Your Wishlist

ยอดนักแต่งหน้าทะลุมิติ (ตอนที่ 9 : แสดงฝีมือ (edited))

Author: TealChair แปล

หลีโม่เมคอัพอาร์ติสสาวชั้นนำทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวใช้ที่ถูกพ่อค้าทาสนำตัวมาขาย ณ หมู่บ้านชนบทในยุคโบราณ บุรุษที่ซื้อตัวนางมายากจนทั้งยังขาพิการ ยังมีเจ้าก้อนแป้งน้อยพ่วงด้วยอีกหนึ่ง เมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้มีชีวิตอีกครั้ง นางจะต้องใช้ฝีมือและความสามารถที่มีในชาติก่อนหาเงินเพื่อให้ครอบครัวในชาตินี้ของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!

จำนวนตอน : 92 ตอนจบ

ตอนที่ 9 : แสดงฝีมือ (edited)

  • 17/09/2564

ตอนที่ 9 แสดงฝีมือ

 

หลีโม่ไม่พูดอะไรให้มากความ และเริ่มลงมือทำงานของตนทันที

 

นางบอกให้ฉินฮวาล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จากนั้นนางก็ใช้นิ้วแตะเนื้อ‘ครีมเสริมความงาม’ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แล้วทาเกลี่ยทั่วทั้งใบหน้าของฉินฮวาอย่างพิถีพิถัน โดยตั้งใจลงเนื้อครีมบนรอยแผลเป็นมากกว่าบริเวณอื่นเล็กน้อย

 

หลังจากที่เนื้อครีมถูกดูดซึมลงไปบนผิวหน้าแล้ว หลีโม่ก็ใช้แป้งทาหน้าที่ซื้อมาเมื่อวานนี้ทาเกลี่ยบนใบหน้าของฉินฮวาอย่างสม่ำเสมอกันทั่วทั้งหน้าโดยทาแป้งเพียงบางๆ ในปริมาณน้อย มีเฉพาะตรงรอยแผลเป็นเท่านั้นที่หลีโม่ลงแป้งให้หนาขึ้นเพื่อจะกลบรอยแผล ถึงตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าของฉินฮวามีเพียงรอยแผลเป็นเท่านั้นที่ขาวเด่นชัดขึ้นมาจนดูไม่เป็นธรรมชาติ

 

คนที่ล้อมวงดูอยู่เมื่อเห็นรอยขาวนี้ต่างก็รู้สึกประหลาดใจและหันไปมองที่หลีโม่อย่างสงสัย

 

หลีโม่ไม่ใส่ใจกับสายตาที่มองมา นางตั้งสมาธิกับการเคลื่อนไหวมือของตน นางใช้ผงคิ้วมาเขียนคิ้วอย่างประณีต จากนั้นก็ลงผงคิ้วที่นำมาผสมแป้งสร้างแสงเงาบนใบหน้าเพื่อให้หน้าดูมีมิติและดูอ่อนหวาน ในส่วนของดวงตานางใช้แป้งชาดและผงเขียนคิ้วมาทา หลังจากแต่งเสร็จแล้วนางก็นำครีมเสริมความงามของตนออกมาอีกครั้ง โดยเริ่มแต้มลงบนจุดรอยแผลเป็นก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ทาเกลี่ยไปทั่วใบหน้าอีกครั้งหนึ่ง

 

ขั้นตอนต่อไปนี้สำคัญมาก นั่นคือการใช้นิ้วตบกดเบา ๆ บนใบหน้าของฉินฮวาซึ่งเป็นทักษะพิเศษของหลีโม่ เพื่อที่เนื้อครีมและแป้งแต่งหน้าจะได้ผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน และยังทำให้เครื่องสำอางติดทนและดูเป็นธรรมชาติด้วย

 

