#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...
#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...
53
แล้วข้าจะรอ
“เจ้าเป็นคุณหนูงั้นหรือ!?” หลี่ชางจวิ้นเอ่ยถามด้วยความตกใจ
หลายวันมานี้ เขาได้ยินเหล่าสหายที่บ้านหงถิงพลั้งปากเรียกเซียวหลินหลิงว่าคุณหนูอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเจินเจิน ร่างสูงจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แค่เคยเป็น... ตอนนี้เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา” ร่างบางกล่าวยิ้มๆ แต่ไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าสกุลเดิมของนางคืออะไร ตัวของชางจวิ้นก็ไม่ได้คิดที่จะถามมากไปกว่านี้
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู... ทั้งที่ข้า...” ตัวการหลักที่ทำให้ความลับแตกพูดพลางก้มหน้างุด
“ไม่เป็นไรหรอก... จะช้าหรือเร็วเรื่องนี้ก็ต้องมีคนรู้อยู่ดี” แล้วเซียวหลินหลิงก็หันมาเอ่ยกับหลี่ชางจวิ้น
“และข้าเชื่อว่าคุณชายหลี่เป็นคนที่เก็บความลับไว้ได้”
“แน่นอน ถือว่าพวกเราแลกเปลี่ยนความลับระหว่างกันและกันละกัน” หลี่ชางจวิ้นกล่าวยิ้มๆ
พลันเซียวหลินหลิงก็เกิดความสงสัยขึ้นมา จึงเอ่ยถามหงถิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า
“หงถิง...”
“อะไรหรือ?” หงถิงที่นั่งเงียบมานานถามกลับ
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วชางจวิ้นเป็นคุณชายสกุลหลี่?”
“นั่นสิ” เจินเจินกล่าวเสริม
“พอดีว่าวันที่ข้าเอาหนังสือที่เช่าไปคืน บังเอิญเห็นคนจากสกุลหลี่เอาของมาส่งให้คุณ... เอ่อ... ให้ชางจวิ้นพอดีน่ะ” หงถิงตอบ สิ้นคำพูดของนาง หลี่ชางจวิ้นก็โพล่งออกมาเสียงดัง
“นี่เป็นเหตุผลที่หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่แวะมาร้านเช่าหนังสือของข้าอีกเลยใช่หรือไม่!?”
เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของหงถิง ร่างสูงจึงตัดบทด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ช่างเถิด เอาเป็นว่านับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าก็ต้องพบหน้าข้าบ่อยๆ ช่วยทำตัวให้ชินกับคุณชายเช่นข้าด้วยละกัน เพราะข้ามิอยากทำให้สหายของหลินหลิงต้องอึดอัดใจ”
“ข้าจะพยายามละกัน...” หงถิงกล่าวอ้อมแอ้ม
“เอาน่าทั้งสองคน เจอกันบ่อยๆ เดี๋ยวก็ปรับตัวเข้าหากันได้เองแหละ รีบร้อนไปไย” เซียวหลินหลิงเอ่ย แม้จะรู้สึกตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ยังไม่เคยเห็นชางจวิ้นดูจริงจังขนาดนี้มาก่อน
แต่นางก็เข้าใจชางจวิ้น หากเป็นนางคงไม่ชอบใจเหมือนกัน ที่รู้ว่ามีคนอึดอัดแล้วทำตัวห่างเหินใส่ เพียงเพราะว่านางเป็นคุณหนูเลยไม่กล้าเข้าใกล้เช่นนี้
“ข้าเข้าใจนะหงถิง บางทีข้าก็รู้สึกประหม่า แต่เจ้าก็เห็นว่าคุณชายหลี่ไม่ได้ถือตัวแต่อย่างใด ซ้ำยังคบหาเป็นสหายกับพวกเราในฐานะชางจวิ้น คนธรรมดาๆ คนหนึ่งด้วย จะเกร็งไปไย?” หงเถิงพูดเสริม
“ใช่ๆ” ต้าเหลย ปิงจือ ชินหวังและเจินเจินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“อืม…” หงถิงรับคำเบาๆ
“ขอโทษนะ... ข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้าหรือใครก็ตามทำตัวห่างเหินกับข้า เพียงเพราะว่าข้าเป็นลูกคนมีสกุล” หลี่ชางจวิ้นเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ แล้วกล่าวว่า
“ข้าขอตัวไปนั่งเล่นอยู่หลังบ้านสักครู่นะ”
“ข้าไปด้วย” เซียวหลินหลิงรีบลุกแล้วเดินตามไป โดยมีสายตาห้าคู่มองตาม หนึ่งในนั้นมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก…
หลังจากนั้นไม่นาน... ทั้งสองคนก็พากันเดินกลับเข้ามา แล้วบรรยากาศในบ้านก็กลับมาสนุกสนานอย่างเดิม… โดยไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่อีกเลย...
...กระทั่งรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดแล้ว เซียวหลินหลิงจึงเป็นผู้เดินไปส่งชางจวิ้นที่หน้าประตูรั้ว พลันร่างสูงก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าวันพรุ่งนี้ข้ามีธุระบางอย่างที่ต้องไปสะสาง... และไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อใด... อาจจะทำให้เราไม่ได้เจอกันสักพัก” จากนั้นเขาก็พูดต่อ พร้อมกับเรียกชื่อร่างบางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ระหว่างนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ... หลินหลิง”
“เจ้าก็ด้วย แล้วข้าจะรอนะ” เซียวหลินหลิงเอ่ยยิ้มๆ
“แน่นอน ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด” ร่างสูงยิ้มตอบ ก่อนจะโบกมือให้นาง แล้วเดินกลับบ้านของตน...
เมื่อลับร่างของชางจวิ้น เซียวหลินหลิงก็เอ่ยขึ้นมาเสียงดัง
“เจินเจิน!! หงเถิง!! ปิงจือ!! ชินหวัง!! ต้าเหลย!! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าแอบดูอยู่ ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“แหะๆ ถูกจับได้เสียแล้ว” เจินเจินเป็นคนแรกที่เดินออกมาพร้อมกับยิ้มแหยๆ ตามด้วยร่างสูงของหงเถิงและบ่าวชายอีกสามคน
“ข้าไม่เกี่ยวเสียหน่อย! เจ้าพวกนี้ลากข้ามาต่างหาก!” หงเถิงชิงปฏิเสธ
“ว่าแต่ระหว่างคุณหนูกับคุณชายหลี่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ!?” ชินหวังถามขึ้นมาโดยแสร้งทำเป็นเมินคำพูดก่อนหน้านั้นของคุณหนู
“พวกเจ้าอยากให้เป็นอย่างไรเล่า? เล่นเปิดทางซะขนาดนี้” เซียวหลินหลิงเอ่ยยิ้มๆ
คิดว่านางไม่รู้หรือที่ทุกคนแสร้งทำเป็นว่ามีธุระเพื่อทิ้งให้นางมีโอกาสอยู่กับชางจวิ้นตามลำพังน่ะ!
ทั้งตอนร้านเช่าหนังสือ ตอนทำอาหาร ตอนเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ที่ยกตัวอย่างมายังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ทั้งหมดเลย...
หากไม่ได้กระชับความสัมพันธ์กับเขาสิแปลก...
“ไชโย!” บรรดาผู้ที่ชอบเปิดทางร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ดีใจอะไรกันขนาดนั้น...” ร่างบางพูดพลางหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของทั้งห้าคน แล้วนางก็เปลี่ยนเรื่อง
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว พวกเราเข้าบ้านกันเถอะ”
เมื่อกลับเข้าไปก็เห็นหงถิงกำลังเก็บข้าวของเครื่องใช้บางส่วนของตนใส่ย่าม จึงถามด้วยความสงสัย
“จะไปไหนหรือ?”
“พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปเมืองลี้รัวน่ะ เพื่อไปหาเหมยกุ้ยแล้วบอกว่าพวกเราสบายดี...”
“จริงสิ... นี่ก็เกือบสองเดือนได้แล้วกระมังที่พวกเรามาอยู่ที่นี่...” เซียวหลินหลิงรำพึงก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอะไรบางอย่าง…
------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุกหลวงเมืองลี้รัว
“หึ...” อินเฟยหย่าแค่นยิ้มพลางมองไปยังเซียวหลี่เจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ มือของทั้งสองถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เหล็กสีดำ อีกไม่นานนางกับผู้เป็นสามีก็จะถูกนำตัวไปประหารต่อหน้าสาธารณชน ในฐานะบิดาใจทรามกับมารดาเลี้ยงใจเหี้ยม เพื่อไม่ให้ผู้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ตัวเซียวหลี่เจี๋ยที่เตรียมใจไว้แล้วไม่ได้รู้สึกตกใจอันใด มีเพียงอินเฟยหย่าที่หน้าซีดเผือดเมื่อได้ฟังคำตัดสิน
“ข้าแม้ได้ตัวท่าน แต่ก็หาได้ใจท่านไม่” นางเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นขม เซียวหลี่เจี๋ยหันมามองหน้าอินเฟยหย่า แต่ไม่พูดอะไรออกมา ในหัวกำลังนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขากับนางและซินหรง...
ทั้งสามคนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์กันจากคำว่าสหาย... กระทั่งวันเวลาผ่านไปความรู้สึกของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนไป...
หลี่เจี๋ยนั้นรักซินหรงและนางก็รักเขาหมดใจเช่นกัน...
ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นแต่งงานสร้างครอบครัวร่วมกัน... โดยที่สกุลของทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย
ทว่า... ที่ทั้งคู่ไม่รู้ก็คืออินเฟยหย่าก็แอบชอบพอในตัวของเซียวหลี่เจี๋ยเช่นกัน...
รักสามเส้าจึงเกิดขึ้น โดยตัวของอินเฟยหย่าที่มักจะมานั่งปรับทุกข์เรื่องปัญหาส่วนตัวกับทั้งสองอยู่เสมอ วันหนึ่ง... นางได้ชวนพวกเขาตั้งวงร่ำสุรา ซินหรงเป็นคนคออ่อนดื่มไปได้ไม่เท่าไรก็ปวดหัวจนต้องขอตัวไปนอนก่อน ทำให้เหลือเพียงเขาที่นั่งดื่มเป็นเพื่อนเฟยหย่า
เรื่องเกินเลยจึงเกิดขึ้น...
จะไปโทษแต่เฟยหย่าคนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะเขาเองก็ผิดที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ...
ในตอนนั้น ขณะที่เซียวหลี่เจี๋ยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เซียวซินหรงกลับยิ้มบางๆ แล้วบอกให้รับผิดชอบอีกฝ่าย... จนทุกอย่างบานปลายมาจนถึงขั้นนี้
กระนั้นเซียวหลี่เจี๋ยก็พูดได้เต็มปากว่าความรู้สึกที่มีให้ซินหรงคือความรัก... แต่กับเฟยหย่า... เป็นเพียงความใคร่และความสงสาร กับเหมยกุ้ย... เป็นภาวะจำยอมและเวทนา
“หลี่เจี๋ย...” แม้ไร้การตอบรับจากอีกฝ่าย เฟยหย่าก็ยังคงพูดต่อ
“คราที่ท่านเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นฮูหยินเอก... ข้าก็คิดว่าท่านเปิดใจให้ข้าแล้ว แต่เรื่องในวันนั้น มันทำให้ข้ารู้... ไม่ว่าอย่างไรคนที่อยู่ในใจท่านก็มีแต่ซินหรงเพียงผู้เดียว...” กล่าวพลางอินเฟยหย่าก็นึกถึงตอนที่นางสร้างเรื่องขึ้นมาให้ผู้เป็นสามีสังหารบุตรสาวคนโต...
แววตาที่เป็นประกายของผู้เป็นสามียามเมื่อนึกถึงซินหรงกับหลินหลิง มันทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและรู้ว่านางไม่มีวันแทนที่คนทั้งคู่ได้
“คราที่ข้าเลื่อนตำแหน่งให้... เพราะซาบซึ้งกับความรักและความภักดีที่เจ้ามีให้ข้าตลอดมา...” เซียวหลี่เจี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่สามารถโกหกตัวเองได้เลยว่าที่ผ่านมา อินเฟยหย่าดีกับเขามากแค่ไหน มีคราหนึ่งที่เขาเกือบจะถูกรถม้าชน นางก็เข้ามาผลักเขาออกไปจนตัวเองเกือบโดนชนแทน
นอกจากนี้ก็ยังคอยทำนั่นทำนี่ให้เขามาตลอด อย่างตอนที่เขาตรอมใจเรื่องหลินหลิงก็ไปสรรหายาบำรุงดีๆ มาให้ ทั้งยังพาหมอเก่งๆ หลายคนมาหาทางรักษา
“และก็จะมีตลอดไป... ไม่มีวันเสื่อมคลาย...” อินเฟยหย่ากล่าวต่อพลางมองไปยังผู้เป็นสามีด้วยแววตาที่แสดงถึงความรักใคร่อย่างเปี่ยมล้น
“เช่นนั้นการที่พวกเราจะไปปรโลกพร้อมกันก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว...” เซียวหลี่เจี๋ยพูดพลางแค่นหัวเราะ
ซินหรงนั้นปล่อยนางไปอยู่บนสวรรค์ หลินหลิงก็ปล่อยนางไปมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม...
เหมยกุ้ยให้โอกาสนางได้เริ่มต้นชีวิตใหม่...
ส่วนข้ากับเฟยหย่าก็กำลังจะไปในที่ที่สมควรไป...
หญิงร้ายชายเลวอย่างพวกเราก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี...
Writer:ไม่พูดมาก ให้เนื้อเรื่องมันเล่า 555 ตอนนี้ก็เสร็จไปสองรายแล้วนะคะ
เบื้องลึกของน้องหลินหลิง ยุทธภพไร้ใจ แต่ตัวข้าไม่ไร้รัก (ตอนนี้ก็กำลังเพิ่มเติมและแก้ไขเนื้อหาสำนวนภาษาอยู่)
และถ้าใครยังคิดว่าเรื่องนี้ยังฮาร์ดคอร์ไม่สุด ต้องพบกับ หัวเราะทีหลังดังกว่า!! เลยค่า ^_^ ความดราม่าอาจไม่เท่า แต่เนื้อเรื่องไม่เป็นรองใครแน่นอน!
ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ น้า
ปล.สำหรับคนชอบอ่านเรื่องสั้นๆ ปมไม่ซับซ้อนนะคะ
[สามพี่น้องตระกูลหาน] แต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย!