Your Wishlist

Covid-19 มะรุมมะตุ้มรุมรัก (nc18+) (บทที่ 99 : กำแพงสีเลือด)

Author: L.sunanta

ความรักหลากอารมณ์ที่ดอมดมอยู่กลางดงโรคระบาดโควิด-19 เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน แฟนที่ไม่ใช่แฟน งานนี้ไม่มี "กามเทพ" มีแต่ "กามรมณ์" ในกมลสันดาน

จำนวนตอน :

บทที่ 99 : กำแพงสีเลือด

  • 26/01/2565

แสงอาทิตย์ยามบ่ายเริ่มคล้อยแสงเปลี่ยนเป็นโพล้เพล้ ในยามใกล้ค่ำต่างเป็นที่รู้กันว่าพวกมันจะได้เปรียบ! กิจวัตรประจำวันของชาววิลเลจจึงเป็นการรีบเข้าเรือนนอน ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย เพราะพลังงานทั้งหมดจะถูกถ่ายโอนไปที่หน้ากำแพง!!!

.

เจนิสเดินคอตกหงอยเหงาออกมาจากคลังอาวุธ เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกได้ว่าได้สูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่บุคคลภายนอก อำนาจของเธอกำลังถูกริดรอน และแพรวเองก็อยู่ไกลเกินกว่าจะรับรู้ปัญหานี้ ชาววิลเลจในคลังอาวุธไม่เคารพเจนิสอีกต่อไปแล้ว พวกเขาทุ่มใจให้แก่กลุ่มทหารรับจ้างจาก AP และยอมให้พวกนั้นเป็นคนบริหารจัดการคลังแทนทั้งหมด

.

ด้วยความสัตย์จริงว่ามันยากที่จะปฏิเสธ.. เจนิสไม่ต่อว่าพวกเขาสักคำเพราะเธอเองก็เห็นพ้องต้องกันว่านวัตกรรมที่นำมาให้นั้นช่างแสนวิเศษ มันเหมือนกับเคสคุณหมอที่เรือนพยาบาลไม่มีผิด! เธอทำได้เพียงพูดประโยคเดียวกับคุณริว จิตสัมผัสที่ว่า “เรื่องนี้เจนิสจะไม่ยุ่ง” เพราะมันอยู่เหนือขีดความสามารถของเด็กอย่างเธอไปแล้ว! และถ้าหากสิ่งนี้จะดีต่อวิลเลจแล้วล่ะก็… เธอเองก็ควรจะปล่อยให้มันเป็นไป ไม่มีประโยชน์ใดที่จะไปหวงอำนาจของตนเอาไว้

.

ร่างบางแหงนมองดูดวงตะวันที่ใกล้จะลับสันกำแพงจมหาย พลันทำให้ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้พิกัดเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองคือที่ไหนกันแน่!

.

“ใช่สิ! เราจะมาตรวจสอบงานบนกำแพงไม่ใช่เหรอ? ดันเผลอเถลไถลซะได้โถ่เอ๊ย! อะไรที่แล้วไปแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ คลังอาวุธมีคนดูแลใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าพอมีกระสุนให้ยิงแบบไม่จำกัด มันจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยทำมาตลอดยังไง?”

.

“ป่ะ! , ขึ้นไปดูข้างบนกัน!”

.

เหมือนท้อและปลุกใจตัวเองไปพร้อมกัน ในทิศเบื้องหลังสาวมัธยมเริ่มมองเห็นดวงไฟจากวิลเลจทยอยดับแสงลงทีละดวงสองดวง พวกมันไล่ดับตัวเองลงเป็นระยะ เพื่อแจ้งเตือนให้ทุกคนรีบเข้าโรงนอน ก่อนที่สุดท้ายแล้วหลอดไฟสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่และไฟส่องสว่างขนาดมหึมาบนกำแพงจะสว่างโพลงขึ้น!

.

“พรึบ!!!!”

.

