Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สำนักมารสวรรค์)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สำนักมารสวรรค์

  • 24/05/2564

ตอนที่ 11

สำนักมารสวรรค์

วันเวลาผันผ่าน วิกาลล่วงเลย ทิวามาเยือน วันวานมิอาจย้อนคืน เปรียบดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก ไหลหลากจากไปไม่อาจย้อนคืน ทารกแบเบาะยังต้องรู้จักพลิกตัว แล้วจึงค่อย ๆ คืบคลานลุกขึ้นนั่งตั้งไข่ จนกระทั่งเดินได้ ก้าวเท้าวิ่งคล่องแคล่ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากศูนย์ หรืออาจเรียกว่าจากสามัญสู่สูงสุด

ส่วนมันสมองกับความเฉลียวฉลาด อาจมีติดตัวมาไม่เท่าเทียมกัน แต่นั่นสามารถฝึกฝนได้ภายหลัง ไม่ลำบากยากเย็นเท่าใดนัก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งติดตัวมานั้น ในแต่ละคนมีมากน้อยต่างกัน สิ่งที่กำลังเอ่ยกล่าวถึงนั้น ไม่อาจลอกเลียนหรือหยิบยืมกันได้จริง ๆ สิ่งนั้นมีหลายท่านเรียกว่า “พรสวรรค์”

ในเมื่อสวรรค์สรรค์สร้างมอบสิ่งนี้ให้มาแต่กำเนิด ขึ้นอยู่กับผู้ใดจะสามารถนำพรสวรรค์นั้น ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดมาทำประโยชน์ หรือก่อโทษเหตุเภทภัย ในร่างของคนผู้หนึ่ง อาจแฝงไว้ซึ่งดีชั่วดำขาวเคล้าคละปะปน สิ่งแวดล้อมรอบตัว คล้ายมีผลให้คนก้าวถูกผิดคิดชั่วดี การอบรมบ่มสั่งสอนตั้งแต่เด็กนั้น คล้ายดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ ท่านว่าจะแต่งแต้มสีสันย่อมได้ดั่งใจปรารถนา แต่ทว่าหากผ้านั้นหม่นหมองมอมแมมสกปรกแล้ว จะเติมแต้มสีขาวลงไปเท่าใดย่อมไร้ผล เกิดเป็นคนหากมีคุณธรรมเป็นที่ตั้ง นับว่าประเสริฐสุด

ที่กล่าวมาทั้งหมดเปรียบได้คล้ายกับจ่านจือ ตั้งแต่เด็กระกำลำบากอดอยากหิวโหย จำความได้ไร้ซึ่งบิดรมารดาอยู่ข้างกาย การที่ต้องพึ่งตัวเองเพื่อเอาตัวรอด เป็นการฝึกฝนความอดทน อีกทั้งยังไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคขวากหนาม

สวรรค์ย่อมไม่ทอดทิ้งคนดี เด็กน้อยได้ป้าหนิวเก็บมาเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ตั้งแต่เล็กต้องทำงานสารพัดไม่อาจเกียจคร้าน การตรากตรำทำงานหนัก จึงเป็นการเพาะสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง ป้าหนิวสอนให้เด็กน้อยช่วยงานเพื่อนบ้าน โดยมิหวังสิ่งตอบแทนแต่ประการใด นั้นจึงเป็นการปลูกฝังคุณธรรม ให้เด็กน้อยเป็นคนมีน้ำใจไม่เห็นแก่ตัว อีกทั้งยังรักษาสัจจะซื่อสัตย์เที่ยงตรง

เช้านี้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกกล่าวให้จ่านจือขึ้นเขาหาเก็บสมุนไพร เพื่อนำมาปรุงยาตัวหนึ่ง จ่านจือเร่งเร้าพลังลมปราณในร่างพลางกระโดดทะยานแคล่วคล่อง ใช้เพียงปลายเท้าสะกิดชะง่อนหิน หยิบยืมพลังขึ้นสู่ยอดเขาอย่างง่ายดาย มิสิ้นเปลืองแรงแม้แต่น้อย

หากเป็นเช่นกาลก่อน กว่าจ่านจือจะปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาแห่งนี้ได้ ต้องใช้เวลาถึงครึ่งค่อนวัน เขาแทบสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังเหนื่อยหอบกระทั่งหายใจไม่ทัน อีกทั้งเม็ดเหงื่อไหลโซมกายเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง

จ่านจือจดจำลักษณะเฉพาะ ของสมุนไพรได้อย่างแม่นยำยิ่ง จึงใช้เวลาไม่นานนัก เสาะพบสมุนไพรที่เจ้าโอสถสายรุ้งเยี๊ยะเทียนท่านต้องการ เขาไม่รีรอรีบล้วงมีดพกเล่มเล็กจากอกเสื้อ ออกมาตัดต้นสมุนไพรเหล่านั้น แล้วบรรจุใส่ห่อผ้า หลังจากนั้นจ่านจือใช้ท่วงท่ากระโดดไม่กี่ครา พาร่างลงสู่เชิงเขาเบื้องล่างอย่างสวยงาม

เมื่อมาถึงเชิงเขาเบื้องล่าง จ่านจือรีบเดินทางกลับไปยังที่พักทันที  ระหว่างทางก่อนบรรลุถึงที่พักราวครึ่งลี้ เหลือบแลเห็นเงาหลังของร่างคนผู้หนึ่ง มองเห็นไม่ถนัดชัดเจนนัก เงานั้นพุ่งร่างออกจากไปรวดเร็ว จ่านจือจึงเร่งฝีเท้าติดตามไป เพื่อพิสูจน์ดูว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ เพราะตั้งแต่เขาอาศัยอยู่ที่หุบเขาสายรุ้ง ที่ผ่านมามิเคยมีผู้ใด ก้าวล่วงเข้ามาในบริเวณนี้แม้แต่ผู้เดียว

มีเพียงแต่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเท่านั้น ซึ่งท่านเดินทางเข้าออกจากหุบเขาไปหลายครา บางครั้งท่านเดินทางออกจากหุบเขา เป็นเวลาสองสัปดาห์ถึงครึ่งเดือน บางคราวเนิ่นนานเป็นเดือน ปล่อยให้จ่านจืออาศัยอยู่ภายในหุบเขา เพื่อฝึกฝนวิชาฝ่ามือโดยลำพัง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าวกับจ่านจือแต่เพียงว่า ท่านจะออกจากหุบเขาไปทำธุระประการหนึ่งเท่านั้นเอง

จ่านจือสลัดศีรษะไปมา คิดว่าตนเองคงตาฝาดไปเอง เมื่อไม่เห็นผู้ใด ดังนั้นจึงหันหลังกลับเร่งฝีเท้าสู่ที่พัก เมื่อกลับมาถึง พบเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านยืนอยู่บริเวณลานกว้างด้านหน้าที่พัก ครั้นท่านเห็นเขากลับมา รีบบอกให้เขานำสมุนไพรเข้าไปเก็บด้านใน

“จ่านจือ เจ้ากลับมาพอดี รีบนำตัวยาไปเก็บด้านแล้วออกมาหาอาจารย์”

จ่านจือรีบกล่าวรับคำ พร้อมบอกเล่าต่อผู้เป็นอาจารย์ว่า

“เรียนอาจารย์ วันนี้ข้าพเจ้าขึ้นเขาเสาะหาสมุนไพรได้หลายชนิด อีกทั้งจำนวนมากมายยิ่ง”

กล่าวจบจ่านจือรีบวิ่งเข้าไปด้านใน เมื่อวางห่อผ้าบรรจุสมุนไพรไว้บนแคร่ไม้ไผ่แล้ว เขารีบวิ่งกลับออกมาโดยทันที ขณะที่ก้าวเท้าออกมา ความคิดหนึ่งใคร่เอ่ยถามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ว่าท่านพบเห็นผู้ใดเข้ามาในหุบเขาสายรุ้งหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งเกรงว่าท่านจะกล่าวหาว่าเขาตาฝาด ดังนั้นจ่านจือจึงเก็บคำถามนี้ไว้ พอดีเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เอ่ยกล่าวกับเขาขึ้นก่อนว่า

“จ่านจือ เจ้าหายเหน็ดเหนื่อยแล้วหรือไม่? วันนี้อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาดาวดึงส์ให้กับเจ้า วิชาชุดนี้รวบรวมเอาจุดเด่นของสี่ธาตุ นั้นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟเข้าด้วยกัน ถือว่าเป็นสุดยอดวิชา ที่ปรมาจารย์บัญญัติขึ้น จุดเด่นของวิชาชุดนี้อาศัยความแข็งแกร่งดุดัน ของธาตุดิน ผสมผสานกับธาตุไฟอันร้อนแรง ผนวกกับความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นของธาตุน้ำ อีกทั้งยังมีความพลิ้วไหวของธาตุลม ดังนั้นเจ้าจงตั้งใจจดจำกระบวนท่าเอาไว้ให้ดี

ระยะเวลาที่ผ่านมาห้าปี จ่านจือปรับพื้นฐานกำลังภายในจนแข็งแกร่ง ทุกค่ำคืนก่อนเข้านอน เขาจะนั่งโคจรพลังลมปราณภายในครึ่งชั่วยาม ทุกเช้าเย็นจ่านจือยังฝึกกระบวนท่าพื้นฐานวิชาบู๊จนแตกฉาน ได้ยินว่าวันนี้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์ ท่านจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาดาวดึงส์ของท่านให้กับเขา จึงรีบประสานมือกล่าวคำขอบคุณต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จากนั้นส่งเสียงกล่าวอย่างยินดีว่า

“ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาสอนสั่งศิษย์จ่านจือ ทราบว่าวิชาชุดนี้เป็นสุดยอดวิชาที่อาจารย์หวงแหน ถึงแม้ข้าพเจ้าจะยังไม่เคยชมท่านแสดงวิชาฝ่ามือกับตามาก่อน แต่พอจะคาดเดาได้ว่า วิชาดาวดึงส์ของท่าน ชุดนี้ต้องร้ายกาจลึกล้ำ อีกทั้งยังพิสดารอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาอาจารย์เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยอบรมศิษย์ ดังนั้นศิษย์จะไม่สร้างความเสื่อมเสียหน้าให้กับอาจารย์ เพื่อมิให้อาจารย์ผิดหวัง ข้าพเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มความสามารถ”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อเห็นศิษย์ของตนรับปากอย่างแข็งขัน จึงเผยยิ้มอย่างพึงพอใจ พร้อมกับเรียกจ่านจือให้เข้ามาใกล้ ๆ จากนั้นท่านจึงเริ่มถ่ายทอด สุดยอดวิชาดาวดึงส์ให้กับเขา

“วิชาดาวดึงส์ชุดนี้ มีอยู่ด้วยกันเก้าท่า ในแต่ละท่าแปรเปลี่ยนได้สิบสองกระบวนท่า รวมเป็นร้อยแปดกระบวนท่า  เพลงยุทธ์ชุดนี้ เน้นกำลังภายในเป็นหลัก ลมปราณต่อเนื่อง ทุกกระบวนท่าแข็งแกร่งดุดัน อีกทั้งยังผันแปรรวดเร็ว เน้นฝ่ามือเป็นหลัก เท้าเป็นรอง เปลี่ยนรุกเป็นรับเปลี่ยนรับเป็นรุกได้อย่างแยบยล หากฝึกฝนสำเร็จ สามารถโค่นต้นไม้ ทลายหินผา ได้โดยง่ายดายดั่งใจปรารถนา วิชาฝ่ามือนี้สามารถทำลายล้างอาวุธ สารพัดชนิดได้ในพริบตา อาจารย์จะเริ่มสอนท่าที่หนึ่งซึ่งเรียกว่า ‘ดาวเย้ยเดือน’ จ่านจือเจ้าตั้งใจดูให้ดี ท่าที่สอง ‘ดาวเกลื่อนนภา’ ท่าที่สาม ‘ดาวเคลื่อนเดือนคล้อย’ ท่าที่สี่ ‘ขยี้ดาวใต้แสงจันทร์’ ท่าที่ห้า ‘ดาวทะยานฟ้า’ ท่าที่หก...”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ปากกล่าววาจา ฝ่ามือกับเท้านั้นร่ายรำกรีดกราย สลับซ้ายไปขวาเผยกระบวนท่าให้จ่านจือดู ทุกท่วงท่าก้าวย่าง รวดเร็วดุดัน ผันแปรพิสดาร ในความดุดันอันเกรี้ยวกราด ยังมีความร้อนแรง อีกทั้งยังแฝงความอ่อนหยุ่นเยือกเย็นแผ่ซ่าน

ผ่านไปหลายกระบวนท่า จ่านจือชมดูสายตาจนแทบละลานตา พร่าพราย เขาจับจ้องทุกท่วงท่าเคลื่อนไหวโดยไม่กะพริบตา ดังนั้นเขาจึงจดจำกระบวนท่า ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้โดยมิตกหล่น มองเห็นร่างของอาจารย์ ท่านพลิ้วไหวไปมา คล้ายดั่งสายลมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพัดหอบอยู่ไปมาในอากาศปานฉะนั้น

ทุกครั้งที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านวาดมือวางเท้าก้าวกระโดด ล้วนเกิดเป็นเสียงหวืดหวือของฝ่ามือ และเท้าแหวกพุ่งฝ่าอากาศ สลับสับเปลี่ยนกับเสียงทึบทึบหนัก ๆ คละเคล้ากันไปในเวลาเดียวกัน

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ร่ายรำกระบวนท่าทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรงดุดัน ทุกครั้งที่ท่านผลักฝ่ามือหรือต่อยหมัดออกไป ก่อเกิดเป็นเสียงครืนครั่นดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกันนั้นรอบกายยังก่อเกิดเป็นพลังไร้สภาพม้วนตัวเป็นเส้นสาย เคลื่อนย้ายตามท่วงท่าการวาดมือวางเท้า ทำเอาเศษกิ่งไม้ใบหญ้าโดยรอบ ปลิดปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

จนกระทั่งมาถึงกระบวนท่าสุดท้าย เรียกว่าย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล รอบด้านก่อเกิดเป็นขุมพลัง กระแทกสะท้อนย้อนไปมา เสียงตูมเมื่อดังต้นไม้ด้านข้าง หักโค่นล้มครืนลงเมื่อสิ้นเสียง พร้อมกับก้อนหินผาขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ถัดไปแตกละเอียดปลิวเวียนว่อน กระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศแปดทาง

เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ร่ายรำกระบวนท่าจบลงแล้ว ท่านสั่งให้จ่านจือร่ายรำกระบวนท่าให้ท่านดู เขามิรอช้าก้าวออกมาพร้อมกับร่ายรำกระบวนท่า ที่เห็นมาอย่างคล่องแคล่ว ทุกกระบวนท่าของอาจารย์จดจำแม่นยำมิผิดพลาด คล้ายกับสวรรค์ส่งเขามาเพื่อเป็นผู้กล้าฝึกวิชาบู๊ก็มิปาน

จ่านจือฝึกฝนอยู่หนึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วยามมีสองชั่วโมง ในหนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม) หลังจากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เรียกเขามานั่งลงตรงแผ่นหินราบเรียบแผ่นหนึ่ง แล้วชี้แนะเคล็ดการเคลื่อนย้ายจุดชีพจรให้จ่านจือท่องจำ พร้อมกับอธิบายเคล็ดวิชาดาวดึงส์อย่างละเอียด จ่านจือเป็นคนหัวไวเฉลียวฉลาด ท่องเพียงแค่สองเที่ยวจดจำได้ขึ้นใจ พร้อมกับเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชาดาวดึงส์ได้ไม่ยากเย็น

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกให้จ่านจือทำความเข้าใจกับเคล็ดการเปลี่ยนแปลงให้ดี เมื่อเขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว ต่างกลับเข้าที่พัก หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกกล่าวต่อจ่านจือว่า พรุ่งนี้เช้าท่านจะเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง ซึ่งท่านต้องไปทำธุระอีกหลายประการ ก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินอีกหกเดือนข้างหน้า

“อาจารย์จะออกเดินทางไปก่อน เนื่องด้วยยังมีธุระสำคัญที่จะต้องสะสาง สำหรับอยู่ภายในหุบเขาสายรุ้ง อย่าได้เกียจคร้านเป็นอันขาด หมั่นฝึกปรือกระบวนท่า ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาดาวดึงส์ เจ้าจึงจะสำเร็จก้าวหน้าดั่งที่อาจารย์ตั้งใจ”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกว่าท่านจะล่วงหน้าไปก่อน อีกทั้งยังต้องเสาะหาสหายเก่าหลายคนของท่าน สั่งกำชับให้จ่านจือฝึกปรือวิชาอยู่ในหุบเขา หลังจากวันนี้อีกสี่ห้าเดือน ให้เขาเดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง แล้วนัดพบเจอกันที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุน ในนครหลวงลั่วหยาง

“ศิษย์จ่านจือจะมิลืมคำสอนสั่งท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะหมั่นฝึกซ้อมกระบวนท่า อีกทั้งทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาดาวดึงส์ให้กระจ่าง จะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเด็ดขาด”

เมื่อท่านสั่งจ่านจือ พร้อมนัดหมายวันเวลา และสถานที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกให้เขาเข้านอนพักผ่อน ท่านเองจะไปเก็บเสื้อผ้าสัมภาระ แล้วเข้านอนพักผ่อนเช่นกัน จ่านจือตอบรับคำอย่างมั่นเหมาะ แล้วแยกย้ายกลับห้องพัก หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้ว เขารีบทิ้งตัวลงลงนอน ในใจกลับตื่นเต้นมิได้ ที่ขาจะกลับไปจงหยวนบ้านเกิดอีกครั้ง

จ่านจือตั้งใจไว้ว่า เมื่อเดินทางไปถึง ก่อนอื่นจะต้องกลับไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ เพื่อกราบเคารพหลุมศพมารดาบุญธรรม ที่ผ่านมาเขามิเคยลืมบุญคุณท่าน อีกทั้งความรักของมารดาบุญธรรมที่มีต่อตนเอง หากดวงวิญญาณท่านรับรู้ คงปลาบปลื้มปีติยินดีกับเขาแน่นอน ซึ่งในวันนี้จ่านจือไม่ลำบากเช่นกาลก่อน แถมยังมีความสำเร็จขั้นหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะไปบอกต่อหน้าหลุมฝังศพมารดาบุญธรรม ว่าเขาจะแก้แค้นคนชั่วสามคน ที่พวกมันทำร้ายท่าน เพื่อให้วิญญาณของท่านไปสู่ปรภพอย่างสงบ

ก่อนจะหลับใหล จ่านจือกลับนึกถึงใบหน้าดุดัน และดวงตาเจ้าเล่ห์คู่หนึ่งขึ้นมามิได้ การกลับไปจงหยวนครานี้ เขาจะเจอคนผู้นั้นอีกหรือไม่ คิดถึงตอนนี้กลับหลับใหลไปอย่างสุขใจ

สำนักมารสวรรค์ เขาหมางซาน

สำนักมารสวรรค์ ตั้งอยู่ด้านหนึ่งของเขาหมางซาน เจ้าสำนักเป็นสตรีฉายานางมารเยือกเย็น นามเหยาเยี๊ยะเหยียน บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับซึ่งเคยปรากฏตัวอยู่หลายครั้ง แท้จริงเป็นสตรีหาใช่บุรุษไม่ นางเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ นามว่าเหยาเยี่ยนผิง มีฐานะเป็นนายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์แห่งนี้ เป็นบุตรีของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนนั้นเอง

ส่วนอีกผู้หนึ่งซึ่งเคยปลอมเป็นแม่ชีนิรนาม ร่วมกับนางมารเยือกเย็น นางมีนามว่าอั้งเซี๊ยะเปา เป็นผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นกุนซือของสำนักมารสวรรค์ เป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเจ้าสำนักมารสวรรค์แห่งนี้ นางมารเยือกเย็นรักใคร่ ในตัวอั้งเซี๊ยะเปาดุจน้องสาว ส่วนนายน้อยเหยาเยี่ยนผิง นับถือนางเป็นดั่งน้าสาวเช่นกัน

วันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อยู่ในชุดยาวสดใสสีแสดแถบม่วง สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเพลิง ร่างสูงระหงองเอวได้สัดส่วนดูมีสง่าราศี แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นไร้เรื่องราว อายุประมาณสี่สิบเศษ แต่ทว่ายังดูเปล่งปลั่งผิวพรรณยังเต่งตึงมิหย่อนยาน แสดงว่านางมารเยือกเย็นคงดูแลตนเองเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ฝึกวิชามารจนทำให้ผิวหนังเต่งตึงไม่เหี่ยวหย่อนยาน

ส่วนอั้งเซี๊ยะเปานางแต่งชุดสีเทาเข้ม อายุราวสี่สิบปี วันนี้ทั้งคู่สลัดคราบนางชีออกจนหมดสิ้น เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือน จะถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ดังนั้นทั้งสองจึงกลับมายังที่ตั้งของสำนักมารสวรรค์ เพื่อมากำหนดแผนการกันอีกที

ก่อนหน้านั้น ทั้งคู่ปลอมเป็นแม่ชีออกไปก่อกวนยุทธภพด้วยกัน ทำให้ชาวยุทธ์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนของอารามอเทวตา จนมีบรรดาชาวยุทธ์มากมาย บุกรุกขึ้นไปยังอารามอเทวตา แต่ไม่สามารถบุกขึ้นไปได้ ล้วนถูกนางชีในอารามสกัดขัดขวาง สืบเนื่องด้วยแม่ชีทุกนาง ต่างมีฝีมืออันร้ายกาจน่ากลัว จนผู้บุกรุกไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่ปลายขน

ชาวยุทธ์ทุกคนที่บุกขึ้นไป ล้วนพบแต่เพียงแม่ชีแปดนางเท่านั้น หาได้พบกับนางชีเทวราชชิ้วโส่วเจ้าสำนักไม่ สาเหตุที่นางชีเทวราชชิ้วโส่วมิได้ออกมา เนื่องจากนางเก็บตัวอยู่ในอาราม ซึ่งเป็นห้องลับฝึกวิชาเก้าชโลทรขั้นสุดท้าย เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือน นางจะฝึกสำเร็จขั้นสูงสุดแล้ว คิดว่าก่อนถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน นางชีเทวราชชิ้วโส่ว นางต้องออกมาตอบโต้ชาวยุทธ์อย่างแน่นอน

นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมบุด้วยขนเตียวนุ่มนิ่มสีขาว โดยมีเหยาเยี่ยนผิงนั่งอยู่ไม่ห่าง ด้านข้างยืนอยู่ด้วยอั้งเซี๊ยะเปา ด้านหน้าห่างออกไปราวห้าหกวา ยืนอยู่ด้วยผู้คนสิบกว่าคน ล้วนแล้วแต่เป็นมือดีของสำนักมารสวรรค์  สิบห้าปีที่ผ่านมานี้ แม้สำนักมารสวรรค์ จะไม่เคยปรากฏตัวต่อยุทธภพ แต่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยีน ได้วางคนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ และส่งข่าวคราวกลับมาจากทั่วสารทิศทุกอย่างล้วนเป็นความลับสุดยอด

ส่วนนายน้อยเหยาเยี่ยนผิง วันนี้อยู่ในชุดรัดกุมสีขาวสลับดำ รวบผมตึงสวมรัดเกล้าสีเงินไว้กึ่งกลางศีรษะ ถึงแม้จะเป็นสตรี แต่นางชื่นชอบการแต่งกายเช่นบุรุษมาตั้งแต่เด็ก  ตั้งแต่นางออกท่องเที่ยวยุทธภพ มิเคยแต่งกายเช่นสตรีแม้แต่ครั้งเดียว

ด้านนิสัยใจคอ เหยาเยี่ยนผิงได้ความเยือกเย็นเจ้าเล่ห์ มาจากนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แต่อีกด้านหนึ่งนางกลับมีความคิดเป็นของตนเอง และกระทำการใดโดยมิยอมให้ผู้ใดขัดใจบงการ แม้แต่มารดาของนางเองก็ตาม

เหยาเยี่ยนผิงด้านรูปโฉมโนมพรรณของนาง หากนางแต่งกายเป็นสตรีแล้ว คิดว่าในใต้หล้ายากหาผู้ใดงามเทียบเปรียบได้ ความงามของนางดุจดั่งเทพธิดาเหินลงมาจากสรวงสวรรค์มิปาน รูปร่างของนางอ้อนแอ้นอรชรดูระหง ผิวขาวนวลเนียนผุดผ่องอมชมพูเปล่งปลั่ง ทรวดทรงองค์เอวได้สัดส่วน ส่วนไหนควรเว้าก็เว้า ส่วนไหนควรนูนก็นูนไร้ที่ติ วงพักตร์เรียวรีดั่งไข่หงส์ ขนงวงคิ้วเรียวก่งโค้งปานวงจันทร์เดือนเสี้ยว สองเนตรกลมโตดำขลับดุจนิล ภายใต้แผงขนตาหนางอนอย่างตั้งใจ จมูกเรียวโด่งรับกับริมฝีปากบางอวบอิ่มระเรื่อ ยามแย้มยิ้มพรายเผยเห็นฟันซี่ขาวดั่งไข่มุก เรียงร้อยอย่างเป็นระเบียบ แต่ด้านพลังฝีมือนับว่าร้ายกาจนัก

บางครั้งนางเกิดมีความเห็นขัดแย้ง กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แต่ได้อั้งเซี๊ยะเปาคอยไกล่เกลี่ยให้ระหว่างแม่ลูก เหยาเยี่ยนผิงนางจะขัดคำสั่งของมารดา หากคำสั่งนั้นนางเห็นว่าไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังไม่ถูกใจนาง แต่ถึงเช่นไรเหยาเยี่ยนผิง นางเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ เรื่องราวที่นางออกไปกระทำ ล้วนส่งผลดีให้กับสำนักมารสวรรค์แห่งนี้

ครั้งก่อนนางได้รับคำสั่งจากมารดา ให้ติดตามสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แต่เมื่อนางติดตามไปถึงหุบเขาสายรุ้ง นางกลับหาเส้นทางเข้าหุบเขาสายรุ้งเขาไม่เจอ จึงได้ล่าถอยกลับมา บัดนี้ล่วงเลยผ่านไปห้าปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่นางออกไปก่อกวนชาวยุทธ์

เหตุผลหนึ่งที่นางออกไปสร้างเรื่องราวมากมาย ให้ยุทธภพปั่นป่วนวุ่นวาย ด้านหนึ่งนางกลับเสาะหาคนผู้หนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาไร้วรยุทธ์ นางเองยังไม่ทราบเช่นกันว่า นางต้องการเสาะหาเขาเพื่ออะไร คิดแต่เพียงเหตุผลเดียว นางอยากทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ที่ใด ทำสิ่งใดอยู่ในเวลานี้ หรือว่าถูกสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ฆ่าตายไปแล้วก็อาจจะเป็นไปได้

บางครั้งนางยังพึมพำกับตนเองว่า

“เจ้าทึ่ม หรือว่าเจ้าตายไปแล้วจริง ๆ โง่งมเช่นท่าน แถมยังมิเอาไหนปานนั้น หากมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ นับเป็นเรื่องราวอันแปลกประหลาดไปแล้ว”

เมื่อครั้งที่เหยาเยี่ยนผิง พร้อมกับมารดา พร้อมทั้งอั้งเซี๊ยะเปากลับจากกังหนำ พอกลับมาถึงสำนักมารสวรรค์ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ได้สอบถามเรื่องราวกับนางว่า ครั้งก่อนที่ให้นางออกติดตามร่องรอย ของพี่น้องแซ่เฟิ่นได้เบาะแสอะไรบ้าง

เหยาเยี่ยนผิงตอบกลับไปว่า

“ข้าพเจ้าไล่ติดตามไปไม่ห่าง แต่มิทราบว่าพวกมันทั้งสอง ใช้เส้นทางอันใดวกวน ข้าพเจ้าจึงคลาดจากพวกมันทั้งสองไป ร่องรอยของพวกมันทั้งสองหายไปบริเวณหุบเขาสายรุ้ง”

ข่าวที่นางทราบมา ล้วนไม่อาจรอดพ้นหูตาของนางมารเยือกเย็น เหยาเยี๊ยะเหยียน ดังนั้นนางจึงได้แต่กล่าวว่า ส่วนใหญ่นางจะออกไปหาความสำราญสนุกสนานเสียมากกว่า ครั้งแรกเข้าไปในงานอวยพรของหลิวซุ่นกงกง โดยมิได้รับเทียบเชิญ บังเอิญคืนนั้นเกิดมีคนถูกฆ่าตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าของหลิวซุ่นกงกง

นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวถามว่า

“ค่ำคืนนั้นในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเกิดเรื่องราวใดขึ้น?”

ค่ำคืนนั้นก่อนที่นางจะเร้นกายออกมาจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า นางพบเห็นคนชุดดำผู้หนึ่ง ปิดหน้าปิดตามิดชิด มิได้พกพาอาวุธ เห็นมันผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในซอกมือมุมหนึ่ง ซึ่งลับสายตาผู้คน ด้วยนางกลัวฐานะที่แท้จริงของนาง จะถูกผู้คนพบเห็นเช่นกัน ดังนั้นจึงมิได้ใส่ใจคนลึกลับผู้นั้น นางรีบเร้นกายจากมา ภายหลังถึงทราบข่าวว่ามีคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า จึงคิดว่าคนชุดดำผู้นั้น ต้องเป็นคนลงมือแน่นอน

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป