ซูมู่เก๋อมองไปที่สนามหญ้าและขมวดคิ้ว
ใกล้ค่ำแล้ว ในสนามมันมืดมาก เงียบและแปลกๆ ซึ่งเข้ากันไม่ได้กับควันที่ลอยไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ซูมู่เก๋อเปิดประตูรั้ว ไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านอิฐดินเก่าๆสามหลังในสนาม
นางอันให้เงินนางจ้าวและมู่เก๋อเป็นมูลค่าสามเหลียงต่อเดือนเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต นางจ้าวเก็บหนึ่งเหลียงไว้ใช้ส่วนที่เหลือจะแอบเก็บไว้ นางส่งอย่างน้อยสิบเหลียงให้นางจางทุกปี
ซูมู่เก๋อรู้ว่านางจางมีลูกชายสามคนและลูกสาวสองคน แต่งงานกันหมดแล้ว พวกเขามีที่ดินมากกว่าสิบเอเคอร์ นางจ้าวบอกมู่เก๋อว่าลุงของนางไม่ได้ไร้ประโยชน์ ลุงคนที่สามของนางเป็นชาวนา ส่วนลุงอีกสองคนทำงานในเมืองและมีรายได้ทุกเดือน ยิ่งไปกว่านั้นนางจ้าวยังส่งเงินให้พวกเขาทุกปี การสร้างบ้านดีๆ หลายหลังไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยความงงงวย ซูมู่เก๋อผลักประตูห้องโถงเข้าไปและได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรง ทำให้นางขมวดคิ้ว
ห้องเงียบมากจนนางได้ยินเสียงหายใจอ่อนแรงอย่างชัดเจน
มีคนอยู่ข้างใน!
นางหยิบม้วนไฟออกมาและจุดฟางที่พื้น จากนั้นนางก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียงนอนดินเตี้ยๆแบบดั้งเดิม
คนที่นอนอยู่บนเตียงมีผมหงอกและแก้มตอบจมลึก ศีรษะของนางเหมือนโครงกระดูกไม่มีผิวหนังและเนื้อ ผ้าห่มของนางหมดสภาพ สีซีดจางและเหม็นอย่างหนัก
ตั้งแต่นางจ้าวแต่งงานกับซูหลุน นางไม่เคยกลับมาดูนางจางเลย ซูมู่เก๋อจึงไม่แน่ใจว่าคนบนเตียงคือนางจางหรือไม่
ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้า คนที่อยู่บนเตียงสังเกตเห็นและลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทางหมองคล้ำของนาง
“เจ้ามันสารเลว เพื่อรับเงินที่พี่สาวของเจ้าส่งมาที่นี่ทุกปี เจ้าปล่อยให้ข้าใช้ชีวิตของข้าด้วยตัวเอง ไอ้สารเลว!” เสียงที่กลวงพอๆกับเสียงร้องที่แตกออกมาหลอกหลอนในห้องที่ว่างเปล่า
ซูมู่เก๋อไม่ใช่คนเลือดเย็น ดังนั้น นางจึงรู้สึกเศร้ากับหญิงชรามาก
“จ้าวเสี่ยวคุย เป็นลูกสาวคนเล็กของท่านใช่หรือไม่?”
การได้ยินเสียงของซูมู่เก๋อ นางจางเปิดตาขุ่นๆของนางอย่างกว้าง ในที่สุดนางก็เห็นซูมู่เก๋อ แต่ห้องมันมืดเกินไป นางสามารถมองเห็นเพียงร่างบางสลัวๆ
“เจ้า เจ้า....”
“ท่านยาย ข้ามู่เก๋อ หลานสาวของท่าน”
“มู่เก๋อ เจ้าคือมู่เก๋อ....”
นางจ้าวเขียนจดหมายถึงนางจางเพื่อให้นางรู้เกี่ยวกับนางจ้าวและมู่เก๋อ
“ใช่จริงรึ? เจ้าคือมู่เก๋อ?” นางจางรู้สึกตื่นเต้นและจับมู่เก๋อด้วยมือที่ผอมแห้งของนาง
ซูมู่เก๋อจับมือนางเบาๆ “ข้าเองจ้าค่ะท่านยาย ท่านแม่ส่งข้าให้มาดูท่าน นางเพิ่งให้กำเนิดน้องชายของข้า ดังนั้นท่านแม่จึงไม่สามารถกลับมาเยี่ยมท่านยายได้ ท่านยายรอสักประเดี๋ยวนะเจ้าค่ะ ข้าจะกลับมาให้ไว”
ซูมู่เก๋อปล่อยมือนางจางและเดินออกจากลานโล่งของบ้านไป
มืดสนิทและไม่มีใครอยู่ข้างนอก นางไปที่ลานท้ายหมู่บ้าน
ที่ที่เด็กหญิงตัวน้อยส่งนางให้มาที่หมู่บ้านที่อาศัยอยู่
“แม่นาง เจ้า ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่....” เด็กหนุ่มที่เข็นรถมีชื่อว่าฮูเทา ลูกชายคนโตของครอบครัวนี้ เขาเขินอายและเคอะเขินเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ
“ข้าต้องการซื้อของบางสิ่งที่นี่” ซูมู่เก๋อบอกกับเขา
หลังจากนั้นไม่นานซูมู่เก๋อก็กลับไปที่บ้านของนางจางพร้อมกับตะเกียงน้ำมันและตะกร้า
ตะเกียงน้ำมันไม่สว่างมากนัก แต่มันก็สามารถให้แสงสว่างมากขึ้น
“ท่านยาย นี่ของกิน” นางซื้อไข่ต้มสองฟองและตะเกียงน้ำมันและสาวน้อยเอย่าคนนั้นให้ขนมปังนึ่งสองก้อนกับโจ๊กหนึ่งชามกับนาง
นางจางแทบรอไม่ไหวที่จะได้กินโจ๊ก เมื่อเห็นเช่นนั้นซูมู่เก๋อก็รู้สึกทรมานใจ
ถ้านางจางได้รับการดูแลเป็นอย่างดี นางไม่ควรมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้!
นางจางกินโจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปาไปครึ่งลูก ซูมู่เก๋อจึงหยุดป้อนอาหารนาง
เมื่อกินอิ่มนางจางมีแรงเพิ่มมากขึ้น
“ท่านยาย ให้ข้าจับชีพจรท่านดูหน่อย ท่านพ่อของข้าจ้างครูมาสอนข้าและเขาก็รู้บางอย่างเกี่ยวกับยา ข้าจึงได้เรียนรู้อย่างลับๆ”
นางจางให้ความสำคัญกับซูมู่เก๋อมากจนนางไม่สงสัยในสิ่งที่หลานของนางพูด
ซูมู่เก๋อรู้สึกได้ถึงชีพจรนางจาง ชีพจรอ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่านางกำลังจะตาย มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าความเจ็บป่วยของนางจางเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
นางเปิดผ้าห่มและเห็นขาของนางจางที่เนื้อเน่า นางจางถึงกับกำผ้าห่มไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีของนาง
เมื่อมู่เก๋อเข้ามาใกล้ นางก็สามารถเห็นตัวหนอนที่ดิ้นได้!
“บ้าเอ้ย!”
ในขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง
31/3/2564