ขาวเจิดจ้าตามกำหนดการณ์เช่นนี้ทุกวัน ตามติดมาด้วยคบไฟแบบตะเกียงน้ำมันที่ทยอยลุกโชติช่วงขึ้นเป็นจุดๆ ไล่ไปตลอดแนวสันกำแพง เสริมภาพลักษณ์ให้ป้อมปราการแห่งนี้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ใครเห็นก็ต้องหวาดหวั่นไม่กล้าเข้าใกล้ แพรวใช้กลยุทธ์นี้มาตลอดหลายเดือน แล้วก็เป็นมันนี่แหละที่ช่วยป้องกันผู้ติดเชื้อไม่ให้บุกเข้ามาได้ตราบจนถึงปัจจุบัน

.

แต่ทว่าแม้จะดูเพอร์เฟ็กต์ขนาดนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้เจนิสเห็นถึงความผิดปกติอยู่! ตัวเธอที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนบันไดเชือกอยู่แล้วก็เลยต้องรีบป่ายปีนให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้เช็คดูว่ามันคืออะไร…ใช่อย่างที่สังหรณ์ใจไว้รึเปล่า?

.

"ฮึบ! , ฮึบ! , ฮึบ! , ฮึบ! , ฮึบ!"

.

"เฮือกกกก!!!"

.

ออกแรงกระเถิบตัวอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดมือเรียวก็ป่ายปีนจนขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของกำแพงได้ มันเป็นกำแพงไม้ไผ่ไม่ใช่กำแพงหินเฉกเช่นปราสาทราชวัง แถมข้างบนก็มีลักษณะเป็นทางเดินแคบๆ ที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ที่ถักสานกันเท่านั้น ความกว้างน่าจะราว 1 วากับอีก 2 ศอก เรียกได้ว่าพอให้เดินสวนกันได้คราวล่ะสองคนไม่ขาดไม่เกิน

.

และความผิดปกติแรกที่เจนิสรับรู้ได้บนนี้ก็คือ มีทหารชุดดำยืนยามอยู่เต็มไปหมด! พวกเขากระจายตัวเว้นระยะห่างกันเป็นช่วงๆ ต่างคนต่างคอยกระชับปืนพลันเล็งลงไปยังพื้นดินด้านล่าง ดุจดั่งกำลังใช้กลยุทธ์ Protect Tower ในเกม RPG กับสถานที่แห่งนี้อยู่

.

จุดแปลกที่สองคือ พวกเขาแต่ละคนล้วนใส่แว่นตาไนท์วิชชั่นที่มีฟังค์ชั่นในการมองเห็นในที่มืด เพราะฉะนั้นตลอดทั้งแนวกำแพงจึงค่อนข้างที่จะแน่นหนามาก โอกาสที่จะมีผู้ติดเชื้อจากภายนอกบุกเข้ามาได้จึงยากที่จะเกิดขึ้น แค่แมลงตัวเดียวพวกเขายังมองเห็น นับประสาอะไรกับผู้ติดเชื้อตัวเบ่อเร่อยิงยังไงก็ไม่น่าพลาด!

.

และจุดแปลกที่สามซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก็คือ บนนี้มีผู้สั่งการอยู่หนึ่งคน หากยังจำกันได้เขาก็คือหัวหน้าทีมทหารรับจ้างที่คอยประชุมแผนร่วมกับมิวท์อยู่ตลอดนั่นเอง ที่เซฟเฮาส์ก็คือเขา , บนเฮลิคอปเตอร์ก็ใช่ , ลากยาวมาจนถึงที่นี่ที่ทั้งทุรกันดารและขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวก เขาอยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีดำเหมือนคนอื่นแต่เสียงดังกว่าใครๆมาก วิทยุตรงหัวไหล่แทบจะร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เพราะต้องคอยฟังรายงานความเคลื่อนไหว และวอร์ออกคำสั่งไปตามจุดต่างๆ

.

ดูท่าทางแกจะเครียดอยู่พอตัว เพราะเป็นคนเดียวในทีมเลยก็ว่าได้ที่ถอดหมวกไหมพรมออก จนเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยผดเหงื่อแห่งความหวั่นวิตก!

.

และแล้วจู่ๆ แกก็ตะคอกขึ้นมา!

.

“ห๊า!!! , โดนเล่นงานงั้นเหรอ?!… จากตรงไหนรายงานมาซิ!”

.

/ซ่าาาาาาาา , ซู่ , ซ่าาาาาาาาา/

(ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ)

.

เสี้ยวอึดใจต่อมาในทิศอุดรเบื้องหน้าเฉียงลงไป 45 องศาห่างจากแนวกำแพงราว 50 เมตร ภายใต้เงาตะคุ่มตรงบริเวณชายป่า ทุกคนก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ที่คืบคลานออกมาอย่างแช่มช้า… พวกมันแหวกต้นไม้ใบหญ้าให้ล้มครือพับลงเป็นทิวแถว... พร้อมกับการขย่อนเอาเศษชิ้นส่วนมนุษย์ออกมาจากลำคอ...!

.

“โฮ๊กกกก…กก…ก , กรรรร , กรรรรร , โฮ๊กกกก!!!”

“อ๊วกกกกกกก!!!!”

.

แขนไปทางขาไปทางกระดูกติดเนื้อ เศษหนังพันกันอีรุงตุงนังอยู่กับเสื้อผ้าสีดำสนิท มีแม้กระทั่งเศษปลอกกระสุนที่พวกมันถ่มถุยออกมา!

.

มันคือกลุ่มผู้ติดเชื้อโดยไม่ต้องสืบ! หัวหน้าหน่วยรีบวิทยุสั่งให้คนฉายสปอร์ตไลท์หันดวงไฟไปที่นั่นทันที! ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่เจ้านี่จะกินพลังงานไฟฟ้าของทั้งหมู่บ้านเข้าไป เพราะแสงเจิดจ้าจากตัวมันได้ฉาบเคลือบไปยังจุดที่ต้องการได้อย่างสว่างไสวราวกับแสงจากดวงอาทิตย์ เผยให้เห็นศพของทหารรับจ้างที่โดนคาบและฉีกกินอย่างมุมมาม! พวกผู้ติดเชื้อเขมือบร่างเขาด้วยความหิวโหย ก่อนที่จะพากันเหลือบมองมาทางดวงไฟเป็นตาเดียวกัน! พลันกระโจนเข้าหาหวังจะปะทะ!!!

.

“โฮ๊กกกกก!!! , โคร่งงงงงง!!!, โคร่งงงงงง!!!ๆๆๆ , โคร่งงงงงงง!!!!”

.

เยอะมากๆ เยอะเหี้ยๆ เยอะกว่าที่เคยสู้มาตลอด 2 วันหลัง! สัญญาณสั่งยิงจึงเกิดขึ้นทันที! ปากกระบอกปืนนับ 40 กระบอกยิงปูพรมสาดลงไปข้างล่างราวกับห่าฝน! พวกเขาระดมยิงๆๆๆๆ! แล้วก็ยิงๆๆๆๆๆ! จนฝูงผู้ติดเชื้อร่วงกราวเป็นทิวแถว อย่างที่บอกว่าทุกคนสวมแว่นไนท์วิชชั่นกันหมด ทำให้กระสุนแต่ละนัดแทบจะไม่พลาดเป้าเลย ทักษะอันดีเยี่ยมบวกกับประสบการณ์ที่เคยสู้กับพวกมันในเมืองหลวงมาก่อน ทำให้ศึกครั้งนี้เหมือนจะจบเร็ว!

.

เจนิสยืนดูอยู่ห่างๆ เธอหยิบเอาคันศรกับลูกธนูที่วางกองทิ้งไว้แถวนั้นมาขึ้นสายเตรียมเอาไว้ ไม่! ไม่ใช่เพื่อป้องกันตัวเอง! แต่เพราะเธอรู้ต่างหากว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง!? เธอรู้ในเสี้ยวอึดใจว่ากลยุทธ์ Protect Tower แบบนี้มันไม่ได้ผล! ทหารกลุ่มนี้ประมาทเกินไป ลูกทีมที่ถูกขย้ำอยู่เบื้องล่างนั่นไงคือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าพวกเขาไม่แกร่งพอ!

.

ด้วยความสัตย์จริงว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วิลเลจไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึกทึกครึกโครมขนาดนี้มาก่อน กลยุทธ์ของแพรวสอนให้แนวหน้าทุกคนใช้ความเงียบ เพราะแพรวรู้ว่าถ้าตกตอนกลางคืนพวกมันจะได้เปรียบ! พวกมันจะถึกขึ้นแกร่งขึ้นและปราดเปรียวว่องไว มิหนำซ้ำสัญชาตญาณความกลัวตายแบบคนก็จะหมดไป! ซึ่งตรงนี้แหละที่น่ากลัว!!!

.

กำแพงสูงเริ่มสั่นไหว! ฝูงผู้ติดเชื้อเข้าประชิดแนวกำแพงได้! และบางส่วนก็ตวัดแขนไปด้านหลังเพื่อสะบัดเอากงเล็บที่ยาวเฟื้อยราวกับวูล์ฟเฟอรีนออกมา... พวกมันพยายามปีน!!!

.

จากมุมมองคนนอกเจนิสมองเห็นทีมงานวิลเลจเดิมเริ่มเข้ามามีบทบาท จากแต่ก่อนที่เคยเป็นกองกำลังอาสาผลัดเวรยามขึ้นมาเฝ้าตรงนี้ด้วยลูกธนูไฟ บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อก! การสลบไป 3 วันของเจนิสทำให้พวกเขาถูกสั่งปลดอาวุธแบบเดิมทิ้งท้ังหมด! แล้วหันมาคอยสนับสนุนพวก AP ด้วยการทำหน้าที่เป็นพลลำเลียงกระสุนแทน!

.

กระสุนจากคลังอาวุธถูกส่งต่อกันขึ้นมาเป็นเข่งๆ ภายใต้บรรยากาศด้านในวิลเลจที่หลับไหลเงียบสงบไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่หารู้ไ่ม่ว่าที่ด่านหน้าตรงกำแพงกำลังสุดจะตรึงเครียด! ชาววิลเลจราว 20 ชีวิตปีนกำแพงขึ้นมานั่งเข้าประจำที่ พวกเขาจะนั่งอยู่ด้านหลังแนวและคอยรับแมกกาซีนเปล่าจากทหารที่ยิงเสร็จแล้ว กลับเข้ามาบรรจุกระสุนใหม่แล้วก็ส่งกลับคืนไป ทำแบบนี้แล้วก็ทำเท่านี้เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างอื่น

.

ทำเอาเจนิสถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก… ไม่มีใครสนใจเธอเลย! เช่นกันกับเหล่าอาวุธยุทโธปกรณ์แบบเก่าทั้งหลายที่ถูกวางทิ้งไว้บนนี้อย่างไร้เยื่อใย ดาบเอย , ธนูเอย , หน้าไม้เอย , แม้แต่ระเบิดขวดที่มีจุกก๊อกเป็นผ้าชุบน้ำมันก็ถูกวางทิ้งไว้บนนี้ราวกับไม่เห็นคุณค่า

.

เธอก็เลยสบถขึ้น!

.

“เฮ๊อะ! คอยดูแล้วกันเชื่อฉันเถอะว่าพวกคุณต้านมันไมไหวหรอก!”

“รอให้ถึงเวลาของฉันก่อนเถอะ.. ด้วยอาวุธที่พวกคุณไม่เห็นคุณค่านี่แหละ.. ฉันคนเดียวก็เอาอยู่คอยดู…!”

.

.

หัวหน้าหน่วยยังคงเหงื่อนองท่วมใบหน้า รายงานความเสียหายยังคงวิทยุเข้ามาไม่หยุดหย่อน แล้วแกจะเอาเวลาไหนไปฟังเจนิส… ต่อให้เธอจะตะโกนจนสุดเสียงเขาก็ไม่ได้ยิน! หูเขาได้ยินแต่เสียงคำรามของพวกข้างล่างที่ดังยิ่งกว่าเสียงปืนซะอีก!!!

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า