Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ย้อนคืนสู่มาตุภูมิ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ย้อนคืนสู่มาตุภูมิ

  • 13/08/2565

ตอนที่ 17

ย้อนคืนสู่มาตุภูมิ

กล่าวย้อนถึงขณะสถานการณ์คับขันหวาดเสียว เสี้ยวเวลานั้น จ่านจือมิอาจปิดบังเก็บงำ ซ่อนประกายฝีมือของเขาได้อีกต่อไป ขืนชักช้าอาจมิทันการพานสูญเสียพี่สาวทั้งสองไป พอเห็นยอดฝีมือทั้งสองถาโถมโหมกระหนาบเข้าหา ในเวลานั้นคำนวณได้ว่าพี่สาวทั้งสองของเขา มิอาจต้านรับยอดฝีมือทั้งสองได้อย่างแน่นอน เขาเห็นสภาวะท่าร่างของสองยอดฝีมือ ซึ่งกระชับอาวุธแยกย้ายเข้าใส่อย่างดุร้ายหมายขวัญปานนั้น

มาตรแม้นว่าจ่านจือจะประจักแจ้งแก่ใจ ทราบดีว่าพี่สาวทั้งสองมีวิชาฝีมือมิต่ำทราม นางทั้งสองมีฐานะเป็นถึงศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนับว่ายอดเยี่ยม แต่ทว่าสถานการณ์คับขันบังบังคับให้นางทั้งสองต้องรับกระบวนท่าจากสองยอดฝีมือที่ดุร้าย คิดจะคลี่คลายรับมือไม่ง่ายดายนัก

จ่านจือเห็นว่าหากจะให้วิจารณ์ยึดหลักสรีระ ถึงอย่างไรพี่สาวทั้งสองของเขาเป็นเพียงอิสตรี ต่อให้นางทั้งสองมีจิตใจเข้มแข็งห้าวหาญปานใด หากเจอคู่มือเข้มแข็งอันน่ากลัวเฉกเช่นยอดฝีมือจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ต่อให้สำแดงฝีมือออกมาสุดกำลังยังยากที่จะต้านทานรับมือได้เนิ่นนาน สุดท้ายยังคงถูกสยบเอาไว้ น้อยเพียงได้รับบาดเจ็บ มากอาจตายภายใต้อาวุธของยอดฝีมือเหล่านั้น เสิ่นซื่อสูอวี้ยอดฝีมือจากอูเยี่ยว์กับเล่อต้าเต๋อยอดฝีมือจากอุยกูร์ มันทั้งสองล้วนมีพลังฝึกปรือลึกล้ำสูงส่ง พี่สาวทั้งสองจึงหาใช่คู่มือของมันทั้งสองได้

ในเวลานั้นเมื่อเห็นค้อนเหล็กหนักพันชั่งนามพันชั่งอสูรคลั่งในมือเล่อต้าเต๋อ กับดาบสันหน้ามีชื่อเรียกว่าเก้าห่วงทะลวงวิญญาณในมือเสิ่นซื่อสูอวี้ เคลื่อนย้ายเข้าใส่ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินดั่งสายฟ้า สภาวะเกรี้ยวกราดสุดบรรยายหมายเอาชีวิตทั้งสองของนางไปภายในกระบวนท่าเดียว

จ่านจือเห็นเช่นนั้นมิรอช้ารีบพุ่งเข้าขวางสองยอดฝีมือจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเอาไว้ จากนั้นเขาไม่มีเวลาให้ขบคิดให้มากความ ถึงแม้พวกนางทั้งสองจะทราบได้ว่าเขามีวิชาฝีมือติดตัวหาสนใจคิดมาก ดังนั้นเขาจึงกระโดดเข้าไปยืนประจันหน้า เตรียมพร้อมสกัดขัดขวางยอดฝีมือทั้งสองของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าที่ถาโถมเข้ามาอย่างดุร้าย

เมื่อยืนหยัดตั้งหลักมั่นรีบร่ายรำสองฝ่ามือ ด้วยกระบวนท่าวิชาดาวดึงส์ท่าที่หนึ่งนามดาวเย้ยเดือนออกไป ก่อให้เกิดเป็นพลังวังวนม้วนทะลักปานสายฟ้าพายุคลุ้มคลั่ง พลังวังวนสายนั้นพุ่งเข้าหาอาวุธทั้งสองของเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ สองยอดฝีมือแม้ถืออาวุธมั่นพลันชะงักงันไปชั่วขณะ ด้วยพวกมันทั้งสองไม่เคยพบพานวิชาฝ่ามือที่เด็กน้อยแปลกหน้าผู้นี้ใช้ออก ทั้งตระหนกตกใจทั้งคาดคิดมิถึง

แต่ถึงกระนั้นทั้งสองยังนับว่าเป็นยอดฝีมือ ผ่านประสบการณ์ผาดโผนยุทธจักรโชกโชน ขณะที่ตกตะลึงพรึงเพริดจวนเจียนจะถูกพลังวังวนทำร้าย ยอดฝีมือทั้งสองรีบใช้พลังลมปราณคุ้มครองกาย แล้วสะกิดเท้าพุ่งถอยหลังได้ทันท่วงที ดังนั้นพวกมันจึงมิได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า กำลังตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้พัวพันอยู่กับต๊กม้อเต็กลามะพระทิเบตอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน โดยที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำพลาดท่าเสียทีให้แก่กัน พอดีในช่วงจังหวะเวลานั้น เฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไปชิงสองเฮียม่วย คนทั้งสองผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เมื่อเห็นเป็นจ่านจือคนทั้งสองจดจำได้แม่นยำ โดยมิต้องประเมินสถานการณ์ เฟิ่นไป่ชิงนางซัดขว้างระเบิดควันออกสองลูกเข้าใส่ในวงต่อสู้ พร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกชื่อจ่านจือส่งสัญญาณให้ทุกคนหลบหนี

จ่านจือพอได้ยินคนเรียกชื่อตนเอง แม้นวันเวลาจะผ่านมาห้าปีกว่าแล้ว แต่ทว่าเขายังจดจำน้ำเสียงที่เรียกเขาได้แม่นยำน้ำเสียงนั้นจดจำได้ว่าเป็นเฟิ่นไป่ชิง เมื่อเห็นวัตถุหนึ่งตกลงใกล้ ๆ ไม่ห่างจากเขากับสองยอดฝีมือ ด้วยประกายสายตาอันปราดเปรียวเหลียวดูวูบเดียวทราบว่าเป็นระเบิดควัน พอวัตถุนั้นตกพื้นเกิดเป็นเสียงชนิดหนึ่ง แล้วปรากฏกลุ่มควันสีม่วงอมเทาหนาแน่นพวยพุ่ง เขาจึงมิรอช้ารีบคว้าแขนพี่สาวทั้งสองเกร็งกำลังลอยตัวหลบหนี พร้อมกับตะโกนบอกเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าให้ท่านรีบติดตามมา

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ผาดโผนอยู่ในยุทธจักรอย่างโชกโชน ถึงแม้ต่อสู้ติดพันท่านยังชำเลืองดูศิษย์ทั้งสองกระโดดหลบหนี ดังนั้นท่านจึงกระแทกหลังมือเข้าหาบริเวณหน้าอกของต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะทิเบต ด้วยท่วงท่าสภาวะเกรี้ยวกราดน่ากลัว

หลวงจีนจากทิเบตได้ยินเสียงระเบิดควันพลันฉุกใจคิดว่ามีคนมาช่วยเหลือ ขณะจะเหลียวหน้ากลับไปมองว่าเป็นผู้ใดบริเวณทรวงอกรับรู้ถึงพลังเร่งร้อนจู่โจมเข้ามา ดังนั้นจึงไม่มีเวลาใส่ใจว่าเป็นผู้ใด ลามะทิเบตรีบถีบเท้าก้าวถอยหลังหลบหลีกพลังฝ่ามือ เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ใช้จังหวะนี้อาศัยกลุ่มควันอันหนาแน่น กระโดดหลบหนีตามติดศิษย์ทั้งสองมาในทันที

ไม่นานนักคนทั้งหมดทิ้งระยะทางห่างจากบริเวณที่เกิดการต่อสู้เมื่อครู่มาไกลโข ผู้ที่วิ่งนำหน้าเป็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเมื่อเห็นว่าปลอดภัยไม่มีผู้ใดติดตามมาจึงชะลอฝีเท้า เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าติดตามมาทัน

ยามนั้นพอเห็นว่าเป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งยื่นมือช่วยเหลือ รีบประสานมือกล่าวคำขอบคุณมู่เหอกับไป่ชิง ส่วนจ่านจือนั้นท่านไม่ทราบว่าเขาช่วยเหลือศิษย์ทั้งสองของท่านไว้เช่นกัน เนื่องด้วยในช่วงจังหวะที่เขาใช้วิชาดาวดึงส์ เข้าขัดขวางสองยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ท่านกำลังพัวพันต่อสู้อยู่กับต๊กม้อเต็กลามะหาได้สังเกตเห็นไม่

ยามนั้นศิษย์สตรีทั้งสองของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ขยับริมฝีปากคิดกล่าววาจาบอกกล่าวต่อผู้เป็นอาจารย์ ว่า นางทั้งสองมีชีวิตรอดหวุดหวิดหวาดเสียว ในเสี้ยวเวลานั้นเนื่องด้วยจือน้อยช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันท่วงที

แต่ทว่าจ่านจือรีบบุ้ยปากส่งสายตาบอกใบ้ต่อนางทั้งสองว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนบอกกล่าวต่อเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า มาตรแม้นนางทั้งสองแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเองว่า เด็กน้อยซอมซ่อผู้หนึ่งซึ่งตนรับไว้เป็นน้องชายนั้น แท้จริงเขาจะมีฝีมือติดตัวมิชั่วช้าเลวทราม

ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ถึงแม้จะยังติดใจสงสัยในตัวเขาอยู่บ้าง แต่กระนั้นพอเห็นเด็กหนุ่มบอกใบ้เช่นนั้น นางทั้งสองจำต้องกล้ำกลืนคำพูดลงไป ไม่อาจใจร้อนรีบบอกกล่าวเล่าความจริง ต่อผู้เป็นอาจารย์ของพวกนางให้รับทราบ

ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอื้เซิน นางทั้งสองคาดคิดไม่ถึงว่าจ่านจือจะมีพลังฝีมือติดตัวอยู่ด้วย ตลอดเวลาหนึ่งคืนที่พักอาศัยในศาลเจ้าร้างกลับดูไม่ออก ในเวลาคับขันเขายังกล้าหาญมิเกรงกลัวสองยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางทั้งสองเอาไว้

ในยามนี้นางทั้งสองหลังจากใคร่ควรญ เริ่มสงสัยในตัวเขาว่าคราครั้งก่อนตอนที่พวกนางถูกกลุ้มรุมทำร้าย ผู้ที่ซัดอาวุธลับทำร้ายห้าชายชุดดำ แท้จริงแล้วอาจมิใช่อาวุโสท่านใด อีกทั้งยังมิใช่ยอดคนสุดยอดฝีมือลึกลับจากที่ใดเช่นกัน ไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ต้องเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ที่เป็นคนขับไล่ห้าคนชั่วชุดดำนั้นไป แต่ไฉนเด็กน้อยผู้นี้จึงต้องปกปิดซ่อนงำเก็บประกายไม่เปิดเผย หรือว่าเขาจะมีเหตุผลจำเป็นไม่อาจบอกกล่าวได้ในเวลานี้

เมื่อใคร่ครวญถึงความจำเป็นข้อนี้ ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว จึงยังมิต้องการซักถามความเป็นมาของจ่านจือในเวลานี้ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีความจำเป็นอันใด อย่างน้อยนางทั้งสองกับเขาต่างคบหาเป็นเจเจ้ตีตี๋ ชั่วดีไม่ควรปกปิดบอกเล่าความจริงให้ได้รับทราบ

ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองจึงตกลงใจว่า ค่อยสอบถามความจริงกับเขาในภายหลัง ดังนั้นจึงกล่าวแนะนำตัวเอง กับอี้เซินศิษย์ผู้น้องต่อสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นว่า

“ข้าพเจ้ามีนามว่าซื่อเหมี่ยน ส่วนนางเป็นศิษย์ผู้น้องของข้าพเจ้านามว่าเอวี้ยอี้เซิน เราทั้งสองเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ขอบคุณพวกท่านทั้งสองที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเราเอาไว้”

จากนั้นเอวี้ยอี้เซินประสานมือต่อสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แล้วหันมาทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าว หันกลับมาส่งเสียงกล่าวกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นว่า

“ข้าพเจ้าอี้เซินขอบคุณพวกท่านทั้งสองยิ่ง ส่วนอาวุโสท่านนี้เป็นอาจารย์ของพวกเรา ท่านเป็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนามมู่ชิวป้า พวกเราทั้งสามหากมิได้พวกท่านยื่นมือช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี เห็นทีคราวนี้คงต้องประสบภัยเคราะห์ร้ายแล้ว”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า หันมาทางด้านสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ประสานมือต่อทั้งสองส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“เราเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ต้องขอขอบคุณจอมยุทธ์น้อยทั้งสองที่มีน้ำใจช่วยเหลือ เรากับศิษย์ทั้งสองที่มีชีวิตหนีรอดจากคนเหล่านั้น ก็ด้วยบุญคุณของจอมยุทธ์น้อยทั้งสอง มิทราบว่าพวกเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์สำนักใด? ผู้เป็นอาจารย์มีนามสูงส่งว่ากระไร? รวมทั้งพวกเจ้าทั้งสองรีบบอกกว่าชื่อแซ่แก่พวกเราให้ได้รับทราบด้วย”

เฟิ่นมู่เหอรีบประสานมือตอบ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

"มิเป็นไรมิได้ พวกท่านทั้งสามอย่าได้เกรงใจ ข้าพเจ้ามีนามว่าเฟิ่นมู่เหอเป็นพี่ชายของนาง ส่วนนางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้าชื่อเฟิ่นไป่ชิง เราทั้งสองความจริงเป็นสหายกับจ่านจือ”

เมื่อกล่าววาจาจบ เฟิ่นไป่ชิงหลังจากประสานมือแล้วส่งเสียงกล่าวต่อทันทีว่า

“ข้าพเจ้ากับพี่ชายช่วยเหลือพวกท่าน เท่ากับช่วยเหลือสหายของเราด้วยในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจะกล่าวไปแล้วเราพี่น้อง ความจริงมิได้ลำบากสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเท่าใดนัก พวกเราต่างเป็นชาวยุทธ์ อาวุโสร่วมทั้งแม่นางทั้งสองอย่าได้เกรงอกเกรงใจ"

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวรวมทั้งศิษย์สตรีทั้งสอง แสดงปฏิกิริยาสำนึกขอบคุณต่อสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แต่เมื่อสำรวจถ้วนทั่ว เจ้าหุบเขามู่ชิวป้ากลับเหลือบเห็นบุรุษหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ซึ่งหน้าตาหมดจดคมคายแต่งกายคล้ายขอทานผู้หนึ่ง เมื่อเห็นยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งยังมิได้แนะนำตัว จึงเอ่ยกล่าวถามขึ้นว่า

"ทุกท่านในที่นี่ล้วนแนะนำตัวกันแล้ว เหลือเพียงพ่อหนุ่มผู้นั้นอีกผู้หนึ่ง ดูลักษณะท่าทางการแต่งกายคล้ายกับมิใช่ชาวยุทธ์ เพียงแต่หน้าตาสะอาดหมดจด แถมยังหล่อเหลาคมคายองคาพยพสง่างามสมชายชาตรี หากผลัดเปลี่ยนชุดแต่งกายเสียใหม่ เรายังคิดว่าเป็นคุณชายหรือบัณฑิตมีหน้ามีตาผู้หนึ่งเลยทีเดียว"

จ่านจือได้ยินเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เอ่ยถามชื่อแซ่แท้จริงของตนเอง อีกทั้งท่านยังวิจารณ์ลักษณะท่าทางกายแต่งกายของตนออกมาโดยมิได้อ้อมค้อม จากทำกล่าววาจาของท่านเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสต่อความจริงใจของอาวุโสท่านนี้อยู่ในใจ

เพียงแต่จะบอกกล่าวสิ่งใดออกไปในเวลานี้ นอกจากจะต้องระมัดระวังวาจาให้มากแล้ว ยังมีในด้านของพลังฝีมือที่จำเป็นต้องปกปิด ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้หมดสิ้น อาจารย์ของเขาได้สั่งกำชับเอาไว้ว่า ก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาตจากปากอาจารย์ ห้ามมิให้เขาบ่งบอกฐานะอันแท้จริงออกไปเป็นเด็ดขาด

มาตรว่าเขาจะเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน  แต่หากผู้ใดกล่าวถามก็ห้ามบ่งบ่งบอกอกไป ดังนั้นจ่านจือจึงอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนกล่าวแนะนำตัวเองไปว่า

“ข้าพเจ้าแซ่จ้าวนามจ่านจือ เป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร จากมาตุภูมิไปอาศัยอยู่กับอาวุโสท่านหนึ่งยังกังหนำได้ห้าปีกว่าแล้ว ครั้งนี้เดินทางกลับบ้านเกิดวาสนาได้พบเจอกับพี่สาวทั้งสองระหว่างทาง นางทั้งสองไม่รังเกียจที่ข้าพเจ้าแต่งกายคล้ายขอทานสกปรกมอมแมม แถมยังเมตตารับข้าพเจ้าเป็นน้องชายอีกด้วย ต้องขอขอบคุณท่านอาวุโสท่านนี้ ที่กล่าวชมข้าพเจ้า"

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พยักหน้ารับทราบส่งยิ้มให้ด้วยความกรุณา สีหน้าแสดงความเป็นมิตรมิได้มีท่าทีรังเกียจชิงชังประการใด จากนั้นท่านส่งเสียงกล่าวว่า

"ที่แท้เรื่องราวของเจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าได้น้อยอกน้อยใจในวาสนาของตัวเอง ในภายหน้าไม่แน่นักเจ้าอาจได้สร้างชื่อเสียง เพียงแต่วันนี้ยังไม่สำเร็จก็อย่าด่วนท้อแท้ วาสนาหรือนะสู้มานะตน”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ท่านหยุดกล่าววาจาเลกน้อย สำรวจเขาอีกเที่ยวหนึ่งจึงกล่าวต่อว่า

ศิษย์สตรีทั้งสองของเรา พวกนางต่างเอ็นดูเจ้าเป็นเสมือนน้องชาย เช่นนั้นเราในฐานะอาจารย์ของนางทั้งสอง จึงรู้สึกยินดีอีกทั้งจะสนับสนุนส่งเสริม แต่เอ๊ะ! หากเจ้ามิใช่ชาวยุทธจักร ไฉนตอนวิ่งหนีคนร้ายเมื่อครู่ เราคล้ายเห็นเจ้ามีฝีเท้าวิ่งติดตามพวกเราอยู่ด้านหลัง ดูจากฝีเท้าของเจ้าไม่เป็นรองคนอื่น ๆ อีกทั้งวิชาตัวเบาของเจ้ายังถือว่ายอดเยี่ยมสูงส่งกว่าศิษย์ของเราทั้งสองอีก หรือว่าเจ้ามีเรื่องราวใดต้องปิดบังอำพราง?"

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ท่านเป็นคนช่างสังเกตดังนั้นจึงมิตกหล่นมองข้ามไป เรื่องที่จ่านจือใช้วิชาท่าร่างวิ่งติดตามมาได้ไม่ห่าง อีกทั้งฝีเท้าวิชาตัวเบายังถือว่ายอดเยี่ยม แต่หากดูเพียงภายนอกผิวเผิน แทบดูไม่ออกเลยว่าเด็กน้อยผู้นี้จะมีฝีมือติดตัว

ศิษย์สตรีทั้งสองของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ได้ยินผู้เป็นอาจารย์กล่าวถามจ่านจือเช่นนั้น นางทั้งสองเกรงว่าจะเป็นการสร้างความยุ่งยากลำบากใจให้แก่จ่านจือ คิดได้เช่นนั้นซื่อเหมี่ยนจึงรีบกล่าววาจาแทนเขา บอกเล่าต่อผู้เป็นอาจารย์ของนางว่า

“เรียนต่ออาจารย์ นอกจากศิษย์ทั้งสองจะรับเซียวจือเป็นน้องชายแล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์จะต้องบอกกล่าวต่อท่าน เขายังเป็นผู้มีพระคุณช่วยเหลือชีวิตศิษย์ทั้งสองไว้ถึงสองครั้งครา ครั้งแรกตอนที่ศิษย์พร้อมด้วยศิษย์น้องเดินทางล่วงหน้ามาก่อนในระหว่างทางพบเจอคนร้ายแต่งกายด้วยชุดดำคลุมหน้า พวกมันมีกันหลายคนจู่โจมเข้าทำร้ายหมายเอาชีวิตศิษย์ให้ได้”

เอวี้ยอี้เซินศิษย์ผู้น้องส่งเสียงสนับสนุน ส่งเสียงกล่าวต่อจากศิษย์พี่ซื่อเหมี่ยนว่า

“ศิษย์ทั้งสองต่อสู้กับคนร้ายเหล่านั้น กระทั่งพละกำลังอ่อนโทรม อีกทั้งคนก็มีกำลังน้อยกว่า เห็นท่าว่าไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ต้องตายแน่นอน ในเวลานั้นพลันมีคนซัดอาวุธลับเข้าขัดขวาง ทำให้คนร้ายขวัญฝ่อพอโดนอาวุธลับ พวกมันจึงเตลิดพากันกระโดดหลบหนีไป ศิษย์ทั้งสองจึงมีลมหายใจกลับมาพบหน้าอาจารย์"

เมื่ออี้เซินศิษย์ผู้น้องกล่าวจบ ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่กล่าววาจาบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อจากศิษย์น้องอี้เซินให้ผู้เป็นอาจารย์ได้รับทราบว่า

"เรียนต่ออาจารย์ เรื่องราวที่ศิษย์น้องล่าวมาเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริง ต่อมาขณะที่พวกเราทั้งสามกำลังเดินทาง พบเห็นอาจารย์ต่อสู้อยู่กับสามยอดฝีมือ จากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ศิษย์ทั้งสองเมื่อเห็นจึงรีบเข้าไปช่วยเหลืออาจารย์รับมืออีกแรงหนึ่ง ในเวลานั้นสถานการณ์ศิษย์ตกเป็นรอง เราทั้งสองไม่อาจต้านทานยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเอาไว้ได้”

เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงบอกเล่าเหตุการณ์ต่อว่า

“ในขณะที่สองยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ใช้ออกด้วยอาวุธเป็นค้อนเหล็กหนักราวพันชั่ง อีกผู้หนึ่งใช้ดาบหนามีห่วงรวมเก้าห่วงบนสันดาบ พวกมันจู่โจมโหมกระหนาบคิดว่าจะคร่าชีวิตน้อย ๆ ของเราทั้งสองไปเป็นแน่ในเวลานั้น”

ซื่อเหมี่ยนรีบส่งเสียงบอกเล่าต่อทันทีว่า

“ยามนั้นคับขันหวาดเสียว คาดคิดมิถึงเซียวจือผู้นี้ ได้พุ่งเข้ามาสกัดขัดขวางเอาไว้ ก่อนที่ผู้มีพระคุณทั้งสองท่านนี้ จะผ่านมาแล้วซัดระเบิดควันออกสองลูก ช่วยเหลือพวกเราทั้งหมดให้หลบหนีมาได้โดยปลอดภัย"

ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว นางทั้งสองก้าวเท้าเข้าไปหาจ่านจือ พร้อมกันใช้มือโอบไหล่ของเขาเอาไว้ ศิษย์ผู้น้องเอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวกับผู้เป็นอาจารย์ว่า

"เรียนอาจารย์ ศิษย์ทั้งสองรับเซียวจือเป็นน้องชายในครั้งนี้ คล้ายจะใช้เวลาทำความรู้จักกันไม่นานนัก อีกทั้งยังมิได้ปรึกษารับฟังความเห็นอาจารย์”

ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้กล่าวต่อจากศิษย์ผู้น้องอี้เซินว่า

“ศิษย์ทั้งสองแม้จะรีบร้อนไปบ้าง ยังมิทันได้รับอนุญาตจากอาจารย์ก่อน แต่ทว่าศิษย์ทั้งสองไตร่ตรองดีแล้ว หากอาจารย์จะตำหนิว่ากล่าว ศิษย์ทั้งสองยินดีรับฟังคำชี้แนะ เหตุผลอีกประการหนึ่งซึ่งศิษย์ทั้งสองรับเซียวจือเป็นน้องชายนั้น เขากับศิษย์ทั้งสองล้วนกำพร้า จึงเข้าใจถึงโชคชะตาอันโดดเดี่ยว”

 เอวี้ยอี้เซินรีบกล่าวสนับสนุนต่อจากศิษย์พี่ซื่อเหมี่ยนว่า

“แต่สำหรับคุณธรรมและน้ำใจแล้ว เซียวจือเขาเปี่ยมล้นศิษย์สองมั่นใจว่าส่งเสริมคนมิผิดพลาด ดังนั้นก่อนที่จะได้พบหน้าอาจารย์ เราทั้งสามตั้งใจจะเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ ซึ่งเป็นมาตุภูมิที่เขาเคยอาศัยอยู่ตอนเยาว์วัยกับมารดาบุญธรรม บัดนี้มีโอกาสกลับมาจึงคิดหวนไปกราบหลุมศพมารดาบุญธรรมสักครั้งหนึ่ง"

ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว กราบเรียนต่ออาจารย์เกี่ยวกับเรื่องราวที่นางทั้งสองรับจ่านจือเป็นน้องชายโดยยังมิได้รับฟังวาจาจากผู้เป็นอาจารย์ก่อน อีกทั้งเรื่องที่นางทั้งสองกับน้องชายผู้นี้ กำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเย้ยอรุณอีกด้วย

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เพ่งพิศสำรวจตรวจสอบมองจ่านจืออีกเที่ยวหนึ่ง เห็นว่าเด็กน้อยผู้นี้แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ อีกทั้งยังมีรอยปะชุนอยู่หลายที่ แต่ด้วยลักษณะท่าทางองคาพยพโดยรวมแล้ว นับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่น่าคบหาไม่น่ามีส่วนเสียหายแต่อย่างใด

เมื่อสำรวจโดยถ้วนถี่แล้ว ด้านส่วนประกอบรูปกายภายนอก โดยรวมแล้วแข็งแกร่งกำยำสมชายชาตรี องคาพยพเหมาะสำหรับฝึกวิทยายุทธ์อยู่ไม่น้อย หน้าตานับว่าหล่อเหลาคมคายคล้ายซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไปบ้างส่วนหนึ่ง แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่ส่องประกายเจิดจ้านั้น เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ถึงกับนึกชมเชยอยู่ในใจ

มาตรแม้นดูโดยผิวเผินคล้ายจะซื่อ ๆ ไปบ้าง แต่สำหรับเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ท่านกลับเห็นว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่รวบรัดธรรมดา แววตาส่องประกายเจิดจ้าแฝงความฉลาดเฉลียว แต่อาจไม่แสดงออกคล้ายกับต้องการปกปิดซ่อนงำกระนั้น ท่านนอกจากมิได้กล่าวตำหนิศิษย์สตรีทั้งสองแล้ว ท่านยังตรงเข้าไปใช้สองมือประคองไหล่ทั้งสองของจ่านจือไว้ จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจากับเขาว่า

"เราเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ต้องขอบคุณเจ้าที่ยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ทั้งสองของเราไว้ เจ้าเมื่อช่วยเหลือศิษย์ของเรา ก็เหมือนได้ช่วยเหลือเราด้วยเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงวันนี้เรามู่ชิวป้า จะมีวาสนาได้พบพานกับหนุ่มสาวคราวหลัง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำใจ เช่นเจ้ากับสหายน้อยอีกสองคน”

จากนั้นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า หันมาทางด้านสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“คลื่นลูกหลังทดแทนคลื่นลูกแรกฉันใด เด็กรุ่นหลังก็คงฉันนั้น  ดูพวกเจ้าทั้งสามคนคล้ายยังไม่สะดวกที่จะบอกกล่าวความเป็นมา รวมทั้งฐานะศักดิ์ศรีว่าเป็นศิษย์ของค่ายพรรคสำนักใด อีกทั้งยอดคนท่านใดเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้แก่พวกเจ้าใช่หรือไม่?"

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า กล่าวถามขึ้นหลังจากกล่าวขอบคุณต่อจ่านจือแล้ว ท่านเองต้องการทราบว่าหนุ่มสาวทั้งสามคน ที่แท้เป็นศิษย์ของสำนักใด ดังนั้นคนทั้งสามจึงตัดสินใจให้เฟิ่นมู่เหอ เป็นผู้ตอบคำถามกับเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า

เฟิ่นมู่เหอประสานมือขึ้นอีกครั้งด้วยความนอบน้อยเคารพ ส่งเสียงกล่าวด้วยมารยาทว่า

"เรียนต่อท่านเจ้าหุบเขาตามตรง เราทั้งสามคนได้รับคำสั่งจากอาจารย์ หากท่ายยังมิอนุญาตก็มิอาจบอกกล่าวความเป็นมา รวมทั้งศักดิ์ฐานะอันแท้จริงต่อผู้ใดได้ ก่อนที่เราสองเฮียม่วยจะออกเดินทาง อาจารย์สั่งกำชับว่าห้ามมิให้บ่งบอกออกไปเป็นเด็ดขาด”

เฟิ่นไป่ชิงประสานมือขึ้นบ้างอย่างนอบน้อม ส่งเสียงกล่าววาจาต่อจากพี่ชายของนางมู่เหอว่า

“อาจารย์ท่านสั่งเด็ดขาด ห้ามมิให้บ่งบอกออกไปว่าใครเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ อีกทั้งมิให้แพร่งพรายชื่อเสียงสำนักออกไปโดยเด็ดขาด ดังนั้นข้าพเจ้าไป่ชิงกับพี่ชายมู่เหอรวมทั้ง จ่านจือ จึงต้องเสียมารยาทปกปิดท่านเจ้าหุบเขา พวกเราทั้งสามคน ต้องขออภัยต่อท่านด้วยสาเหตุจำเป็นไม่อาจเปิดเผย”

จ่านจือถือโอกาสกล่าววาจาต่อจากเฟิ่นไปชิงว่า

“หากโอกาสหน้าได้พบเจอกับท่านเจ้าหุบเขาอีกครั้ง คิดว่าเวลานั้นอาจารย์ของข้าพเจ้า รวมทั้งอาจารย์ของสหายของข้าพเจ้าทั้งสองท่านคงไม่ขัดขวาง เราทั้งสามจะกราบเรียนต่อท่านว่าแท้จริงพวกเราเป็นศิษย์ของสำนักใด?"

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พยักหน้าเข้าใจถึงความจำเป็นของคนทั้งสาม แล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า

"หากเป็นเช่นนั้น เรามู่ชิวป้าก็จะไม่สร้างความลำบากใจให้แก่พวกเจ้าแล้ว ถึงแม้จะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นอาจารย์สั่งสอนพวกเจ้า แต่เราเห็นว่าอาจารย์ของพวกเจ้าอบรมได้ยอดเยี่ยม จึงได้มีศิษย์ที่มีคุณธรรมน้ำใจเปี่ยมล้นเช่นนี้ออกมาได้"

เมื่อเรื่องราวทุกอย่างลงตัวเข้าใจกันดีแล้ว ศิษย์สตรีผู้น้องนามเอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวกับผู้เป็นอาจารย์ว่า

"เมื่ออาจารย์เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้าอี้เซินกับศิษย์พี่ซื่อเหมี่ยน รวมทั้งคนอื่น ๆ ต้องการรับฟังรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เท่าที่ศิษย์ทั้งสองทราบ หุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกับหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เราต่างไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกันมาก่อน อีกทั้งที่ผ่านมายังให้ความร่วมมือด้วยดีกันมาตลอด ขออาจารย์บอกเล่าเรื่องราวให้พวกเราได้รับทราบด้วย" 

จากนั้นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า จึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทั้งหมดให้ทุกคนรับฟัง ท่านเล่าว่าหลังจากออกจากหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ท่านเดินทางไปพบกับสหายท่านหนึ่ง เมื่อคุยธุระเสร็จจึงเดินทางออกจากบ้านของสหายท่านระหว่างเดินทางบังเอิญพบเห็นบุคคลน่าสงสัยเข้า บุคคลผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดดำคลุมหน้า ดูท่าแล้วอาจมิใช่คนดี

คนผู้นั้นนอกจากลึกลับยังเคลื่อนไหวรวดเร็วมีพิรุธน่าสงสัย ท่านจึงได้ติดตามไปโดยทิ้งระยะไม่ห่างเท่าใดนัก จากนั้นเห็นคนชุดดำผู้นั้นหายตัวไปในละแวกหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ดังนั้นท่านจึงได้วกอ้อมไปทางด้านหลังหมู่ตึก จุดประสงค์เพื่อเข้าในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า สืบสาวความเป็นมาของชุดดำลึกลับนั้น

อีกประการหนึ่ง เหตุผลที่ท่านเข้าไปทางด้านหลังของหมู่ตึก เพื่อมิต้องการให้คนชุดดำพบเห็นท่านก่อน หากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ท่านจะได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ในค่ำคืนนั้นท่านไม่พบกับหลิวซุ่นกงกงเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า กระทั่งเกิดการเข้าใจผิดกับยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเข้า

ถึงแม้นว่าในตอนแรก ยอดฝีมือเหล่านั้นจะเข้าใจผิด แต่ต่อมาภายหลังความจริงกระจ่าง ดังนั้นเมื่อทำความเข้าใจกันกันแล้ว เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาท่านเลยพักอาศัยเป็นแขกของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ถึงแม้ว่าเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกงจะไม่อยู่ แต่พวกเขาล้วนปฏิบัติต่อแขกได้ไม่บกพร่อง

พอตกตอนเช้าปรากฏว่ามีคนถูกฆ่าตาย อยู่ภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ผู้ที่ถูกฆ่าตายเป็นหัวหน้าตึกคชสีห์มีชื่อว่าเกาฉวน สุดท้ายเช้าวันนี้เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกงเดินทางกลับมา แล้วมิทราบว่าเศษชิ้นผ้าเสื้อคลุมของท่าน ไปตกอยู่ในอุ้งมือของผู้ตายได้เช่นไร

ดังนั้นทุกคนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า จึงลงความเห็นว่าท่านคือคนร้ายเป็นฆาตรกรฆ่าคนตาย หลังจากนั้นจึงได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น ท่านต่อสู้พลางหาทางสลัดหลบหนีพลาง กระทั่งมาเจอกับศิษย์สตรีทั้งสองของท่านรวมทั้งจ่านจือ สุดท้ายได้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเอาไว้นั่นเอง

เมื่อเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เล่าเรื่องราวทั้งหมดจบลง ศิษย์สตรีทั้งสองของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า รวมทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นอีกทั้งจ่านจือ ทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่า ท่านมิใช่คนร้ายฆ่าคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอย่างแน่นอน จะต้องมีคนใดคนหนึ่งในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า จงใจป้ายความผิดทั้งหมดให้กับท่าน เพื่อหวังผลประโยชน์ที่มิอาจคาดเดาได้ในเวลานี้

เมื่อทั้งหมดสนทนากันได้สักพักหนึ่ง จ่านจือจึงขอตัวแยกไปอีกฟากหนึ่งของสถานที่ พร้อมกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ปล่อยให้ศิษย์สตรีทั้งสองกับผู้เป็นอาจารย์ได้สนทนากันตามลำพัง

จ่านจือเอ่ยถามมู่เหอกับไป่ชิง ถึงวันเวลาที่ผ่านมาว่าคนทั้งสองสุขสบายดีหรือไม่ พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวของตัวเขาเอง ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาสายรุ้ง สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเมื่อได้ฟังเรื่องราวของเขา ต่างแสดงความยินดีต่อจ่านจือ เมื่อได้ยินจากปากเขาว่า นอกจากท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จะรับตัวเขาไว้ดูแลแล้ว ท่านยังเมตตารับเขาเอาไว้เป็นศิษย์อีกด้วย

สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ตอบคำถามของจ่านจือไปว่า พวกเขาทั้งสองสุขสบายดี หลังจากออกจากหุบเขาสายรุ้ง ทั้งสองรีบรุดเดินทางกลับผา ตั้งแต่วันนั้นมาทั้งสองถูกอาจารย์เข้มงวดกวดขันให้หมั่นฝึกวิชาฝ่ามืออย่างหนักหน่วง กระทั่งเมื่อห้าวันก่อน ทั้งสองจึงได้ลงจากผาพร้อมกับผู้เป็นอาจารย์ อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ใหญ่นามเหมาต้าอีกผู้หนึ่ง

เมื่อลงจากผามาระยะหนึ่ง จึงได้แยกทางกับอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่นามเหมาต้า หลังจากแยกย้ายกันเดินทาง พร้อมกับนัดพบกันที่วัดเส้าหลิน กระทั่งเดินทางผ่านละแวกศาลเจ้าร้าง บังเอิญได้พบกับจ่านจือ ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับยอดฝีมือไม่เคยเห็นหน้าสองคน เฟิ่นไป่ชิงจึงได้ตะโกนเรียกชื่อเขาออกมา พร้อมกับปาระเบิดควันให้ทุกคนหลบหนีนั่นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป