ลั่วลั่วซ่อนหน้าไว้ ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของเขา เมื่อเด็กชายหยุดร้องไห้แล้ว คนทั้งสามจึงพากันกลับบ้านพร้อมกัน
บ้านของเฉียวโม่หยูค่อนข้างดูดีทีเดียว บ้านหลังนี้เป็นของคุณปู่แล้วตกทอดมาถึงตัวเธอเมื่อเธอยังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียว ถึงแม้จะถูกขับออกจากตระกูลแล้ว เธอยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปได้
เมื่อทั้งสามก้าวเข้ามาในบ้าน ลั่วลั่วเปลี่ยนมาสวมรองเท้าที่สำหรับใส่ในบ้าน มือเล็กๆคู่นั้นดูขาวนุ่มนิ่มน่ารัก หลังจากวางรองเท้า เด็กชายวิ่งตึงๆไปยังห้องตัวเองพลางทำเสียงประหลาดๆ
ด้วยความกลัวว่าเด็กชายจะเกิดอุบัติเหตุ เฉียวโม่หยูจึงร้องตะโกนด้วยความเป็นห่วง
“เป่าเป้ย วิ่งช้าๆ เดี๋ยวล้ม!”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่ เด็กชายวิ่งไปได้สองก้าวก็หยุดวิ่ง เขาหันหลังกลับมามองเธอแล้วตอบว่า
“ลั่วลั่วโตแล้ว ไม่ล้มหรอก!”
เฉียวโม่หยูหัวเราะ เธอจำได้ว่าในนิยายนั้นตัวละครเฉียวโม่หยูไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกชายของตัวเอง
ความรักที่มีให้ชิงอี้เฉินแทบจะไม่มีหวัง เธอเอาแต่ไล่ตาม พยายามให้เขารับผิดชอบลูกของเธอ เธอจึงไม่มีเวลาเอาใจใส่ลูกชายตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้ทำร้ายลั่วลั่ว แต่ก็ไม่ได้เอาใจใส่ดูแลเด็กชายเท่าที่ควร
เฉียวโม่หยูนึกถึงหลานสาวของเธอในชีวิตก่อนหน้านี้ เธอรักเด็กหญิงตัวน้อยมาก ยามมองดูลั่วลั่ว เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงหลานสาว
ในนิยาย ชิงอี้เฉินปฏิเสธว่าเฉียวซือลั่วคือลูกของเขา ในขณะที่สถานะทางการเงินของเฉียวโม่หยูกำลังถึงขั้นวิกฤต ลั่วลั่วเกิดจับไข้อย่างหนักจากโรคปอดบวมส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในขณะที่แม่ของเด็กชายถูกคุมขังไว้หลายวันเพราะเธอดันไปตีนักข่าว
เมื่อเธอออกจากห้องขังไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับตัวลูกชาย ปรากฏว่าลูกชายของเธอได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว เธอออกตามหาอย่างสิ้นหวัง จวบจนกระทั่งนิยายจบเรื่องก็ไม่ปรากฏว่าพบลูกชายของเธอ
เฉียวโม่หยูรู้สึกเครียดขึ้นมาทันทีที่คิดว่าเด็กชายตัวน้อยจะต้องพบจุดจบที่น่าสงสาร เพราะฉะนั้นเธอต้องคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด
เฉียวโม่หยูเดินไปยังกลางห้องโถงและแสร้งทำเป็นล้ม “โอ้ย เจ็บจัง ถ้ามีใครมาจุ๊บแม่ถึงจะลุกขึ้นได้!”
เด็กชายที่กำลังวิ่งอยู่หยุดกึกทันที เมื่อเห็นแม่ของเขาล้มลงที่พื้น เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ดวงตาเปิดกว้าง รู้สึกสับสนภายในลึกๆ เด็กชายวิ่งโผเข้าหาแม่ของเขา
เด็กชายตัวน้อยเอื้อมมือไปจับที่มือแม่ตัวเองแล้วยืนอยู่ข้างๆเธอโดยไม่ไหวติง
เมื่อเฉียวโม่หยูเห็นใบหน้าเล็กกลมป้อม เธออยากจะหยิกแก้มเด็กน้อย แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้น เธอยื่นแก้มของเธอเข้าไปใกล้หน้าเล็กๆนั้น
ลั่วลั่วจ้องไปยังหน้าแม่ของเขาสองวินาที เด็กน้อยยังคงทำหน้ามุ่ย ท้ายที่สุดเขาก็บรรจงเอาริมฝีปากแตะที่แก้มของเธอ
เฉียวโม่หยูรู้สึกเปียกที่ข้างแก้ม หัวใจของเธอก็พลันร่วงลงพื้น เธอหันหน้าไปทางเด็กน้อยแล้วกระหน่ำจูบไปที่แก้มเล็กๆนั้น
ความรู้สึกสุขสมหวัง หญิงสาวกุมมือลั่วลั่วเอาไว้ เอ่ยอย่างยิ้มๆว่า “ลั่วลั่วช่วยคุณแม่ให้ลุกขึ้นด้วยการหอมแก้ม ช่างเป็นเด็กดีอะไรอย่างนี้!”
เด็กชายตัวน้อยหน้าแดงพลางหันหน้าไปทางอื่น
พี่หยูเข้าไปในห้องครัวเพื่อที่จะทำกับข้าว ในขณะที่เฉียวโม่หยูกำลังเล่นกับลั่วลั่ว
ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น หน้าจอโชว์ว่า ‘พี่อู๋’ คนที่เธอทำงานด้วย
พี่อู๋พูดกับเธอผ่านทางโทรศัพท์ว่า “เฉียวโม่หยู อย่าลืมมาที่สตูดิโอพรุ่งนี้เช้าๆหน่อยนะ พี่จะให้เสี่ยวซูแวะรับเธอประมาณแปดโมงเช้า”
ชีวิตก่อนหน้านี้ เฉียวโม่หยูจะรู้สึกรำคาญหากความเป็นส่วนตัวของเธอถูกรบกวน ในเมื่อเธอมาถึงนี่แล้วแถมพระเอกก็ไม่ได้สนใจใยดี เหตุใดเธอจึงต้องยอมสละชีวิตอันแสนสุขสบายและความเป็นส่วนตัวเพื่อไปเป็นนักแสดง
ดังนั้นเธอจึงรีบปฏิเสธข้อเสนอทันที “พี่อู๋คะ จริงๆแล้วฉันขอบทนี้กับคุณปู่ไปแล้ว แต่ว่า…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบด้วยประโยคว่า ‘ฉันคงไม่เหมาะกับบทนี้’ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเปล่งประกายออกจากข้อมือของเธอ แสงระยิบระยับถูกแทนที่ด้วยสร้อยข้อมือ อัญมณีล้ำค่า
นี่ไม่ใช่สร้อยข้อมือที่หายไปหรอกเหรอ? ทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้?
ชั่วขณะที่เฉียวโม่หยูงุนงง เธอก็รับรู้ถึงเงื่อนไขการข้ามมามิตินี้ในหัวของเธอ เธอต้องช่วยเหลือเจ้าของร่างนี้ให้กลายเป็นราชินีจอแก้วตามความปรารถนาเดิม ถ้าหากไม่ เธอจะตายและไม่สามารถกลับคืนสู่โลกเดิมของเธอ
เฉียวโม่หยูเกือบเป็นลมล้มลงไปด้วยความตกใจ