ตอนที่ 186
สำนักเทพอสูรฟ้า
สายธารม่านน้ำตกแตกกระเซ็นแยกออกเป็นช่อง ทูตฟ้าดินด้าเอ่อคา กับหม่าจิ้งเถา รวมทั้งเฉาลู่ฟาง ด้านหลังยังติดตามมาด้วยพ่อบ้านนามโฮ่วจี๋ ซึ่งบัดนี้มีตำแหน่งเป็นผู้เฒ่ารักษากฎของวังบุปผา คนทั้งสี่ต่างประสานมืออีกครั้งต่อเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ผู้เฒ่ารักษากฎส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ข้าพเจ้าโฮ่วจี๋ รู้สึกยินดียิ่งที่ได้พบกับอาวุโสพิทักษ์กฎแห่งสำนักเทพอสูรฟ้า ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่เดินทางมายับยั้งเหตุการณ์อันตรายได้ทันเวลาพอดี”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“เราเองก็รู้สึกยินดีเช่นเดียวกัน เมื่อสำนักเทพอสูรฟ้าฟื้นฟูสำนักขึ้นมาอีกครั้งที่วังบุปผาแห่งนี้ มิว่าผู้ใดก็มิอาจเข้ามาก่อกวนได้ตามใจปรารถนาเป็นอันขาด”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว เหลียวหน้าไปมองเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน รวมทั้งมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง แล้วส่งเสียงเอ่ยกล่าววาจาราบเรียบว่า
“พวกท่านคงทราบแล้วกระมัง? บัญชาเทพอสูรกลับคืนสู่สำนักเทพอสูรฟ้าแล้ว ดั่งคำกล่าวขาน “เทพอสูรจุติปกครองทั่วหล้า” เราผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ขอกล่าววาจาน้อมเตือนต่อพวกท่านสักประโยคหนึ่ง นับต่อจากนี้อย่าได้บังอาจเหยียบย่างก้าวเท้าเข้าสู่วังบุปผาแม้เพียงครึ่งก้าว หากมิเช่นนั้นแล้วอย่าได้กล่าวหาว่าเราอำมหิต”
เยี่ยนผิง นางได้ยินเช่นนั้น รีบสะอึกเข้ามาหาท่านตาของนาง พร้อมกับถลึงตาใส่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ก่อนจะส่งเสียงกล่าววาจาต่อมันว่า
“เดรัจฉานสำส่อน ท่านได้ยินท่านตากล่าววาจาชัดเจนแล้วหรือไม่? น้ำบ่อไม่เกลือกกลั้วกับน้ำคลอง ต่อจากนี้หากท่านไม่มาตอแยข้าพเจ้า ถือว่าข้าพเจ้าจะยอมปลดปล่อยท่านไปสักระยะหนึ่ง แต่เรื่องราวที่ท่านทำไว้กับจ่านจือ ข้าพเจ้าจะต้องทวงถามเอาคืนอย่างแน่นอน”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง หันไปสบสายตากับผู้เป็นบิดามารดาของมันวูบหนึ่ง สำหรับมันแล้วไม่มีวาจาใดคิดจะเอ่ยกล่าว ดังนั้นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางจึงส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“หว่อถิง ท่านพี่ พวกเรากลับ”
สิ้นเสียงของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน คนทั้งสามโผพุ่งร่างจากไปในทันที เมื่อลับหลังทั้งสามคนแล้ว บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ พร้อมด้วยนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ต่างหันมาทางด้านเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เรียนถามท่านผู้เฒ่า ฝ่ามือที่ใช้เมื่อครู่ใช่ฝ่ามือมังล่องเมฆาของขอท่านพเนจรหวงเกาฉือหรือไม่? กับอีกวิชาฝ่ามือหนึ่งคล้ายกับไม่เคยปรากฏในยุทธภพมานานแล้ว มิทราบว่านางสูงส่งของท่านผู้เฒ่าคือ...?
เยี่ยนผิง นางเมื่อได้ยินมารดาเอ่ยถามเช่นนั้น รีบส่งเสียงกล่าวตอบแทนเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวว่า
“มารดา เรื่องราวเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่ายืดยาวยิ่ง หรืออาจจะรวบรัดยิ่งก็เป็นไปได้เช่นกัน เรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ในงานวันพบปะชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน พวกเราจะได้ทราบความจริง จากปากของท่านผู้เฒ่าพร้อมกันอย่างแน่นอน อดใจรอเอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนดีหรือไม่?”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ส่งเสียงกล่าวว่า
“หากเป็นเช่นนั้น มารดาก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด แต่ถึงเช่นไร? เภทภัยในครั้งนี้ที่วังบุปผายังมิได้ถูกทำลายย่อยยับ เยี่ยนผิงเจ้านับว่ามีผลงานอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าหากมิได้อาวุโสท่านนี้ที่เจ้าพามาด้วย มิว่าท่านผู้เฒ่าจะมีเรื่องราวปิดบังยังไม่สะดวกต่อการเปิดเผยในตอนนี้ แต่คราครั้งนี้วังบุปผาถือว่าเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้เฒ่าอย่างใหญ่หลวง”
เมื่อนางแอ่นแหงเซียวเหยาเซิง กล่าววาจาจบ บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“ถูกต้อง น้องหญิงท่านกล่าวได้มิผิดเลย หากเยี่ยนผิงมิได้พาอาวุโสท่านนี้มาด้วย วังบุปผาคงถูกลบชื่อทิ้งไปจากยุทธภพเป็นแน่ วังบุปผาเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้เฒ่าอยู่มากจริง ๆ”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว หันมาประสานสบสายตากับเยี่ยนผิงวูบหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ทุกท่านมิต้องเกรงใจ ความจริงเรากับวังบุปผาหรือสำนักเทพอสูรฟ้า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่มาก ดังนั้นเรื่องราวของวังบุปผาจึงเป็นเรื่องราวของเราด้วยส่วนหนึ่ง อีกประการหนึ่งเราปิดบังความจริงบางอย่างเอาไว้ ไม่อาจเปิดเผยได้ในเวลานี้ เอาไว้วันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน เราจะต้องบอกเล่าเรื่องราวความจริงออกไปไม่คิดปิดบัง เพียงแต่ยังมีงานสำคัญที่เราต้องเดินทางไปจัดการ จึงยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผยได้ในเวลานี้จริง ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยนผิงจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราอย่ามัวยืนสนทนากันตรงนี้เลย รีบเชื้อเชิญท่านตาเข้าไปพักผ่อนด้านในก่อน ใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก ให้ท่านตาช่วยชี้แนะเคล็ดวิชาในบัญชาเทพอสูรให้กับบิดามารดาดีหรือไม่?”
สองสามีภรรยาแซ่เซียว รีบส่งเสียงเชื้อเชิญเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวพร้อมเพรียงกันว่า
“เชิญท่านผู้เฒ่า ต้องรบกวนท่านผู้เฒ่าช่วยสอนสั่งเราทั้งสองแล้ว”
ทูตฟ้าดินต้าเอ่อคา กับหม่าจิงเถา อีกทั้งเฉาลู่ฟาง รวมถึงผู้รักษากฎโฮ่วจี๋ รีบส่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่า
“เชิญอาวุโส”
จ่านจือในคราบของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว รู้สึกยินดียิ่งเหมือนกับได้กลับมายังวังบุปผาอีกครั้ง รีบพุ่งร่างแทรกผ่านม่านน้ำตกเข้าไป ภายในวังบุปผาปรับปรุงตกแต่งสถานที่เพียงเล็กน้อย เพียงกั้นแบ่งห้องศิลาออกเป็นส่วน ๆ จำนวนหลายห้องด้วยกัน ส่วนบริเวณตรงกลางเป็นห้องโถงศิลาขนาดใหญ่ บรรจุคนได้ไม่น้อยกว่าพันคน ภายในห้องโถงยืนน้อมรออยู่ด้วยผู้คนไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นคนของสำนักสี่ปีศาจ ซึ่งบัดนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ใช้เป็นสำนักเทพอสูรฟ้าแห่งวังบุปผาแล้ว
ทุกคนประสานมือโค้งทำความเคารพเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวอย่างนอบน้อมสำนึกขอบคุณ หลังจากแนะนำตัวทำความรู้จักกันแล้ว จ่านจือในคราบของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กล่าวกับสองสามีภรรยาแซ่เซียวว่า
“เรามีความคิดเห็นว่า ลำพังคนของสำนักเทพอสูรฟ้าแห่งวังบุปผา สามารถรองรับได้อีกหลายร้อยคน เพียงแต่ว่ายังมีแปดสำนักภายใต้สังกัดวังบุปผา ดังนั้นเราจึงมีข้อเสนอว่า ด้านนอกมีบริเวณกว้างขวาง อีกทั้งยังมีหน้าผาสูงชันราบเรียบขวางกั้น นับว่าเป็นชัยภูมิที่ดีที่จะปลูกสร้างอาคาร ขุดเจาะผาสร้างห้องลับ จัดทำค่ายกล ทุกท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ แสดงสีหน้าเห็นด้วย แต่คล้ายกับมีเรื่องราวไม่สบายใจอยู่บ้าง พลางส่งเสียงเอ่ยกล่าววาจาว่า
“เราเห็นด้วยกับความคิดนี้ของท่านผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าวังบุปผาแห่งนี้ เป็นท่านปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนเป็นผู้ค้นพบ ท่านได้กำชับกับเราเอาไว้ว่า หากมิใช่ทายาทของท่านโดยตรง ห้ามมิให้ดัดแปลงวังบุปผาไปจากเดิมเด็ดขาด ดังนั้นเราจึงได้แต่กั้นห้องศิลาที่มีอยู่เดิม มิได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปจากเดิมแต่อย่างใด?”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ได้ยินเช่นนั้นแทบจะหลุดปากกล่าววาจาออกไปว่า เขาที่แท้เป็นหลานของท่านปู่ลวี้ยู่เฉียน แต่ทว่าเก็บงำคำพูดเอาไว้ได้ทัน หันมาทางด้านเยี่ยนผิง แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“หลานตาอันน่ารัก ก่อนที่เราทั้งสองจะเดินทางมาวังบุปผา พวกเราได้พบพานกับจอมยุทธ์รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสหายของเจ้า ทราบว่ามีโกวเนี้ยน้อยนางหนึ่งนามว่าจ้าวไป่ชิง นางใช่เป็นทายาทโดยตรงของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพหรือไม่?”
เยี่ยนผิง แสดงสีหน้าดีใจ แย้มยิ้มส่งเสียงกล่าววาจากับบิดามารดาของนางว่า
“ถูกต้องของท่านตา แม่นางไป่ชิงเป็นหลานของปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียน อีกทั้งเป็นน้องสาวของสหายข้าพเจ้าจ่านจือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมิน่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ข้าพเจ้าคิดว่าแม่นางไป่ชิงก็คงเห็นดีด้วยอย่างแน่นอน อีกประการหนึ่งนางมีความเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะเป็นผู้บอกกล่าวต่อนางเอง”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าวววาจาว่า
“เช่นนั้น เรื่องนี้หลานตาเจ้าเป็นธุระก็แล้วกัน หากสหายของหลานผู้นั้นนามจ่านจือยังมีชีวิตอยู่ ท่านตาคิดว่าเขาเองก็คงเห็นด้วยเช่นกัน”
เยี่ยนผิง นางพยักหน้ากับเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แล้วหันมาทางด้านบิดามารดาของนาง ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“บิดา มารดา ข้าพเจ้าคิดว่าปล่อยให้ท่านตาทำธุระส่วนตัวก่อนดีหรือไม่? พวกเราไปลงมือปรุงอาหารอร่อย ๆ สักหลายจาน เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านตาดีหรือไม่?”
สองสามีภรรยาแซ่เซียว ต่างพยักหน้ารับเห็นด้วย จึงปล่อยให้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวพักผ่อนตามลำพัง พากันชักชวนไปอีกห้องหนึ่งเข้าครัว เพื่อหุงหาอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงขอบคุณท่านตา
เมื่อคล้อยหลังคนทั้งสาม จ่านจือครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
“อาวุโสทั้งสอง ข้าพเจ้าต้องขออภัยต่อท่านทั้งสองด้วย เพราะความจำเป็นมิอาจหลีกเลี่ยง ข้าพเจ้ากับเยี่ยนผิงจึงต้องโกหกพวกท่าน ก่อนที่ข้าพเจ้ากับเยี่ยนผิงจะออกเดินทางไปดอยตะวันในวันพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะชี้แนะเคล็ดวิชาในบัญชาเทพอสูรให้กับพวกท่านทั้งสอง หลังจากเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ข้าพเจ้าจะสารภาพความจริงกับพวกท่าน”
สายลมพัดผ่านแผ่วพลิ้วสลับกับกระโชกบ้างเป็นบางครั้ง ใบไม้ปลิวฝุ่นแดงบนทางดินฟุ้งตลบกระจาย บนทางเดินดินแดงคนสี่คนกำลังมุ่งหน้ามาทางด้านนี้ ผู้ที่เดินนำหน้าส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พวกเราเดินทางอีกราวครึ่งลี้จะมีทางแยก ทางแยกสายนี้ไม่ค่อยมีผู้คนใช้เดินทางมากนัก แต่ทว่าเส้นทางสายนี้คล้ายกับเป็นเส้นทางลัด ซึ่งสามารถบรรลุไปถึงเชิงเขาเส้าหลินได้ ตรงทางแยกมีร้านน้ำชาเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่ง พวกเราแวะพักดื่มน้ำชาพักผ่อนกันที่นั่น”
ผู้ที่กล่าววาจาเป็นประมุขพรรคไผ่หลิวเทียนจิ้งนั่นเอง อีกสามคนที่เดินทางมาด้วยกันคือไป่ชิง อีกสองคนเป็นอวี้หว่อกับเอวี้ยอี้เซิน เมื่อได้ยินเทียนจิ้งกล่าวเช่นนั้น ไป่ชิงจึงส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เทียนจิ้ง ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่าน นอกจากแวะดื่มน้ำชาพักผ่อนแล้ว พวกเราจะได้เสาะหาเบาะแสของหลวงจีนเส้าหลินกลุ่มนั้นด้วย”
เอวี้ยอี้เซิน ส่งเสียงกล่าววาจาสนับสนุนว่า
“ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเทียนจิ้งและไป่ชิง”
จากนั้น หันมากล่าวถามกับอวี้หว่อว่า
“อวี้หว่อ ท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
อวี้หว่อ รีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าไม่มีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น ล้วนเห็นด้วยกับท่านประมุขและแม่นางทั้งสอง เช่นนั้นพวกเราเร่งฝีเท้าเดินทางกันเถิด”
กล่าวจบ คนทั้งสี่พากันเร่งฝีเท้าออกเดินทางในทันที
ริมทางแยก มีโรงน้ำชาเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่งจริง ๆ เส้นทางสายนี้ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมาเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นเส้นทางด้านหลังเขาของวัดเส้าหลินนั่นเอง ร้านน้ำชาขนาดปานกลางไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เมื่อมองเข้าไปภายในร้านกลับมีผู้คนอยู่ไม่น้อยกว่าห้าหกคน แต่ละคนดูจากการแต่งกาย คล้ายกับคนของร้านน้ำชาแห่งนี้ ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ โพกผ้าพันศีรษะเอาไว้มิดชิด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด แต่กลับมีคิ้วเครารวมทั้งหนวดที่ยาวขัดตาอยู่บ้าง
ยามนั้น ไม่ไกลเท่าใดนัก มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางมาทางนี้ มองด้วยสายตาน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสิบคนด้วยกัน สองคนที่เดินนำหน้าถืออาวุธนอกสารบบชนิดหนึ่ง เป็นกระบอกปลายทู่รูปร่างพิกลแปลกตาอยู่ไม่น้อย มันสองคนคือเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุย กับเจียจิ้งนั่นเอง
เมื่อเดินเข้ามาภายในร้าน แสดงทีท่าวางก้ามทำวางมาดบาตรใหญ่ เทวทูตซ้ายเจียฮุยส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“มิทราบว่าผู้ใดเป็นเถ้าแก่? มีแขกเดินทางเข้าร้านมายังไม่รีบร้อนออกมาต้อนรับอีก”
เทวทูตซ้ายเจียฮุยกล่าววาจาจบ เทวทูตขวาเจียจิ้งส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า
“นอกจากรีบออกมาต้อนรับพวกเราแล้ว รีบสั่งพ่อครัวปรุงอาหารอย่างดี พร้อมกับให้เสี่ยวเอ้อจัดสุราออกมาอย่าได้ชักช้า”
คนผู้หนึ่ง ลักษณะท่าทางคล้ายกับเป็นเถ้าแก่ของร้านน้ำชาแห่งนี้ มันรีบวิ่งออกมาต้อนรับ ส่งเสียงกล่าววาจาดังว่า
“เชิญ ๆ เชิญนายท่านทั้งหลายเข้ามานั่งภายในร้านให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อน ข้าพเจ้าเป็นเถ้าแก่มีนามฮุ่ยเตีย เชิญนายท่านทั้งหลายเข้ามานั่ง โต๊ะม้านั่งล้วนว่างหลายวันนี้ไม่ค่อยมีแขกแวะมา”
หลังจากนั้น เถ้าแก่ร้านน้ำชาหันไปร้องสั่งเสี่ยวเอ้อดังว่า
“พวกเจ้าอย่าได้ชักช้า เร็วเข้ารีบยกน้ำชาออกมาต้อนรับนายท่านทั้งหลายเร็วเข้า”
เสี่ยวเอ้อสามสี่คน แต่งกายด้วยอาภรณ์หลวมโคร่งเคร่ง โพกผ้าพันศีรษะเอาไว้ทุกคน พากันวิ่งออกมาจากทางหลังร้าน พร้อมกับหิ้วกาน้ำชาควันพวยพุ่งแสดงว่าเพิ่งต้มใหม่ออกมา เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งส่งเสียงรับคำว่า
“เถ้าแก่ พวกเราทราบแล้ว ข้าพเจ้าสั่งพ่อครัวให้เตรียมอาหารผัดผัก ปรุงเต้าหู้นึ่ง กับทำบะหมี่เจเพื่อต้อนรับนายท่านทั้งหลายแล้ว”
เมื่อได้ยินเสี่ยวเอ้อกล่าววาจาเช่นนั้น คนผู้หนึ่งนามผางกว่าน ส่งเสียงตวาดด้วยความเกรี้ยวกราดว่า
“เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อผู้นี้เพ้อเจ้อเหลวไหลอันใด? มันกล่าววาจาผายลมสุนัขกระนั้นรึ? พวกเราเข้ามาในร้านของท่านเพื่อต้องการรับประทานอาหารชั้นดี พร้อมกับดื่มสุราชั้นเยี่ยม มันผู้นี้จะให้พวกเรากินผัดผัก รับประทานเต้าหู้คู่กับน้ำชา หรือว่าพวกท่านฟังวาจาของพวกเราไม่เข้าใจ?”
ยามนั้น เถ้าแก่นามฮุ่ยเตีย รีบแสดงท่าทีมีมารยาท ประสานมือขึ้นอย่างนอบน้อม ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ข้าพเจ้าต้องขออภัยต่อพวกท่านทั้งหลายด้วย พวกมันมิได้ฟังวาจาของพวกท่านไม่เข้าใจ เพียงแต่ร้านของเราเป็นร้านน้ำชา นอกจากน้ำชาแล้ว ก็ไม่มีสุราเก็บซุกซ่อนเอาไว้ภายในร้านแม้เพียงไหเดียว อาหารของทางร้านก็มีเพียงผักกับเต้าหู้ และบะหมี่ต้มน้ำผักกาดขาวเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าต้องขออภัยต่อทุกท่านอีกครั้งแล้วจริง ๆ”
เทวทูตซ้ายเจียฮุยได้ยินเช่นนั้น ยกมือขึ้นตบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวกราด ตวาดด้วยน้ำเสียงเขื่องโขว่า
“บัดซบ พวกท่านกล่าววาจาว่าไม่มี ก็ต้องไม่มีเช่นนั้นรึ? ในเมื่อภายในร้านของพวกท่านไม่มี จงรีบให้เสี่ยวเอ้อของท่านรีบไปซื้อหามาให้กับพวกเรา หรือว่าพวกท่านดูไม่ออก ว่าพวกเราที่แท้เป็นผู้ใด?”
บัดนั้น ภายนอกร้านแว่วได้ยินเสียงดังสดใสสอดแทรกเข้ามาภายในร้านว่า
“เถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อ ฟังวาจาสุนัขของพวกท่านไม่เข้าใจ หรือว่าพวกสุนัขอ่านหนังสือไม่ได้กันแน่? ป้ายหน้าร้านสลักอักษรเอาไว้ชัดเจน “ร้านน้ำชาไม่อาจทุศิล” ในเมื่อไม่อาจทุศีลจะให้พวกเขาฆ่าสัตว์จำหน่ายสุราได้ด้วยรึ?”
พวกมันทั้งหมดต่างพากันหันขวับไปทางต้นเสียงราวนัดหมายกันไว้ หน้าร้านยืนอยู่ด้วยสองบุรุษกับสตรีอีกสองนาง ผู้ที่กล่าววาจาเมื่อครู่เป็นหนึ่งในสตรีสองนาง ที่แท้คือจ้าวไป่ชิงนั่นเอง
คนทั้งสี่ก้าวเท้าเข้ามาภายในร้าน เลือกโต๊ะริมหน้าต่างแล้วพากันนั่งลง เทียนจิ้งประมุขพรรคไผ่หลิว ส่งเสียงกล่าววาจากับเถ้าแก่ร้านน้ำชาว่า
“เถ้าแก่ ผัดผัก เต้าหู้นึ่ง รวมถึงบะหมี่ต้มผักกาดขาวเหล่านั้น เมื่อพ่อครัวปรุงเสร็จแล้ว เช่นนั้นรีบให้เสี่ยวเอ้อยกออกมาให้กับพวกเราเถิด วันนี้พวกเราสี่คนจะถือศีลกินเจ เพียงแต่ศีลข้อเดียวที่พวกเราไม่อาจปฏิบัติได้ในวันนี้ คือศีลข้อปาณาซึ่งฟังวาจาของพวกมันเหล่านั้นแล้ว พวกมันต้องการเข่นฆ่าคนเช่นกัน”
เสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่เมื่อครู่ รีบวิ่งเข้าไปในครัวยกอาหารออกมาวางลงบนโต๊ะ เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งรีบรินน้ำชาจากกาที่ร้อนกรุ่น ส่งเสียงเอ่ยกล่าววาจาเชื้อเชิญว่า
“เชิญจอมยุทธ์ทุกท่านดื่มน้ำชา รับประทานอาหาร วันนี้พ่อครัวของทางร้านปรุงอาหารออกมาจนสุดฝีมือ เชิญพวกท่านลองลิ้มชิมรสชาติดู”
คนทั้งสี่รีบยกน้ำชาขึ้นดื่ม ส่งเสียงกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันว่า
“เป็นชาที่วิเศษ รสชาติหอมหวานนุ่มชุ่มคอยิ่ง”
จากนั้น คนทั้งสี่คว้าตะเกียบคีบก้อนเต้าหู้เข้าปาก ขบเคี้ยวแล้วกลืนลงท้อง ส่งเสียงร้องโดยพร้อมเพรียงกันอีกว่า
“เป็นเต้าหู้อันโอชะ กลิ่นหอม เนื้อเต้าหู้เนียนนุ่มละเอียด รสชาติกลมกล่อมละมุนลิ้นยิ่ง”
เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งแย้มยิ้มยินดี ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ยังมีบะหมี่ต้มน้ำผักกาดขาว จอมยุทธ์ทุกท่านลองคีบเส้นบะหมี่แล้วซดน้ำต้มผักกาดขาวดู พ่อครัวปรุงออกมาจนสุดฝีมือจริง ๆ กำลังร้อน ๆ คล่องคอยิ่ง”
คนทั้งสี่รีบคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก แล้วยกปากชามจ่อกับริมฝีปากซดน้ำต้มผักกาดขาวลงท้องไป เมื่อวางชามลงอวี้หว่อส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เป็นบะหมี่น้ำต้มผักกาดขาวที่หารับประทานได้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ หากจะให้วิจารณ์อาหารบนโต๊ะนี้ ความจริงมิได้มีขายตามร้านทั่วไป หากต้องการรับประทานจะต้องเดินทางขึ้นเส้าหลิน เป็นแขกของท่านเจ้าอาวาส จึงจะมีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติอาหารเช่นนี้ได้”
เมื่ออวี้หว่อกล่าววาจาจบลง เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าววาจาสืบต่อทันทีว่า
“นับว่าพวกเราทั้งสี่คน วันนี้โชคดีอยู่บ้าง อีกทั้งมีวาสนาไม่ต้องเดินทางขึ้นเส้าหลิน ก็มีโอกาสได้รับประทานอาหารเหล่านี้จากท่านไต้ซือทั้งหลายแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกมันที่นั่งอยู่อีกสองโต๊ะอีกฟากหนึ่ง พากันลุกขึ้นประกายสายตาไม่ปรารถนาดีมีรังสีเข่นฆ่าอำมหิต เทวทูตขวาเจียจิ้ง ส่งเสียงตวาดเกรี้ยวกราดว่า
“เหยียบย่ำกระทั่งส้นรองเท้าสึกหรอมิพบพาน ที่แท้เถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อเหล่านี้คือหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน ซึ่งพวกเราสืบหาอยู่หลายวันนั่นเอง”
ยามนั้น ภายหลังร้านวิ่งกรูออกมาด้วยผู้คนอีกสิบกว่าคน คนเมื่อวิ่งออกมาดึงเสื้อผ้าชั้นนอกทิ้ง แก้คลายผ้าที่โพกพันศีรษะออก เผยให้เห็นศีรษะล้านโล้นปราศจากเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว ภายในสวมใส่จีวรเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
หลวงจีนผู้ที่ดูอาวุโสที่สุด ซึ่งเมื่อครู่ปลอมเป็นเถ้าแก่ร้านน้ำชา หันมาส่งเสียงเอ่ยกล่าวกับแขกทั้งสี่ที่เข้ามาภายในร้านหลังสุดว่า
“อาตมาขอเรียนถามจอมยุทธ์ทั้งสี่ มิทราบว่าพวกท่านรู้ได้เช่นไร? ว่าพวกเราทั้งหมดเป็นหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน”
เทียนจิ้ง ประมุขพรรคไผ่หลิว ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“จำเดิม ร้านน้ำชาเก่าแก่ร้านนี้ไม่เคยมีชื่อร้านมาก่อน ตอนพวกเราก้าวเท้าเข้ามาหน้าร้าน พอเห็นป้ายชื่อร้านเขียนว่า “ร้านน้ำชาไม่อาจทุศีล” พวกเราก็รู้สึกสงสัยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินท่านไต้ซือทั้งหลายกล่าววาจาโต้ตอบกับสุนัขเหล่านั้น อีกทั้งการแต่งกายของพวกท่านยังดูขัดตา ใบหนาคิ้วเคราหนวดยาวกับทุกคนโพกผ้าพันศีรษะเอาไว้จึงยิ่งผิดสังเกต กระทั่งได้รับประทานรสชาติอาหาร ซึ่งพวกเราเคยได้ลิ้มลองครั้งงานชุมนุมชาวยุทธ์จึงยังพอจดจำได้ ท่านไต้ซือทั้งหลายไม่ต้องปิดบังฐานะแล้ว พวกเราเดินทางมาช่วยเหลือพวกท่านจากพวกมันเหล่านี้”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564