Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (จือน้อยท่องยุทธภพ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

จือน้อยท่องยุทธภพ

  • 05/06/2564

ตอนที่ 13

จือน้อยท่องยุทธภพ

ราวห้าเดือน ที่จ่านจือถูกอาจารย์ปล่อยให้ฝึกปรือวิชา อยู่ในหุบเขาสายรุ้งโดยลำพัง เขาตั้งอกตั้งใจฝึกฝน ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไร้ประโยชน์ วิชาดาวดึงส์ที่ได้รับถ่ายทอด จากเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ในตอนนี้เขาใช้ออกได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ ลมปราณในร่างเพิ่มพูนเปี่ยมล้น จนแทบทะลักออกมาภายนอก จ่านจือกู่ร้องก้องหุบเขา ฟาดฝ่ามือออกทำเอาโขดหินใหญ่ตรงหน้า แหลกละเอียดเป็นผุยผง เมื่อได้ระบายลมปราณผ่านฝ่ามือออกมาบ้าง รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมากว่าเดิมมากนัก

มาตรแม้น จ่านจือรู้ตัวว่าภายในร่าง สะสมพลังอันมหาศาลเอาไว้ แต่บางครั้งคราวที่เขาโคจรพลังผ่านจุดต่าง ๆ รู้สึกติดขัดไม่ลื่นไหลเท่าใดนัก เคล็ดการเหนี่ยวรั้ง เก็บกัก โยกย้าย และใช้ออกล้วนกระทำถูกต้องทุกขั้นตอน ดังนั้นจึงคิดว่า ออกจากหุบเขาสายรุ้งพบหน้าอาจารย์ ค่อยสอบถามดูอีกที

ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น คือกำหนดเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้งของจ่านจือ ค่ำคืนนี้หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว เขารวบรวมตัวยาสมุนไพรต่าง ๆ พกพาติดตัว เผื่อเก็บไว้ใช้ในยามคับขัน เขาเองไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่หลายชุดนัก ส่วนใหญ่จะมีเพียงชุดที่สวมใส่อยู่เป็นประจำ สภาพที่เก่าหม่นหมองมองไม่เห็นสีเดิมแล้ว บางตำแหน่งยังเพิ่มร่องรอย ของการปะชุนอยู่หลายจุด ดังนั้นเขาจึงไม่มีสัมภาระ ที่จะต้องนำพาติดตัว ตอนเดินทางมากนัก

ก่อนที่อาจารย์ของเขา จะออกจากหุบเขาสายรุ้งไป ได้สั่งจ่านจือไว้ว่า ให้เขาติดตามท่านไปอีกราวห้าเดือน หลังจากท่านออกไปแล้ว พร้อมกับให้เขาใช้เส้นทางลับในห้องใต้ดิน เดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง เพื่อจะได้ไม่มีผู้ใดพบเห็น ในขณะที่เขาเดินทางออกไปนั่นเอง

จ่านจือ รู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่ง ที่เขาจะได้กลับสู่จงหยวนอีกครั้ง ซึ่งเป็นมาตุภูมิถิ่นเกิด อีกความรู้สึกหนึ่ง กลับอาลัยอาวรณ์ต่อสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย หุบเขาสายรุ้งทุกตารางนิ้ว เขาล้วนจดจำได้มิลืมเลือน หากมิใช่สถานที่แห่งนี้ ที่เพาะสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งได้เรียนรู้ตำรายาสมุนไพรต่าง ๆ อีกทั้งยังสำเร็จวิชาเป็นที่น่าพึงพอใจ มิทราบว่าเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้งครั้งนี้ จะได้มีโอกาสกลับมาท่องเที่ยวอีกหรือไม่

จ่านจือ บรรยายความรู้สึกของเขาเองมิได้ในยามนี้ กระทั่งไม่ทราบว่าตนเอง หลับใหลไปในเวลาใด มารู้สึกตัวอีกครั้ง ใกล้รุ่งสางของวันใหม่แล้ว ดังนั้นเขามิรอช้า รีบลุกขึ้นจากแคร่ที่นอน ทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ รับประทานอาหารรองท้องแบบลวก ๆ จากนั้นเลื่อนแคร่ไม้ไผ่ ใช้เส้นทางลับออกจากหุบเขาสายรุ้ง เมื่อก้าวลงมาเบื้องล่าง ก่อนจะเลื่อนแคร่ไม้ไผ่เหนือศีรษะ ปิดเอาไว้เช่นเดิม

ก่อนที่จะก้าวเท้าออกมาจากเขตหุบเขาสายรุ้ง จ่านจือส่งเสียงกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า 

“จือน้อยท่องยุทธภพ”

จากนั้นรีบใช้เส้นทางลับ ออกจากหุบเขาสายรุ้งในทันที

หลังจากเดินทาง ออกมาจากหุบสายรุ้งได้เพียงสามวัน จ่านจือ บรรลุถึงเขตนครหลวงลั่วหยาง นับเป็นเวลาเย็นย่ำ ในเวลานี้โพล้เพล้ แสงแห่งทิวาค่อย ๆ จางหายไปไปทีละน้อย ความมืดมิดแห่งราตรีกาลค่อย ๆ คืบคลานเข้าปกคลุม

จ่านจือ มิได้หาโรงตี๊ยม พักอ้างค้างค้างแรม แต่เขาเสาะหาศาลเจ้าร้างที่หนึ่ง ไม่นานนัก พบกับศาลเจ้าสภาพเก่า แต่ไม่ถึงกับผุพังหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปสำรวจดูภายใน พบว่าไม่มีผู้คนพักอาศัยอยู่ก่อน จึงเดินสำรวจรอบ ๆ ศาลเจ้า กระทั่งมั่นใจ เห็นว่าปลอดภัยดี ใช้เป็นสถานที่อาศัยหลับนอนได้

จ่านจือ จึงตกลงใจว่า ค่ำคืนนี้เขาจะยึดสถานที่แห่งนี้ เป็นที่หลับนอนสักคืนหนึ่ง หลังจากเลือกหามุมเหมาะเจาะ สำหรับหลับนอนได้แล้ว รีบล้วงหมั่นโถว(ซาลาเปาไม่มีไส้) ที่ซื้อหามาระหว่างทาง ออกมาสองลูกจากห่อผ้า ยื่นส่งเข้าปากรับประทาน เมื่อดื่มน้ำตามอีกหลายอึก เป็นอันว่าเสร็จสิ้น

ดังนั้น จ่านจือจึงมีความคิดว่า สมควรออกไปตรวจตราดูโดยรอบอีกสักเที่ยวหนึ่ง อาจารย์หมั่นตักเตือนสั่งสอน ให้เขาเป็นคนรอบคอบเอาไว้ให้มาก เพื่อความไม่ประมาท หากเกิดเรื่องราวไม่คาดฝัน ยามกะทันหันจะได้ไม่ลำบาก หากรู้จักวางแผนรับมือ อีกทั้งหาทางหนีทีไล่เอาไว้ล่วงหน้า ต่อให้พบพานยอดฝีมือสูงส่ง ยังสามารถเอาตัวรอดอยู่สามส่วน

จ่านจือ ไม่ลืมที่จะหยิบกระบอกติดตัวออกมาด้วย เพื่อตักตวงน้ำดื่มสำรองเอาไว้ คาดว่าห่างออกไปไม่กี่วา เป็นป่าไผ่แน่นหนาต้นหญ้ารกครึ้ม สมควรมีลำธารน้ำใสให้ตักตวงบ้าง

ยามนั้น ริมโสตรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ดังมาจากทิศทางด้านเหนือของศาลเจ้า

“จะต้องมีสิ่งใดเกิดขึ้น?”

จ่านจือ ส่งเสียงกล่าวกับตัวเอง ชักช้ามิทันการ ต้องรีบรุดไปชมดู ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น เขากล่าวกับตัวเอง จากนั้นพุ่งร่างไปตามทิศทาง ที่มาของเสียงผิดปกตินั่น

หากเป็นเช่นกาลก่อน ตอนที่เขายังไม่ฝึกยุทธ์ อาจไม่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้นัก บัดนี้เขาคล้ายเป็นคนใหม่ มิใช่เด็กน้อยมิเอาไหน หรือว่าชาวบ้านร้านถิ่นไร้ฝีมืออีกต่อไป ตั้งแต่เยาว์วัย มารดาบุญธรรมปลูกฝังให้เป็นคนมีน้ำใจ ไม่นิ่งเฉยดูดาย หากสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยไม่ควรมองข้าม

 ประสบการณ์ที่ผ่านมา จ่านจือได้รับการช่วยเหลือ จากพี่น้องตระกูลเฟิ่น หากวันนั้นสองเฮียม่วย ไม่ผ่านมาพร้อมกับยื่นมือช่วยเหลือเขาไว้ บัดนี้คงไม่มีจ่านจือจอมยุทธ์น้อยในวันนี้แล้ว

ดังนั้น จ่านจือจึงตั้งปณิธานกับตัวเองว่า หากพบพานเรื่องราวใดไม่ถูกต้อง หรือคนบริสุทธิ์ถูกรังแกข่มเหง เขาจะยื่นมือเข้าช่วยโดยทันที อย่าว่าแม้แต่เป็นคน กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน เขาคิดไม่เกี่ยงที่จะช่วยเหลือเช่นกัน ดังนั้นไม่รอช้า เขาเพิ่มความเร็วพุ่งร่างดั่งสายลมเบาบาง ไปยังทิศทางที่มาของเสียงนั่น

จ่านจือคาดการณ์ไว้ไม่ผิดพลาดเลยจริง ๆ พื้นราบโล่งเตียน ห่างออกไปไม่ไกลเท่าใดนัก มองเห็นคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน เขาส่งเสียงกล่าวกับตัวเองว่า

“จือน้อย เจ้าอย่าด่วนตัดสินใจรวดเร็วเกินไป ว่าฝ่ายใดเป็นคนดีคนร้าย หากใจเร็วด่วนตัดสินใจ เกิดช่วยคนผิดพลาดขึ้นมา แทนที่เจ้าจะช่วยคนบริสุทธิ์ อาจเป็นการทำร้ายซ้ำเติม”

ดังนั้นเขาดีดกายด้วยกำลังภายใน ขึ้นซ่อนตัวยังคบไม้ไม่ไกลนัก

ยามนี้ จ่านจือสามารถแยกแยะได้แล้ว คนร้ายมีอยู่ห้าคนด้วยกัน ทั้งหมดสวมชุดดำอำพรางกาย คลุมหน้ามิดชิด เห็นเพียงดวงตาอันดุร้ายเท่านั้น

 ผู้ที่ถูกไล่ล่าติดตาม เป็นดรุณีสองนาง แต่งกายด้วยชุดนักบู๊รัดกุม พอจะประมาณอายุได้ไม่เกินยี่สิบห้าปี ดูจากกระบวนท่ากระบี่ที่ใช้ออก ทั้งสองนางไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก กระบวนท่าที่โต้ตอบกลับไป ไม่เป็นรองผู้ที่ติดตามมา

แต่ทว่า คนน้อยย่อมเสียเปรียบกำลังอ่อนโทรมเป็นธรรมดา แต่ถึงกระนั้น ดรุณีสองนางหากริ่งเกรงคนร้ายไม่ ทั้งคู่สู้พลางถอยพลาง กระบี่ในมือตวัดปัดป่าย มองคล้ายบุปผาสองวง กระบี่กรีดกรายสกัดขัดขวาง

จ่านจือขบคิด สายตาชมดูการต่อสู้ไม่กระพริบตา

“ดรุณีเพียงสองนาง พวกท่านมีกำลังถึงห้าคน อีกทั้งยังเป็นบุรุษแข็งแรง ลงมือรุนแรงถึงเพียงนี้ กระบวนท่าที่ใช้หมายเอาชีวิตดรุณีทั้งสองให้จงได้ ช่างน่าไม่อายคิดทำร้ายผู้หญิงอ่อนแอกว่าเช่นนี้”

ดรุณีสองนาง เกรงจะถูกโอบล้อมเอาไว้กึ่งกลาง จึงแยกย้ายออกเป็นซ้ายขวา ดรุณีที่มีใบหน้าอ่อนวัยกว่า รับมือกับคนร้ายชุดดำสองคน ดรุณีที่ใบหน้าแก่วัยกว่าเล็กน้อย นางรับมือกับชุดดำอีกสามคน คนร้ายชุดดำสามคนที่เป็นบุรุษ เห็นเช่นนั้นพวกมันไม่สนใจว่าคู่ต่อสู้เป็นสตรีอ่อนแอกว่า พวกมันทั้งสามพากันเสือกแทงกระบี่เข้าใส่ โดยพร้อมเพรียงกระบวนท่าอำมหิต

ดูจากการลงมือ คิดว่าพวกมันต้องการชีวิต ของดรุณีทั้งสองแล้ว หากมิเช่นนั้น คงไม่ลงมือหักโหมรุนแรงปานนี้ ดรุณีนางนั้นเห็นกระบี่สามเล่ม เสือกแทงตำแหน่งท่อนล่างอย่างหักโหม รีบเบี่ยงตัวออกด้านข้าง พลางหมุนตัวไขว่สลับขามาด้านหลังครึ่งก้าว พอเท้าทั้งสองสัมผัสพื้น ยื่นกระบี่ในมือฟันฟาดปาดเฉียง ๆ จากขวามาซ้าย ปลายกระบี่ของนาง เขี่ยโดนปลายกระบี่สามเล่ม ที่ทิ่มแทงเข้ามาเกิดเป็นประกายไฟแลบแปลบปลาบ ชวนหวาดเสียวน่ากลัวยิ่ง

ดรุณีนางนั้น เมื่อทำลายสภาวะอันเกรี้ยวกราว ของกระบี่ทั้งสามเล่มเบาบางลง นางใช้กระบี่ในมือปัดซ้ายป่ายขวาปิดป้อง หากเปรียบเทียบฝีมือแล้ว โอกาสที่นางจะโต้ตอบคนร้ายได้ มีเพียงสามในสิบส่วน ดูท่าแล้วอีกไม่นาน นางคงถูกคนร้ายสามคนเอาชีวิตไปแน่นอน

ทางด้านดรุณีอีกนางหนึ่ง ซึ่งอ่อนวัยกว่า ถูกสองชุดดำพัวพันอยู่เช่นเดียวกัน มีอยู่หลายครั้ง ที่คมกระบี่ของคนร้ายกรีดผ่านข้างกายนางไป เห็นแล้วชวนหวาดเสียวชวนตื่นตระหนกยิ่ง การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง การต่อสู้มิอาจหยุดยั้ง หากไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แดดิ้นสิ้นใจลงตรงนั้น

คนทั้งหมด ต่อสู้ติดพันกันอยู่ครู่ใหญ่ จ่านจือแลเห็นดรุณีที่ต่อสู้กับคนร้ายสามคน พลาดท่าเสียที ถูกฝ่ามือของคนร้ายหนึ่งในสามคน กระแทกเข้าใส่ที่หัวไหล่เต็มแรง โชคดีที่เป็นฝ่ามือมิใช่กระบี่ หากเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นกระบี่แล้ว กระบวนท่านี้มิเพียงชี้ผลแพ้ชนะกัน แต่ทว่าอาจคร่าลมหายใจของดรุณีนางนี้ไปด้วย

ส่วนดรุณีที่ดูอ่อนวัยกว่า นางถูกสองคนร้ายในชุดำ เตะใส่บริเวณกลางหลังเต็มแรงเช่นกัน ร่างของสองนางเซถลามาทางด้านจ่านจือซ่อนตัวอยู่ เมื่อแลเห็นชัดเจน ดรุณีทั้งสองนางปรากฏเหงื่อไหลเปียกชุ่มโซมกาย หายใจเหนื่อยหอบรุนแรง

สตรีอ่อนแอกว่าเพียงสองนาง คนร้ายเป็นชายชาตรีถึงห้าคน

“ช่างน่าไม่อาย ทำร้ายสตรีที่มีกำลังด้อยน้อยกว่า”

จ่านจือ ดุด่าคนร้ายทั้งห้าคนอยู่ในใจ พอดีได้ยินหนึ่งในสองดรุณี ส่งเสียงต่อดรุณีอีกนางว่า

“อี้เซิน เจ้ายังไหวหรือไม่? กัดฟันเอาไว้แล้วรีบหาทางหลบหนีไป ข้าจะสกัดขัดขวางพวกมันให้เจ้าเอง เจ้ารีบหนีไปแล้วเสาะหาอาจารย์ คาดว่าท่านอยู่ไม่ไกลนัก มิต้องเป็นห่วงข้า ขอเพียงเจ้าหนีรอดไปได้ผู้หนึ่ง ช่วยเรียนอาจารย์ว่า ข้าถูกเดรัจฉานรุมทำร้าย คิดว่าอาจารย์ท่านคงคิดบัญชีนี้ ให้กับข้าได้ไม่ยากเย็น”

ดรุณีอีกนางหนึ่ง ซึ่งอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย ส่ายหน้าไปมาเที่ยวหนึ่ง พร้อมกับกล่าววาจาตอบมาว่า

“มิได้ ข้าพเจ้ามิอาจทอดทิ้งท่าน ข้าพเจ้าไม่ไปไหนทั้งสิ้น หากจะหนีพวกเราทั้งสองหนีไปด้วยกัน หากต้องตายข้าพเจ้าขอตายพร้อมกับท่าน ข้าพเจ้าไม่ยอมทอดทิ้งศิษย์พี่ หนีเอาตัวรอดลำพัง หากจะต้องตกตายในมือเดรัจฉาน พวกเราตายในลักษณะนี้จะมิโอ่อ่าผ่าเผยกว่าหรอกรึ?”

ดรุณีอีกนาง บอกกล่าวว่านางไม่หนีไปลำพัง หากจะไปต้องหนีด้วยกัน ชุดดำทั้งห้ามิรอช้า ร่างจู่โจมมาถึง พร้อมกับประกายกระบี่ปกคลุมทุกทิศทางดั่งร่างแห สองดรุณีรู้แน่ว่าไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ต่างส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า

“ศิษย์เนรคุณ มิอาจอยู่ทดแทนคุณอาจารย์ได้ หากชาติหน้าฉันใด พวกเราขอเกิดมาเป็นศิษย์อาจารย์กันอีกหน”

แต่ทว่า ก่อนที่คมกระบี่ทั้งห้าเล่ม จะบรรลุถึงร่างของนางทั้งสอง เสียงวัตถุหนึ่ง แหวกพุ่งฝ่าอากาศดังซี่ ๆ อย่างเร่งร้อน จ่านจือเด็ดผลไม้ป่า ที่อยู่ใกล้มือห้าลูก ซัดขว้างในครั้งเดียวต่างอาวุธลับ ใส่ตำแหน่งไหปลาร้าของคนร้าย

คนชุดดำเหล่านั้น ถูกผลไม้ป่ากระแทกร่าง กระเด็นกระดอนกลับไปด้านหลัง ทั้งห้าคนแตกตื่นเมื่อลุกขึ้นได้ ต่างหันมองหาเจ้าของร่าง ผู้ซึ่งซัดขว้างอาวุธลับเข้าใส่ทำร้ายพวกตน แต่ความจริงแล้ว จ่านจือมิได้มีเจตนาทำร้ายพวกมัน เพียงแต่ต้องการสกัดขัดขวางพวกมันเท่านั้นเอง

พวกมันทั้งห้าคน เข้าใจว่าวัตถุนั้นเป็นอาวุธลับอันร้ายกาจ อีกทั้งความรุนแรง พลังที่แฝงมากับอาวุธลับนั้น ชวนให้พวกมันตระหนกแตกตื่น เมื่อหันมองโดยรอบ กลับพบกับความว่างเปล่า ปราศจากเงาร่างผู้คน

พวกมันทั้งห้า มิกล้าลงมือสืบต่อ เพราะเข้าใจไปเองว่าอาจารย์ของนางทั้งสอง รุดมาถึงแล้วนั่นเอง จากสภาวะของอาวุธลับ พวกมันไม่ควรต่อกรด้วย ขืนยังชักช้าอาจรักษาชีวิตน้อย ๆ เอาไว้มิได้เช่นกัน

ดังนั้น ด้วยประสบการณ์ผาดโผน หากจะจากไปในลักษณะนี้ เกรงว่าไม่ง่ายดายนัก หากเจ้าของอาวุธลับไม่อนุญาต คิดได้เช่นนั้น หนึ่งในห้าคนร้าย รีบประสานมือขึ้นอย่างนอบน้อม กล่าววาจามีมารยาทว่า

“ขอบคุณอาวุโส ที่ยังเมตตายั้งมือไว้ไมตรี หากท่านต้องการยื่นมือช่วยเหลือดรุณีสองนางนี้ พวกเรารู้ตัดว่าต่ำต้อย มิอาจทำเยี่ยงไรได้ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน พวกเราทั้งห้าคนต้องขออภัยที่ล่วงเกิน”

จากนั้น ชุดดำอีกผู้หนึ่ง ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ขอเรียนตามตรงมิอ้อมค้อม เราทั้งห้าได้รับคำสั่งมา ต้องเข่นฆ่าเอาชีวิตของนางทั้งสองให้จงได้ หากลงมือผิดพลาด งานไม่สำเร็จได้แต่แบกหน้ากลับไปรับโทษทัณฑ์แล้ว”

ชุดดำอีกผู้หนึ่ง ส่งเสียงกล่าวสืบต่อว่า

“ดังนั้นวันนี้ ผู้ต่ำต้อยทั้งห้าจะขอรามือแต่เพียงนี้ หากโอกาสมาถึง พวกเราต้องทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามคำสั่ง วันนี้พวกเราทั้งห้าคนขออำลา”

กล่าวจบ คนร้ายทั้งห้าคน ต่างใช้วิชาตัวเบากระโดดจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ดรุณีสองนาง ต่างลุกขึ้นพร้อมกับเก็บกระบี่คืนฝักอย่างโล่งอก นางทั้งสองต่างสำรวจตรวจสอบว่า มีร่องรอยบาดแผลบนร่างกายหรือไม่ เมื่อสำรวจแล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา ไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด จากนั้นนางทั้งสอง พากันมองหาผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือพวกนางเอาไว้

ดรุณีทั้งสองนาง ค้นหาจนทั่วบริเวณกลับไม่พบเห็นผู้ใด จึงเดินวนกันอยู่สองเที่ยว กระทั่งแน่ใจไม่พบอาวุโสท่านใดในบริเวณนี้ ตอนแรกนางทั้งสอง คิดตรงกันว่า เป็นอาจารย์ของพวกนางที่ช่วยเหลือ แต่ทว่าหากเป็นอาจารย์ท่านจริง ป่านนี้ท่านคงปรากฏตัวออกมาแล้ว ดังนั้นจึงลงความเห็นว่า สมควรเป็นยอดคนท่านอื่นแล้ว ที่ยื่นมือช่วยเหลือนางทั้งสองเอาไว้

ดรุณีนางที่แก่วัยกว่า ส่งเสียงกล่าวกับดรุณีที่อ่อนวัยกว่าว่า

“อี้เซิน ข้าคิดว่าผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ คงมิใช่อาจารย์ของพวกเราแล้ว”

ดรุณีนางที่อ่อนวันกว่าส่งเสียงกล่าวว่า

“ศิษย์พี่ซื่อเหมี่ยน ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่าน หากเป็นอาจารย์ ป่านนี้ท่านคงปรากฏตัวออกมาแล้ว”

ดรุณีทั้งสอง ต้องการกล่าวขอบคุณ ผู้ที่ช่วยเหลือชีวิตพวกนางเอาไว้ หลังจากก้าวเดินไปมาหาผู้คนไม่เจอ เห็นว่ามืดค่ำแสงสว่างมีเพียงเล็กน้อย ไม่สะดวกในการค้นหาในเวลานี้

ยามนั้น ดรุณีทั้งสอง เหลือบเห็นเด็กหนุ่มแต่งกายซอมซ่อผู้หนึ่ง นั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้ นางทั้งสองคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คงเห็นเหตุการณ์การต่อสู้เมื่อครู่ จึงหวาดกลัวขวัญฝ่อไม่หาย ดูจากลักษณะภายนอก คงเป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านร้านถิ่นพลัดหลงเดินทางผ่านมาเส้นทางนี้ ดังนั้นดรุณีทั้งสอง จึงเดินตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่มซอมซ่อ หนึ่งในดรุณีที่แก่วัยกว่า ส่งเสียงกล่าวถามว่า

“รบกวนสหายน้อยสักครู่ เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ไม่ต้องหวาดกลัวปานนี้ คนร้ายหนีไปไกลแล้ว เจ้าคงเดินทางผ่านมาทางนี้กระมัง?”

เมื่อดรุณีที่แก่วัยกว่ากลาวจบ ดรณีผู้อ่อนวัยกว่า ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“มิทราบว่าเจ้าอยู่บริเวณนี้นานเท่าใด เจ้าพบเห็นผู้อาวุโสท่านใดเคลื่อนไหวหรือไม่? เราทั้งสองได้รับการช่วยเหลือจากท่านดังนั้นต้องการขอบคุณท่านสักประโยค แต่ทว่าค้นหาจนทั่วบริเวณไม่พบพาน นี่ก็มืดค่ำแล้ว จึงอยากรบกวน สอบถามสหายน้อยเจ้าสักหน่อย มิทราบว่าพบเห็นอาวุโสท่านใดบ้างหรือไม่?”

สหายน้อย ผู้ซึ่งดรุณีสองนางนั้นเรียกหา กลับเป็นจ่านจือเอง หลังจากช่วยเหลือนางทั้งสองแล้ว เขารีบทิ้งตัวลงมาจากที่ซ่อนโดยไร้เสียง เขายังมิต้องการเปิดเผยฐานะตัวเองออกไป

ส่งเสียงกลาวถามด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า

“สหายน้อย จอมยุทธ์ท่านทั้งสองเรียกหาข้าพเจ้าเป็นสหายน้อย?”

“ถูกต้อง สหายน้อยเป็นเราทั้งสองเรียกหาเจ้า มิอันใดไม่ถูกต้องเช่นนั้นรึ?”

ดรณีผู้แก่วัยกว่าส่งเสียงกล่าวถาม จ่านจือละล่ำละลัก กล่าวตอบว่า

“มิถูกต้อง ย่อมมิถูกต้องแน่นอน ข้าพเจ้าเพิ่งพบหน้าจอมยุทธ์ทั้งสอง พวกเราไม่รู้จักกัน อีกทั้งข้าพเจ้าสกปรกปานนี้ จะเป็นสหายน้อยของจอมยุทธ์ทั้งสองได้เช่นไร?”

จ่านจือ กล่าวตอบแก่ดรุณีทั้งสอง เนื่องจากเขาเพิ่งออกท่องยุทธภพเป็นครั้งแรก ยังไม่ทราบว่านางทั้งสองเป็นใคร ดังนั้นจึงแสร้งนั่งลงก้นกระแทกพื้นอีกครั้ง ทำทีเป็นหวาดกลัวตัวสั่นสีหน้าขาวซีด นอกจากนั้นแล้ว เขายังใช้มือป้ายดินฝุ่นบนพื้นบริเวณนั้น ป้ายลงบนใบหน้าของตัวเอง ให้ดูมอมแมมสกปรกอีกด้วย ยิ่งดูแนบเนียนยิ่ง

 จ่านจือ ครุ่นคิดในใจ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกความจริงไปว่า ผู้ที่ช่วยเหลือพวกนางทั้งสองเอาไว้เป็นเขาเอง เกรงว่าพวกนางจะหัวเราะเยาะเอาได้ ด้วยสารรูปของตนเองในตอนนี้ จะมีผู้ใดยินยอมเชื่อถือว่า เป็นจอมยุทธ์น้อยมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง สภาพของเขาไม่แตกต่างจากขอทานน้อยผู้หนึ่งมิปาน ดังนั้นจึงลุกขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับกล่าวตอบออกไปว่า

“ข้าพเจ้านั่งอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้ว ยังไม่เห็นผู้ใดสักคน? อีกทั้งข้าพเจ้าเดินทางผ่านมาเท่านั้น พอดีเห็นจอมยุทธ์ทั้งสอง กำลังต่อสู้อยู่กับคนชุดดำหลายคนนั่น ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดกลัวกระทั่งขวัญฝ่อ ก้าวขามิออกก้าวเดินต่อมิได้ จึงมานั่งแอบซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้นี้”

ดรุณีทั้งสองนาง ต่างเห็นจ่านจื่อดูท่าทางซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ จึงเชื่อถือว่าเขาไม่พบเห็นผู้ใดจริง ๆ ดังนั้นจึงครุ่นคิดในใจว่า มิว่าผู้ใดก็ตาม ซึ่งมีน้ำใจยื่นมือช่วยเหลือตนในครั้งนี้ นางทั้งสองจะขอจดจำเอาไว้ อีกทั้งยังจะระลึกนึกถึงบุญคุณที่ได้รับ หากภายหน้าทราบว่าเป็นอาวุโสท่านใด พวกนางทั้งสอง จะรีบรุดไปคารวะขอบคุณอย่างจริงใจ

เมื่อดรุณีทั้งสองสอบถาม ทราบว่าจ่านจือใช้ศาลร้างค้างแรม นางทั้งสองเองต่างเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ อีกทั้งยังเดินทางมาทั้งวัน เวลานี้มืดค่ำมากแล้ว จะไปหาที่พักค้างแรมคงไม่ทัน อีกประการหนึ่ง หากเดินทางไปประสบพบกับคนร้ายอีก จะมิโชคร้ายไปกว่าเดิมหรอกหรือ ดังนั้นปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง ในที่สุดหนึ่งในสองดรุณีซึ่งแก่วัยกว่า เอ่ยถามจ่านจือว่า

“สหายน้อย เจ้าพักอยู่ศาลเจ้าเช่นนั้นรึ? เราทั้งสองเดินทางผ่านมาเช่นกัน บอกตามตรงว่ามิได้หาที่พักเตรียมเอาไว้ ไม่ทราบว่าเจ้าจะรังเกียจหรือไม่? หากเราทั้งสอง จะขอไปพักเอาแรงที่ศาลร้างกับเจ้าด้วย แท้จริงแล้วในความเห็นของเราทั้งสอง เห็นว่าไม่ค่อยเหมาะนัก ที่เราทั้งสองซึ่งเป็นสตรีจะไปพักกับเจ้าซึ่งเป็นบุรุษแปลกหน้า แต่ทว่าได้พบเจอนับเป็นวาสนา เราถือว่าเจ้าเป็นสหายน้อยของพวกเรา ตอนนี้มืดค่ำมากแล้วคงเดินทางไม่สะดวกอีกทั้งไม่ปลอดภัย สหายน้อยพวกเราเห็นเจ้าเป็นคนดี ท่าทีซื่อ ๆ ตรง ๆ เป็นคนสัตย์ซื่อ เจ้าจะว่าเช่นไรสหายน้อย?”

จ่านจือ รู้สึกว่าดรุณีสองนางตรงหน้า กล่าววาจากับเขาโดยมิได้รังเกียจเดียดฉันท์ ที่สำคัญเขาเองมิได้คิดว่าตนเองเป็นจอมยุทธ์อะไรนั่น การแต่งกายของเขายังซอมซ่อดั่งขอทาน พอได้ยินสรรพนาม ที่เรียกหาเขาว่าสหายน้อย กลับรู้สึกเป็นมิตร อีกทั้งยังสุขใจอย่างบรรยายความรู้สึกไม่ถูก เขาเองเห็นว่า ตอนนี้มืดค่ำแล้วจริง ๆ ดรุณีสองนางเอง ดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย จึงพยักหน้ากับดรุณีทั้งสอง แล้วกล่าวตอบไปว่า

“หากจอมยุทธ์ทั้งสอง มิรังเกียจข้าพเจ้า สามารถอาศัยหลับนอนในศาลร้างได้ตามสบาย ภายในมีบริเวณมิคับแคบอึดอัด ข้าพเจ้าไม่ว่ากระไร อีกอย่างศาลเจ้าแห่งนั้น มิได้เป็นของข้าพเจ้า ดังนั้นจอมยุทธ์ทั้งสอง ย่อมใช้สถานที่นั้นซึ่งมิมีเจ้าของ พักค้างแรมได้เฉกเช่นเดียวกัน”

สองดรุณีได้ยินเช่นนั้น คำตอบของจ่านจือ รู้สึกว่าทุกคำพูดของเด็กหนุ่มผู้นี้ ล้วนกล่าววาจามิผิด แต่ที่แปลกประหลาดใจ กลับเป็นถ้อยคำของเขา ที่ฟังไปไม่คล้ายชาวบ้านไร้การศึกษา ดูเขาใช้ถ้อยคำที่สุภาพระมัดระวัง คล้ายมีการศึกษาอยู่บ้าง แต่ทั้งสองมิได้ติดใจกระไรในเรื่องราวเหล่านี้ ดรุณีที่แก่วัยกว่า กล่าวตอบต่อจ่านจือว่า

“สหายน้อย เจ้าอย่าได้เรียกหาเราทั้งสองเป็นจอมยุทธ์จะได้หรือไม่? เราทั้งสองต้องขอบคุณเจ้า ที่ยินยอมให้พวกเราไปพักอาศัยด้วยคืนหนึ่ง หากเจ้าไม่ว่ากระไร เราสองคนขอถามซื่อแซ่ของเจ้าได้หรือไม่ มิทราบว่าเจ้าเดินทางมาทำอะไรแถวนี้ ทราบหรือไม่ว่าแถวนี้อันตรายยิ่ง เราสองคนยังแทบเอาชีวิตไม่รอด ดูเจ้าไม่ใช่ชาวยุทธ์มีฝีมือติดตัว สหายน้อยเจ้าไม่รู้สึกหวาดกลัวบ้างเชียวหรือ?”

จ่านจือ เมื่อได้ยินดรุณีนางนั้นเอ่ยถามชื่อแซ่ เขาเองความจริงไม่อยากโป้ปดดรุณีทั้งสอง จึงกล่าวบอกไปตามตรง ส่วนเรื่องที่เขาช่วยเหลือนางทั้งสอง กลับไม่บอกความจริงกับนางไป ไม่บอกออกไป ใช่ว่าเขามีเจตนาบิดเบือน เพียงแต่เขามีเหตุผลส่วนตัวเช่นกัน ดังนั้นคิดว่าคงไม่เป็นความผิดหนักหนาสาหัสเท่าใดนัก ไว้มีโอกาสค่อยบอกนางทั้งสองภายหลัง จึงกล่าวตอบกลับไปว่า

“ข้าพเจ้าแซ่จ้าว ชื่อจ่านจือ เดินทางมาจากแดนใต้กังหนำ เพื่อจะไปคารวะหลุมฝังศพมารดาบุญธรรม ข้าพเจ้าเองไม่ได้เดินทางมาจงหยวน เป็นเวลาห้าปีกว่าแล้ว เลยมิทราบว่า บริเวณแถบนี้มีอันตราย ขอบคุณท่านทั้งสอง ที่กล่าวเตือนข้าพเจ้าเอาไว้ก่อน มิทราบว่าท่านทั้งสองมีนามสูงส่งว่ากระไร? ดูจากลักษณะคงเป็นชาวยุทธ์ถูกต้องหรือไม่? หากไม่สะดวกต่อการบอกกล่าวแก่ข้าพเจ้า พวกท่านทั้งสองก็มิต้องบอกกล่าว เรื่องราวของชาวยุทธ์ซับซ้อนนัก”

สองดรุณี ได้ยินเช่นนั้นถึงกับปล่อยเสียงหัวร่อออกมา จากนั้นส่งยิ้มให้กับจ่านจืออย่างเป็นมิตร จากนั้นแนะนำชื่อของตนเองว่า

“เราสองคนเป็นศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ข้าเป็นศิษย์พี่ชื่อซื่อเหมี่ยน”

จากนั้นดรุณีที่อ่อนวัยกว่า ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ข้าเป็นศิษย์น้อง ชื่อเอวี้ยอี้เซิน อาจาย์ของเราทั้งสองมีนามว่า เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า เราสองคนได้รับคำสั่งอาจารย์ ให้เดินทางล่วงหน้ามาก่อน เพื่อไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน”

ดรุณีนามว่าซื่อเหมี่ยน ซึ่งเป็นศิษย์พี่ตามคำแนะนำ ส่งเสียงกล่าวสืบต่อว่า

“แต่ระหว่างทาง รู้ตัวว่ามีคนติดตามมา พอมาถึงบริเวณนี้คนร้ายจึงได้ลงมือต่อเราทั้งสอง ข้ากับศิษย์น้อง ยังไม่ทราบว่าเป็นคนของฝ่ายใด? ทำไมพวกมันถึงคิดทำร้าย หมายเอาชีวิตเราสองคน”

จ่านจือ เขาไม่ค่อยทราบเรื่องราวยุทธจักรมากนัก เรื่องราวที่ทราบมา ส่วนใหญ่จากปากของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น กับอาจารย์ของเขาเท่านั้นเอง แต่เยาว์วัยไม่ข้องแวะเรื่องราวบู๊ลิ้ม อาศัยอยู่กับมารดาบุญธรรม ใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นชาวบ้านทั่วไป หมู่บ้านเย้ยอรุณ เขาเติบโตที่นั่น ตอนนี้เขากำลังจะได้กลับไปยังสถานที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป