราย พริบตาเดียวโอบอุ้มทารกน้อย กลืนหายไปกับความมืดมิด กระทั่งไม่เห็นเงา
ชุดดำอีกสองคน มือข้างหนึ่งโอบอุ้มทารก มืออีกข้างที่ว่างเปล่า ยกขึ้นแล้วแผ่พุ่งพลังวัตรซัดเข้าใส่ผู้ติดตาม คราวเดียวสิบกว่าฝ่ามือ
ดรุณีวัยยี่สิบห้าปี พุ่งร่างแคล่วคล่องออกไป ท่ารางดั่งนางแอ่นเหินลมตัวหนึ่ง พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาดังมาว่า
“ยี่ซือ(ศิษย์พี่รอง) ข้าพเจ้าจะรีบไปตามซือแป๋(อาจารย์) กับศิษย์พี่ใหญ่ รวมทั้งศิษย์น้องรองมาช่วย พวกท่านล้อมกักพวกมันเอาไว้ อย่าให้หลบหนีไปได้ แล้วข้าพเจ้า จะรีบกลับมาช่วยอีกแรงหนึ่ง”
บุรุษผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่ายี่ซือ ส่งเสียงตะโกนกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปว่า
“ซาซือม่วย(ศิษย์น้องสาม) เจ้ารีบไปอย่าได้ชักช้า รีบรุดไปติดตามอาจารย์มาเร็วเข้า”
ยามนี้ เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายยิ่ง ผู้ที่ดรุณีเมื่อครู่เรียกหาเป็นศิษย์พี่รอง กับบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งกายคล้ายบัณฑิต และยังมีมือดีอีกหลายคน ต่างพากันแยกย้าย กักล้อมร่างชุดดำสองคนเอาไว้กึ่งกลาง มีเพียงชุดดำอีกผู้หนึ่ง ซึ่งหลบหนีไปได้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับทารกน้อย ที่เพิ่งให้กำเนิดเกิดมา
หลังจากนั้น การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน ชุดดำทั้งสองคน แม้มือข้างหนึ่งจะโอบอุ้มห่อผ้าเอาไว้ ซึ่งภายในห่อผ้ามีทารกน้อยที่เพิ่งคลอดอยู่ด้วย แต่ทว่าสภาวะท่าร่างกลับไม่สะดุดติดขัด ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่า ใช้ออกติดต่อกันสิบห้าฝ่ามือ เท้าที่ก้าวย่างยิ่งไม่สับสนเสียหลัก ผลักหนึ่งฝ่ามือ คนที่กักล้อมกระเด็นกระดอนไปหนึ่งคน ผลักสองฝ่ามือ กระเด็นไปสองคน ชุดดำอีกคนกวาดเท้าในคราวเดียว เกี่ยวผู้คนล้มหงายไปถึงห้าหกคน
แต่กระนั้น บุรุษในชุดบัณฑิต กับศิษย์พี่รองซึ่งดรุณีนางนั้นเรียกหาเมื่อครู่ มีฝีมือรวดเร็วร้ายกาจ ไม่ตกเป็นรองสองชุดดำเท่าใดนัก อีกทั้งยังมีสองมือที่ว่างเปล่า มิได้โอบอุ้มสิ่งใดไว้ในอ้อมแขน ดังนั้นยิ่งพลิกแพลงสำแดงท่าร่างได้มากกว่า
คนชุดดำสองคนสู้พลางถอยพลาง มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบถูกฝ่ามือของสองบุรุษทำร้าย คนชุดดำทั้งสองยามลนลานสับสน ห่วงตนมากกว่าห่วงทารกในอ้อมแขน ต่างโยนทารกทั้งสองลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ แล้วประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าปะทะกับสองบุรุษ เมื่อปะทะฝ่ามือแล้วร่างต่างแยกจาก ทารกน้อยทั้งสองหมดสภาวะร่างร่วงหล่นตกพื้นชวนหวาดเสียว ในขณะที่ทุกคนยังคงต่อสู้ติดพัน
ทันใดนั้น สตรีนางหนึ่งโลดแล่นมา แล้วคว้าหมับรับทารกผู้หนึ่งเอาไว้ได้ ส่วนทารกอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในห่อผ้า คนชุดดำหลังจากต่อยหมัด ใส่บุรุษชุดบัณฑิตแล้ว ลอยตัวขึ้นคว้าหมับรับห่อผ้าของทารกอีกคนไว้ได้หวุดหวิดหวาดเสียว แล้วพุ่งร่างหลบหนีอย่างรวดเร็ว
ฉับพลันทันใดนั้น สตรีอีกนางหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่ามาจากทิศทางใด พุ่งร่างติดตามคนชุดดำผู้นั้นไปในระยะกระชั้นชิด คนผู้นั้นโอบอุ้มทารกพุ่งร่างปราด ๆ ไป สำหรับกับคนอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดมีเวลาใส่ใจหันไปมอง
สตรีนางนั้น สวมใส่อาภรณ์สีแดงสดใส ขณะพุ่งร่างไล่ติดตาม ส่งเสียงตวาดเจื้อยแจ้วดังว่า
“ชั่วช้าสามานย์ กระทั่งทารกน้อยไร้เดียงสายังกล้าลงมือ รีบส่งทารกน้อยคืนให้แก่เราบัดเดี๋ยวนี้”
ยามนั้น เหตุการณ์ทางด้านหลัง หลายคนต่างกำลังพัวพันจัดการกับชุดดำที่เหลืออีกผู้หนึ่ง ซึ่งในมือของมันในขณะนี้ ไม่มีทารกน้อยในอ้อมแขน ให้เกะกะสภาวะการลงมือ คนชุดดำผู้นี้แม้มีฝีมือกล้าแข็ง แต่ทว่าคู่มือมีจำนวนมากหลาย บุรุษผู้หนึ่งซึ่งลงมือเกรี้ยวกราด ส่งเสียงตวาดกับชุดดำผู้นั้นดังว่า
“ยินยอมให้เราจับกุมตัวแต่โดยดี โทษตายจะได้กลายเป็นโทษเป็น หากเจ้ายังดื้อรั้นแข็งขืน สุดท้ายจะถูกรุมสับร่างดั่งเต้าหู้เหลวก้อนหนึ่ง”
คนชุดดำผู้นั้น แค่นเสียงเฮอะในลำคอคำหนึ่ง ไม่กล่าววาจาโต้ตอบ คล้ายดั่งกลัวเกรงว่า น้ำเสียงของตนเองที่เปล่งออกมา จะกลายเป็นว่าเปิดโปงฐานะอันแท้จริง มันสำนึกตัวเองดีว่า ขืนยังชักช้า ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนิ่นนาน สุดท้ายมันต้องกลายเป็นเต้าหู้เหลวก้อนหนึ่งจริง ๆ
เมื่อขบคิดได้เช่นนั้น มันฟาดกราดฝ่ามือออก ล่อหลอกหมุนควงร่างเป็นวง สายตามองหาช่องว่างหลบหนี หากเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพปรากฏตัว อย่าหมายว่าจะรักษาศีรษะบนบ่าเอาไว้ได้ เมื่อมองเห็นช่องสบโอกาส รีบถีบเท้าพุ่งร่างปราดถอยหลัง แล้วหยิบยืมพลังอาศัยเคล็ดสี่ตำลึงปาดพันชั่ง พุ่งร่างแทรกหายไปกับความมืดมิด
ยามนั้น ร่างของชายชราผมขาวราวไหมเงิน สวมชุดยาวพุ่งร่างสาดทะยานมาดั่งสายลมหอบหนึ่ง ด้านหลังยังติดตามด้วยดรุณีหน้าตาหมดจด ซึ่งเป็นผู้ไปตามชายชราดังกล่าวมานั้นเอง ในขณะที่พุ่งร่างมาถึง เป็นเวลาเดียวกันกับบุรุษสองคน กำลังพุ่งร่างติดตามชุดดำกับสตรีชุดแดงไป ในทิศทางมุ่งไปยังริมผาฟากหนึ่ง
ดังนั้น ทุกคนที่เหลือกับคนที่เพิ่งมาถึง จึงพากันวิ่งติดตามไปโดยมิได้นัดหมาย ริมผาคนชุดดำโอบอุ้มทารก กำลังต่อสู้อยู่กับสตรีในชุดสีแดงสดใส สตรีชุดแดงนางนั้น คล้ายยังไม่ฟื้นคืนพละกำลัง สภาวะท่าร่างจึงซวนเซเสียหลักอยู่บ้าง เสียงสตรีนางนั้น ส่งเสียงร้องตวาดดังกังวานว่า
“เจ้าคนชั่วช้า ที่แท้เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? รีบส่งทารกน้อยในมือของเจ้า คืนมาให้แก่เราเร็วเข้า”
สตรีในชุดสีแดงนางนั้น ปากส่งเสียงตวาดลั่น ฝ่ามือฟาดพุ่งออกแย่งชิง เท้าเตะกราดเข้าใส่ข้อเท้าคนชุดดำผู้นั้น คนชุดดำคล้ายไม่แยแสสนใจ เบี่ยงตัวหลบหลีกซ้ายขวา แล้วซัดฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่า เข้าใส่ร่างสตรีนางนั้นเต็มแรง
ยามนั้น บุรุษในชุดบัณฑิต คล้ายมองเห็นว่าผิดท่า รีบส่งเสียงเปล่งวาจาร้องตะโกนออก บอกสตรีนางนั้นให้ระวังตัวว่า
“น้องหญิง อันตรายแล้ว!”
แต่ทว่า เสียงร้องเตือนของบุรุษในชุดบัณฑิต คล้ายยังช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อเสียงทึบดังขึ้น พร้อมกับฝ่ามือกระทบร่างอย่างถนัดถนี่ ดั่งว่าวไร้สายปลิดปลิวตามแรงลม ร่างสตรีนางนั้น กระเด็นร่วงหล่นตกหน้าผาไป
ยามนั้น ทุกคนต่างส่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกัน ด้วยความตระหนกตกใจยิ่ง แต่ทว่าไม่มีผู้ใดช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน คนชุดดำผู้นั้นมันมิรีรอชักช้า อาศัยช่วงจังหวะนี้ พุ่งร่างโลดแล่นไปกับความมืดมิด กระทั่งไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐาน เอาไว้แต่อย่างใด
บุรุษในชุดบัณฑิตสีขาว กระโจนสู่ริมผาสองมือไขว่คว้าควานหาร่าง แต่ทว่าริมผาว่างเปล่าปราศจากผู้คน พื้นผาซึ่งเต็มไปด้วยโขดหินลื่นเฉอะแฉะ สืบเนื่องจากสายฝนที่เพิ่งตกผ่านพ้นไปได้ไม่นาน อีกทั้งด้านล่างยังมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใด บุรุษชุดบัณฑิตสีขาว ส่งเสียงตะโกนก้องร้องเรียกเพรียกหา ดั่งคนบ้าคลุ้มคลั่งเสียสติ ทุกคนในที่นั้น รีบเข้ามาช่วยกันค้นหา แต่ทว่าไร้ผล มิเห็นคนไม่พบร่างของสตรีชุดแดงนางนั้นแล้ว
ทันใดนั้น บุรุษอีกผู้หนึ่ง วิ่งมาด้วยท่าร่างอันปราดเปรียว เมื่อทิ้งเท้าทั้งสองหยุดยืน ส่งเสียงแจ้งแก่ทุกคนว่า
“แย่แล้ว! ทุกท่านรีบติดตามมาด้านนี้เร็วเข้า”
ผู้กล่าววาจา เป็นศิษย์คนโตของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ผู้คนในที่นั้นมิรั้งรอชักช้า รีบพุ่งร่างติดตามไปทันที หลงเหลือไว้เพียงบุรุษชุดบัณฑิต มันยังคงนั่งแข็งทื่อซึมเซาราวซากศพ
ยามนั้น เมื่อทุกคนมาถึง ซึ่งเป็นห้องที่ตั้งอยู่กึ่งกลาง สำหรับใช้เป็นห้องทำคลอด เมื่อไม่นานมานี้ ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า สร้างความตระหนกตกใจ แก่เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ท่านรีบโผพุ่งร่างเข้าไป ใช้สองมือประคองร่างบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งนอนหายใจรวยรินจวนสิ้นใจ ข้าง ๆ ยังนอนอยู่ด้วยสตรีอีกนางหนึ่ง สภาพไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ส่งเสียงวุ่นวายถามดังว่า
“เป็นฝีมือผู้ใด เหวินอี้ รีบบอกกล่าวต่อบิดามาเร็วเข้า ภรรยาเจ้าเล่า เป็น...เป็นฝีมือของผู้ใด?”
บนพื้นห้อง นอนอยู่ด้วยบุรุษกับสตรีคู่หนึ่ง บุรุษนั้นเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน นามลวี้เหวินอี้ ส่วนสตรีเป็นสะใภ้ท่าน นามเพ่ยอิง ซึ่งเพิ่งให้กำเนิดทารกน้อยนั้นเอง คนทั้งสองหายใจรวยรินใกล้สิ้นลม ศิษย์สตรีที่วิ่งติดตามมา นางตรงเข้าไปประคองสตรีนางนั้น ที่แท้นางเป็นศิษย์คนที่สาม แห่งสำนักตำหนักหมื่นเทพนั่นเอง
เหวินอี้ บุตรชายเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ส่งเสียงเปล่งวาจาแผ่วเบาราวกระซิบ ยิ่งกล่าววาจาคล้ายยิ่งห่างไกล สองตาเหม่อมองเหลือบแลภรรยารัก ส่งเสียงริมโสตผู้เป็นบิดาว่า
“บิดา ข้าพเจ้าไม่เห็นใบหน้า มันแต่งกายด้วยชุดดำปกปิดมิดชิด กระทั่งศีรษะใบหน้ายังคลุมไว้ด้วยผ้าดำ ท่าร่างรวดเร็วลงมือเพียงสองฝ่ามือ ข้าพเจ้าพร้อมทั้งเพ่ยอิง คล้ายถูกภูผากดทับบดร่าง บิดาท่าน...ท่านต้องช่วยเหลือลูกข้าพเจ้า ช่วยเหลือกลับมาให้ได้”
ยามนั้น ศิษย์สตรีคนที่สามไม่มัวชักช้ารีรอ ประคองร่างเพ่ยอิงเข้ามาใกล้ ๆ ให้สามีภรรยาสัมผัสมือกันเป็นครั้งสุดท้าย นางเองอดหลั่งน้ำตาออกมา ด้วยความเวทนาสงสารมิได้ สำหรับกับคนอื่น ๆ ล้วนไม่แตกต่างกัน รวมทั้งศิษย์ที่เหลืออีกสี่คน ของสำนักตำหนักหมื่นเทพ คนทั้งสี่ยืนซึมเซาเศร้าโศก กระทำสิ่งใดไม่ถูกอยู่เนิ่นนาน
“บิดา...ข้าพเจ้ามีเรื่องราวหนึ่ง? ที่ต้องบอกกล่าวแก่ท่าน เพ่ยอิงนางให้กำเนิดทารกน้อย...ทารกน้อยมี...มีถึง...”
ลวี้เหวินอี้ รวบรวมเรี่ยวแรงได้เพียงนี้ มันกล่าวกระซิบริมโสตบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างจะสั่นกระตุกคราหนึ่ง เหลือบสายตาแลภรรยารัก ในขณะที่สายตานางก็เหม่อค้าง จ้องมองใบหน้าสามีโดยอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายสิ้นลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน
เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ส่งเสียงตะโกนก้องร้องลั่นสะท้านสะเทือนไปทั้งยอดเขา น้ำตาเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพไหลหลั่งดั่งสายน้ำ สองมือกอดร่างไร้วิญญาณ ของลวี้เหวินอี้บุตรชายแนบแน่นไว้ในอ้อมอก
อรุโณทัยไขแสงในยามเช้า แสงสีทองเรืองรองสาดส่อง ค่อย ๆ ฉาบทาบอาบพื้น สำนักตำหนักหมื่นเเทพเขาหมื่นเซียนช้า ๆ จากทางบูรพาทิศ เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ในยามนี้ยังคงนั่งกอดศพบุตรชายเอาไว้ไม่ไหวติง
ค่ำคืนอันแสนโหดร้าย ของธรรมชาติและเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ข่าวดีที่จะบอกกล่าวออกไปสู่ชาวยุทธ์ เกี่ยวกับการรับขวัญทารกน้อย ได้กลับกลายเป็นข่าวร้ายทำลายขวัญชาวยุทธ์ไป
บุตรชายกับสะใภ้ ของสำนักอันดับหนึ่งของบู๊ลิ้ม ถูกฝ่ามือสังหารโหดเหี้ยมอำมหิต สำนักตำหนักหมื่นเทพ ในค่ำคืนเดียวสูญเสียสามชีวิต อีกทั้งทารกน้อยถูกช่วงชิง สูญหายไปถึงสองคน ที่ช่วยเหลือเอาไว้ได้ มีเพียงทารกน้อยผู้หนึ่ง นั่นคือทาริกาอ้วนท้วนสมบูรณ์ ซึ่งให้กำเนิดจากศิษย์คนที่ห้า ของสำนักตำหนักหมื่นเทพ นางเป็นผู้ที่รวบรวมเรี่ยวแรง พุ่งร่างคว้าแย่งชิงร่างลูกน้อย กลับมาได้จากคนชุดดำผู้หนึ่ง
หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น สำนักตำหนักหมื่นเทพ เกิดความวุ่นวายหลายเรื่องราว ศิษย์ในสำนักต่างแบ่งแยกไม่ลงรอย ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ศิษย์คนที่สามถูกอัปเปหิออกจากสำนัก ส่วนศิษย์คนที่สองกับศิษย์คนที่ห้า ลอบให้ความร่วมมือกับฝ่ายมารอธรรม
เมื่อมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ หลังจากจัดการเรื่องราว ต่าง ๆ ในสำนักตำหนักหมื่นเทพแล้ว เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน ท่านตัดสินใจที่จะอำลายุทธภพ เพื่อจบปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ได้ส่งเทียบเชื้อเชิญถึงบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย ให้มาพร้อมเพรียงกัน ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด ซึ่งตรงกับเทศกาลสารทตงชิว ในเทียบเชิญเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพใช้ชื่อว่า “งานอำลาบู๊ลิ้ม ทำลายคัมภีร์ยุทธ์” พอข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป วันนี้จึงมีบรรดาชาวยุทธ์ จากทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน อันเป็นที่ตั้งของสำนักตำหนักหมื่นเทพ
ยามนั้น ร่างในอาภรณ์สีเหลืองทองของผู้ทรงศีล ท่าทางเมตตากรุณาผู้หนึ่ง ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“อามิตพุทธ ในเมื่อประสกยู่เฉียน ท่านคิดจะกระทำเช่นนี้อาตมาก็ต้องส่งเสริม”
เกี้ยบฉิกไต้ซือ ฉายามรรคฟ้าคุณธรรม เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ยกมือข้างขวานิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน พร้อมกับคล้องพวงประคำสีดำสนิทเส้นหนึ่ง อยู่ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ปลายนิ้วยกจรดชิดติดปลายคาง เอ่ยคำจำเริญไม่ขาดปาก
ด้านตรงกันข้าม ยืนไว้ด้วยชายชราร่างสูงโปร่ง สวมอาภรณ์สีดำตัดขาว ชุดยาวสะบัดพลิ้วไหวต้านแรงลม แต่ทว่ายืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว คนทั้งสองมีอายุล่วงเลยเข้าวัยเก้าสิบห้าปีแล้ว หากทว่าเกี้ยบฉิกไต้ซือดูค่อนข้างจะชรากว่าเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่อายุไม่แตกต่างกัน แต่กระนั้นดวงตาของทั้งสองกลับเจิดจ้าดุจอินทรีจับจ้องเหยื่อ
เหนือดวงตาของทั้งคู่ ประดับด้วยคิ้วยาวสีขาวนวล ยามต้องลมกลับพลิ้วสะบัดท้าทายสายลมอยู่ไปมา หนวดเคราสีขาวเหนือริมฝีปากยาวย้อยลงมาถึงหน้าอก แต่กระนั้นยังมิอาจปกปิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเอาไว้ได้ จะแตกต่างกันอยู่บ้าง ตรงที่ศีรษะของเกี้ยบฉิกไต้ซือ ไม่หลงเหลือเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว
สำหรับกับผู้ที่ถูกเรียกหาว่าประสกยู่เฉียน ล้วนปกคลุมด้วยเส้นผมสีขาวราวเส้นไหมเงินกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองเป็นปรมาจารย์แห่งยุค เกี้ยบฉิกไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน และลวี้ยู่เฉียนฉายาเซียนเมฆาล่องลอย เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพ
ยามนั้น เกี้ยบฉิกไต้ซือ ท่านคล้ายทอดถอนใจคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวเนิบนาบกับลวี้ยู่เฉียนว่า
“กล่าวย้อนไปก่อนหน้านี้ เรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ประสกยังมิได้ก่อตั้งสำนักบนเขาหมื่นเซียนแห่งนี้ มีอยู่หลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์นองเลือด สืบเนื่องมาจากคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา อันเป็นที่หมายตา ของบรรดาชาวยุทธ์ทั้งแผ่นดิน ท่านยังจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้หรือไม่?”
เจ้าสำนักนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน พยักหน้าคราหนึ่งคล้ายจดจำได้ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ท่านไต้ซือกล่าวได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าในเวลานั้น ข้าพเจ้าจะตัวคนเดียวไม่มีศิษย์เหมือนในตอนนี้ แต่ทว่าคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ยังนำความยุ่งยากแก่ข้าพเจ้า เพียงเพื่อรักษาคัมภีร์เล่มนี้ไว้ จึงทำให้เกิดเภทภัยมากมายให้ต้องนองเลือด”
ปรมาจารย์แห่งบู๊ลิ้มทั้งสอง กำลังสนทนากล่าวถึงคัมภีร์ยุทธ์เล่มหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “คัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา” ภายในคัมภีร์ที่ว่านี้ บันทึกเคล็ดวิชาล้ำเลิศ กล่าวขานกันว่า หากผู้ใดได้ฝึกปรือเพียงท่าสองท่าสามารถท่องยุทธภพได้โดยไร้ผู้ต่อต้าน ดังนั้นมีหลายครั้งที่ลวี้ยู่เฉียน ถูกค่ายพรรคสำนักมารรวมตัวกัน เพื่อแย่งชิงคัมภีร์เล่มนี้ แต่ทว่าท่านมีฝีมือสูงล้ำจึงรักษาคัมภีร์เอาไว้ได้
เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“ในตอนนั้น ข้าพเจ้าในวัยฉกรรจ์นับว่าเลือดร้อนระอุอยู่บ้าง ทุกครั้งที่เกิดเรื่องราว ได้ตอบโต้กลับไปไม่อ่อนข้อให้มารอธรรม หลังจากนั้นจึงตัดสินใจ ลี้กายหายตัวจากยุทธภพไปจนไร้ข่าวคราว ในเวลานั้นทำให้ยุทธภพสงบอยู่ช่วงหนึ่ง จวบจนกระทั่ง ข้าพเจ้าหวนกลับสู่ยุทธภพอีกครั้ง พร้อมกับนำพาศิษย์มาด้วยห้าคน”
เกี้ยบฉิกไต้ซือ เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน แสดงสีหน้าครุ่นคิด หวนนึกถึงความหลังครั้งนั้น แล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“อามิตพุทธ ในขณะนั้นตอนที่ประสกคืนกลับยุทธภพ อาตมาทราบว่าท่านมีลูกศิษย์มาด้วยห้าคน จึงเห็นว่าไม่ควรเร่ร่อนท่องเที่ยวหรือหลบซ่อนตัวอีก จึงเลือกเขาหมื่นเซียนแห่งนี้ สนับสนุนให้ประสกใช้เป็นสถานที่ก่อตั้งสำนัก ผ่านไปไม่นานเท่าใด? คาดคิดมิถึงว่าท่านกับศิษย์ทั้งห้าคน จะสามารถสร้างชื่อเสียงเกรียงไกร กระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นสำนักอันดับหนึ่งของยุทธภพ”
ปรมาจารย์ทั้งสองของบู๊ลิ้ม ต่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเกี้ยบฉิกไต้ซือ ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
"อาตมาคิดว่าผลบุญกุศลครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก ประสกยู่เฉียนคิดจะยุติเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในยุทธภพ อันเกิดมาจากคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ชาวยุทธ์ต่างแก่งแย่งช่วงชิงคัมภีร์เล่มนี้มาหลายสิบปีแล้ว มิหนำซ้ำศิษย์ทั้งห้าของประสกต่างไม่เห็นแก่สำนักตน แบ่งแยกเป็นหลายฝ่ายทำร้ายกันเอง ด้านพรรคมารกลับกล้าแข็ง ยุทธภพลุกเป็นไฟ ฝ่ายธัมมะกลับกลายเป็นอธรรม คิดเข่นฆ่ากันเองเพียงเพื่อคัมภีร์ยุทธ์ คิดแล้วช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก"
เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ส่งเสียงกล่าวตอบเห็นด้วยว่า
“ถูกต้องของท่านไต้ซือ ดังนั้นข้าพเจ้าได้ไตร่ตรองดีแล้ว จึงจะทำลายสำนักตำหนักหมื่นเทพเสีย พร้อมกับทำลายคัมภีร์เล่มนี้ ไปพร้อม ๆ กับร่างของข้าพเจ้าลงใต้ผาเทพนิรันดร์แห่งนี้”
ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงชัน มองไม่เห็นก้นหุบเหว เห็นเพียงหมอกสีขาวปกคลุมล่องลอยราวปุยนุ่น ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใด สามารถลงไปถึงก้นหุบเหวแม้แต่ผู้เดียว หากพลัดตกลงไปรับรองได้ว่าร่างต้องแหลกเหลวละเอียดเป็นผุยผง ต่อให้มีเทพยดาฟ้าดินคุ้มครอง ยังต้องขาดอากาศหายใจอยู่ดี
ลานกว้างยืนไว้ด้วยชาวยุทธ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างทราบข่าวว่าวันนี้ เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน จะฝังร่างตนเองพร้อมคัมภีร์ยุทธ์สุดยอดวิชา ลงใต้ผาเทพนิรันดร์แห่งนี้ จำเดิมนั้นเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน ท่านจะทำลายสำนักรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างไปด้วย แต่ทว่าเกี้ยบฉิกไต้ซือ ได้เอ่ยปากขอร้องเอาไว้ เพื่อเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงเรื่องราว จะได้ไม่เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีก
ดวงตะวันลอยตระหง่าน ส่องแสงเปล่งรัศมีอันร้อนแรงเจิดจ้า พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหม้ไปตรงหน้า แต่ทว่าธรรมชาติยังสร้างความสมดุล ยังมีจันทราที่ส่องแสงนวลผ่องอำพัน ข่มแสงสุริยันอันร้อนแรง สองสิ่งต่างสะกดและส่งเสริมกันอย่างลงตัว
เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน แหงนหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับล้วงคัมภีร์ออกมาจากอกเสื้อ ก้าวเท้าช้า ๆ เข้าหาหน้าผาอันสูงชัน จากนั้นท่านฉีกคัมภีร์ในมือออกเป็นสองส่วน ส่งเสียงหัวร่ออย่างสบอารมณ์ ก่อนจะกระโดดทิ้งร่างลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง จบสิ้นทุกเรื่องราว
ร่างสองสายทะยานโลดแล่นละลิ่วมา สภาวะท่าร่างดุจวิญญาณผีภูตพรายมาจากต่างทิศ ร่างทั้งสองพุ่งเข้าหาเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน ราวลูกเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง เป้าหมายเป็นคัมภีร์ยุทธ์สองส่วนในมือท่านนั่นเอง คัมภีร์สุริยันกับคัมภีร์จันทรา
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564