Your Wishlist

ทางใครทางมัน! เราหย่ากันแล้ว! [สามบุพเพสกุลซือ] (50:คุณชายหลี่ชางจวิ้น)

Author: หานยวี่

#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...

จำนวนตอน : N/A

50:คุณชายหลี่ชางจวิ้น

  • 28/04/2564

50

คุณชายหลี่ชางจวิ้น

 

“อาหารฝีมือแม่นางหลินหลิงนี่อร่อยสมกับที่แม่นางเจินเจินพูดไว้จริงๆ” หลี่ชางจวิ้นพูดพลางยกนิ้วโป้งให้เซียวหลินหลิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากตักผัดผักรวมเข้าปาก

ทั้งที่เป็นแค่อาหารพื้นๆ ที่ผู้ใดทำก็รสชาติออกมาเหมือนกัน แต่จานที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่เหมือนที่เขาเคยกินมาก่อน

ผัดผักจ๋า เจ้าจะอร่อยเกินไปแล้ว!!! 

หากที่บ้านของข้ามีแม่ครัวเช่นนี้ คงจะดีไม่น้อย

“ใช่ไหมล่ะเจ้าคะ ใครๆ ที่ได้ชิมฝีมือของนางก็ล้วนพูดเช่นนี้ทั้งนั้น” เจินเจินเอ่ยโดยที่คนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ดีใจที่คุณชายหลี่ชอบนะเจ้าคะ” เซียวหลินหลิงกล่าว โดยใช้สรรพนามแทนอีกฝ่ายว่าคุณชาย หลังจากที่รู้ความจริงว่าบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้านางเป็นถึงบุตรชายของมหาเสนาบดีในวังหลวง แต่ปลีกตัวออกมาอาศัยอยู่ที่เมืองเฉียว

“คุณชงคุณชายหลี่อะไรกัน... ข้าเป็นเพียงบุรุษธรรมดาคนนึงที่เกิดมาแล้วได้ใช้สกุลหลี่เท่านั้นแหละ พวกเจ้าเรียกข้าว่าชางจวิ้นเหมือนเดิมเถอะ แล้วก็ไม่ต้องพูดสุภาพกับข้านักหรอก เพราะตอนนี้พวกเราเป็นสหายกันแล้ว” หลี่ชางจวิ้นพูดพลางยิ้มกว้างจนตาหยีตามประสาคนร่าเริง ทุกครั้งที่เขายิ้มทำให้คนรอบตัวรู้สึกว่าโลกสดใสขึ้นมาทันตา

“เช่นนั้น... ข้ามิเกรงใจแล้วนะชางจวิ้น”

“ตามสบายเลยหลินหลิง”

“สวัสดีชางจวิ้น ข้าชินหวังนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชินหวังแสร้งเอ่ยแนะนำตัวอีกรอบ

“เช่นกันชินหวัง” ชางจวิ้นพูดพลางหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปเรียกชื่อคนอื่นๆ บนโต๊ะ

“เจินเจิน ต้าเหลย ปิงจือ หงเถิง หงถิง ต่อไปนี้ตัวข้าชางจวิ้น... ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”

 “ด้วยความยินดี” ทุกคนพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ยกเว้นหงถิงที่แอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ...

ข้ามิเชื่อหรอกว่าการที่บุรุษผู้นี้มาที่นี่ได้จะเป็นเรื่องบังเอิญ... เขาต้องแอบตามคุณหนูมาแน่ๆ

แล้วบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน… จนกระทั่งอาหารมื้อนี้จบลง เซียวหลินหลิงก็เดินออกมาส่งหลี่ชางจวิ้นที่หน้าบ้านกับหงถิง ปิงจือและชินหวัง

ส่วนหงเถิงกับเจินเจินและต้าเหลยเป็นเวรเก็บโต๊ะอาหาร

“ขอบคุณทุกคนสำหรับอาหารมื้อนี้” หลี่ชางจวิ้นเอ่ยยิ้มๆ แล้วพูดต่อพร้อมกับมองมาที่ใบหน้าหวานของเซียวหลินหลิงอย่างมีเลศนัย

“โดยเฉพาะแม่ครัวของเรา”

“เรื่องเล็กน่า เทียบกับที่เจ้าช่วยสหายของข้าไว้แล้ว” ปิงจือกับชินหวังกล่าว

“มิเป็นไร คราวหน้าเดี๋ยวข้าเป็นฝ่ายไปเยือนร้านเช่าหนังสือของเจ้าบ้าง” เซียวหลินหลิงเอ่ยพลางนึกเซ็งพวกเจินเจินเล็กน้อย

พวกเจ้านี่ก็นะ... ไม่บอกข้าเลยว่ามีร้านหนังสืออยู่ พาข้าไปเล่นแต่ปอกับซื้อของกินตลอด ดีเท่าไรยังไม่ได้ไปตีไก่ หรือหน้าข้าดูมิเหมือนคนใฝ่รู้กัน!?

“ได้สิ แล้วข้าจะรอนะ... ไปล่ะ” กล่าวจบชางจวิ้นก็เดินจากไป ส่วนเซียวหลินหลิงก็หันมาเอ่ยกับหงถิงว่า

       “เดี๋ยวคราวหน้าพาข้าไปหน่อยนะ”

“ได้สิ...” หงถิงรับคำอย่างจำใจ ความจริงแล้วนางไม่อยากให้คุณหนูไปยุ่งกับคนผู้นี้เลย ดูก็รู้ว่าไอ้คุณชายหลี่จอมกะล่อนต้องคิดอะไรกับคุณหนูหลินหลิงแน่นอน!

 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยามโหย่ว เมืองลี้รัว

กุบกับๆๆ เสียงอาชาฝีเท้าดีสองตัวกำลังวิ่งไปตามทางดินขรุขระสีแดง กระทั่งย่างเข้าเขตเมืองลี้รัวที่สองข้างทางเป็นร้านค้า มีผู้คนสัญจรไปมา จึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง

ก่อนที่ผู้ขี่จะบังคับให้มันหยุดอยู่ตรงหน้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่กลางเมือง ที่มีป้ายเขียนไว้ว่าเฉินหง เพื่อมาส่งลูกค้าที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง

“สองคน สี่ตำลึงขอรับ” ชายวัยกลางคนท่าทางทะมัดทะแมงหันไปเอ่ยกับซือหยวนซา ร่างสูงจึงหยิบเงินออกมาส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นก็หันไปพูดกับจุ้นเผิงที่เพิ่งลงมาจากหลังม้าตัวข้างๆ ว่า

“เข้าไปกันเถิด...” กล่าวจบจึงปรายตามองไปยังประตูโรงเตี๊ยมสุดหรูหรา ก่อนจะเดินนำเข้าไป คืนนี้ก็คงต้องพักที่นี่ เพราะหมดแรงจะไปหาที่อื่นแล้ว

“เดี๋ยวก่อน!” ทันทีที่คนเฝ้าประตูเห็นทั้งสองคนแต่งตัวซอมซ่อ ทั้งใบหน้าก็มอมแมมผิดกับแขกคนอื่นที่ล้วนแต่มีใบหน้าที่เนียนใส สวมใส่อาภรณ์ชั้นดีก็ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปข้างใน

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าค่าที่พักราคาเท่าใด?” สิ้นคำถามของอีกฝ่าย จุ้นเผิงก็รู้สึกหงุดหงิดแทนผู้เป็นนายจนอยากจะเอาย่ามฟาดบุรุษตรงหน้า แล้วโพล่งออกไปให้รู้แล้วรู้รอดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเป็นผู้ใด

“ไม่ทราบ แต่ข้ามั่นใจว่ามีพอจ่ายแน่นอน” ซือหยวนซาเอ่ยเสียงเรียบ

“หึ...” มุมปากของคนเฝ้าประตูกระตุกขึ้นเบาๆ ก่อนจะเปิดให้ทั้งคู่เข้าไป

“เช่นนั้นก็เชิญ”

ซุ้มประตูเข้าโรงเตี๊ยมว่าหรูหราอลังการแล้ว แต่ข้างในนั้นยิ่งกว่า...

เมื่อแขกคนอื่นเห็นซือหยวนซากับจุ้นเผิงเดินเข้ามาข้างใน ก็มีสายตาหลายสิบคู่จ้องมองมายังพวกเขาด้วยอารมณ์หลากหลาย บ้างก็แปลกใจ บ้างก็ดูแคลน

ไม่ใส่หน้ากากเป็นคนดีกันเหมือนตอนเข้างานสังคมหน่อยหรือ...

ร่างสูงนึกขันในใจ หลายคนเห็นหน้าเห็นตากันในงานเลี้ยงสมาคมพ่อค้าอยู่บ่อยครั้ง แถมพยายามจะเอาบุตรสาวมาเสนอให้แต่งกับเขาผ่านทางซือห้าวโจวกับซือเหลียนฮวาด้วย  ดีที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่เอาด้วย แต่พอเจอเขาในสภาพนี้กลับทำตัวอีกแบบ

ก็ไม่แปลกหรอก... ที่จะจำกันไม่ได้ เพราะตอนงานเลี้ยงเขาก็ไม่ค่อยได้โผล่หน้ามาทักทายผู้ใดสักเท่าไร นอกจากเกาเชียนจือและสตรีบางคนที่ชอบเอาของมาให้เขา…

ซือหยวนซากวาดสายตามองข้ามหัวคนเหล่านี้ไปรอบๆ ก็พบว่าชั้นต้อนรับของโรงเตี๊ยมแห่งนี้กว้างมาก ถึงขนาดจุคนได้ไม่ต่ำกว่าสามสิบคน มีการประดับประดาด้วยโคมจีนและถ้วยชามรามไหต่างๆ เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังพบสิ่งที่สะดุดตาเขามากที่สุด นั่นคือภาพวาดสามภาพที่แขวนอยู่บนผนัง ซึ่งล้วนแต่เป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น...

ร่างสูงจ้องมองพวกมันสักพัก แต่ไม่พูดอะไรออกมา แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะรับแขกตัวใหญ่ที่ทำจากไม้ดำเคลือบสีแวววาว ก่อนจะเอ่ยว่า

“ข้าต้องการห้องพักสองห้อง”

“รับอาหารด้วยไหมขอรับ?” ผู้เป็นเสี่ยวเอ้อร์ถามพลางก้มหน้าจดข้อมูลลูกค้าลงในสมุดบันทึก

“รับ”

“ขอรับ...” ทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป

“นี่คนเฝ้าประตูปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน!?”

เฮ้อ... คิดว่าข้างในจะมารยาทดีกว่าข้างนอกเสียอีก...

“เห็นทีข้าคงต้องรายงานเรื่องพวกนี้ให้เถ้าแก่ของพวกเจ้าได้รู้เสียแล้ว!” ไม่ทันที่ซือหยวนซาจะได้โต้ตอบอะไรก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อหันไปดูก็พบกับบุรุษวัยกลางคนในเครื่องแบบขุนนางสีแดงยืนอยู่พร้อมกับผู้ติดตามอีกห้าคน

“ใต้เท้าฉีโปรดให้อภัยด้วยขอรับ! คราวหน้าจะไม่มีอีกแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ แล้วหันไปสั่งลูกจ้างคนอื่นว่า

“อาหัน อายุน อากัง อาเหลี่ยงไปเตรียมห้องกับอาหารให้คุณชายทั้งสองเดี๋ยวนี้! แล้วก็ค่าที่พักคืนนี้พวกเราไม่คิดขอรับ”

“ขอรับ!!” ลูกจ้างชายทั้งสี่คนรับคำ ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจว่า

ก็ผู้ที่เป็นบุตรชายของเถ้าแก่หรือเถ้าแก่น้อยนั่นแหละ เป็นคนสั่งให้พวกเขาทำเช่นนี้!

ด้านซือหยวนซาก็คิดด้วยความขบขัน

คำว่าคุณชายมาจากไหนกัน!?

“เชิญคุณชายทั้งคู่ทางนี้เลยขอรับ” ลูกจ้างชายสองคนพูดพลางผายมือให้ร่างสูงกับจุ้นเผิง

“มิเป็นไร... ข้าจ่ายได้” ซือหยวนซากล่าวเสียงเรียบ พร้อมกับหันไปค้อมหัวให้ใต้เท้าฉี

“ขอบพระคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือขอรับ” ก่อนจะควักเงินในถุงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก

“เท่านี้คงพอใช่หรือไม่?”

“พอ... ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวพลางรีบใช้สองมือเก็บเงินทั้งที่อีกฝ่ายจ่ายมาแค่ครึ่งหนึ่งของราคาปกติที่เถ้าแก่น้อยตั้งไว้เท่านั้น

“ด้วยความยินดี...” แล้วใต้เท้าฉีก็พูดต่อ

“จริงๆ แล้วเถ้าแก่ซ่งเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นคนใจดี โอบอ้อมอารีมาก แต่เพราะมีงานล้นมือ จึงแบ่งให้บุตรชายช่วยบริหาร ส่วนตัวเองคุมสาขาใหญ่ที่ฉางอัน ลั่วหยางกับเป่ยฟาง นานๆ ทีตัวเถ้าแก่ถึงจะแวะมาดูที่นี่ด้วยตัวเอง ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”

“ขอรับ... ขอบพระคุณนายท่านอีกครั้ง... เดี๋ยวพวกข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ร่างสูงกล่าวพลางค้อมหัวให้อีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามพวกลูกจ้างที่ถือถาดอาหารไปพร้อมกับจุ้นเผิง หลังจากขึ้นบันไดไปสามชั้น พวกเขาก็ได้มาถึงห้องพักของตนเอง ซึ่งอยู่ข้างกัน

หลังจากเอาอาหารไปวางไว้ในห้องของแต่ละคนแล้ว ลูกจ้างทั้งสี่ก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ เมื่ออยู่กันตามลำพัง จุ้นเผิงก็เอ่ยถามผู้เป็นนายว่า

“คุณชายไม่โกรธหรือขอรับ?”

“เจ้าอยู่กับข้ามานาน ย่อมรู้ว่าข้าเป็นอย่างไรจุ้นเผิง” ร่างสูงกล่าวยิ้มๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย ปล่อยให้จุ้นเผิงยืนร่ำร้องในใจเพียงลำพังว่า

ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าท่านเป็นคนเช่นไรตั้งแต่มีคุณหนูเซียวเข้ามานี่แหละขอรับ!

แต่พูดก็พูดเถอะ... คนที่ทำให้คุณชายสามโกรธจนแสดงอาการออกมาได้ก็มีแต่คุณหนูเซียวนั่นแหละ ส่วนใครที่ทำให้คุณชายสามไม่พอใจแต่ไม่พูดอะไร...

คนผู้นั้นก็เตรียมรับการแก้เผ็ดที่เจ็บแสบไว้ได้เลย!!

------------------------------------------------------------------------------------------------------ 

       ภายในห้องพักของซือหยวนซา

       หลังจากกินข้าวและทำธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จแล้ว ซือหยวนซาก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้อง พลางล้วงมือลงไปหยิบแผนที่ในย่ามออกมากางบนโต๊ะ

“ไหนดูซิ ถัดจากเมืองลี้รัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือก็เป็น… เต๋อ...”

พลันร่างสูงก็ชะงักไป ก่อนจะเอื้อมมือมาจับหลังท่อนล่างที่ตอนนี้เริ่มมีอาการระบมตามประสาคนที่ไปไหนมาไหน หากมิใช้วิชาตัวเบาล่องลอยไปตามลมก็นั่งรถม้าที่มีเบาะรองนั่งมาตลอด หนักสุดก็แค่เดินเท้า แต่ร่างกายไม่เคยได้รับการกระทบกระเทือนเช่นครานี้มาก่อน

อูย... รู้งี้ตอนเด็กๆ ที่พี่หยางซีชวนไปขี่ม้าเล่น ข้าไม่น่าปฏิเสธเลย

 

วันนี้นึกอยากประหยัดเวลาจึงทำใจกล้าโดดไปนั่งบนหลังม้ารับจ้างทั้งที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน ไม่ตกลงมาก็บุญเท่าใดแล้ว!

 

Writer:พบคนเอวเคล็ด 1 อัตรา สงสารหรือสมน้ำหน้าดี

เบื้องลึกของน้องหลินหลิง ยุทธภพไร้ใจ แต่ตัวข้าไม่ไร้รัก (ตอนนี้ก็กำลังเพิ่มเติมและแก้ไขเนื้อหาสำนวนภาษาอยู่)

และถ้าใครยังคิดว่าเรื่องนี้ยังฮาร์ดคอร์ไม่สุด ต้องพบกับ หัวเราะทีหลังดังกว่า!! เลยค่า ^_^ ความดราม่าอาจไม่เท่า แต่เนื้อเรื่องไม่เป็นรองใครแน่นอน!

ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ น้า

ปล.สำหรับคนชอบอ่านเรื่องสั้นๆ ปมไม่ซับซ้อนนะคะ

[สามพี่น้องตระกูลหาน] แต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย!

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า