ตอนที่ 185
วิหคผกผิน
สายธารน้ำตกไหลโกรกเชี่ยวกราก ไหลลงจากเบื้องสูงตกลงสูงเบื้องล่าง เสียงครืนครั่นราวลั่นกลองรบ สายธารน้ำตกกระแทกกระทบโขดหินเสียงดังซู่ ๆ ซ่า ๆ ละอองฝอยลอยล่องกระจาย ท้องธารน้ำใสไหลลงสู่แม่น้ำลั่วสุ่ยชั่วนาตาปี
เหนือน้ำตกเป็นผาสูงชันพื้นผิวราบเรียบ เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แหงนหน้ามองผาสูงชันคราหนึ่ง จากนั้นหันมาส่งเสียงกล่าวกับเยี่ยนผิงว่า
“หลานตาอันน่ารัก เจ้ามองเห็นหน้าผาสูงชันอันตรายนั่นหรือไม่?”
เยี่ยนผิง นางส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ผู้หลานย่อมมองเห็น หน้าผาสูงชันใหญ่โตออกปานนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าหน้าผานี้สูงชันอันตรายยิ่ง”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กล่าววาจาโต้ตอบว่า
“ประเสริฐ หลานตาเจ้ากล่าวตอบได้ยอดเยี่ยม หน้าผาสูงชันปานนั้น พื้นผิวยิ่งราบเรียบปานนั้น คาดว่าคงไร้ที่หยั่งเท้าและลื่นอันตรายยิ่ง”
เยี่ยนผิง นางไม่เข้าใจ ไฉนจ่านจือจึงกล่าวถามคำถามนี้กับนาง ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูออกเช่นกันว่าหน้าผาสูงชันอันตรายยิ่ง พื้นหินผาราบเรียบมันวาวคงลื่นยิ่งเช่นกัน ไม่มีที่ให้หยิบยืมหยั่งเท้าได้เลยแม้แต่น้อย พอนึกถึงไม่มีที่หยิบยืมหยั่งเท้า เยี่ยนผิงร้องอ้อเข้าใจในบัดดล
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แย้มยิ้มส่งเสียงกล่าวว่า
“หลานตา บุตรเรารวมทั้งเจ้าบุตรเขยอันประเสริฐ ในผืนผ้าบัญชาเทพอสูร บันทึกเคล็ดลมปราณมารฟ้าเอาไว้ ในระยะเวลาอันสั้นพวกเจ้าทั้งสามสามารถเรียนรู้และนำออกมาใช้ได้ ลมปราณมารฟ้าสามารถต่อต้านคลื่นเสียงบทเพลงอสูรดูดวิญญาณได้ สำหรับทูตฟ้าดินทั้งสอง รวมทั้งกุนซือแห่งวังบุปผา พวกเจ้าทั้งสามเข้าไปหลบอยู่หลังม่านน้ำตก เพลงอสูรดูดวิญญาณก็มิอาจทำกระไรพวกเจ้าทั้งสามได้เช่นกัน”
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ พร้อมด้วยนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง รวมทั้งเยี่ยนผิง คนทั้งสามมิรีรอชักช้าพากันอ่านเคล็ดวิชาลมปราณมารฟ้าบนผืนผ้าซีดเก่า ในมือของบัญทิตประหลาดเซียวเจียนซู่
สำหรับทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา รวมทั้งเฉาลู่ฟาง ต่างรีบสะกิดเท้าพุ่งร่างเข้าหลังม่านน้ำตกอันเชี่ยวกราก เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว หันมาทางด้านมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“บทเพลงอสูรดูดวิญญาณของเจ้า เราได้ยินมาว่าน่ากลัวที่สุดข่มขวัญผู้คนยิ่ง แม้แต่ดรุณีสองนางนามเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อ ร่วมกันบรรเลงเพลงนี้ด้วยปี่แป้และพิณ ถึงกับทำร้ายศิษย์ของพรรคไผ่หลิวไปถึงหนึ่งร้อยสิบชีวิต เราพอคาดเดาได้ว่า ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณของเจ้า วันนี้คงส่งเสียงอาละวาดที่นี่แน่นอน”
มารขุล่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง สอดเหน็บพัดจีบไว้ที่ซอกเอว แล้วดึงขลุ่ยเงินที่ซอกเอวอีกข้างหนึ่งขึ้นมา สาดประกายสายตาเจิดจ้าอำมหิต มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ท่านผู้เฒ่า ท่านอยู่ดินแดนทิเบตอันไกลโพ้น กลับมีหูตาอันปราดเปรียวยิ่ง ถูกต้อง ที่ท่านกล่าวมาเมื่อครู่ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย เป็นบุญหูของท่านในวันนี้ ที่จะได้ฟังข้าพเจ้าเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงอสูรดูดวิญญาณอีกครั้ง”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แย้มยิ้มหันมากล่าวกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน รวมทั้งนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนว่า
“สำหรับพวกท่านทั้งสอง เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ท่านเป็นศิษย์อันดับสองของสำนักตำหนักหมื่นเทพในอดีต นอกจากวิชาภูผาทะลวงใจกับวิชาอสูรโลกันตร์แล้ว ท่่านยังมีความรอบรู้เรื่องดนตรีศิลปะ บุตรชายของท่านคิดเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงอสูรดูดวิญญาณ ท่านเล่า? คิดจะแสดงความสามารถใด? ให้เราถ่างตาแคะขี้หูเอาไว้รอ เพื่อที่ผู้เฒ่าอมโรคใกล้ลาโลกรอมร่อเช่นเราได้เปิดหูเปิดตา”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ส่งเสียงหยามเหยียดกว่าวาจาไถ่ถามว่า
“ท่านผู้เฒ่า ท่านต้องการให้เราเจ้าอสูรโลกันตร์ แสดงความสามารถใด? ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตา”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แย้มยิ้มกล่าวตอบว่า
“เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ท่านมองเห็นหน้าผาราบเรียบสูงชันนั่นหรือไม่?”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน แหงนคอตั้งบ่าสาดสายตามองขึ้นไปยังหน้าผาสูงชัน ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“แน่นอน เราย่อมมองเห็น สายตาของเรามิได้พิการมืดบอด หน้าผากว้างใหญ่สูงชันเพียงนั้น เรามิอาจมองไม่เห็นได้”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แย้มยิ้มกว้างขึ้น ส่งเสียงกล่าววาจาชื่นชมดังว่า
“วิเศษ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ท่านกล่าววาจาได้ดี แถมยังระรื่นหูเราอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าฝีมือการวาดภาพของท่านบนหน้าผาสูงชันนี้ ท่านจะมีความสามารถหรือไม่? ท่านจะใช้กระบี่หรือว่าอาวุธใดก็ได้ตามใจท่านปรารถนา เพียงท่านสามารถวาดภาพออกมาได้หนึ่งในสิบส่วน เราเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ยามนั้น นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางแหงนหน้าขึ้นมองหน้าผาสูงชันราบเรียบ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ท่านผู้เฒ่า สำหรับเราเล่า? ท่านต้องการให้เราแสดงสิ่งใด? ให้กับท่านได้เปิดหูเปิดตา”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงหัวร่อชอบอกชอบใจ ส่งเสียงกล่าววาจาตอบออกไปว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ท่านเป็นศิษย์คนที่ห้าของสำนักตำหนักหมื่นเทพในอดีต นอกจากวิชาซุกซ่อนเปลวไฟในแขนเสื้อ กับวิชากระบี่อัคคีน้ำค้างของท่านแล้ว เราผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ยังได้ยินมาว่า ท่านยังเชี่ยวชาญในเรื่องของบทกลอนกวีอีกด้วย”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ ปฏิกิริยาบ่งบอกถึงความทะนงตัวอยู่บ้าง พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ถูกต้อง ท่านผู้เฒ่าได้ยินมาไม่ผิดพลาดเลย เป็นเช่นนั้นจริง เราคล้ายลำนำบทกลอนกวีได้ไพเราะระรื่นหูยิ่ง”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าววาจาชื่นชมว่า
“วิเศษ เป็นคำกล่าววาจาอันยอดเยี่ยม เราผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ในอดีตเคยได้แลกเปลี่ยนวิชาฝ่ามือ อีกทั้งศาสตร์ศิลปะแขนงต่าง ๆ กับท่านปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนอยู่บ้าง ดังนั้นบนหน้าผาสูงชันอันว่างเปล่าหากปล่อยเอาไว้คงไร้เรื่องราว พวกเราสามคนมาร่วมกันสร้างสรรค์ศิลปะกวีบนหน้าผาร่วมกัน ในขณะที่รับฟังบทเพลงอสูรดูดวิญญาณของบุตรชายของพวกท่าน ดีหรือไม่?”
บัดนั้น มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มันแสดงสีหน้าแปลกประหลาดยากคาดเดา มันครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
“ผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวผู้นี้ ท่านจะโอหังอวดดีเกินไปแล้วกระมัง? คิดจะสลักอักษรภาพวาดบนหน้าผาสูงชันราบเรียบ ในขณะที่ฟังเราเป่าขลุ่ยด้วยบทเพลงอสูรดูดวิญญาณ เพียงท่านต้านทานสามบทเพลงแรกได้ ก็นับว่าเก่งกล้าสามารถเกินไปแล้ว แต่จะให้แบ่งแยกสมาธิเพื่อสลักอักษรภาพวาดอีก รวมทั้งสองข้างซ้ายขวายังมีบิดามารดาของเรา พวกท่านทั้งสองจะต้องเล่นงานท่านผู้เฒ่า ในขณะที่ช่วยกันสลักอักษรภาพวาด”
มิเพียงแต่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ที่มันมีความคิดเช่นนี้ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน รวมทั้งนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน พวกมันทั้งสองล้วนมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
แต่ทว่า สำหรับกับจ่านจือ ซึ่งอยู่ในคราบของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กลับแสดงสีหน้าท่าทีปลอดโปร่ง เหลียวไปมองสองสามีภรรยาแซ่เซียวกับเยี่ยนผิงวูบหนึ่ง คนทั้งสามส่งสัญญาณว่า ทำความเข้าใจในเคล็ดวิชาลมปราณมารฟ้าได้แล้ว ดังนั้น จ่านจือจึงส่งเสียงกล่าวถามกับเยี่ยนผิงว่า
“หลานตาอันน่ารัก ท่านตาทราบว่าเจ้าก็มีความรอบรู้ในเรื่องศิลปะบทกลอนกวีด้วย เช่นนั้น ท่านตาจะให้เจ้าเป็นผู้ออกความคิดเห็น บนหน้าผาสูงชันราบเรียบ ควรจะสลักภาพวาดอักษรบทกลอนกวีใด?”
ยามนั้น เยี่ยนผิง นางแสดงสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นเหลียวมองไปโดยรอบ มองเห็นสายธารน้ำตก ในท้องธาราฝูงมัจฉาแหวกว่ายเวียนวน แหงนมองขึ้นไปด้านบนท้องฟ้า เหนือหน้าผาสูงชันเหยี่ยวใหญ่โบยบิน สองฝั่งข้างธารน้ำตกล้วนรกเขี้ยวครึ้มไปด้วยเหล่าเฟิร์นน้อยใหญ่ เหนือพื้นกรวดทรายขาวละเอียด ฝูงผีเสื้อและแมลงปอหยอกล้อเร่งร่า เสียงนกน้อยขับขานฟังไพเราะระรื่นหู นางแย้มยิ้มแสดงสีหน้ายินดี ส่งเสียงกล่าววาจาตอบต่อเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวว่า
“ท่านตา ข้าพเจ้าคิดออกแล้ว บนหน้าผาควรสลักภาพวาดอักษรบทกลอนกวีใด?”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แสดงสีหน้ายินดี ส่งเสียงกล่าววาจาถามว่า
“หลานตาอันน่ารัก เจ้ารีบกล่าวออกมา บนหน้าผาสูงชันราบเรียบ ควรสลักภาพวาดอักษรบทกลอนกวีใด?”
เยี่ยนผิง นางส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ภาพวาดบนหน้าผาราบเรียบสูงชันนี้ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงขอตั้งชื่อว่า “วิหคผกผิน” ภาพวาดควรเป็นเหยี่ยวใหญ่ไล่จับเหยื่อนกน้อย อยู่เหนือธารน้ำใสมัจฉาแหวกว่าย ท่านตาเห็นเป็นเช่นไร? คิดว่ายากเกินไปสำหรับบิดามารดาของเดรัจฉานสำส่อนผู้นั้นหรือไม่?”
ยามนั้น เมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าววาจาเช่นนั้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน มันรีบส่งเสียงกล่าววาจาสวนขึ้นทันควันว่า
“มีอันใดยากเกินไปสำหรับเรา หากเราเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ยังไร้ความสามารถ มิอาจสลักภาพวาดตามวาจาของโกวเนี้ยน้อยนี้ได้ เห็นทีท่านผู้เฒ่าท่านจะเอาความสามารถใดมาแข่งขันเอาชัยเรา?”
ขณะเดียวกัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ แล้วแค่นเสียงกล่าววาจาไถ่ถามกับเยี่ยนผิงว่า
“อักษรบทกลอนกวีเล่า? เยี่ยนผิง เจ้าคิดได้แล้วหรือไม่?”
เยี่ยนผิง นางแย้มยิ้มกว้างให้แก่บิดามารดาของนาง จากนั้นหันหน้ามาทางด้านเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่งเสียงกล่าววาจาออกมาว่า
“สายธารน้ำตกวิหคเหิน ผีเสื้อแมลงปอหยอกล้อเริงร่า ท้องธาราน้ำใสมัจฉาแหวกว่าย เฟิร์นน้อยใหญ่อาศัยพักพิง ริมสองตลิ่งเขียวครึ้มครื้นเครง นกน้อยร้องเพลงเพลินใจ”
ยามนั้น เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว เป็นเสียงปรบมือชื่นชมด้วยใจจริง เป็นบทกลอนกวีที่ไพเราะยิ่งจริง ๆ แม้แต่นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ยังยอมยกนิ้วให้กับเยี่ยนผิง ซึ่งความจริงนางเป็นผู้ถ่ายทอดความสามารถนี้ให้ด้วยตัวนางเอง บวกกับเยี่ยนผิงเป็นคนเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง สามารถแต่งบทกลอนกวี จากสิ่งที่อยู่รอบกายออกมาได้อย่างลงตัวไร้ที่ติ
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว อ้าปากหัวร่อชอบอกชอบใจ ส่งเสียงกล่าววาจาชื่นชมว่า
“หลานอันน่ารักของท่านตา ความสามารถในบทกลอนกวีของเจ้านั้น คล้ายยังเหนือชั้นกว่านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ผู้ซึ่งเป็นศิษย์โดยตรงของเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียนเสียอีก วิเศษยอดเยี่ยม”
เยี่ยนผิง นางส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านตากล่าววาจาชื่นชมข้าพเจ้าเกินไปแล้ว เป็นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ที่ทุ่มเทลำบากอบรมสั่งสอนข้าพเจ้า ดังนั้น ส่วนหนึ่งจึงต้องขอบคุณนาง”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่เงสียงกล่าวถามว่า
“หลานตาอันน่ารัก เจ้ากับบิดามารดา ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาลมปราณมารฟ้าแล้วหรือไม่? ท่านตาจะให้พวกมันสามคนได้เปิดหูเปิดตา จะได้เลิกกล่าววาจากล่าวหาว่าพวกเราเล่นปาหี่”
สองสามีภรรยาแซ่เซียวรวมทั้งเยี่ยนผิง ต่างส่งเสียงกล่าววาจาพร้อมเพรียงกันว่า
“พวกเราเข้าใจถ่องแท้แล้ว”
จากนั้น เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“หากพวกเราต้านทานบทเพลงอสูรดูดวิญญาณ ของเดรัจฉานสำส่อนผู้นั้นมิได้ มีท่านตาอยู่ด้วย พวกเรามีอันใด? ให้ต้องวิตกเกรงกลัว”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แย้มยิ้มแล้วหันมาทางด้านเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน รวมทั้งมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ส่งเสียงกล่าววาจาสอบถามว่า
“พวกท่านทั้งสามคน มิทราบว่าพร้อมจะเปิดหูเปิดตาแล้วหรือไม่?”
คนทั้งสาม มิส่งเสียงกล่าววาจาโต้ตอบ มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง จ่อขลุ่ยเงินกับริมฝีปาก เร่งเร้าลมปราณจากศูนย์กลางท้องน้อย เป่าลมใส่ตัวขลุ่ยนิ้วมือสลับขึ้นลงไล่ไปตามตัวขลุ่ย เสียงบทเพลงอสูรดูดวิญญาณอันไพเราะสามบทเพลงแรก เป็นท่วงทำนองอันนุ่มนวลชวนหลงใหล ในสามบทเพลงนี้มีชื่อว่า อสูรกล่อมจิต อสูรกล่อมใจ และอสูรกล่อมวิญญาณ”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว โผพุ่งร่างทะยานขึ้น สะกิดปลายเท้าแผ่วพลิ้วกับสายธารน้ำตก โลดแล่นละลิ่วขึ้นสู่ริมหน้าผาสูงชันราบเรียบ
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน พร้อมด้วยนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ต่างพากันชักกระบี่พุ่งร่างดั่งเหินบิน ใช้ชะง่อนหินริมสายธารน้ำตกเป็นที่หยั่งเท้าหยิบยืมพลังส่งร่างโผพุ่งขึ้นด้านบน ติดตามเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวไปไม่ห่างนัก
ยามนั้น สองสามีภรรยาแซ่เซียว รวมทั้งเยี่ยนผิง ต่างเดินพลังขับลมปราณใช้เคล็ดวิชาลมปราณมารฟ้า ต่อต้านเสียงเพลงขลุ่ยของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง สามบทเพลงในท่วงทำนองแรกแม้ว่าจะราบเรียบเบาบาง แต่ทว่าผิวน้ำในธารน้ำตก กลับกระเพื่อมราวน้ำเดือดในหม้อต้ม
ขณะเดียวกัน บนหน้าผาสูงชัน เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แยกย้ายเป็นซ้ายขวากระหนาบเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวเอาไว้ตรงกลาง กระบี่สองเล่มจ่อจี้ปลายกระบี่เข้าหาสีข้างอย่างเร่งร้อน เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กลับงอข้อศอกสองข้างพร้อมกับงอนิ้วกลางทั้งสองดีดออก เสียงดังติงตังกังวานสดใสคล้ายระฆังเงินฉะนั้น
สิ้นเสียงติงตัง ปลายกระบี่ทั้งสองแบนเบือนสู่ผิวผาราบเรียบ เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ร่ายรำสองฝ่ามือใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาดาวดึงส์ท่าที่แปดนามว่า “ดาวล้อมเดือนเคลื่อนฟ้าย้ายดิน” บังคับปลายกระบี่ทั้งสองบัดเดี๋ยวโค้งขึ้นลง บัดเดี๋ยวตรงฉวัดเฉวียนกรีดกราย ประกายไฟแลบแปลบปลาบ ดล้ายดั่งฟืนฟางแตกปะทุในกองไฟ
ส่วนด้านล่าง พื้นดินหินกว้างริมธารน้ำตก มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณยิ่นหว่อถิง มันบรรเลงเพลงขลุ่ยถึงบทเพลงที่สามในท่วงทำนองแรกแล้ว มองเห็นผิวน้ำในธารน้ำตกคล้ายดั่งระลอกคลื่นละเอียด บางคราวคล้ายดั่งน้ำเดือดในหม้อต้ม สองสามีภรรยาแซ่เซียวรวมทั้งเยี่ยนผิง คนทั้งสามผนึกลมปราณมารฟ้า รวบรวมสมาธิใช้เคล็ดวิชาที่บันทึกไว้บนผืนผ้าซีดเก่าออกมา จึงสามารถต่อต้านเพลงขลุ่ยของมารน้อยผู้นี้เอาไว้ได้
สำหรับทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา รวมทั้งกงซุนเฉาลู่ฟางต่างหลบอยู่หลังม่านน้ำตกเชี่ยวกราก อาศัยความรุนแรงของสายธารน้ำตก และเสียงซัดสาดลดทอนคลื่นเสียงปราณขลุ่ยเงินเอาไว้ได้
ยามนั้น ริมหน้าผาสูงราบเรียบ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ต่างอาศัยสภาวะของกันและกันเปลี่ยนท่าร่างกลางอากาศ แต่สำหรับเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว คล้ายดั่งร่างเบาบางไร้น้ำหนักเหยียบย่างอากาศธาตุไร้ร่องรอย บนพื้นหน้าผาอันว่างเปล่าปราศจากร่องรอยเมื่อครู่ บัดนี้ปรากฏเหยี่ยวใหญ่กางปีกโฉบเฉียวร่อนถลา ในอุ้งกรงเล็บตะปบจับนกน้อยเอาไว้ได้ตัวหนึ่ง ถัดลงมาเบื้องล่างของอุ้งกรงเล็บ เป็นภาพสลักสายธารน้ำตก ในท้องสายธารน้ำตกมัจฉาแหวกว่ายดั่งมีชีวิตปานฉะนั้น
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เห็นเช่นนั้น ต่างรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันพลันครุ่นคิดขึ้นว่า
“เฒ่าโสโครกอมโรคผู้นี้ พลังวัตรลึกล้ำพิสดารนัก อีกทั้งสภาวะวิชาตัวเบายังยอดเยี่ยมสูงส่ง คำกล่าวเมื่อครู่ของเฒ่าโสโครกนี้อาจมิได้แปลกปลอม มันอาจเป็นอาวุโสพิทักษ์กฎของสำนักเทพอสูรฟ้าแล้วจริง ๆ”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ก็เช่นเดียวกัน ครุ่นคิดพิศวงสงสัยอยู่ภายในใจว่า
“ตาเฒ่าอมโรคลึกลับผู้นี้ เห็นทีมิอาจจะดูแคลนประมาทฝีมือมันได้ หรือว่าที่แท้มันเป็นอาวุโสพิทักษ์กฎของสำนักเทพอสูรฟ้าจริง ๆ”
บัดนั้น เจ้าสำนักมารทั้งสองผัวเมีย ประสานสบสายตากัน จากนั้นหยิบยืมพลังพุ่งร่างออกห่างจากเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว จากนั้นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาอัคดีกระบวนท่าที่เรียกว่า “อัคคีโหมกระหนาบทุ่ง” แผ่พุ่งฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่า ก่อเกิดเป็นเปลวไฟโหมรุนแรง ดั่งไฟลุกไหม้ลามทุ่งหญ้าฟางแห้ง
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กระแทกฟาดฝ่ามืออาศัยเคล็ดวิชาภูผาทะลวงใจ กระบวนท่าที่มีชื่อเรียกหาว่า “บดบรรพตขยี้ภูผา” ก่อเกิดเป็นคลื่นปราณพลังหนาแน่น คล้ายดั่งเคลื่อนย้ายขุนเขามาทั้งลูกก็มิปาน เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ซึ่งสภาวะท่าร่างดั่งวิ่งเหยียบย่างอากาศไร้น้ำหนัก อยู่กึ่งกลางระหว่างสองเจ้าสำนักมาร ปฏิกิริยาท่าร่างยังคงปลอดโปร่ง ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ เอื้อนเอ่ยวาจาดังว่า
“พวกท่านทั้งสอง ลงมือรุนแรงหนักหน่วงพร้อมกันปานนี้ คิดจะฝังสังขารเราเข้าไปในพื้นหินผาเชียวรึ? เช่นนั้นลองรับฝ่ามือเทพอสูรของเราดู”
กล่าวจบ เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กระแทกสองฝ่ามือซ้ายขวาออก หากมองโดยผิวเผินสองฝ่ามือนี้คล้ายดั่งบางเบาไร้พิษสง แต่ทว่าความพลิกแพลงที่ตามติดมานั้นพิสดารนัก เสียงเปรื่องดังสะเทือนเลื่อนลั่น ร่างของสองเจ้าสำนักมารพลันสูญเสียการควบคุม ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ในอากาศ ร่างปลิวละลิ่วไปในอากาศราวสิบกว่าวา
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
“เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวผู้นี้ เห็นทีฝีมือมันมิใช่ธรรมดาแล้ว อีกทั้งเสียงเพลงขลุ่ยอสูรดูดวิญญาณของหว่อถิง ยังไม่สามารถทำกระไรต่อมันได้ แต่ทว่าสามเพลงสุดท้ายเป็นเพลงที่รุนแรงดุร้าย บางทีมันอาจไม่สามารถต้านรับเอาไว้ได้”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน เมื่อตั้งหลักมั่น สะกิดฝ่าเท้าเข้ากับพื้นผาหยิบยืมพลังเปลี่ยนสภาวะอีกครั้ง ส่งเสียงกังวานต่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนว่า
“น้องพี่ พวกเราใช้วรยุทธ์ในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราเล่นงานมัน เราใช้สุริยันอันเฉิดฉาย ท่านใช้จันทราอันเยือกเย็น พวกเรารวมพลังทั้งสองจัดการมัน”
กล่าววาจาจบ จอมมารทั้งสองใช้ออกด้วยกระบวนท่าวิชาในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ใช้ออกด้วยกระบวนท่าอันร้อนแรงดุดัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ใช้ออกด้วยลมปราณอันเย็นเยียบกระบวนท่าพลิ้วไหวเบาบาง
บนพื้นหินลานกว้างริมธารน้ำตก มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงบรรเลงบทเพลงที่สามในท่วงทำนองที่สองในทำนองโศกาอาดูรจบลง ซึ่งประกอบด้วยสามบทเพลงได้แก่ โลกันตร์รำพึงรำพัน โลกันตร์คะนึงหา โลกันตร์คร่ำครวญหวนไห้
จากนั้น มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มันเริ่มเป่าขลุ่ยเงินในบทเพลงในท่วงทำนองที่สามซึ่งเร่าร้อนรุนแรง มีสามเพลงเช่นกันอันได้แก่ โลกันตร์กักวิญญาณ โลกันตร์สลายวิญญาณ และโลกันตร์ขับขานวิญญาณสลาย
ยามนั้น บรรดาแมลงปอผีเสื้อรวมถึงวิหคผกผินริมสองธารน้ำตก ต่างบินหนีส่งเสียงร้องก้องตกใจเสียงดังเซ็งแซ่ แม้กระทั่งฝูงมัจฉาในสายธาราต่างพากันดำดิ่งลงสู่ก้นลำธารหลบซ่อนตามซอกหินแคบ
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว หวนนึกถึงวิชาฝ่ามือที่เฒ่าขอทานถ่ายทอดให้ วิชาฝ่ามือของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ดังนั้นจึงใช้ออกด้วยฝ่ามือมังกรล่องเมฆา เพื่อใช้ต้านรับฝ่ามืออันดุร้ายของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ส่วนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งใช้ออกด้วยเทวยุทธ์ผีเสื้อ ฝ่ามือคล้ายดั่งเงามายาไร้รูปไร้ร่าง งดงามราวปีกผีเสื้อโบยบิน
สองเจ้าสำนักมารพลันสองรูหูลั่นดังอื้ออึง สายตาพร่าพรายละลานตา ลมปราณพลันสับสน จนทำให้เพลงสุดท้ายในบทเพลงอสูรดูดวิญญาณ แทบทำร้ายแก่พวกมันทั้งสองแทน ในห้วงเวลาคับขันอันตราย สองจอมมารรีบทิ้งร่างลงสู่เบื้องล่างดั่งดาวตก พุ่งมุดลงสู่ธารน้ำตกลดเสียงเพลงขลุ่ยที่ไม่อาจต้านทานได้
ยามนั้น เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ประกบนิ้วชี้กับนิ้วกลางตวัดวาดขีดเขียนลงบนผิวผาราบเรียบ จากนั้นพลิ้วร่างลงมายังเบื้องล่างด้วยท่วงท่าอันหมดจดงดงามยิ่ง เมื่อทิ้งเท้ายืนหยัดสะบัดสองฝ่ามือกระแทกออกสู่เบื้องบนริมผิวผาราบเรียบที่ขีดเขียนด้วยนิ้วเมื่อครู่ เศษหินฝุ่นคลีคละคลุ้งกระจาย เมื่อฝุ่นควันจางหายปรากฏอักษรงดงามหกแถวเรียงราย พร้อม ๆ กับเสียงบทเพลงอสูรดูดวิญญาณเพลงสุดท้ายจบลงพอดี
เจ้าสำนักมารทั้งสอง ต่างโผพุ่งร่างขึ้นมาจากธารน้ำตก หยุดยืนลงใกล้ ๆ กับมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เยี่ยนผิง ปรบมือเกรียวกราวส่งเสียงกล่าวชื่นชม พร้อมกับออกเสียงอ่านตัวอักษรหกแถวบนผิวผาดังว่า
“สายธารน้ำตกวิหคเหิน ผีเสื้อแมลงปอหยอกล้อเริงร่า ท้องธาราน้ำใสมัจฉาแหวกว่าย เฟิร์นน้อยใหญ่อาศัยพักพิง ริมสองตลิ่งเขียวครึ้มครื้นเครง นกน้อยร้องเพลงเพลินใจ”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564