สิ่งที่ผู้อื่นมองเห็นคือ หลีโม่ใช้นิ้วเรียวบางของตนขยับขึ้นลงไปมา บางครั้งก็แตะลงบนใบหน้าเบาๆ บางครั้งก็คลึง บางครั้งก็กด บางทีก็ใช้วิธีตบลงเบาๆ หลักๆ แล้วพวกนางไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าหลีโม่กำลังทำอะไรอยู่

 

จนกระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป หลีโม่ก็ยืดตัวขึ้นแล้วถอนใจโล่งออกมา

 

การลงแป้งแต่งหน้าหลักๆ ได้เสร็จแล้ว

 

ในตอนท้ายหลีโม่ทาชาดบางๆ ลงบนริมฝีปากของฉินฮวา  หลังจากนิ่งคิดชั่วครู่หลีโม่ก็ปล่อยผมที่เกล้าไว้ของฉินฮวาลง จากนั้นก็เกล้าผมเป็นทรงมวยเทพเหิน(1)ให้ ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

หลีโม่หยุดมือแล้วพิจารณาผลงานของตนอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างรู้สึกพอใจอยู่ภายใน

 

ถึงแม้ของที่ใช้จะเป็นของเรียบง่ายธรรมดาที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เลวเลย นับว่าความพยายามในครั้งนี้ของตนไม่สูญเปล่า

 

หลีโม่ขยับตัวหลบออกมาด้านข้าง เพื่อให้ผู้ที่ยืนรอบตัวนางซึ่งกำลังรอดูผลลัพธ์อย่างกระตือรือร้นได้เห็นใบหน้าของฉินฮวาชัดๆ

 

ก่อนหน้านี้ฉินฮวาถูกหลีโม่บังตัวไว้จึงมองเห็นนางได้ไม่ชัดเจนนัก ตอนนี้เมื่อหลีโม่ขยับออกไป โฉมหน้าของฉินฮวาก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคน ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแสดงความประหลาดใจดังขึ้น

 

ในยามปกติแล้วฉินฮวามีรูปโฉมแบบเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ใบหน้าของนางมีรอยแผลเป็น

 

ทว่านางในยามนี้กลับมีดวงตาใสกระจ่าง ฟันขาว คิ้วโก่ง ใบหน้างดงามอ่อนหวาน นัยน์ตาสวยคู่นั้นกำลังมองตรงไปข้างหน้า ช่างดูเป็นหญิงสาวที่งดงามนัก

 

ส่วนรอยแผลเป็นที่ก่อนหน้านี้ทุกคนเป็นกังวล กลับมองไม่เห็นร่องรอยของมันอยู่เลย

 

หยางหลันฮวาถึงกับขยับเข้าไปใกล้ๆ อย่างประหลาดใจแล้วเอื้อมมือไปแตะรอยแผลเป็นบนใบหน้าของฉินฮวาดู เมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่สม่ำเสมอกันของผิวหน้า นางก็ตระหนักได้ว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้าของน้องสามีไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง

 

“ท่านแม่ ข้ามองไม่เห็นรอยแผลเป็นเลยจริง ๆ เจ้าค่ะ” หยางหลันฮวาเรียกอาสะใภ้จ้าวน้ำเสียงตื่นเต้น

 

อาสะใภ้จ้าวเฝ้ามองอยู่นานแล้ว ตอนนี้ดวงตาของนางแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น เสียงตะโกนของลูกสะใภ้คนโตทำให้นางอดใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป นางรีบก้าวเข้าไปดูใบหน้าของฉินฮวาด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจและพูดชื่นชมไม่หยุดปาก

 

ฉินฮวาเห็นสายตาประหลาดใจของทุกคน ได้เห็นมารดากับพี่สะใภ้ใหญ่แสดงความตื่นเต้นออกมา ความวิตกกังวลที่กดทับอยู่ในใจนางก็พลันสลายไป มีแต่ความปีติยินดีหลั่งไหลออกมา สำเร็จ! สำเร็จแล้ว! ตอนนี้ไม่มีเรื่องใดให้ต้องวิตกอีกแล้ว นางรีบไปหยิบคันฉ่องมา

 

เมื่อเห็นเงาสะท้อนใบหน้าของตนเอง ฉินฮวาก็ตกตะลึง

 

นี่คือตัวนางหรือ? เมื่อใดกันที่นางงดงามได้เช่นนี้?

 

มือที่สั่นไหวของนางยกขึ้นสัมผัสรอยแผลเป็นที่ติดอยู่ในใจของนางมานานหลายปีดั่งต้องการจะยืนยันกับสิ่งที่เกิดขึ้น  แผลเป็นยังอยู่ทว่ามองไม่เห็นแล้วจริง ๆ!

 

ดวงตาของฉินฮวาแดงก่ำ นางหันหน้าไปมองที่มารดาของตน “ท่านแม่ นี่คือใบหน้าข้าจริง ๆ ข้ามองไม่เห็นรอยแผลอีกแล้ว ท่านแม่ ช่างวิเศษยิ่งนัก”

 

อาสะใภ้จ้าวที่ตาแดงระเรื่อพยักหน้ารับพร้อมกับเข้าไปกอดตัวลูกสาวคนเล็กของตนและตบหลังปลอบขวัญเบาๆ “ใช่ ใช่แล้ว มองไม่เห็นมันอีกแล้วจริง ๆ เจ้าดูงดงามนัก ตอนนี้ไม่เป็นอะไรอีกแล้ว”

 

มารดาและบุตรสาวต่างก็กอดกันร่ำไห้

 

เมื่อเห็นความตื่นเต้นดีใจของคนบ้านจ้าว หลีโม่ยกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างอดไม่ได้

 

ดียิ่ง ทักษะฝีมือของนางยังคงทำให้ผู้คนมีความสุขได้แม้แต่ในยุคโบราณเช่นนี้

 

เวลานี้พี่สะใภ้รองของฉินฮวาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ไม่สามารถทนยืนนิ่งๆ ได้อีกต่อไป นางเข้ามาแตะปลอบอาสะใภ้จ้าว “ท่านแม่ หยุดร้องไห้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรายังต้องขอบใจน้องหลีโม่เสียก่อน น้องหลีโม่ยืนรออยู่ที่นี่นานแล้วนะเจ้าคะ”

 

พอได้ยินเสียงเตือน อาสะใภ้จ้าวกับฉินฮวาจึงคืนสติจากอาการตื่นเต้นของตนเอง อาสะใภ้จ้าวตบต้นขาพลางบ่นว่า “ดูข้าสิ มีความสุขจนเลอะเลือน ลืมหลีโม่ไปจริง ๆ” นางดึงมือหลีโม่มาจับเอาไว้แล้วเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “หลีโม่ อาสะใภ้ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆ ตอนนี้หนามคมที่ทิ่มตำอยู่ในใจของอาสะใภ้ได้หายไปหมดแล้ว”

 

ฉินฮวาก็กล่าวย้ำด้วยว่า “พี่สะใภ้ ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณท่านอย่างไรดี ท่านทำให้ข้าดูดีนัก ข้าไม่เคยรู้เลยว่าตนเองจะงดงามได้ถึงเพียงนี้”

 

หลีโม่ยิ้มพลางส่ายศีรษะพลางตบเบาๆ ลงบนมือของอาสะใภ้จ้าวและฉินฮวา “อาสะใภ้ ท่านกับฉินฮวาไม่ต้องขอบใจข้าอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ ปกติท่านคอยช่วยเหลือดูแลต้าซานกับเสี่ยวเป่ามาตั้งมาก ข้าดีใจมากที่ได้ช่วยน้องฉินฮวาเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

อาสะใภ้จ้าวพยักหน้า “ตกลง อาสะใภ้ไม่พูดอะไรอีกแล้ว แต่อาสะใภ้จะจดจำเอาไว้ในใจ” หลังจากนั้นนางก็กล่าวต่อว่า “อาสะใภ้มีเรื่องขอร้องเจ้า วันแต่งของฉินฮวา ต้องคงลำบากเจ้ามาแต่งหน้าให้ฉินฮวาแล้วละ”

 

หลีโม่ย่อมตอบตกลง

 

ในตอนที่ครอบครัวหลีโม่จะลากลับบ้าน อาสะใภ้จ้าวได้จับมือหลีโม่เอาไว้ “อย่าเพิ่งกลับเลย อยู่กินข้าวกลางวันที่บ้านอาสะใภ้ก่อน ให้อาสะใภ้ได้ขอบใจเจ้า”

 

หลีโม่รีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “อาสะใภ้ ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

 

อาสะใภ้จ้าวไม่ฟังเสียง จะอย่างไรก็ไม่ยอมให้หลีโม่กลับบ้าน “แค่ชากับอาหารมื้อเบา ๆ เท่านั้น จะอยู่กินไม่ได้ได้อย่างไร? หรือว่าเจ้าจะรังเกียจบ้านอาสะใภ้ที่ไม่มีอาหารดีๆ มาเลี้ยงต้อนรับเจ้า?”

 

“อาสะใภ้พูดอะไรเช่นนั้น พวกข้าจะรังเกียจอาหารของท่านได้อย่างไรเจ้าค่ะ”

 

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้รังเกียจ เช่นนั้นก็อยู่กินข้าวที่บ้านข้าก่อน ไม่เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้ารังเกียจบ้านข้า”

 

หลีโม่หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก แม้ว่านางจะรู้ว่านี่เป็นเพียงวิธีการแกล้งทำเป็นแข็งกร้าวที่อาสะใภ้จ้าวทำเพื่อให้นางอยู่กินอาหารด้วย แต่นางก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดีจึงหันไปมองซ่งต้าซานหวังให้เขาช่วยออกหน้าให้

 

ซ่งต้าซานเห็นสายตาของหลีโม่ก็ตบแขนนางเบา ๆ “ในเมื่ออาสะใภ้จ้าวอยากให้อยู่ เช่นนั้นก็อยู่กินอาหารที่บ้านอาสะใภ้กันก่อนเถิด”

 

เมื่อได้ยินดังนั้นอาสะใภ้จ้าวก็พยักหน้า “ใช่ไหมเล่า? เจ้าจะเกรงใจอะไรกับอาสะใภ้?” ถึงเวลานี้นางก็หันไปสั่งเหล่าลูกๆ สะใภ้ของตน “พวกเจ้าไปเก็บผักที่สวนมา ฉินฮวา เจ้าไปเอาเนื้อหมูแตกแห้งที่เหลือจากเมื่อวันก่อนมา ตอนกลางวันเอามาผัดกับต้นกระเทียมเสีย”

 

ฉินฮวาได้ยินก็รับคำและรีบเดินไปทันที

 

พอเห็นภาพเหล่านั้นแล้ว หลีโม่รู้สึกว่าตนไม่ควรจะปฏิเสธ นางจึงไม่พูดอะไรอีก แค่ดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วออกไปช่วยเก็บผักในสวน

 

ตอนทำอาหาร หลีโม่ก็ตามเหล่าสะใภ้บ้านจ้าวเข้าไปช่วยทำด้วย คุยกันไปทำงานไป ไม่นานพวกนางก็เริ่มคุ้นเคยกัน หยางหลันฮวาถึงกับขอให้หลีโม่ช่วยแต่งหน้านางให้ดูเหมือนเซียนสาวให้ด้วย ทำเอาทุกคนในห้องครัวต่างก็หัวเราะขบขันออกมา

 

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ทุกคนในบ้านจ้าวทั้งคนหนุ่มคนชราที่ออกไปทำงานข้างนอกก็กลับเข้ามา ทุกคนไม่ได้มีความรู้สึกกระดากต่อกันมากนัก พากันนั่งล้อมโต๊ะตัวใหญ่กินอาหารร่วมกัน

 

พอได้เห็นใบหน้าของฉินฮวา ท่านพ่อจ้าวที่ปกติเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจาก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าชอบใจออกมา

 

จ้าวฉางปังพี่ชายรองของฉินฮวาและซ่งต้าซานนั้นเติบโตมาด้วยกัน พวกเขาสามารถแบ่งปันกางเกงใส่ร่วมกันได้ จ้าวฉางปังเป็นคนร่าเริงและมีอารมณ์ขัน เวลานี้เขาหันไปยกนิ้วให้กับซ่งต้าซาน “ต้าซาน ภรรยาเจ้าน่าทึ่งนัก เจ้าได้พบขุมทรัพย์แล้วละ”

 

ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกคนก็หัวเราะขึ้น หลี่เสี่ยวเฟิงภรรยาของจ้าวฉางปังตีเขาอย่างโกรธเคืองพลางตำหนิว่า “เจ้าคนหยาบคาย ระวังคำพูดเจ้าด้วย!”

 

จ้าวฉางปังเกาศีรษะของตนและกล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ข้าชื่นชมจริงๆ นะ ดูสิว่าน้องสะใภ้ทำให้ฉินฮวาของพวกเรางดงามราวกับเทพธิดาทีเดียว”

 

ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฝีมือการแต่งหน้าของหลีโม่ช่างน่าเหลือเชื่อนัก

 

อาสะใภ้จ้าวพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง ฝีมือของนางน่าทึ่งจริงๆ”

 

เมื่อเห็นทุกคนยกย่องตน หลีโม่ก็หันไปหาอาสะใภ้จ้าวแล้วบอกสิ่งที่นางคิดเอาไว้ “อาสะใภ้ ที่จริงข้ามีแผนอยู่ในใจเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วย”

 

อาสะใภ้จ้าวเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “มีเรื่องอะไร เจ้าพูดออกมาเถิด”

 

หลีโม่เหลือบมองไปที่คนในครอบครัวจ้าวแล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “อาสะใภ้ ท่านก็ได้เห็นฝีมือการแต่งหน้าของข้าแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีใบหน้าอัปลักษณ์สักแค่ไหนข้าก็สามารถทำให้ดูดีขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงอยากจะใช้วิชาการแต่งหน้าของข้าหาเงินเลี้ยงชีพ ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมเจ้าคะหากว่าข้าจะหาเงินจากการแต่งหน้าให้เจ้าสาว?”

 

คนในครอบครัวจ้าวนิ่งเงียบไปชั่วขณะหลังได้ยินคำพูดของหลีโม่ ด้วยเหตุที่นอกเหนือจากหญิงที่ช่วยแต่งตัวให้กับเจ้าสาวแล้ว พวกเขายังไม่เคยเห็นผู้ใดแต่งหน้าให้กับเจ้าสาวเป็นการเฉพาะมาก่อนเลย ยังไม่พูดถึงว่าเป็นผู้ที่มีอายุน้อยอีกต่างหาก ต้องรู้ว่าหญิงที่ช่วยแต่งตัวให้เจ้าสาวทั้งหมดล้วนอายุมากกว่า 40 ปีกันทั้งนั้น

 

ทว่าเมื่อขบคิดดูแล้ว ทุกคนต่างก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลีโม่มีฝีมือการแต่งหน้าที่ยอดเยี่ยม ซึ่งดีกว่าผู้ที่ทำได้แต่แต่งหน้าให้ออกมาขาวเพียงอย่างเดียวมากนัก หากว่าพวกตนได้เป็นเจ้าสาวเองแล้ว ย่อมจะเลือกหลีโม่มาแต่งหน้าให้ตนเช่นกัน สตรีที่หน้าตาไม่งดงามยามเมื่อจะแต่งงาน ย่อมต้องหวังให้มีใครสักคนสามารถมาแต่งหน้าให้ตนดูงดงามขึ้นมาได้ในวันแต่งงาน เช่นนั้นก็จะสามารถสร้างความประทับใจต่อหน้าคนในตระกูลของสามีตนได้ ดังเช่น ฉินฮวา เป็นต้น

 

อาสะใภ้จ้าวก็คิดเช่นเดียวกัน นางจึงพยักหน้ารับปากทันที “นี่เป็นความคิดที่ดี ด้วยฝีมืออย่างเจ้า ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะไม่มีผู้ใดจะให้เจ้าไปแต่งหน้าให้”

 

ได้ยินเช่นนั้น หลีโม่รู้สึกดีใจมากและมั่นใจมากขึ้นด้วย “อาสะใภ้ ท่านรู้จักผู้คนมากมาย ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยถามดูให้ข้าด้วยว่าที่ใดมีเจ้าสาวที่อยากจะหาคนไปช่วยแต่งหน้าให้บ้าง เมื่อถึงเวลานั้นท่านช่วยเอ่ยปากแนะนำถึงข้าให้ด้วยนะเจ้าค่ะ”

 

อาสะใภ้จ้าวพยักหน้ารับทันทีโดยต้องไม่คิด “เป็นเรื่องง่ายดายมาก อาสะใภ้จะคอยดูให้เจ้า” จากนั้นนางก็หันหน้าไปหาลูกสะใภ้และฉินฮวาอีกครั้ง “พวกเจ้าก็ใส่ใจถามเรื่องนี้ให้ด้วยนะ ช่วยหลีโม่หาลูกค้าด้วย”

 

สะใภ้บ้านจ้าวต่างก็พยักหน้ารับคำ หยางหลันฮวายังบอกด้วยว่า “ท่านแม่ น้องหลีโม่ฝีมือดีขนาดนี้ ข้าจะช่วยถามๆ ให้ทุกที่เลยเจ้าค่ะ หลังจากข้าแนะนำไปแล้ว พวกเขาจะต้องมาขอบใจข้าแน่ที่แนะนำนางไปให้”

 

อาสะใภ้จ้าวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามกับหลีโม่ว่า “ถ้ามีคนถามถึงราคา เจ้าตั้งใจจะคิดราคาเท่าไหร่กันล่ะ?”

 

หลีโม่ไม่รู้ว่าการแต่งหน้าเช่นนี้ควรจะตั้งราคาที่เท่าไหร่ นางจึงถามเอากับอาสะใภ้จ้าว “อาสะใภ้ ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะตั้งราคาเท่าไหร่ดี ท่านคิดว่าตั้งราคาเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมเจ้าคะ?”

 

เมื่อได้ยิน อาสะใภ้นิ่งคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ปกติแล้วหญิงสาวตามหมู่บ้านจะให้อั่งเปาแก่หญิงที่มาแต่งตัวให้พวกนางราว 10 ถึง 15 อีแปะ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะตั้งราคาตามนี้เช่นกัน ไม่ควรจะมากเกินกว่านี้”

 

หลีโม่พยักหน้า “เช่นนั้น อาสะใภ้ ข้าจะคิดราคาครั้งละ 15 อีแปะเจ้าค่ะ”

 

อาสะใภ้จ้าวพยักหน้าพลางคิดในใจว่านี่เป็นเรื่องสำคัญหลักที่ต้องทำในตอนนี้ นางตั้งใจว่าจะออกไปแนะนำผู้อื่นให้ตามที่หลีโม่พูดขอร้องเอาไว้

.....................................................................

 

(1) ผมมวยเทพเหิน飞仙髻

Credit: https://www.liciwang.com/pic/%E9%A3%9E%E4%BB%99%E9%AB%BB/

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป