ตอนที่ 15
ใส่ร้ายป้ายความผิดเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู
ยอดฝีมือทั้งหมดเมื่อมาถึง ต่างแยกย้ายซ้ายขวาเป็นหน้าหนึ่งหลังสอง ผู้บุกรุกสายตาจับจ้องมองดูระแวดระวัง ทางด้านหน้ายืนอยู่ด้วยต๊กม้อเต็กไต้ซือ ด้านหลังเป็นเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ ด้านขวาเป็นอันสุ่ยกับฉีฝ่าน และด้านซ้ายยืนขนาบด้วยต้าถงกับเกาฉวน ทั้งหมดเคลื่อนย้ายโอบล้อมเป็นรูปวงวงกลม
ต๊กม้อเต็กลามะ กระชับอาวุธในมือคือห่วงทองสองวง แยกเป็นมือซ้ายกับมือขวาอย่างละหนึ่งห่วง พอเห็นว่าผู้บุกรุกอยู่ตรงกลางไม่อาจหนีรอดได้ รีบกล่าววาจากึกก้องกังวานว่า
“ท่านทั้งหลายโปรดหยิบยื่นคนผู้นี้ให้กับฮุดเอี้ย(คำยกย่องตัวเองของลามะ) อาตมาต้องการพิสูจน์ว่ามันผู้นี้จะมีดีสักกี่น้ำ ตามธรรมเนียมเจ้าบ้านต้องต้อนรับแขกผู้มาเยือน อาตมาเองมีหน้ามีตาอยู่ไม่น้อย จะพลอยเสื่อมเสียหน้าได้ หากมิมาต้อนรับด้วยตัวเอง น้องพี่ทั้งหลายกรุณาถอยไปยืนชมดูอยู่ด้านข้างก่อน”
เสิ่นซื่อสูอวี้กล่าวแสดงความเห็นว่า
"แต่ทว่ามันผู้นี้มีขวัญกล้า บังอาจบุกรุกหมู่ตึกกระเรียนฟ้าในเวลาค่ำคืนย่อมไม่มีจุดประสงค์อันดี อีกทั้งยังทำร้ายคนของเราไปหลายคน ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราถึงแม้เป็นเจ้าบ้าน แต่ไม่จำเป็นต้องต้อนรับมากพิธีกับคนประเภทนี้ หากมีสิ่งใดผิดพลาดลงไป ท่านหลิวซุ่นกงกงกลับมาจะตำหนิพวกเราเอาได้"
มันผู้นี้เป็นยอดฝีมือจากอู่เยี่ยว์ อายุหกสิบห้าปี รูปร่างหนารูปหน้าสี่เหลี่ยม ดูเหี้ยมโหดดุดัน ดวงตาคมกล้าน่ากลัวดุจอินทรี คิ้วทั้งสองตรงปลายเฉียงขึ้น ริมฝีปากหนาไว้หนวดเครายาวรุงรัง อาวุธประจำกายเป็นดาบสันหนายาวครึ่งวา ที่สันดาบเจาะประดับตกแต่งด้วยห่วงเหล็กเล็ก ๆ รวมเก้าห่วง ยามกวัดแกว่งดาบ เกิดเสียงติงติงดังสดใส ที่ผ่านมามีคนสังเวยชีวิตภายใต้คมดาบมาแล้วนับไม่ถ้วน
“ข้าพเจ้ามีความเห็นเช่นเดียวกับพี่เสิ่น ท่านหลิวซุ่นกงกง สั่งกำชับเป็นมั่นเหมาะ ที่สำคัญใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์เข้ามาทุกขณะ ทางที่ดีเราไม่ควรประมาทไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทเจ้าบ้าน หรือใช้กฎยุทธจักรกับมันให้เสียเวลา"
เล่อต้าเต๋อ ยอดฝีมือจากเผ่าอุยกูร์ กล่าวสนับสนุนเสิ่นซื่อสูอวี้ มันผู้นี้มีอายุราวหกสิบปีเศษ รูปร่างผอมสูงชะลูด เค้าหน้าเย็นชาไร้เรื่องราว คิ้วยาวหนาตาเรียวหยีเล็กน้อย ริมฝีปากล่างห้อยลงมามากกว่าคนปกติทั่วไป บนศีรษะโล่งเลี่ยน ปราศจากเส้นผมปกคลุม ใบหูสองข้างเจาะใส่ห่วงโลหะรูปร่างกลม คล้ายกับคนผู้นี้เป็นคนหูเบา จึงต้องใช้วัตถุถ่วงไว้ให้หนักปานฉะนั้น อาวุธที่ใช้เป็นค้อนเหล็กหนักสองร้อยชั่ง แต่กลับถือมั่นราวไร้น้ำหนักมิปาน
ชายผู้บุกรุก เห็นทั้งหมดโต้เถียงกันไปมา จึงส่งเสียงกล่าววาจาขึ้นบ้างว่า
"พวกท่านจะมัวโต้เถียงกันไปไย? ในเมื่อข้าพเจ้ากล้าเข้ามา ดังนั้นข้าพเจ้าหาได้กลัวเกรงไม่ ทางที่ดีพวกท่านทั้งหมด เข้ามาพร้อมกันย่อมประเสริฐสุด จะได้พิสูจน์สูงต่ำ แพ้ชนะกันในไม่กี่กระบวนท่า"
ลามะจากทิเบต ต๊กม้อเต็กไต้ซือกู่ร้องก้องกังวาน กวัดแกว่งห่วงทองคู่ ก่อเกิดเป็นกระแสวังวนสายหนึ่ง ม้วนทะลักเข้าหาชายผู้อยู่ตรงกลาง บุรุษคนดังกล่าวรีบผลักสองฝ่ามือออก บังเกิดเป็นมรสุมก่อกวนม้วนเข้าขัดขวาง เมื่อยอดฝีมือทั้งสองลงมือสัประยุทธ์ อากาศที่สุดหนาวเย็นอยู่แล้ว ยิ่งลดอุณหภูมิต่ำลงเป็นเย็นเยียบสยิวกาย
หากผู้ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีพลังฝึกปรืออันลึกล้ำ คงต้องหนาวสั่นไปทั่วร่างแล้ว เสียงเปรื่องดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อพลังลมปราณของทั้งสองปะทะหักล้างกัน ก่อเกิดเป็นกระแสพลังแตกทะลักออกด้านข้างอย่างบ้าคลั่ง ชายผู้บุกรุกรวบรั้งฝ่ามือทั้งสองกลับตั้งรับมั่น พร้อมกันนั้นทะยานร่างลอยขึ้น หมุนคว้างเหมือนลูกข่างใบใหญ่ออกนอกวงต่อสู้
ต๊กม้อเต็กไต้ซือ ลามะจากทิเบตทะยานตามติด ใช้ออกด้วยกระบวนท่าห่วงทองขว้างภูผา เกิดเป็นพลังกงล้อสองวง หมุนวนเข้าหาคนผู้นั้น ผู้บุกรุกรีบตีลังกากลับหลังสองรอบ หลบพ้นห่วงทองสองวงหวุดหวิดหวาดเสียว พร้อมกับต่อยหมัดออก ก่อเกิดเป็นมรสุมหอบหนึ่ง ม้วนเข้าหาต๊กม้อเต็กลามะ หลวงจีนรูปนั้นพุ่งร่างตามติดห่วงทองที่ซัดขว้างมา มิรอช้ากระโดดลอยขึ้น หลบพ้นพลังวังวนหอบนั้น ในเวลาเดียวกัน สองมือคว้ารับสองห่วงทองที่ลอยกลับมา แล้วพลิกร่างกลางอากาศ เหินข้ามศีรษะคนผู้นั้นไปสองวา
เมื่อสองเท้าแตะสัมผัสพื้น ต๊กม้อเต็กลามะหันกลับมา สายตาแปรเปลี่ยนไป พร้อมกับประสานมือทั้งสอง นำห่วงทองคล้องเฉียงไว้บนไหล่ซ้ายกับใต้รักแร้ขวา กล่าววาจาขึ้นว่า
"มู่ก๊กจู้(เจ้าหุบเขาแซ่มู่) ที่แท้เป็นท่าน อุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน อาตมาเสียมารยาท แถมยังต้อนรับบกพร่อง ต้องขออภัยอย่างใหญ่หลวงแล้ว"
ชายผู้นั้นรีบดึงผ้าปิดหน้าหน้าลงมา ประสานมือทั้งสองตอบรับลามะทิเบต พร้อมกับประสานมือทักทายทุกคนในที่นั่น เมื่อผ้าปิดหน้าถูกปลดออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายเลยวัยกลางคนผู้หนึ่ง ขมับทั้งสองข้างนูนเด่น แสดงถึงผู้มีวรยุทธ์ลึกล้ำ คิ้วทั้งสองเริ่มมีสีขาวหม่นปะปนประปราย ดวงตาคมกล้าส่องประกายเจิดจ้าดุจเหยี่ยว จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาดังกังวานว่า
"ข้าพเจ้ามู่ชิวป้า เดินทางมาในเวลาค่ำคืน ต้องขออภัยผู้กล้าทุกท่านแล้ว ที่มารบกวนยามวิกาล หากล่วงเกินทุกท่านไป ข้าพเจ้ายินดีขอขมาแก่ทุกท่าน"
ชายผู้บุกรุกที่แท้เป็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนามมู่ชิวป้า หลังจากขอขมาแก่ทุกคนจนหมดสิ้นแล้ว รีบหันมาตบคลายจุดให้แก่เทวทูตซ้ายขวา เจียฮุยกับเจียจิ้ง รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่ถูกจี้สกัดจุดเอาไว้ก่อนหน้านั้น เมื่อทั้งหมดเข้าใจกันดีแล้ว หนึ่งในหัวหน้าตึกทั้งสี่ ได้สั่งให้เวรยามกลับไปอยู่ประจำจุด หลังจากนั้นทั้งหมดที่เหลือ จึงทยอยพากันมายังห้องโถง
หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย สั่งให้เด็กยกน้ำชามาให้แก่ทุกคนดื่มคลายหนาว หลังจากทุกคนหาที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกาฉวนหัวหน้าตึกคชสีห์ จึงเอ๋ยถามเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าขึ้นว่า
"เหตุใดท่านมู่ เดินทางมาไม่แจ้งล่วงหน้า? แถมยังบุกรุกเข้ามาทางด้านหลังตึกอีก ยังนับว่าโชคดี ที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บล้มตาย ระยะนี้ท่านหลิวซุ่นกงกง สั่งให้เข้มงวดกวดขัน พวกเราจึงไม่กล้าผิดพลาดแม้แต่น้อย"
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า รีบตอบกลับไปว่า
"ข้าพเจ้าเองเดินทางมาพร้อมศิษย์อีกสองคน จุดประสงค์เพื่อไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ระหว่างทางแวะเยี่ยมเยียนสหายผู้หนึ่ง จึงได้ให้ศิษย์สองคนเดินทางล่วงหน้ามาก่อน”
เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม เมื่อวางถ้วยน้ำชาลงแล้ว ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า
“เมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระแล้ว จึงเร่งรุดเดินทางติดตามมา แต่ทว่าไม่เห็นหน้าศิษย์ทั้งสอง บังเอิญระหว่างที่เดินทางมา พบเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง พฤติกรรมน่าสงสัย เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจภูตผีตนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงรีบติดตามมา แต่แล้วมันหายตัวไปไร้ร่องรอย บริเวณที่มันหายไปเป็นละแวกด้านหลังของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ข้าพเจ้าจึงลองเข้ามาตรวจสอบดูก็เจอพวกกับท่าน"
"หากเป็นดั่งที่ท่านมู่กล่าวมา คนผู้นั้นก็น่าสงสัยอย่างยิ่ง ค่ำคืนนี้เห็นทีเราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก ให้แน่นหนากว่าที่ผ่านมา เช่นนั้นค่ำคืนนี้ ท่านมู่พักยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เพื่อเก็บออมเรี่ยวแรงก่อน ไว้ฟ้าสางค่อยออกติดตามหาศิษย์ทั้งสองของท่านดีหรือไม่?"
ต๊กม้อเต็กลามะ พระทิเบตกล่าวเสริมขึ้น หลังจากนั้นสั่งให้เด็กรับใช้ จัดห้องพักให้เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าได้พักผ่อน แล้วทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งที่รับผิดชอบของตนเอง
ศาลเจ้าร้าง
รุ่งเช้าฟ้าสางอรุโณทัยไขแสง จ่านจือขยี้ตา พลางขยับกายลุกจากกองหญ้าแห้ง ที่ใช้หลับนอนเมื่อค่ำคืน เมื่อเหลียวมองไปทางด้านพี่สาวทั้งสอง ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน กลับไม่พบนางทั้งสองแล้ว เขารีบดีดร่างลุกขึ้น พลางกระชับสายรัดเอวให้แน่นหนา
ตั้งแต่จ่านจือฝึกปรือกำลังภายใน ตามคำสั่งสอนของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เวลาหลับใหลมีความรู้สึกว่าเลือดลมภายในกาย ไหลเวียนราบเรียบไม่ติดขัด ลมหายใจยิ่งละเอียดอ่อน ผ่อนเข้าปล่อยออกสม่ำเสมอ ที่ผ่านมาหากมีสิ่งใดผิดปกติ มิอาจรอดพ้นโสตประสาทของเขาไปได้
แต่เมื่อค่ำคืนนี้ อาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผนวกกับความเศร้าโศกเสียใจ ร้องให้คิดถึงชะตากรรมของตนเอง ที่ต้องพลัดพรากเหลือตัวคนเดียวลำพัง คนที่รักมาตายจากจนหมดสิ้น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกตัว ว่าศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว หายไปตั้งแต่เมื่อใด
ฉับพลันทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมากระทบโสตของจ่านจือ เป็นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่หนักแน่น เขาหลับตาลงผนึกสมาธิสงบจิตใจ แล้วทดลองแยกแยะเสียงที่ดัง เสียงนั่นดังมาจากประตูทางเข้าศาลเจ้า ฝีเท้าแม้หนักแน่นแต่มิใช่ฝีเท้าบุรุษแน่นอน
ผู้ที่มามีทั้งสิ้นสองคนด้วยกัน เสียงฝีเท้ามิได้ต้องการปกปิดซ่อนเร้น เป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากพี่สาวทั้งสอง เขาบอกกล่าวกับตัวเอง ก่อนที่ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน จะก้าวข้ามผ่านประตูศาลเจ้าเข้ามา เขารีบทำทีเป็นนอนหลับไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลง เสียงสดใสของเอวี้ยอี้เซิน ร้องเรียกดังเจื้อยแจ้วว่า
"เซียวจือ เจ้ายังไม่ตื่นนอนอีกหรือ? นี่ก็สายมากแล้ว รีบลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเถิด แล้วมารับประทานหมั่นโถวเร็วเข้า หลงลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าจะต้องเดินทางไปเคารพหลุมฝังศพมารดา ข้ากับศิษย์พี่ตั้งใจจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย อีกทั้งจะได้บอกกล่าวต่อมารดาเจ้า ว่าเราทั้งสองรับเจ้าเป็นน้องชายแล้ว มารดาของเจ้าจะได้ไม่เป็นห่วงอีกต่อไป"
จ่านจือแสร้งทำเป็นขยับตัวงัวเงีย ยืดกายลุกขึ้นขยี้ตาไปมา เมื่อเห็นเอวี้ยอี้เซินยื่นส่งกระบอกน้ำมาให้ตรงหน้า รีบยื่นมือออกรับกระบอกน้ำจากเอวี้ยอี้เซินแล้วเดินไปมุมหนึ่งล้างหน้าล้างตา เสร็จสรรพเดินมานั่งกลางศาลเจ้า รวมกับซื่อเหมี่ยนและเอวี้ยอี้เซินพี่สาวทั้งสอง ซื่อเหมี่ยนเมื่อเห็นเขานั่งลง รีบยื่นส่งหมั่นโถวให้สองลูก แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
"นี่เป็นหมั่นโถวสองลูกของเจ้า ข้ากับอี้เซินเห็นเจ้านอนหลับสบาย เลยไม่อยากรบกวน ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมากนัก มีตลาดเล็ก ๆ ของชาวบ้านวางของขาย เราทั้งสองเห็นว่าเจ้า จะกลับไปกราบหลุมศพมารดา เลยหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นพร้อมกับอาหารแห้งจำนวนหนึ่ง อย่ามัวชักช้า รีบรับประทานหมั่นโถวเถิด กำลังร้อน ๆ มิต้องเกรงใจ"
จ่านจือรีบยื่นมือรับหมั่นโถว กัดคำหนึ่งหลังจากขบเคี้ยวแล้ว ส่งเสียงกล่าวขอบคุณต่อพี่สาวทั้งสองว่า
"ข้าพเจ้าจ่านจือ ต้องขอบคุณพี่สาวทั้งสองยิ่ง พวกท่านช่างดีต่อข้าพเจ้านัก นอกจากมารดาผู้ล่วงลับ กับสองเฮียม่วย รวมทั้งอาวุโสที่กังหนำแล้ว คงจะมีแต่ท่านทั้งสอง ที่ดีต่อข้าพเจ้า จ่านจือไม่มีญาติสนิทหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เมื่อท่านทั้งสองดีต่อข้าพเจ้าเพียงนี้ ต่อไปจ่านจือจะนับถือท่านทั้งสอง เสมือนพี่สาวแท้ ๆ ไม่ทราบว่าพี่สาวทั้งสองจะรังเกียจจ่านจือหรือไม่?"
ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว นั่งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางทั้งสองเอง ไม่มีญาติพี่น้องเช่นเดียวกับจ่านจือ ที่ผ่านมาได้เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าผู้เป็นอาจารย์อบรมเลี้ยงดู พร้อมกับถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ นางเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าสงสาร ตกอยู่ในชะตาเดียวกับนาง จึงรับปากว่าจะรักเอ็นดูเขา เป็นดั่งน้องชายแท้ ๆ ซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวตอบเขาว่า
"เอาเถิดพี่สาวทั้งสองเองไม่มีน้องชาย ได้พบกันถือว่าเป็นวาสนา ข้าเองรวมทั้งซือม่วย ต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้า เจ้าเองแสดงออกถึงความรู้สึกที่ดีต่อเราทั้งสอง ต่อจากนี้ไปเรียกข้าว่าพี่สาวใหญ่ เรียกศิษย์น้องข้าว่าพี่สาวรอง เจ้าเห็นว่าดีหรือไม่?"
จ่านจือปลาบปลื้มยินดีกระทั่งมิอาจอธิบายได้เป็นคำพูด รู้สึกตื้นตันใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ได้แต่โผพุ่งเข้าสวมกอดสองดรุณีอย่างลืมตัว โดยปราศจากเส้นแบ่งระหว่างชายหญิง ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินนางทั้งสองเองยังรู้สึกเอียงอายขวยเขินอยู่บ้าง ตั้งแต่พวกนางทั้งสองเติบใหญ่มากระทั่งบัดนี้ ยังไม่เคยมีชายใดได้แตะเนื้อต้องตัวแม้แต่ปลายก้อย
เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันกะทันหันไม่ทันตั้งตัว พอคิดว่านางทั้งสองและจ่านจือแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจ มิมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อเด็กหนุ่มนับถือนางทั้งสองเป็นดั่งพี่สาว นางทั้งสองเองคิดว่าเขาเป็นดั่งน้องชายเช่นกัน ดังนั้นจึงคลายความเอียงอายขวยเขิน สวมกอดตอบเขาไปพร้อมทั้งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน สรุปแล้วล้วนพากันปล่อยน้ำตาไหลซึมออกมาทั้งสามคน
"ต่อจากนี้ไป ข้าพเจ้าจ่านจือจะดูแลปกป้องพี่สาวทั้งสองให้ดี มิให้ผู้ใดมารังแกทำอันตราย หรือคิดร้ายต่อท่านทั้งสองได้อีก ว่าแต่พวกเราจะออกเดินทางกันเลยหรือไม่? ข้าพเจ้าพร้อมจะออกเดินทางแล้วพี่สาวทั้งสอง"
จ่านจือกล่าวขึ้นหลังจากสวมกอดและปลอบประโลมกันครู่หนึ่ง ทั้งสามหันมองหน้ากัน พลันเห็นคราบน้ำตาของกันและกัน ต่างพากันหัวร่อออกมาพร้อมเพียงกันด้วยความเบิกบานใจ
"ข้าพเจ้าได้ยินว่าพี่สาวทั้งสอง เดินทางล่วงหน้ามาก่อนอาจารย์ของพี่สาวทั้งสองถูกต้องหรือไม่? ท่านทั้งสองยังไม่พบหน้าอาจารย์ เกรงว่าจะทำให้ท่านเป็นห่วงกังวลเอาได้ ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปหมู่บ้ายเย้ยอรุณ พี่สาวทั้งสองสมควรทำเครื่องหมายแจ้งแก่อาจารย์ไว้ก่อนจะดีหรือไม่? ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นเช่นนี้พี่สาวทั้งสองคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
จ่านจือแสดงความคิดเห็นแก่พี่สาวทั้งสองของเขา เมื่อนึกได้ว่านางทั้งสองบอกว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังติดตามมา
"เซียวจือ ดูเจ้าเป็นคนไม่คิดมากแต่กลับมีความรอบคอบอยู่บ้าง พี่สาวทั้งสองกลับลืมเลือนมิทันคิดถึงเรื่องนี้ โชคดีที่เจ้ากล่าวเตือนขึ้นมาเสียก่อน เช่นนั้นพอเข้าเส้นทางสายหลัก พี่สาวทั้งสองค่อยทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ให้แก่อาจารย์ก็แล้วกัน"
เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือ ซึ่งศิษย์พี่ของนางซื่อเหมี่ยนล้วนมีความคิดเห็นตรงกัน ซื่อเหมี่ยนเห็นว่าเหลือเวลาอีกราวครึ่งเดือนกว่า ๆ ก่อนจะถึงงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน เมื่อทราบว่าจ่านจือจะเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ เพื่อกราบหลุมฝังศพมารดาบุญธรรมของเขา
ดังนั้นนางทั้งสองจึงปรึกษากันตั้งแต่เมื่อคืน ได้ข้อสรุปว่าจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเขาด้วยในครั้งนี้ นางทั้งสองเมื่อห้าปีก่อนยังเคยเดินทางไปยังสถานที่นั่นครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นพวกนางติดตามอาจารย์ออกค้นหาคนร้าย ผู้ซึ่งใช้ฝ่ามือลึกลับฆ่าคนตายไปหลายคน กระทั่งทั้งสามเดินทางถึงเส้นทางสายหลัก ซื่อเหมี่ยนจึงรับหน้าที่ทำเครื่องหมายทิ้งไว้ จากนั้นพากันออกเดินทางต่อทันที จุดหมายเป็นหมู่บ้านเย้ยอรุณ ขณะก้าวเดินเอวี้ยอี้เซินส่งเสียงบอกกล่าวต่อจ่านจือว่า
"ความจริงแล้วพี่สาวทั้งสองจะเดินทางไปวัดเส้าหลิน เพื่อไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์พร้อมกับอาจารย์ แต่ทว่ายังเหลือเวลาอีกมากโขจึงไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่ทิ้งเครื่องหมายเอาไว้ จะได้มิต้องกังวลและหมดห่วงเรื่องราวของอาจารย์”
เอวี้ยอี้เซินเมื่อกล่าวจบ ศิษย์พี่ของนางซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นธุระของเจ้าแล้ว พวกเราค่อยออกเดินทางไปวัดเส้าหลินถือว่ายังไม่สายเกินไป อีกประการหนึ่งพี่สาวทั้งสองจะพาเจ้าไปเส้าหลินด้วย ในวันงานชุมนุมที่จัดขึ้นคงมีชาวยุทธ์รวมถึงผู้คนมากมาย เซียวจือเจ้าจะได้เปิดหูเปิดตา เมื่อพบหน้าอาจารย์แล้ว พี่สาวทั้งสองจะขอร้องให้ท่านรับเจ้าเป็นศิษย์อีกผู้หนึ่งดีหรือไม่? เซียวจือเจ้าจะได้เรียนรู้วรยุทธ์เอาไว้ป้องกันตัว อีกทั้งยังมีไว้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย ที่พี่สาวกล่าวมาเจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร"
จ่านจือรู้สึกยินดีเป็นที่สุด เมื่อได้ยินว่าพี่สาวทั้งสองจะให้ตนร่วมเดินทางไปด้วย อีกประการหนึ่งเขาเองต้องเดินทางไปวัดเส้าหลินตามคำสั่งของอาจารย์อยู่แล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้นัดหมายให้จ่านจือมาพบที่โรงเตี๊ยมต้าเหอชุน อีกสิบวันข้างหน้านับจากนี้ ท่านยังสั่งกำชับเอาไว้อีกว่า หากเขามาแล้วไม่พบท่าน ให้มองหาสังเกตเครื่องหมายที่ท่านได้ทำทิ้งไว้ จือน้อยย่อมจดจำได้แม่นยำดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบพี่สาวทั้งสองไปว่า
"ข้าพเจ้ายินดียิ่ง หากพี่สาวใหญ่กับพี่สาวรอง จะร่วมเดินทางไปด้วยกับข้าพเจ้า วิญญาณท่านแม่บุญธรรมเองคงยินดีเช่นกัน หากท่านรับรู้ว่าบัดนี้ข้าพเจ้ามิได้โดดเดี่ยวลำพังอีกแล้ว ข้าพเจ้ามีพี่สาวที่น่ารักและแสนดี อีกทั้งยังงดงามถึงสองคนด้วยกัน สำหรับเรื่องราวที่พี่สาวทั้งสอง จะขอร้องให้อาจารย์ของพวกท่านรับข้าพเจ้าเป็นศิษย์เพิ่มอีกผู้หนึ่งนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าพวกเราค่อยปรึกษากันอีกทีดีหรือไม่? มิทราบว่างานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน จะมีผู้คนมากมายปานนั้นเชียว"
"ถูกต้อง ในวันชุมนุมเส้าหลินจะมีชาวยุทธ์มากมายเข้าร่ามงาน นอกจากชุมนุมชาวยุทธ์แล้ว ในวันนั้นยังจะมีการเลือกผู้นำชาวยุทธ์อย่างเป็นทางการอีกด้วย มีเรื่องราวมากมายที่ชาวยุทธ์ต้องแบกรับร่วมกัน ดังนั้นจะต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งและเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม มีปณิธานหาญกล้าที่จะนำพายุทธภพสู่ความสงบสืบไป ในเวลานี้ท่านเจ้าอาวาสแห่งเส้าหลินดำรงตำแหน่งชั่วคราวไปพลางก่อน อีกราวครึ่งเดือนจะทราบแล้วว่าผู้ใด? จะถูกคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งอันสำคัญนี้เป็นคนต่อไป"
เอวี้ยอี้เซินกล่าวตอบจ่านจือ พร้อมกับบอกกล่าวคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวในงานชุมนุมชาวยุทธ์ ซึ่งกำลังจะมาถึงว่ามีอะไรบ้าง จ่านจือตอนแรกคิดจะสอบถามเพิ่มเติมอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับงานชุมนุมชาวยุทธ์ แต่เกรงว่าจะเป็นที่สงสัยแก่พี่สาวทั้งสองเอาได้ ดังนั้นจึงไม่ซักถามต่อ
ครั้งที่จ่านจืออาศัยอยู่ที่หุบเขาสายรุ้ง อาจารย์ของเขาไม่ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพให้รับทราบมากนัก แต่กระนั้นเขายังพอคาดเดาเอาได้ว่า อาจารย์ให้ความสนใจพร้อมทั้งกระตือรือร้น เพื่อต้องการเดินทางไปร่วมงานครั้งนี้อยู่มาก สิบห้าปีที่ท่านเร้นกายไม่เคยปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์ ดังนั้นงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินครั้งนี้ จะต้องมีความสำคัญต่อท่านอยู่บ้างอย่างแน่นอน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564