Your Wishlist

องค์หญิงใบ้ กับ เจ้าชายยาจก (ตอนที่ 4 .. “ อิสระ..เสรี ”)

Author: มัชฌิมา

“ความดี ไม่มีวันหมด ทำไปเถอะ ถึงแม้ว่า มันอาจจะเห็นผลช้าไปนิด แต่ดีกว่าที่เราไม่ได้คิด ไม่ได้ทำอะไรเลย” คำว่า “เจ้าชาย” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า คนผู้สูงศักดิ์ จากชาติกำเนิด แต่เราหมายถึง ผู้ที่มีใจโอบอ้อมอารีย์ นิสัย ชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดย ไม่หวังสิ่งตอบแทน จนทำให้ผู้คนหลายต่อหลายคน ยกย่องให้เป็น เจ้าชายของคนจนๆ จึงเป็นที่มาของการยกย่องให้เป็น “เจ้าชาย ยาจก”

จำนวนตอน :

ตอนที่ 4 .. “ อิสระ..เสรี ”

  • 07/08/2564

ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย องค์หญิงใบ้ กับ เจ้าชายยาจก

   เป็นเพียงความบันเทิงในการฟังเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ รวมถึง เหตุการณ์ของตัวละครในนิยาย เพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านเท่านั้น ไม่ได้มีผลใดๆกับทางการค้าทั้งสิ้น .. ด้วยความเคารพผู้ประพันธ์นิยาย .. มัชฌิมา

ยุ่งเหมือนยุงตีกัน - ธนิสร์-เทียรี่-เป้า

https://youtu.be/22--5SzHc2s

ขอขอบคุณ คุณธนิสร์ คุณเทียรี่ คุณเป้า จาก ค่าย แกแล็กซี่ เอนเตอร์เทนเม้นท์ ที่เอื้อเฟื้อเพลงให้มาประกอบในนิยาย

Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก

ตอนที่ 4 .. “ อิสระ..เสรี ”

   หลังจากที่ใส่บาตรเสร็จ ธวัชก็อาบน้ำแต่งตัว และพอทานมื้อเช้าเสร็จก็ขอตัวไปวัดเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ นกเตรียมปิ่นโตให้ธวัชเหมือนเดิม ธวัชยิ้มและรับไปโดยดีไม่พูดจาอะไร เขาถือปิ่นโตเดินเพลินจนไปถึงวัด และนั่งทำบัญชีให้หลวงตาอย่างขมักเขม่น จนเที่ยงจึงแล้วเสร็จ หลวงตาบุญ เดินมาดูธวัชที่ท่าน้ำ ขณะนั่งทานข้าว

   “เป็นอะไรเจ้าชาย” หลวงตาบุญถาม ธวัชกำลังเพลินๆก็หลุดจากภวังค์

   “ไม่มีอะไรครับหลวงตา” ธวัชตอบแบบยิ้มๆหลวงตาถามถึงปิ่นโตที่ธวัชกอดอยู่ ปากก็เคี้ยวข้าวไปด้วย

   “ท่าทางจะรักมากนะปิ่นโตเถานั้นหนะเจ้าชาย” ธวัช ไม่พูดอะไรมาก ยิ้มแบบเขินๆอย่างเดียว

   “อาตมาได้ยินข่าวมาว่า เจ้าชายมีภรรยาแล้วรึ แหมปิดเงียบเลยนะ สงสัยไอ้ที่กอดอยู่นะ คงของภรรยาซิท่า”

   “มันไม่ใช่อย่างที่หลวงตาคิดหรอกครับ ตอนนี้ผมก็ยังบอกอะไรหลวงตามากไม่ได้ ใครเขาจะพูดจะกล่าวอะไร ตอนนี้ผมก็ไม่สนใจทั้งสิ้นหรอกครับ สักวันความจริงมันก็จะปรากฏขึ้นมาเอง ผมบอกหลวงตาได้แค่เพียงว่า ผมมีแต่ความบริสุทธิ์ใจให้เท่านั้น ใครเดือดร้อนมาผมก็ช่วยทั้งนั้นหละครับ หลวงตาเข้าใจผมนะครับ”

   “เอาเถอะ เจ้าชายนั่นมันเรื่องส่วนตัว อาตมาคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรอก เอาเรื่องของวัดดีกว่านะ แล้วเป็นไงหละ บัญชีเรียบร้อยไหม มีปัญหาอะไรไหม” ธวัช ยื่นบัญชีค่าใช้จ่าย ที่ทำเสร็จให้หลวงตาแล้วก็เก็บปิ่นโตเพราะอิ่มพอดี หยิบสมุดเงินฝากบัญชีธนาคารและห่อเงินใส่กระเป๋า แล้วก็กราบลา เดินไปเฉยๆ

   “เจ้าชาย” หลวงตาบุญ เรียกธวัชอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินพ้นศาลาไป

   “ครับหลวงตา” ธวัช หันมา

   “ลืมอะไรรึเปล่า” ธวัช ก็หันซ้ายขวา ก้มดูรอบตัว สำรวจว่าลืมอะไร หลวงตาชี้นิ้วไปที่ปิ่นโตที่วางอยู่

   “อุ้ย..ลืมเลย มัวแต่เก็บเงินของหลวงเข้ากระเป๋า” แล้วธวัชก็เดินก้มศรีษะ กลับมาเอาปิ่นโตที่ลืมไว้กลับไป

   “เป็นเอามากนะเจ้าชายของฉัน..เอ้อ” แล้วหลวงตาบุญ ก็ยืนยิ้มให้กับความอารีย์ของธวัช

///// ----- /////

   ธวัช มุ่งตรงไปยังธนาคารทันที หลังจากแวะเอาปิ่นโตไปไว้ที่ร้าน ระหว่างทางที่ธวัชเดินไปธนาคาร ก็มีคนสะกดรอยตามมา 2 คน เพราะรู้ว่าธวัชนำเงินของวัดไปเข้าธนาคารเป็นจำนวนมากจึงอยากได้ พอถึงที่เปลี่ยวไม่ค่อยมีคน 2 คนร้ายนั้นก็จัดการเข้าจู่โจมทำร้ายธวัชทันที โดยคนหนึ่งใช้ท่อนไม้ฟาดไปกลางหลังธวัชอย่างแรง และอีกคนก็รีบดึงกระเป๋าที่ธวัชสะพายอยู่ ธวัชดึงสายกระเป๋าเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย คนที่ตีธวัชก็เข้ามาตีธวัชอีกครั้ง “โอ๊ย” ธวัชร้องเสียงดัง ขณะที่คนร้ายกำลังแย่งกระเป๋าธวัชอยู่นั้น เมืองรามผ่านมาเห็นเข้าพอดี

   “เอ้ย ทำไรหนะ” คนร้ายกำลังเงื้อมีดจะแทงธวัช เมืองราม กระโดดถีบจนคนร้ายกระเด็นออกไป

   พอคนร้ายเห็นว่ามีคนมาช่วย อีกคนก็เลยวิ่งเข้าไปดึงเพื่อนที่ล้มลงแล้ววิ่งหนีไป เมืองรามวิ่งตามไปได้นิดหนึ่ง ก็หยุดตาม หันหลังเดินกลับมาดูธวัชที่นอนจุก ฟุบอยู่ตรงนั้น เมืองราม ก้มลงไปพยุงธวัชขึ้นมา

   “เป็นไงบ้างครับคุณ ไหวไหม” พอธวัชเงยหน้าขึ้นมา เมืองรามก็ต้องตกใจเพราะนั่นคือ..

   “ไอ้วัช” ธวัช ยังสลึมสลือ เจ็บอยู่ไม่รู้ว่าใคร

   “ไอ้วัชจริงๆ ด้วย ไปไป นั่งตรงนี้ก่อน” เมืองราม พาธวัชมานั่งที่ใต้ต้นไม้ข้างทาง

   “ใครหนะ ขอบคุณมากที่ช่วยผม” ธวัช ยกมือไหว้ ตาก็ยังไม่ลืมเลย เมืองราม จับมือเพื่อนไว้

   “ไอ้วัช กูเอง มึงลืมตามาดูก่อนไอ้วัช” เมืองราม เขย่าเพื่อน เอามือตบแก้มขวาเบาๆ

   สักพัก ธวัช ค่อยๆ ลืมตามาดูว่าใคร เขาเริ่มมองเห็นหน้าเมืองรามลางๆ แล้วสักพักก็ชัดขึ้น

   “ไอ้วัช ไอ้วัช กูเอง” ธวัช ก็มองเห็นเมืองราม

   “เมืองราม” ธวัช ค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นมานั่งพิงต้นไม้

   “เออ กูเอง เมืองรามเพื่อนมึง เป็นไงมาไง ถึงได้มาถูกไอ้พวกนั้นทำร้ายเอาวะ” ธวัช สลัดหัวนิดหน่อย

   “บ้านกูอยู่แถวนี้ แล้วมึงหละมาทำอะไรแถวนี้ ตั้งแต่เรียนจบกูก็ไม่เจอมึงเลย” ธวัช เอามือตบต้นคอตัวเองเบาๆ

   “พอดีกูย้ายบ้าน เพราะพ่อกูได้รับตำแหน่งใหม่ที่ต่างจังหวัด กูเลยติดต่อใครไม่ได้เลย จนมาเจอมึงที่นี่แหละ โชคดีฉิบหาย..เออว่าแต่มึงจะไปไหนเนี่ย” เมืองราม ดีใจ จนลืมไปว่าเพื่อนเจ็บอยู่

   “กูจะไปธนาคารเอาเงินของหลวงตาบุญไปฝาก แต่ก็มาเจ็บตัวซะก่อน” ธวัช ค่อยๆ ลุกขึ้น เมืองรามพยุง

   “ไป งั้นกูไปเป็นเพื่อน เสร็จธุระ เราจะได้มีเวลาคุยกัน” เมืองราม เลยอาสาไปเป็นเพื่อน

   “แล้วมึงหละ มาทำอะไรที่นี่” เมืองรามก็พยุงธวัช โดยเอามือพาดคอ

   “กูมาสืบคดีแถวนี้” เมืองรามก็อธิบายให้เพื่อนฟัง อย่างช้าๆ

   “เอ้า นี่มึงเป็นตำรวจตามพ่อมึงรึเนี่ย” ทั้งสองคนเดินไปคุยไปจนถึงธนาคาร

----- ***** -----

   หลังจากกลับออกมาจากธนาคาร ธวัชก็พาเมืองราม มานั่งคุยกันที่ร้านอาหารริมน้ำ แถวๆนั้น   

   “บรรยากาศดีนะแถวนี้ มึงมาอยู่แถวนี้นานแล้วเหรอ” เมืองราม นั่งทานเบียร์ไปด้วย คุยไปด้วย

   “ก็ตั้งแต่เกิด” เขาตอบแบบนิ่มๆ เบาๆ แล้วก็มองไปดูธรรมชาตินอกร้าน

   “มิน่าหละ สมัยตอนเรียน กูเห็นมึงมาโรงเรียนสายเกือบทุกวัน ตอนนั้นกูก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องบ้านมึงเลย”

   “แหม ก็มึงเป็นลูกนายตำรวจใหญ่ นั่งรถมาโรงเรียน แล้วก็มีคนมารับ จะเอาเวลาไหนมาใส่ใจคนจนๆอย่างกู”

   “ดูพูดเข้า ทำเป็นน้อยใจ” เมืองราม เอามือขวาตบไหล่ซ้ายเพื่อนเบาๆ ธวัช ก็ยังทำหน้านิ่ง เหมือนไม่อยากรับรู้

   “แต่กูก็ไม่เคยทิ้งเพื่อน มึงจำไม่ได้เหรอ เฮไหน พวกเราก็เฮกัน มีเรื่องที่ไหน กูก็อยู่กับพวกมึงตลอดเวลา”

   “กูรู้ว่ามึงไม่เคยทิ้งเพื่อน แค่รู้ตัวดีว่ากูอยู่ในฐานะอะไร” เมืองราม นึกเรื่องเดิมเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

   “กูรู้แล้วว่าเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าเรื่องนั้น นี่มึงยังโกรธพ่อกูอยู่ใช่ไหม ที่ตบหน้ามึงเมื่อครั้งกะโน้น เมื่อครั้งพ่อกูไปประกันตัวกูตอนที่มีเรื่องกับพวกนั้น” ธวัช ส่ายหน้า

   “ไอ้ห่า มึงช่วยชีวิตกูนะ ถ้ามึงไม่เข้ามาช่วย ปาดนี้กูตายไปแล้ว สปาต้า อันเบ้อเร่อ” เมืองราม ทำท่าขนาดมีด

   “กูอธิบายให้พ่อกูฟังหมดแล้ว ว่ามึงไม่ได้เป็นคนเริ่ม กูเข้าใจว่าพ่อกูเป็นคนยังไงไม่ชอบคนจน ก็เลยพูดดูถูกมึง พอมึงเถียงเขาก็เลยโมโห ขาดสติ เผลอตบหน้ามึงไปคราวนั้น พ่อกูฝากมาขอโทษมึงด้วย เรื่องมันก็ตั้งนานแล้ว พอดีกับที่กูย้ายบ้านพอดี กูก็ติดต่อใครไม่ได้เลย ทั้งไอ้ต่อ ไอ้นิด อีกิ๊บ”

   “กูลืมไปหมดแล้ว” ธวัช ยกเบียร์ขึ้นมาจิบเบาๆ

   “กูรู้ว่ามึงเป็นคนไม่ยอมคน ถ้าไม่ผิดมึงเป็นไม่ยอม ต้องหาความถูกต้องให้ได้” เมืองราม เข้าใจเพื่อน

   “กูก็ไม่เจอใครเหมือนกันหลายปีแล้ว แต่ละคนพอจบ ก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง มึงก็รู้ สมัยนั้นติดต่ออะไรกันไม่ได้อะไรก็ยังไม่มี ไม่เหมือนทุกวันนี้ มีทั้งมือถือ ทั้ง Net”

   “พูดถึงมือถือก็ดีเลย ขอเบอร์มึงไว้ด้วย จะได้ติดต่อกันได้อีก” เมืองราม ได้โอกาสที่จะติดตามเพื่อนได้อีก

   แล้วธวัช เขียนเบอร์ใส่กระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะนั้นและดันไปให้เพื่อน เมืองรามหยิบขึ้นมาแล้วใส่กระเป๋าเสื้อ

   แต่สักพัก เมืองราม นึกขึ้นมาได้ ไม่รอช้าเขาก็เพิ่มเบอร์ในเครื่องและยิงไปหาธวัชทันที

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธวัชล้วงโทรศัพท์เล็กๆเก่าๆขึ้นมา

   “นั่นเบอร์กู” แล้วเมืองราม ก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่ธวัชถืออยู่

   “เฮ้ย..อย่าบอกนะว่า มึงใช้แบบสมัยโบราณอยู่ โนเกีย 3310 หรือซัมซุงฮีโร่วะหนะ ไอ้ห่า ไม่อินเทรนเลยนะมึง กูหละเชื่อมึงจริงๆไอ้วัช” ธวัช มองหน้าเพื่อน

   “ทำไมวะไอ้ราม มันก็แค่รับเข้าโทรออก กูก็ใช้ของกูอยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

   “เออ กูรู้ว่ามันใช้รับเข้าโทรออกได้ กูไม่เถียงมึงไอ้คนตรง แต่กูหมายถึง มันเล่นพวกไลน์ พวกเฟส อะไรไม่ได้ ก็เท่านั้น มึงไม่มีกะเขาบ้างเหรอ” เมืองราม อธิบายให้เพื่อนฟัง

   “กูไม่รู้จัก อีกอย่าง กูชอบแบบนี้เพราะพกได้สะดวกสบายดีออก กะทัดรัด ไม่ใหญ่เทอะทะ”

   เมืองราม ยิ่งฟัง ก็ยิ่งยิ้ม และเผลอหัวเราะออกมาต่อหน้าเพื่อน

   “เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะไอ้ราม แบตก็กินน้อย ชาร์ตทีก็อยู่ได้หลายวัน อีกอย่าง กูก็ไม่รู้ว่าจะเล่นลงเล่นไลน์อะไรกะใคร มึงเข้าใจกูไหมเนี่ย” ธวัช พยายามอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ

   “เออ กูรู้แล้ว กูขอโทษ” เมืองราม ก็ยังอดขำ และหัวเราะเพื่อนไม่ได้

   ธวัชยกนาฬิกาข้อมือที่มือขวาดู จะบ่ายสามแล้ว เข้าคงต้องกลับแล้วเพราะทิ้งร้านมานาน           

   “เอ้ยราม กูขอตัวก่อนแล้วกัน” ธวัชบอกเพื่อน แล้วก็ลุกทันที

   “เออ ลืมถามเลย แล้วทุกวันนี้มึงทำงานทำการอะไรที่ไหนเนี่ย” เมืองราม เรียกเด็กมาเก็บตัง

   “กูเปิดร้านซ่อมรถเล็กๆอยู่ตรงปากทางเข้าสลัมเนี่ยแหละ มีอยู่ร้านเดียว ถ้าคราวหน้ามึงผ่านมา มึงถามคนแถวนี้ได้เลย เขารู้จักกูหมดแหละ กูไปหละ แล้วว่างๆค่อยเจอกัน บาย” เมืองราม รับเงินทอน แล้วก็วิ่งตามเพื่อนไป

   “เอ้ย รอด้วย กูไปด้วย” เมืองรามกวักมือเรียกธวัช แล้วก็วิ่งไปกอดคอเพื่อน

   “ก็จะไปถามใครทำไมวะ ก็ไปซะวันนี้เลย” ธวัช เฉยๆไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็เดินกอดคอร้องเพลงไปด้วยกัน

   เมื่อมาถึงหน้าร้าน ธวัชก็แกะมือเพื่อนที่อยู่ในคอออก แล้วชี้ให้ดู นั่นชื่อร้านและนี่สภาพร้านเล็กๆเก่าๆแต่เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์และลูกค้าที่มานั่งรอ ยืนรอซ่อมเต็มไปหมด

   “ไงร้านกู มึงอยากเห็น ก็ได้เห็นแล้วนี่ คราวนี้มึงกลับได้ยัง กูจะทำงาน”

   “เครๆเพื่อน กูไม่รบกวนเวลาทำงานมึงแล้ว เดี๋ยวว่างๆค่อยโทรคุยกัน” เมืองราม ทำท่าโทรด้วยมือ

   “บายโว๊ย” ธวัช โบกมือลาเพื่อน แล้วเมืองรามก็เดินออกไป เขาสังเกตุตลอดทางที่มาว่ามีอะไรบ้าง

   ธวัชเดินเข้าร้าน เอามือปาดหัวไอ้จ้อย กับ ไอ้เอี้ยง แล้วก็ไปซ่อมรถให้ลูกค้าทันที

   “พี่วัช” ไอ้จ้อยตาดี ว่าลูกพี่มันไปโดนอะไรมา

   “ไงไอ้จ้อย” ธวัช ก้มหน้าก้มตาซ่อมรถอยู่ ไม่เงยหน้า

   “ไปฟัดกะใครมา หน้าตาดูไม่ได้เลย ผมเห็นนะ” ไอ้เอี้ยง หันไปดูหน้าลูกพี่มันทันที

   “เออ นั่นซิ ผมพึ่งสังเกตุ พี่ไปโดนอะไรหรือไปฟัดกะใครมา เมื่อตอนเที่ยง ยังดีๆอยู่เลย”

   “มีเรื่องนิดหน่อย” ธวัช หันหน้ามาบอกลูกน้องทั้งสองคน

   “อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกนกนะโว๊ย ถ้านกรู้ เขาจะไม่สบายใจ”

   “แหนะ กลัวเมียขึ้นมาเชียวลูกพี่เรา” ไอ้จ้อยแซว

   “ไอ้บ้า” ธวัชเอาตีนถีบไอ้จ้อยลงไปนอน

   “กูไม่ได้กลัว” ธวัชออกตัว

   “แค่เกรงใจ” ไอ้เอี้ยงเสริม ธวัชก็ถีบโครม ไปอีกคน

   ทั้งสองคน นั่งจมอยู่กับพื้น “ทำงานไป ไป” ธวัช แกล้งโมโห

   “แล้วจำไว้นะพวกแก เงียบไปเลย ถ้านกรู้เมื่อไหร่ ก็จากพวกแกสองคนนั้นแหละ ไอ้จ้อย ไอ้เอี้ยง”

   ระหว่างเดินกลับออกจากซอย เมืองรามได้แต่มองนั่นจำนี่ จนไม่ได้ดูทาง ก็เลยเดินชนกับงามตาเข้าอย่างแรงจนงามตาล้มลง จับราวเหล็กตรงนั้นไว้ได้ แต่ก้นก็ถึงพื้นแล้วอยู่ดี

   “โอ๊ย” เมืองราม เข้าไปพยุง แต่ไม่ทัน

   “น้อง พี่ขอโทษ” งามตาในชุดนักเรียน ปวช.3 หนังสือ กระจัดกระจาย เมืองราม เก็บของที่ตกให้

   “เป็นไงบ้างครับ พี่ขอโทษ ไม่เห็นจริงๆ มัวแต่มองที่อื่นเพลินไปหน่อย” เมืองรามขอโทษ เพราะผิดจริงๆ

   งามตา ปัดเสื้อปัดกระโปรง แล้วก็ต่อว่าเมืองราม

   “เดินยังไง ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย จะรีบไปไหนเนี่ย ตัวใหญ่ยังกะยักษ์ปักหลั่น” งามตา ยืนมองเมืองราม

   “ก็พี่ขอโทษแล้ว จะเอายังไงอีกเนี่ยน้อง ที่พูดเนี่ย จะเอาค่าเสียหายใช่ไหม” เมืองราม ไม่เข้าใจงามตา

   “พูดจาหมาๆ แบบนี้ อย่าให้เจออีกนะ” งามตาชี้หน้าเมืองราม แล้วก็เดินจากไปเลย

   เมืองรามยืนงง อยู่พักใหญ่ แล้วก็หันหน้าไปดูงามตา

   “อะไรวะ หน้าตาก็ดี แต่ปากจัดชมัด เราก็ขอโทษไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปกินรังแตนที่ไหนมา”

   แล้วเมืองรามก็หันหน้ากลับออกไปทางเดิม และก็เดินกลับไปที่รถทันที

<<<<< ----- >>>>>

   ริชาร์ด กับหญิงยุ หยุดทะเลาะกันชั่วคราว หันหน้ากลับมาช่วยกันทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในสตูดิโอ หรือ Outdoor การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

   “ริชาร์ด” หญิงยุ นั่งดูดน้ำหวานไปด้วย ดูงานไปด้วย

   “ครับคุณหญิง” ริชาร์ด ก็กำลังทำงานไปด้วย ดูมอนิเตอร์หนังโฆษณาที่กำลังเตรียมถ่าย

   “จะเสร็จก่อนเมษา ไหมเนี่ย” ยุภา ไม่ได้มองหน้าริชาร์ด

   “น่าจะทันนะครับ ผมพยายามจะเร่งให้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด” ริชาร์ด ดูสคริปไปด้วย ปากก็ตอบ

   “หญิง อยากให้ Spot ออกช่วงสงกรานต์”

   “ถ้าจะเอาแบบนั้น คงไม่ทันครับ”

   ยุภา หยุดดูดน้ำ แล้วหันขวามามองริชาร์ด

   “ทำไมหละ” ริชาร์ด ยังไม่เห็นสีหน้าของหญิงยุ สักพักเขาก็ต้องหันมา เพราะเสียงเงียบไปนานผิดปกติ

   “อุ้ย..เป็นอะไรไปอีกหละ”

   “ก็คุณบอกว่าไม่ทัน ทำไมมันถึงไม่ทัน บอกหญิงมาเดี่ยวนี้นะ” ชักเริ่มไม่พอใจ

   “นี่คุณหญิง..กว่าจะถ่ายทำเสร็จกว่าจะตัดต่อและใส่ Sound เวลามันกระชั้นชิดมากไม่ทันหรอกครับ แค่ถ่ายเสร็จ ก่อนสงกรานต์เนี่ย ก็ถือว่า ดีแล้ว” สีหน้าหญิงยุ ยังไม่ดีขึ้น ทำปากเบ้

   “อีกอย่าง ผมอยากเก็บภาพดีๆในวันสงกรานต์มาใส่ไว้ในสปอตด้วยครับ เข้าใจไหม” หญิงยุ เริ่มยิ้มออก

   “จริงซินะ หญิงก็ลืมไป”

   “ยิ้มออกหละซิ คนอะไร ใจร้อนไม่ฟังใครเลย” แล้วก็เอามือปัดหมวกปีกที่หญิงยุใส่อยู่ ลงมาเบาๆ

   “บ้า เล่นอะไร” แล้วริชาร์ด ก็ลุกขึ้นไปเตรียมงาน บอกลูกน้องให้เตรียมถ่าย

   “เอ้า เร็วๆแดดจะหมดแล้ว ไวๆกันหน่อย ให้เหมือนตอนกิน ไวกันนัก” ทุกคนพร้อมก็เริ่มถ่ายทำทันที

   “เอ้อ..ผมเกือบลืม” ริชาร์ด เดินหลบแดด เข้ามาดูที่มอนิเตอร์เพราะจะถ่ายจริง

   “ว่าไง จะถามอะไร” หญิงยุ กำลังอารมณ์ดี

   “วันที่เราเจอกันวันแรก คุณออกไปกับใครหนะ แฟนคุณเหรอ” ถามเหมือนไม่อยากรู้

   “อ๋อ ผู้กองเมืองราม เขาไม่ใช่แฟนหญิงหรอก” ได้ยินแบบนั้น เขาก็แอบยิ้ม หญิงยุไม่เห็นว่าเขากำลังทำอะไร

   “ถามทำไม แล้ว..ถ้าเขาเป็นแฟนหญิงจริงๆ คุณจะทำไม” หญิงยุ ตอบแบบเรียบ เพราะอารมณ์ยังดีอยู่

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะผมกลัว”

   “กลัวอะไร” หญิงยุ ชักสงสัย

   “กลัวคนที่ได้เป็นแฟนคุณ อายุจะไม่ยืน” ริชาร์ด พูดแบบไม่คิดอะไร จะแซวหญิงยุ แต่หญิงยุ ไม่ได้คิดแบบนั้น

   “ไอ้ ไอ้” หญิงยุ เอาแฟ้มแถวนั้น ตีไหล่ซ้ายริชาร์ด อย่างแรง ริชาร์ด ลุกวิ่งหนีแทบไม่ทัน

   “โอ๊ย..อะไรๆผมหยอกเล่น” หยิงยุ ไม่สนใจ ริชาร์ด วิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น หญิงยุวิ่งไล่ตาม

   “ไอ้ริชาร์ด ไอ้ปากเสีย ตายซะเถอะ กลับมานะ อย่าหนี บอกว่าอย่าหนี”

   ทั้งสองวิ่งวุ่นรอบกองถ่าย เหมือนคนรักหยอกกัน คนทั้งกองงง ว่าทั้งคู่กำลังเล่นอะไรกัน

   “ไม่หยุด หยุดผมก็ตายนะซิ”

   “บอกว่าให้หยุด หยุด”

----- &&&&& -----

   เย็นแล้ว แต่เมืองราม ก็ต้องตัดสินใจวนรถกลับมาวัดอีกครั้งเพื่อถามหลวงตาให้ได้ ว่าใครคือเจ้าชายเพราะเห็นทุกคนแถวนี้พูดถึงแต่เจ้าชายเพื่อให้หายข้องใจ เขาจึงตัดสินใจก้าวขึ้นกุฏิทันที เห็นหลวงตาบุญ กำลังจะลุกเดินไปอีกทางหนึ่งเขาจึงเรียกไว้

   “นมัสการครับ หลวงตา” หลวงตาหันมา พอเห็นเป็น ผู้กองเมืองราม ก็เลยเดินกลับนั่งที่เดิม

   “อายุมั่นขวัญยืนนะโยม” เมืองราม ก้มลงกราบ หลวงตาบุญ แล้วก็ เริ่มคุยทันที

   “มาคนเดียวรึโยม” เมืองรามงง ว่าหลวงตาถามถึงใคร

   “เจ้าทโมนน้อยหนะ เห็นมาทีไหร ก็ตามติดทุกครั้งเลยไม่ใช่รึ” เมืองราม ร้องอ๋อ

   “ไม่ถึงขนาดหรอกครับหลวงตา น้องเค้าก็ไปเรียน ตามประสา ตัวคงไม่ติดกันตลอดเวลาหรอกครับ”

   “อาตมาล้อเล่น เอ้า ว่าธุระมาเลยก็แล้วกัน”

   “แหม หลวงนี่เก่งนะครับ รู้ด้วยว่าผมจะมาทำอะไร”

   “ใครๆก็รู้ ลงรีบเดินตัวปลิวมาขนาดนี้”

   “คือ ผมไม่อ้อมค้อมแล้วครับ ผมข้องใจ และติดใจมาก เจ้าชายคือใคร ใครคือเจ้าชายขอรับท่าน”

   “อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร” หลวงตาบุญ รินน้ำชา แล้วส่งให้เมืองราม เมืองรามยกมือไหว้แล้วรับ ท่านก็จิบไปนิดหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆอธิบายให้เมืองรามฟังโดยละเอียด

   “ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก คือเรื่องมันเริ่มมาตั้งนานเกือบ 5 ปีได้แล้วมั้ง” แล้วท่านก็หันไปมองที่โบสถ์

   “โยมเห็นโบสถ์หลังนั้นไหม” หลวงตาบุญ ชี้ไปที่โบสถ์ ที่อยู่ด้านข้างกุฏิ

   “นั่นแหละ เรื่องมันเริ่มที่นั่น” แล้วหลวงตาบุญ ก็หันหน้ากลับมาที่เดิม

   “เมื่อ 5 ปีที่แล้ว พระในอุโบสถที่ชาวบ้านแถวนี้มากราบไหว้สักการะเป็นศูนย์รวมใจ ถูกพวกหัวขโมยมายกเอาไปทั้งองค์และก็ได้วางเพลิงเผา ภายในเสียหายมาก ก็มีชายหนุ่มใจกล้าคนหนึ่งบุกเดี่ยวเสี่ยงชีวิตไปตามกลับเอาคืนมาให้จนได้ ก็เกือบตายเหมือนกัน บาดเจ็บสาหัสมาก” หลวงตา เล่าไปก็ถอนหายใจ

   “แต่แปลก ที่คนในละแวกนี้กลับไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยงไปช่วยตามกลับมาสักคน ก็คงจะกลัวตายกันหละนะ มีแต่เด็กหนุ่มคนนั้นที่ใจกล้าบ้าบิ่น บุกไปคนเดียวตามลำพัง พาตำรวจไปจับ ไปพังทลายพวกนอกกฎหมาย ที่ค้าพระพุทธรูปได้สำเร็จและให้พวกเพื่อนๆช่วยกันนำองค์พระพุทธรูปกลับมาประจำที่เดิม แต่เพราะว่าโบสถ์ถูกไฟไหม้ เอาไว้ไม่ได้ จึงต้องเอาไว้ภายนอก เด็กหนุ่มคนนั้น ก็พยายามเรื่อยไรขอเงินจากผู้มีจิตศรัทา เพื่อมาบูรณะโบสถ์ใหม่ แต่ก็หมดหวัง”

   “ทำไมหละครับท่าน”

   “ก็คนแถวนี้ รวยซะที่ไหน มันมีแต่คนจนๆแล้วจะเอาเงินทองที่ไหนมาบูรณะ”

   “แต่โบสถ์ที่ผมเห็น ก็ดูสวยงามเหมือนโบสถ์ใหม่เลยนี่ครับท่าน ดูไม่เหมือนโบสถ์ที่ผ่านการถูกเผามาเลย”

   “นี่แหนะ ที่โยมเห็นหนะ มันได้รับการบูรณะแล้วจากน้ำพักน้ำแรงของเจ้าชายคนนี้แหละคนเดียวเลย”

   “คนเดียว” เมืองราม ยังข้องใจ

   “ยังไงครับ” เมืองราม เริ่มสนใจเรื่องราวของคนๆนี้

   “1 สัปดาห์ผ่านไปหลังจากที่ได้องค์พระกลับมา เงินเรี่ยไรที่ได้จากคนแถวนี้ ก็ไม่พอ แค่ทาสี ก็แทบไม่พอแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าชายของเราทำยังไง อีก 3 วันต่อมา ก็มีกลุ่มอาสาจากที่ไหนไม่รู้กลุ่มใหญ่นับสิบยี่สิบคน มาช่วยกันล้างทำความสะอาด ช่วยกันทาสี และซ่อมแซมโบสถ์ จากที่ดำเหมือนจะทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะรอยร้าว รอยไฟไหม้ ปูพรหมใหม่ จนไม่เหลือร่องรอยเดิมเลย โยมดูไม่ออกเลยใช่ไหม”

   “ครับ ผมดูไม่ออกเลย คนๆนั้นเก่งมากจริงๆ”

   “พอชาวบ้านเห็นความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนนั้นที่ทุ่มเทช่วยเหลืออยู่คนเดียว ทุกวันทุกคืนค่ำมืดมีเวลาเมื่อไหร่เขาจะต้องมาทาสี มาซ่อมตรงนั้น ทำตรงนี้ อยู่คนเดียว ที่เขาเรียกว่า เก็บงานนั่นแหละ ไม่เห็นกับความเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยได้ค่าจ้างสักบาท อาตมาเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นทีไร อาตมาก็ชื่นใจ จนคนแถวนี้ เกิดความละอายใจ บางวันก็มีคนมาช่วยทาสีบ้าง เอาอาหาร เอาน้ำมาให้บ้าง แล้วแต่ว่าใครจะมีแรงตรงไหน”

   “น่านับถือมาก” เมืองราม ฟังเรื่องเล่าจนเคลิ้ม

   “ยังไม่หมดนะ วีรกรรมที่ได้ฉายาว่าเจ้าชาย มันอยู่ตรงนี้”

   “ยังไม่หมดอีกเหรอครับพระคุณท่าน อะไรจะขนาดนั้น”

   “ก็เป็นเพราะว่า ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ใจนักเลง กล้าได้กล้าเสีย รักพวกพ้อง ไม่ทานเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เมื่อ 3 ปีที่แล้วมีพวกค้ายาเสพติดมาขายยาและหลอกลวงเด็กสาวในชุมชนแถวนี้ไปรุมโทรม 3-4 คน ก็เพราะเด็กหนุ่มคนนี้อีกแหละที่ได้เข้าช่วยเหลือ โดยที่ไม่กลัวว่าตัวเองจะตาย พาพวกน้องๆที่มีอุดมการณ์เดียวกันไปช่วย พาตำรวจไปจับและทลายซ่องโจรนั้นจนสำเร็จให้หายไปจากชุมชน จนสงบมาจนทุกวันนี้..อืมยังจำไอ้เด็กกลุ่มนั้นได้ไหมหละ วันที่เจ้าวิ่งหนีมาหาอาตมาหนะ”

   “ครับ จำได้ครับหลวงตา”

   “นั่นแหละ สองในนั้นเป็นเด็กสาวที่เจ้าชายของเราได้ช่วยเอาไว้ มันบอกว่าถ้าเจ้าชายไม่ไปช่วยมันเอาไว้ ปาดนี้มันคงตกนรกไปแล้ว มันถึงคอยดูแลไม่ให้คนแปลกหน้าหรือหน้าแปลกเข้ามาทำอะไรที่ผิดๆในชุมชนแห่งนี้”

   “ครับ แหม ผมฟังเรื่องราวความกล้าหาญทั้งหมดจบแล้ว ผมอยากเจอตัวเจ้าชายของหลวงตาจัง แล้วไม่ทราบว่าคือใครครับ เมื่อไหร่หลวงตาจะเฉลยให้ผมหายสงสัยเสียที” เมืองราม อยากรู้เต็มที่เลยยิงคำถามตรงๆทันที

   ธวัช เดินขึ้นมาบนกุฏิพอดี เพื่อเอาสมุดบัญชีธนาคารมาคืนให้หลวงตา มาถึงก็กราบหลวงตา

   “นี่ไง คนที่โยมอยากเจอ” หลวงตาบุญ ชี้ไปที่ธวัช เมืองรามถึงกับสะอึก ตกใจและนิ่งไปพักหนึ่ง

   “ไอ้วัช..เจ้าชาย” เมืองราม หลุดปากออกมา

   “มีอะไรกันเหรอครับหลวงตา” ธวัชยังไม่เห็นเมืองราม เพราะธวัชมัวแต่ก้มหน้าหยิบสมุดในกระเป๋า รู้แต่ว่าหลวงตามีแขก ก็เลยจะรีบมาและรีบไป

   “อ้าว ไอ้ราม มาอยู่นี่ได้ยังไงเนี่ย” ธวัช พึ่งสังเกตุว่าเป็นเพื่อนตัวเอง

   “กูนึกว่ามึงกลับไปแล้วเสียอีก” ธวัชแปลกใจ ที่ยังเห็นเพื่อนอยู่ตรงนี้

   “อ้าว..นี่เจ้าสองคนรู้จักกันรึ” หลวงตาบุญแปลกใจ

   “ก็ไอ้เจ้าชายของหลวงตาเนี่ย มันเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนซี้ผมเลยครับ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”

   “แหม ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนกันเอง”

   “แล้วตกลงมันเรื่องอะไรกันหรือครับหลวงตา”

   “ก็โยมเมืองรามเนี่ย เขาสงสัยอยากรู้ว่าใครคือเจ้าชาย เจ้าชายเป็นใคร ทำไมผู้คนแถวนี้ ถึงพูดถึงแต่เจ้าชาย เขาก็เลยมาถามอาตมา มันก็เท่านั้น พอเล่าให้ฟัง ก็เลยอยากเจอตัว แต่พอรู้ว่าเป็นเจ้า มันก็เลยทำท่าตกใจไง ก็ไม่มีอะไร..แล้วหายข้องใจรึยังผู้กอง” หลวงตาบุญยิ้ม แล้วหันไปถามเมืองราม

   “หายสนิทเลยครับหลวงตา เมื่อรู้ว่าเจ้าชายที่ทุกคนพูดถึง คือเจ้าธวัชเพื่อนผม ขอบคุณหลวงตามากนะครับ ที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียด ผมฟังตั้งนาน ก็คุ้นๆว่า ไอ้พฤติกรรมแบบนี้ มันคล้ายๆใคร ที่ไหนได้ ผมก็คิดไม่ผิด แหม ถ้าซื้อหวยคงได้ถูกรางวัลกันบ้างหละครับ”

   “เอาเอา เอาที่สบายใจกันเลยนะโยม”

   “งั้นผมขอตัวลาหลวงตาเลยละกัน นี่ก็มืดค่ำมากแล้ว หลวงตาจะได้พักผ่อน” ธวัช กราบลา

   “งั้นผมก็ขอกราบลาหลวงด้วยคนแล้วกัน” แล้วเมืองราม ก็รีบกราบแล้วก็วิ่งตามธวัชลงกุฏิไป

   “เอ้ย รอกูด้วยไอ้เจ้าชาย”

   เมื่อลงมาถึงด้านล่าง เมืองรามเปิดประตูรถจะกลับ ก็มีความคิดขึ้นมาแว่บหนึ่ง แล้ว รีบวิ่งไปหาเพื่อน

   “เอ้ยไอ้วัช” ธวัชหยุดเดิน แล้วหันมาหาเพื่อน

   “มีอะไรกะกูอีก แล้วเมื่อไหร่มึงจะได้เวลากลับบ้านมึงซะที กูเหนื่อยกูจะกลับบ้าน”

   “ไปด้วยดิ” เมืองราม กระแซะเพื่อน และทำหน้าทะเล้น

   “ไปไหน” ธวัชถามแบบหน้าตาไม่ค่อยจะต้อนรับแขก

   “ไปบ้านมึง” ธวัชทำหน้าเหลอ

   “ไปทำไม” แล้วเขาก็เดินหนี เมืองรามตาม

   “น่า ก็ไปเที่ยวบ้านมึงไง ไหนๆกูก็มาแล้ว จะได้รู้จักเอาไว้คราวหน้าจะได้มีเวลามาเที่ยวบ้าง”

   แล้วก็เช่นเดิม เดินไปคุยไปตลอดทางจนถึงหน้าบ้าน นกนั่งรออยู่ที่หัวบันไดบนบ้าน ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก

   “พอ หยุด ถึงแล้ว นี่บ้านกรู...” เมืองราม มองเข้าไป เหมือนสำรวจบ้านเพื่อนตัวเอง แล้วเห็นใครคนหนึ่งไกลๆ แต่ไม่ชัด เหมือนเดินไปเดินมา

   “วันนี้มึงกลับไปก่อนนะ กูยังไม่พร้อมรับแขก เอาไว้วันหน้าแล้วกัน รับรองเต็มที่ วันนี้กูเหนื่อย”

   “นั่นแน่ กูเห็นนะมีสาวน้อยนางนึงยืนรอมึงอยู่ตรงนั้นด้วย เมียมึงเหรอ”

   “เออๆ..กูไปหละ ไม่ส่งนะ จำทางกลับบ้านได้นะมึง” ธวัชรีบชิ่ง ขอตัวออกตรงนั้นเลย

   “เออ ไปเหอะ นั่นเมียมึงเดินลงมาแล้ว กูไปหละ” แล้วเมืองรามก็เดินจากไปจากตรงนั้น

   “นก” นกเปิดประตูให้ธวัช แล้วยิ้มให้ แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นโกรธ และชี้หน้าบอกว่า ทำไมกลับช้า

   เมืองราม แอบมองอยู่ไกลๆแต่เห็นหน้าผู้หญิงที่อยู่กับธวัชไม่ชัด ไม่รู้ว่าใคร เพราะตรงนั้นมืดมาก แล้วก็เห็นธวัชจูงมือนกเดินขึ้นบ้านไป กระหนุงกระหนิง จนตัวเองอิจฉา หันหลังเดินกลับบ้านทันที เพราะมืดแล้ว

฿฿฿฿฿ ///// ฿฿฿฿฿

   งามตา ไปเรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง ได้แต่คอยตามติดเฝ้าธวัช ไม่เว้นแต่ละวัน จนบางครั้งทำให้ธวัชรำคาญ

   “วันนี้ไม่ไปเรียนรึไงนังงาม” ไอ้จ้อยถามงามตา เมื่อเห็นงามตา มานั่งเล่นที่ร้านแต่เช้า

   “เรื่องของหนู พี่จ้อยอย่ามายุ่ง” งามตา ตอบแบบไม่สนใจใคร แล้วก็เปิดเพลงดังขึ้นอีก

   ธวัชเดินถือปิ่นโตเข้ามา มองไปที่งามตา แล้วก็ส่งปิ่นโตให้ไอ้เอี้ยง

   “วันนี้รถจักรยานของลุงดีเสร็จไหมไอ้เอี้ยง” ธวัช ไม่ได้สนใจงามตา

   “เสร็จแล้วครับพี่ สายๆคงเข้ามาเอา แล้วจะคิดลุงเค้าเท่าไหร่หละพี่”

   “ไม่ต้อง นิดๆหน่อยๆบอกลุงดีนะว่า ข้าไม่เอา ถ้าลุงจะจ่าย ก็ให้ไปหย่อนลงตู้โน้นเอาเองแล้วกัน รับบริจาค”

   “เดี๋ยวข้าจะไปหาหลวงตาแป๊บนะ ฝากร้านก่อนเดี๋ยวมา”

   “เครพี่” แล้วธวัชก็เดินหลีกงามตาไป งามตาเห็นธวัชไม่อยู่ร้าน ก็กระโดดวิ่งตามไป แล้วก็เกาะแขนธวัชเลย

   ธวัช มองงามตาแบบเซ็งๆ งามตาทำเหมือนหวงสามี ผู้หญิงคนไหนมอง เธอก็ทำท่าเอานิ้วปาดคอทันที “ชิ”

----- ***** -----

   เมฆพยายามสืบเรื่องขององค์หญิงอย่างไม่ลดละ แต่ก็ยังคงคว้าน้ำเหลว มันเดินไปทุกตรอกซอกซอยในบริเวณนั้น เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ เฝ้ามองตามบ้านนั้นบ้านนี้ ไอ้โขงก็เดินแยกกันตามหา จนผ่านไปใกล้ค่ำ เมฆ กับโขง ก็มานั่งพักเหนื่อยอยู่หน้าบ้านของธวัชพอดีแต่ไม่รู้ว่าบ้านใคร

   ภายใน..ตรงนั้น นกกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ สายน้ำก็กระเด็นออกไปโดนทั้งสองคนที่นั่งอยู่ ทั้งสองคนก็เลยลุกหนี แล้วมองเข้าไปด้านในว่าน้ำมาจากไหน เมฆมองเข้าไป แต่เห็นไม่ชัด เพราะต้นไม้บังอยู่ และนกก็หันหลังด้วย เมฆสังเกตุว่าทำไมผิวพรรณของเด็กคนนี้ถึงดีผิดปกติ ผิดกับเด็กสาวบ้านอื่นๆแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เมฆ สะกิดบอกโขงให้ไปที่อื่นก่อน แล้วทั้งสองก็เดินออกจากตรงนั้นไป

   แต่เมฆกลับมีความคิดว่า พรุ่งนี้เช้า ต้องมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อจะขอดูหน้าเด็กคนนี้ชัดๆ แต่ยังไม่บอกไอ้โขง เพราะกลัวไม่ใช่ ก็เลยให้โขงไปหาที่อื่นก่อน แล้วเมฆจะกลับมาคนเดียว

   “มีไรรึป่าวพี่ เห็นมองไปที่บ้านนั้นตลอดตั้งแต่ออกมา” ไอ้โขง เห็นลูกพี่ผิดสังเกตุ

   “ไม่มีอะไร ก็หลบน้ำเมื่อกี้ไง ก็เลยหันไปดูว่า น้ำมันมาจากไหน ไปหาอะไรทานก่อนเถอะร้อนหวะ”

   “ก็ดีเหมือนกันพี่ ร้อนน่าดูเลยวันนี้”

   “ไปไป ตรงโน้นข้าเห็นมีร้านน้ำแข็งใส จะได้หายร้อน” แล้วทั้งสองคนก็เดินหายไปจากตรงนั้น

***** ----- *****

   เดี๋ยวนี้ธวัช เมื่อเสร็จงานก็จะรีบตรงกลับบ้านเร็วทุกวัน ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่ถ้าไม่ 3,4 ทุ่ม หรือไม่ก็เช้าเลย จนทำให้พ่อแม่เป็นห่วงธวัชมากๆ แต่พอมีนกมาอยู่ด้วยบ้านก็เปลี่ยนไปดูมีความอบอุ่นขึ้น บ้านเป็นบ้าน พ่อและแม่เมื่อเห็นแบบนี้ก็สบายใจและมีรอยยิ้มแบบที่บ้านนี้ไม่เคยมีมาก่อน มองไปตอนไหนก็มีความสุขเพราะเห็นลูกชายคนเดียวของเขามีชีวิตอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปเสี่ยงตายและบ้าบิ่นเหมือนเมื่อก่อน เดินไปเดินมา วิ่งเล่นนอนเล่นกับนกอยู่บนบ้าน รอยยิ้มของสองเฒ่าที่มีความสุข

   “พ่อมึงเอ้ย ข้าว่าข้าคิดถูกนะที่ให้นังหนูคนนี้มาอยู่กับเรา จริงไหมตาเฒ่า” สะอิ้ง มองไปที่นก ขณะที่เธอวิ่งเล่นอยู่กับธวัชอย่างมีความสุข เหมือนมีอิสระเสรี เห็นรอยยิ้มที่สดใสของเธอ ผิดกับตอนแรกที่เจอกันครั้งแรก

   “แกทำดีแล้วแม่มึง ข้าว่าตอนนี้บ้านเราเป็นบ้านที่สมบูรณ์จริงๆแล้วหละ” ตาทด พูดแบบมีความสุข

   คนชราทั้งสองคน ยืนมองเด็กหนุ่มสาวสองคน ที่กำลังมีความสุข ด้วยความเอ็นดูของธวัชที่มีให้กับนก แบบไม่เคยล่วงเกินอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆที่มีโอกาสตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ทำ ธวัชและนก นั่งดูดวงดาวกันอย่างกระหนุง กระหนิง ผิดกับงามตา ที่ดูเหมือนไม่มีความสุขเท่าใดนัก เธอนั่งมองดวงดาวอยู่คนเดียว เด็กกำพร้าอย่างเธอคงทำได้แค่เพียงเท่านี้ เป็นเพราะเธอแอบรักธวัชอยู่ข้างเดียวด้วยรึป่าว ความสุขและความเจ็บปวดมันย่อมจะมีมาพร้อมกันเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ธวัชคงจะไม่ปล่อยให้นกหรือองค์หญิงใบ้ เป็นอันตรายอย่างแน่นอน

***** ----- *****

   กว่าจะสื่อสารกับนกได้แต่ละครั้ง ก็แทบแย่เพราะไม่ได้เรียนวิธีการสื่อสารกับคนเป็นใบ้มา ธวัชก็เลยตัดสินใจ ( จำใจ ) ไปเรียน เพื่อที่จะคุยกับเธอให้ได้ ในกรณีที่ไม่มีกระดาษกับดินสอ/ปากกา

   รุ่งเช้าวันนี้ ธวัชก็เลยมีความคิดที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองซะหน่อย ก็เลยกระซิบบอกพ่อและแม่ว่า จะขอไปเรียนที่โรงเรียนสื่อสารวิชาคนเป็นใบ้ พ่อกับแม่ ก็เห็นด้วย เพราะจะได้มาสอนคนในบ้านได้ด้วย

   “พี่วัช” นกกวักมือเรียก ธวัชวิ่งมาหา แล้วยิ้มให้

   “มีอะไรเหรอจ๊ะนก” แล้วนกก็เอามือปาดแป้งบนใบหน้าที่ดูเลอะเทอะ จับธวัชหันไปหันมา ดูแลบุคลิกให้ธวัช เมื่อคิดว่าดีแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้ แล้วก็ยื่นปิ่นโตให้เช่นเดิม แล้วก็ดันให้ธวัชลงบ้านไปทำงาน ส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับบ๊ายบาย ธวัชมีความสุขมาก เดินไปยิ้มไปจนถึงร้าน แล้วก็ส่งปิ่นโตให้ไอ้จ้อย

   “ไอ้จ้อย ไอ้เอี้ยง” ธวัช เรียกลูกน้องทั้งสอง

   “เดี๋ยววันนี้ข้าจะไปธุระใน กทม.หน่อย ถ้าเที่ยงแล้วข้ายังไม่กลับมา ข้าวนี้แกสองคนเอาไปกินได้เลย และตอนเย็นก็ปิดร้านเร็วได้เลย ถ้าไม่มีลูกค้า”

   “แล้วพี่จะไปไหนหละ ถึงสั่งเหมือนจะไปหลายวัน” ไอ้จ้อยอยากรู้

   “จะไปไหนมันก็เรื่องของข้า สิ้นเดือนมีเงินจ่ายพวกแกก็แล้วกัน ไปหละ”

   “หมู่นี้เจ้าชายเรามีอะไรแปลกๆนะไอ้เอี้ยง”

   “ช่างเถอะ มันก็จริงอย่างที่พี่เขาบอก มีเงินจ่ายเรา มีข้าวให้กิน ก็พอแล้ว ยังจะไปอยากรู้เรื่องของพี่เขาทำไมวะไอ้จ้อย ไปไป ไปทำงาน ลูกค้ามาแล้ว”

   แล้วทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามที่ธวัชเคยบอกและสอนไว้เสมอว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้ขยันไว้ก่อนและรู้ในสิ่งที่ควรรู้ อะไรไม่ควรรู้ไม่ใช่เรื่องของเราก็อย่าไปรู้มันเลยจะปวดหัว

===== ****** =====

   หลังจากที่ธวัชได้สอบถามและค้นหามาแล้วว่า โรงเรียนสอนภาษามือเพื่อใช้สื่อสารกับคนใบ้ สามารถไปเรียนได้ที่ใด ธวัชก็ตรงไปที่นั่นเลยทีเดียว พอถึงจุดหมายเขาก็อ่านป้ายโรงเรียนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

   “โรงเรียน เศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ของ กระทรวงศึกษาธิการ”

   เมื่อถูกต้องตามที่จดมา เขาก็เดินเข้าไปในโรงเรียนทันทีเพื่อติดต่อสอบถามว่าจะต้องทำเช่นไรบ้างในการเรียน ไม่ใช่ที่นี่ที่เดียวที่เขาไป ยังอีกหลายที่ และที่สุดท้ายที่เขาไปก็คือ มหาวิทยาลัย ราชสุดา ม.มหิดล

   ยังไม่รู้ว่าธวัชจะเลือกที่ใดเพราะบางที่ก็ไกล บางที่ก็ติดที่เวลา ธวัชต้องกลับมานั่งคิด ต้องใช้เวลา นกเดินเข้ามาหาธวัช เป็นห่วง เพราะรู้ว่าทำงานทุกวันเหนื่อย จึงให้กำลังใจ และถาม

    “เป็นอะไรเหรอค่ะพี่วัช” ธวัชหันมา ยิ้ม แล้วส่ายหน้า

   “อย่าปิดน้องเลย น้องรู้นะว่าพี่เหนื่อยและมีปัญหา” นกเขียนข้อความให้ธวัชอ่าน

   ธวัชมองหน้านก แล้วก็ดึงนกมาใกล้ๆและเอามือสวมกอดเอวนกเบาๆ หันหน้าไปมองท้องฟ้าไม่พูดอะไร นกได้แต่จ้องและมองหน้าของธวัช นกสะกิดแขนธวัช ธวัชหันหน้ามามอง นกก็เอามือขวาชี้ไปที่หัวใจของตนเองและก็ชี้กลับไปที่หัวใจของธวัช คล้ายๆบอกให้รู้ว่า นกเป็นห่วงพี่ธวัชนะ อย่าคิดมาก นกเป็นกำลังใจให้เสมอ ธวัช หันไปหอมผมของนก นกก็เอนหัวซบอกและอยู่ในอ้อมกอดของธวัช มีความสุขเล็กๆตามฉบับคนจนๆ

----- ฿฿฿฿฿ -----

   งามตายืนรอรถเมล์ที่ป้ายเพื่อจะไปโรงเรียนเมืองราม ขับรถผ่านมาเห็นเข้า ก็เลยปีบแตรเรียก งามตาไม่สนใจ เมืองรามก็เลยขับรถเลยป้ายไปนิดหนึ่งแล้วจอด เพื่อกันรถติดแล้วเดินไปหางามตา

   “น้อง น้องคนนั้นจริงๆด้วย ไปโรงเรียนเหรอครับ” งามตาเดินหนี ไม่สนใจ

   “ให้พี่ไปส่งนะ ถือว่าเป็นการไถ่โทษเมือวานที่เดินชนน้องจนได้รับบาดเจ็บ” งามตา รำคาญ

   “คุณจะไปไหน ก็ไปเถอะ อย่ามายุ่งกับฉันเลย ฉันจะไปแล้ว รถมาแล้ว” เมืองราม ก็ยังไม่ลดละความพยายาม

   “นะ ถือว่าเป็นการขอโทษก็แล้วกัน” งามตาไม่สนใจ คนก็เยอะเพราะตอนเช้า ผู้คนพลุกพล่านมาก

   เธอวิ่งหนีเมืองรามขึ้นรถสองแถว แต่คนแน่นรถสองแถวออกตัวเธอเซ ตกรถลงมาเมืองรามเห็นวิ่งไปรับไว้ทัน คนตกใจกันทั้งรถ แต่รถก็ไม่ได้หยุด เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   “เป็นไงบ้างครับน้อง” งามตา มองหน้าเมืองรามแล้ววูบไป เมืองรามอุ้มเธอไปที่รถตัวเอง และสุดท้ายรู้ตัวอีกที เธอก็มานั่งอยู่ในรถของเมืองรามซะแล้วโดยไม่รู้ตัวว่ามาได้ยังไง งามตาค่อยๆเอามือขวาตบหัวตัวเองเบาๆ เพราะกำลังตกใจที่ตกลงมาจากรถสองแถว เธอลืมตาเห็นเมืองรามเอายาดมส่ายไปมาที่จมูกของเธอ

   “เป็นไงบ้างน้อง” งามตาตกใจ

   “คุณ..นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย”

   “รถพี่เอง” แล้วเขาก็ยิ้ม

   “น้องตกลงมาจากรถสองแถว พอดีพี่รับไว้ทันก็เลยไม่เป็นไร และน้องก็วูบไปซะดื้อๆมันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”

   “ขอบคุณพี่มากค่ะ” งามตาเปลี่ยนสรรพนามทันที เมื่อรู้ว่าเมืองรามนั้นเต็มใจช่วยเธอจริงๆ

   “หายโกรธพี่แล้วเหรอ” งามตา ยิ้มเขินแบบอายๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางซ้าย

   “เจ็บแบบนี้ แล้วจะไปโรงเรียนไหวไหมเนี่ยวันนี้” เมืองราม ถามด้วยความเป็นห่วง

   “ไหวค่ะ” เธอตอบเบาๆ

   “เคร...งั้นจะให้ไปส่งที่ไหน ก็บอกพี่แล้วกัน” แล้วเมืองรามก็ออกรถไปส่งงามตาที่โรงเรียนทันที

>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<

โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 5 .. “ เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย ”

ตอนที่ 4 .. “ อิสระ..เสรี ”

Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป