ตอนที่ 184
บัญชาเทพอสูร
ยามนั้น เยี่ยนผิงยกมือชี้ไปที่ มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง แล้วส่งเสียงกล่าววาจากับเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวว่า
“ท่านตา คนผู้นี้คิดรังแกข้าพเจ้า เดรัจฉานน้อยสำส่อนผู้นี้ มันมีฉายาว่ามารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณนามเยิ่นหว่อถิง มีฐานะเป็นนายน้อยแห่งสำนักอสูรโลกันตร์”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว เอื้อมมือลูบศีรษะของเยี่ยนผิง สายตาเวทนาสงสาร ทอดสายตามองไปยังเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน จากนั้นรั้งสายตากลับมาจับจ้องที่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง กล่าววาจาว่า
“เดรัจฉานสำส่อนผู้นี้ มันคิดรังแกหลานตาอย่างไร?”
เยี่ยนผิง นางใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวของท่านตาเอาไว้ เอียงแก้มแนบซบกับหัวไหล่ท่าน ยกมืออีกข้างหนึ่งชี้หน้ามารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ส่งเสียงฟ้องต่อท่านตาว่า
“เดรัจฉานสำส่อนผู้นี้ จำเดิมมันเพียงลูกสุนัข ซึ่งไร้บิดามารดาอบรมสั่งสอน ดังนั้นมันจึงมีสันดานต่ำช้า อีกทั้งยังมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต มันฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา หลานหญิงของท่านตางดงามปานนี้ จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของมัน มีอยู่หลายครั้งที่มันฉวยโอกาสคิดข่มเหงข้าพเจ้า”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เดรัจฉานน้อยผู้นี้ รังแกหลานตาอย่างไร?”
เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“สุนัขจิ้งจอกคิดลิ้มลองเนื้อห่านฟ้าว่าหอมหวานปานใด? ลูกสุนัขตนนี้ใช้แผนการอุบาทว์ ร่วมมือกับหลวงจีนชั่วเส้าหลินนามถู่ฝู วางยาสลายพลังต่อสหายของข้าพเจ้า จากนั้นตัดเอ็นแขนขา หักกระดูกข้อมือเท้าทั้งยังทำลายวรยุทธ์ของเขาสิ้น”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบเครายาว ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“สหายของหลานตาผู้นี้ มันใช่ว่าที่หลานเขยของท่านตาหรือไม่?”
เยี่ยนผิง แสดงท่าทีเอียงอายขวยเขิน คล้ายเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า นางค้อนท่านตาวงหนึ่ง กล่าวตอบว่า
“ท่านตาบอกกล่าวว่าใช่ ผู้หลานจะกล่าวปฏิเสธเป็นอื่นได้เช่นไร?”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กล่าววาจาต่อว่า
“หลังจากนั้น เกิดเรื่องราวใดขึ้น? เดรัจฉานน้อยผู้นี้มันก่อเรื่องราวชั่วช้าอันใดอีก?”
เยี่ยนผิง เหลียวไปมองนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จากนั้นหันมามองเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน สุดท้ายสายตาจับจ้องมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“มันผู้นี้มิเพียงวางยาสลายพลังทำร้ายสหายข้าพเจ้าจ่านจือ มันยังลอบใช้ควันสลบ ซึ่งซุกซ่อนในพัดจีบของมันเล่นงานข้าพเจ้า หลังจากนั้น เดรัจฉานตนนี้มันคิดย่ำยีผู้หลาน ในขณะที่ผู้หลานไม่ได้สติรู้สึกตัว แต่นับว่ายังโชคดีอยู่บ้าง มารดาของข้าพเจ้าแซ่เซียว ได้รับการช่วยเหลือจากอาวุโสผมยาวขาวโพลนผู้หนึ่ง ท่านคือเซียนสุรา ฉายาเมามายแปดทิศเชียงชุนชิว ใช้วิธีการหนามยอกเอาหนามบ่ง ช่วยเหลือข้าพเจ้ารอดพ้นเงื้อมมือมันมาได้หวุดหวิด”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว พยักหน้าหงึก ๆ แสดงสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย ส่งเสียงกล่าวว่า
“อ้อ ที่แท้มารดาของหลานมาช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน แล้วมิทราบว่า บิดามารดาของเดรัจฉานน้อยผู้นี้อยู่สถานที่ใด?”
ยามนั้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่งเสียงร้องกล่าวออกมาพร้อมเพรียงกันว่า
“เราอยู่ที่นี่”
จากนั้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ส่งเสียงกล่าววาจาสืบต่อว่า
“เราเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน เราเป็นบิดามัน”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน รีบกล่าววาจาต่อทันทีว่า
“เรานางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เราเป็นมารดาของมัน”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงร้องอ้อ กล่าวว่า
“ที่แท้เป็นพวกท่านทั้งสอง คนหนึ่งเป็นเจ้าสำนักอสูรโลกันตร์ อีกผู้หนึ่งเป็นเจ้าสำนักมารสวรรค์ ทั้งสองสำนักล้วนแต่เป็นสำนักมารอันโสโครก ในเมื่อบิดามารดามันเป็นมารต่ำช้า เดรัจฉานน้อยผู้นี้ที่ท่านให้กำเนิดเกิดมา จึงชั่วช้าสามานย์ถึงปานนี้”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน คนทั้งสองแสดงสีหน้าดั่งกินรังแตนมาทั้งป่า ลูกตาทั้งสองแทบถลนออกมานอกเบ้า เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน หนวดเคราคิ้วยาวกระตุกชี้ชูชัน ส่งเสียงกล่าวตวาดว่า
“ท่านผู้เฒ่า ท่านกล่าววาจาสาหัสเกินไปแล้วกระมัง? เห็นแก่ท่านที่อาวุโส อีกทั้งท่าทางคล้ายคนอมโรค ใกล้ลาโลกลงโลงอยู่รอมร่อ เราจะอ่อนข้อยอมให้ท่านสักตาหนึ่ง แต่ถึงเช่นไร? ชื่อแซ่ของท่านเรียกหาว่าอย่างไร จงรีบบอกออกมา”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว แสร้งกระแอมไอติดต่อกันกระทั่งตัวงอแทบติดพื้น ส่งเสียงแหบพร่าระคายหูกล่าวตอบไปว่า
“เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ฉายาของท่านคล้ายบ่งบอกความต่ำช้าตัวตนอันแท้จริง เราเองก็เช่นเดียวกันกับท่าน ฉายาของเราท่านได้บอกกล่าวออกมาแล้วเมื่อครู่ ใช่บ่งบอกตัวตนแท้จริงของเราเช่นกัน เรานั้นมีฉายาว่าเฒ่าอมโรคนามหยางปู้ตงชิว”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางส่งเสียงร้องอ้อ กล่าววาจาว่า
“ที่แท้ท่านผู้เฒ่า ท่านคือเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว เรามิทราบมาก่อนว่านางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง นางยังมีญาติสนิทที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ด้วย มิทราบว่าท่านผู้เฒ่า ท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับนาง?”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว กล่าววาจาตอบว่า
“เราแซ่หยางปู้ นามตงชิว นางก็มีแซ่หยางปู้ นามเหยาเซิง หลานหญิงของเรา เรียกเราผู้เฒ่าว่าท่านตา เช่นนั้นพวกท่านคิดว่านางกับเรามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ คล้ายไม่เชื่อวาจาเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวผู้นี้ แค่นเสียงคำหนึ่งกล่าววาจาว่า
“ท่านผู้เฒ่า ท่านกล่าววาจาล้อเล่นหรือไม่? ท่านกำลังจะบอกว่านางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง นางเป็นบุตรีของท่านผู้เฒ่า?”
ยามนั้น เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าแย้มยิ้มภูมิอกภูมิใจ กล่าวคำสอดแทรกขึ้นว่า
“มีอันใดให้ต้องล้อเล่น? มารดาของข้าพเจ้าแซ่หยางปู้ นามเหยาเซิง ต่อมาใช้แซ่ตามสามีนาง ซึ่งก็คือบิดาของข้าพเจ้า บิดาข้าพเจ้าแซ่เซียว ชาวยุทธ์เรียกมารดาเป็นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง มีอันใดให้ท่านไม่เชื่อถือได้?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ในคราวแรกคล้ายไม่เชื่อถือ แต่เมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าววาจาน่าเชื่อถือ คล้ายมีเค้ามูลความจริงให้น่าเชื่อถืออยู่บ้าง อาจเป็นไปได้อยู่หลายส่วน นางเลี้ยงดูเยี่ยนผิงมา จึงทราบดีว่าเยี่ยนผิงมิใช่คนที่จะกล่าววาจาโกหกพกลมได้
ยามนั้น เยี่ยนผิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ข้าพเจ้าทราบว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่? ต่อให้ท่านมีสมองอันปราดเปรียว ท่านคงคาดคิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะกล่าววาจาโกหกพกลมเป็น”
จากนั้น เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าววาจาสืบต่อทันทีว่า
“สกุลเซียว ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับสกุลหยางปู้ ข้าพเจ้าเป็นหลานท่านตา อีกทั้งท่านตายังมีหลานชายอันน่ารักอีกผู้หนึ่งด้วย สองตระกูลล้วนมีทายาทสืบทอด สร้างชื่อเสียงเกรียงไกรในภายภาคหน้า”
เยี่ยนผิง นางแย้มยิ้มอีกครา ประกายสายตาเย้ยหยัน จ้องมองมาที่มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“เพียงแต่พวกท่านทั้งสอง ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้มาก อีกทั้งเดรัจฉานสำส่อนผู้นี้ ชาวยุทธ์ล้วนทราบดีถึงความชั่วช้าสามานย์ของมัน กอปรด้วยสันดานอันน่าขยะแขยง ข้าพเจ้าเคยกล่าววาจาสาปแช่งมันและพวกท่านทั้งสอง ระวังจะไม่มีลูกหลานไว้สืบทอดสกุล”
บัดนั้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน มันระเบิดเสียงหัวร่อดังกึกก้อง แค่นเสียงกล่าววาจาว่า
“น่าขัน โกวเนี้ยน้อยผู้นี้ เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ หว่อถิงมันเป็นบุตรชายอันประเสริฐของเราทั้งสอง มันเป็นชายชาตรีที่ห้าวหาญ สำนักอสูรโลกันตร์กับสำนักมารสวรรค์ เมื่อดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน สกุลหม่ากับสกุลเหยา เรามีหว่อถิงเป็นทายาทสืบทอดสกุล มีอันใดให้ต้องวิตก กลัวว่าจะไม่มีลูกหลานต่อไปด้วยเล่า?”
เยี่ยนผิง นางเลิกคิ้วสูงส่งสายตาหยาดเยิ้ม แย้มยิ้มพริ้มพราย ส่งเสียงกล่าวกับมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงว่า
“เยิ่นหว่อถิง ท่านได้ยินบิดามารดากล่าววาจา ชัดเจนทั้งสองรูหูแล้วหรือไม่? อย่าได้ทำให้บิดามารดาท่านผิดหวัง เช่นท่านรูปร่างหน้าตาก็มิได้อัปลักษณ์ ข้าพเจ้าคล้ายเห็นรอบกายท่าน ห้อมล้อมไปด้วยหญิงงามมากมาย อย่าได้ไร้น้ำยากระทั่งไม่สามารถผลิตทายาท ออกมาได้แม้เพียงผู้เดียว”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ใบหน้ามันแดงฉานกระทั่งเขียวคล้ำ ขบกรามกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ วาจาของเยี่ยนผิงเมื่อครู่ เสียดแทงบาดลึกเข้าสู่ห้วงลึกจิตใจมัน ราวกับถูกคมกระบี่ที่คมกริบเสียบทะลุขั่วหัวใจมัน แต่ทว่ามันมิได้โง่เขลาเกินไปนัก รีบปรับสีหน้าท่าทางให้เยือกเย็นเป็นเช่นปกติ ครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
“เยี่ยนผิง ท่านมิได้กล่าววาจาเปิดโปงเราออกมาตรง ๆ แสดงว่าเรื่องที่เราไม่อาจให้กำเนิดทายาทสืบทอดลูกหลาน ท่านยังมิได้กล่าวบอกกับผู้ใด? ดังนั้นแม้แต่ท่านยังไม่กล้ากล่าววาจาออกมา ย่อมหมายความว่า สองทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา มันสองคนยังมิได้ปริปากกล่าววาจาเช่นกัน เรื่องราวนี้ไม่อาจให้บุคคลที่ห้าทราบได้เด็ดขาด”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มันคาดเดาได้ถูกต้อง เยี่ยนผิงสั่งกำชับกับทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา ให้มันทั้งสองเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด มันสองคนหลังจากรับตำแหน่งทูตฟ้าดินแห่งวังบุปผา ก็มิเคยหลุดปากกล่าววาจาออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ครุ่นคิดวางแผนการอันชั่วร้ายภายในใจขึ้นว่า
“เราจะต้องหาทางปิดปาก ทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา สำหรับกับเยี่ยนผิง เราวางแผนการรองรับเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นการมาของเราในคราวนี้ นอกจากจะถล่มวังบุปผาให้ราบคาบ เราคล้ายมีจุดประสงค์อันซ่อนเร้น เราจะง้างเกาทัณฑ์ดอกเดียว สังหารเหยื่อไปในคราวเดียวถึงสองตัว”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มันวางแผนการเอาไว้ว่า ประการแรกที่มันสนับสนุนเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ให้สะกดรอยติดตามทูตฟ้าดินมา หนึ่งนั้นมันต้องการทราบเส้นทางลับเข้าสู่วังบุปผา ยืมมือบิดามารดาถล่มวังบุปผาให้ราบคาบสิ้นชื่อ
ประการที่สอง มันต้องการปิดปากทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา โดยอาศัยเหตุการณ์นี้ขึ้นมาบังหน้า เพื่อตบตาเยี่ยนผิงมิให้นางสงสัย หลังจากไม่มีทูตฟ้าดินอยู่ในโลกนี้แล้ว ระดับมันสมองของมัน จึงคิดว่าสามารถจัดการกับเยี่ยนผิงได้ไม่ยากเย็น ซึ่งมันวางแผนการเอาไว้ก่อนแล้ว
ทันใดนั้นเอง ม่านน้ำตกอันเชี่ยวกราก แตกพรั่งพรูกระจายออกเป็นช่องกว้างเสียงดังเกรียวกราว เงาคนห้าสายโลดแล่นละลิ่วพุ่งออกมาจากช่องว่างน้ำตก เมื่อเงาร่างทั้งห้าสายทิ้งร่างเหยียบย่างบนลานหินกว้างหน้าธารน้ำตก สองคนด้านหน้าเป็นสองสามีภรรยาแซ่เซียว บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ถัดไปอีกสองคนเป็นทูตฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา และที่ยืนอยู่ลำดับท้ายสุดเป็นกุนซือแห่งวังบุปผาเฉาลู่ฟางนั่นเอง
เยี่ยนผิง นางเห็นเช่นนั้น มิทันขบคิดรับสถานการณ์ ด้วยสมองอันปราดเปรียวรีบสะอึกเข้าไปหาบิดามารดา ปากส่งเสียงกล่าววาจาออกไปว่า
“บิดา มารดา พวกท่านออกมากันแล้ว ข้าพเจ้าพาท่านตาที่ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนานหลายปี มาเยี่ยมเยียนพวกท่าน”
จ่านจือ ในคราบของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว รีบกระโดดเข้าไปร่วมแผนการในทันที ส่งเสียงหัวร่อฮ่า ๆ เอ่ยกล่าววาจาว่า
“ปู้หยางเหยาเซิง บุตรีอันน่ารักของเรา เซียวเจียนซู่บุตรเขยอันประเสริฐ มิได้พบหน้ากันเนิ่นนานหลายปี พบกันอีกทีหลานเราเติบใหญ่เพียงนี้ บิดาได้หลานหญิงอันน่ารักเฉลียวฉลาด บิดากลายเป็นตั่วกง(ท่านตาใหญ่) ไปแล้ว พวกเจ้าทั้งสองสุขสบายดี?”
เยี่ยนผิง นางขยิบตาบุ้ยปากเป็นสัญญาณ สองสามีภรรยาแซ่เซียวเข้าใจในบัดดล พากันสะอึกเข้ามาประสานมือทั้งสองขึ้นโดยนอบน้อม นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ส่งเสียงกล่าวขึ้นก่อนว่า
“บิดา ข้าพเจ้าสุขสบายดี ท่านเล่า? มิทราบว่าลำบากเหน็ดเหนื่อยปานใด? ไม่มีบุตรีบุตรเขยคอยปรนนิบัติรับใช้ยามแก่ชรา”
จากนั้น บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ท่านพ่อตา ข้าพเจ้าสุขสบายดี ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้พบพานกับท่านอีก เราสองผัวเมียสืบเสาะหาตัวท่าน แต่ทว่าไร้วี่แววไม่พบเบาะแสอันใด มิทราบว่าท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด?”
เฒ่าอมโรคหยางปุ้ตงชิว ยังมิทันกล่าววาจาโต้ตอบ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ส่งเสียงกล่าวถามกับเยี่ยนผิงขึ้นก่อนว่า
“เยี่ยนผิง เจ้ากับท่านตา พบพานกันได้เช่นไร?”
เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“เรื่องราวยืดยาวยิ่ง หากจะให้ข้าพเจ้าบอกเล่าตั้งแต่ต้น เกรงว่าต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน เอาไว้ให้ท่านตาบอกกล่าวต่อบิดามารดาในภายหลังเถิด”
นางแอ่นแดงเซียงเหยาเซิง ได้ยินเยี่ยนผิงกล่าวเช่นนั้น นางทราบได้ด้วยสติปัญญา ผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวผู้นี้ จะต้องมีเรื่องราวอันซับซ้อน ดังนั้นจึงหันมาทางด้านบิดา ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
บิดา ที่ผ่านมามิทราบว่าท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด? ไฉนพวกเราจึงมิได้ข่าวคราวของท่าน”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ความจริง มีอยู่เรื่องราวหนึ่งซึ่งบิดาปกปิดพวกเจ้าเป็นความลับมาโดยตลอด พวกเจ้าทั้งสองอาจจะไม่ทราบ ก่อนที่สำนักเทพอสูรฟ้าจะแตกสลาย อาวุโสผู้หนึ่งของสำนัก ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนัก ให้นำบัญชาเทพอสูรลี้กายจากยุทธภพ อาวุโสผู้นั้นจึงเดินทางไกลไปถึงดินแดนทิเบต กระทั่งได้ข่าวไปเข้าหูว่า วังบุปผาฟื้นฟูสำนักเทพอสูรฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง อาวุโสท่านนั้นจึงได้เดินทางกลับมา เพื่อนำบัญชาเทพอสูรคืนสู่สำนักเทพอสูรฟ้า อาวุโสท่านนั้นก็คือบิดาเอง”
จ่านจือ ในคราบของเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิง กล่าววาจาน่าเชื่อถือแนบเนียนยิ่ง แม้แต่เยี่ยนผิงนางยังลอบชื่นชมอยู่ในใจ ในเรื่องราวที่จ่านจือกุแต่งขึ้น
ยามนั้น ผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบฉวยผืนผ้าเก่าซีดออกมาผืนหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาดังกังวานได้ยินทั่วกันว่า
“ศิษย์รุ่นที่สามรับคำสั่ง เทพอสูรจุติปกครองทั่วหล้า เราผู้เฒ่าพิทักษ์กฎแห่งสำนักเทพอสูรฟ้า ขอแต่งตั้งบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ให้ทั้งสองรับตำแหน่งเจ้าสำนักเทพอสูรฟ้าเคียงคู่กัน พร้อมกับรับบัญชาเทพอสูรส่งเสริมสำนักเทพอสูรฟ้า ให้มีชื่อเสียงเกรียงไกรสืบไปนับจากนี้”
เยี่ยนผิง นางบุ้ยปากส่งสายตาต่อบิดามารดาอีกครา เป็นการบ่งบอกว่าผืนผ้าเก่าซีดในมือของท่านตา เป็นของจริงมิได้แปลกปลอม บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ พร้อมด้วยนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง คนทั้งสองรีบคุกเข่าลงตรงหน้า ส่งเสียงกล่าววาจาพร้อมเพรียงกันว่า
“ข้าพเจ้าทั้งสอง น้อมรับคำสั่งบัญชาเทพอสูร ขอดวงวิญญาณปรมาจารย์คุ้มครองส่งเสริม”
เมื่อทั้งสองกล่าววาจาจบ เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ยื่นส่งผืนผ้าเก่าซีดให้แก่ทั้งสอง บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ยื่นมือออกรับผืนผ้าเอาไว้ แล้วซุกเก็บไว้ในอกเสื้อ จากนั้นทั้งสองลุกขึ้นยืน บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เทพอสูรจุติปกครองทั่วหล้า บัดนี้บัญชาเทพอสูรกลับคืนสู่สำนัก หลังจากนี้ ข้าพเจ้าจะส่งข่าวถึงสำนักน้อยใหญ่ ในสังกัดวังบุปผาให้มารวมตัวกัน จากนั้นค่อยร่วมเดินทางไปเส้าหลิน”
บัดนั้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน พร้อมด้วยมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง คนทั้งสามไม่อาจเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางแย้มยิ้มเย้ยหยันลั่นวาจากล่าวว่า
“ผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ท่านเป็นบิดาของนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ท่านเป็นท่านตาของเยี่ยนผิง เรายังพอยอมรับเชื่อถือได้บ้าง แต่ที่ท่านผู้เฒ่ากล่าววาจาเล่นปาหี่เมื่อครู่ สำนักเทพอสูรฟ้าก่อนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เรามิเคยได้ยินชื่อเสียงของอาวุโสพิทักษ์กฎผู้ใด? มีนามหยางปู้ตงชิวมาก่อน ท่านผู้เฒ่าเลิกเล่นละครตบตาพวกเราได้แล้ว”
จากนั้น เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“ทั้งหมดนี้ คงเป็นอุบายลูกไม้ของเยี่ยนผิง โกวเนี้ยน้อยผู้นี้มีมันสมองอันยอดเยี่ยม แต่มิอาจตบตาพวกเราสามคนได้”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ส่งเสียงกล่าวสนับสนุนดังว่า
“ข้าพเจ้ามีความเห็นเช่นเดียวกันกับบิดามารดา แม่นางเยี่ยนผิงมากเล่ห์ลวดลาย อุบายแพรวพราวจัดจ้าน พวกเราทุกคนล้วนทราบดี คงเพราะทราบว่าพวกเราเดินทางมา จุดประสงค์เพื่อถล่มวังบุปผาให้ราบเป็นหน้ากลอง จึงได้กุเรื่องผู้เฒ่าพิทักษ์กฎสำนักเทพอสูรฟ้าขึ้น เพื่อหลอกลวงพวกเรา”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่นว่า
“เช่นนั้น พวกเจ้าคงเคยได้ยินปราณมารฟ้ากับฝ่ามือเทพอสูร และวิชาตัวเบาพลิ้วบนยอดหญ้า ซึ่งชาวยุทธ์ล้วนทราบดีว่า วิชาตัวเบาพลิ้วบนยอดหญ้าของสำนักเทพอสูรฟ้า เลิศล้ำยอดเยี่ยมเทียบได้กับวิชาตัวเบาเหยียบย่างบันไดเมฆของบู๊ตึ้ง วันนี้เราเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว จะให้พวกเจ้าทั้งสามได้เปิดหูเปิดตา”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564