ตอนที่ 183
ตั้งกระดานวางหมาก
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางลงมือประสบผลสำเร็จ มันทั้งสามนอนทอดร่างเป็นซากศพ หลังจากสอดกระบี่อ่อนคืนฝัก ซึ่งดัดแปลงเป็นสายรัดเอวอันแยบยล หลังจากรื้อค้นตามร่างกายของสองเจ้าสำนักอยู่เที่ยวหนึ่ง เมื่อได้สิ่งของที่ต้องการแล้ว นางรีบหย่อนลงไปในอกเสื้อ จากนั้นล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อจีวรที่กองอยู่ข้างตั่งเตียง หยิบฉวยขวดหยกซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อ
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย เมื่อทบทวนระยะเวลาอีกราวหนึ่งชั่วยาม แสงสีสายัณห์จะพลันหดหาย นางคิดจะใช้โอกาสนี้หลบหนีไป ก่อนที่จะมีผู้ใดเข้ามาพบเห็นเข้า
ยามนั้น วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ผลักบานหน้าต่างทางด้านหลังห้อง สอดส่องสายตาฝ่าความมืดซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใด กระโดดม้วนตัวตลบหนึ่งกลิ้งตัวไปกับพื้น แล้วสะกิดเท้าพุ่งร่างเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ไกลเท่าใดนัก
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางกวาดสายตาฝ่าความมืดมิด แต่สำหรับกับนางแล้วนับได้ว่าเป็นผู้ทักษะยุทธ์ผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวงเกินไปนัก แม้จะอยู่ในความมืดมิดแต่โสตสายตาคมกล้ายิ่ง สำรวจตรวจสอบสถานที่อยู่ครู่หนึ่ง ครุ่นคิดขึ้นในใจว่า
“สถานที่นี้ คล้ายเคยได้ยินมาจากวาจาเยี่ยนผิง หากคาดเดาไม่ผิดพลาด สถานที่นี้ก็คือดอยตะวัน สถานที่สำหรับใช้จัดงานชุมนุมบุปผานั่นเอง กำหนดเวลาอีกสามวันข้างหน้านี้ สามคนโฉดชั่วนั่นจับตัวเรามาที่นี่ พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องใด? ในงานชุมนุมบุปผานี้?”
เมื่อสะกิดความสงสัย วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางค่อย ๆ ย่องออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ จากนั้นโผพุ่งร่างไปยังทิศทางหนึ่ง เพียงโลดแล่นมาได้ไม่กี่วา จำต้องชะงักหยุดยั้งเท้าลงกลางคัน
ยามนั้น เบื้องหน้านางห่างไปเพียงวาเศษ ยืนอยู่ด้วยคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้สวมใส่อาภรณ์สีดำราวกับค่ำคืนตลอดทั้งร่าง อีกทั้งบนศีรษะสวมทับด้วยหมวกปีกกว้าง ติดผ้าแพรสีดำเอาไว้โดยรอบขอบหมวก ทิ้งปลายครอบคลุมหัวไหล่ ร่างคนผู้นี้ยืนหันหลังให้กับวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย แค่นเสียงราบเรียบกล่าวถามว่า
“ขวางทางเราเอาไว้เช่นนี้ มิทราบว่ามีธุระสำคัญอันใด? หากมีธุระกับเราก็รีบแจ้งชื่อเสียงเรียงนามมา เราไม่คุยธุระไร้สาระกับคนแปลกหน้าไร้มารยาทเด็ดขาด”
สิ้นเสียงกล่าววาจาของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย คนชุดดำคลุมศีรษะค่อย ๆ หมุนกายกลับมาช้า ๆ หันทางด้านหน้ามาทางที่นางยืนอยู่ จากนั้นส่งเสียงหัวร่อฮึ ๆ ในลำคอเบา ๆ เสียงหัวร่อเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ถึงกับสยิวผิวกายด้วยความหนาวเหน็บ คนชุดดำส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“กล่าววาจาได้น่าฟัง แต่ทว่าน้ำเสียงเจ้าระคายหูเราอยู่บ้าง? เราเองยังไม่แน่ใจในวาจาเจ้าเมื่อครู่เท่าใดนัก เราเสียมารยาทอันใดต่อเจ้า? แต่ทว่าเราคล้ายชื่นชอบเจรจาพาที มีธุระอันไร้สาระอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเป็นธุระอันไร้สาระ ดังนั้นเราจึงไม่ใส่ใจจำแนกคนแปลกหน้า เมื่อเป็นคนแปลกหน้าเจรจาลุล่วง เราก็จากไปไม่เคยเก็บใส่ใจ ให้รกรุงรังรบกวนวุ่นวาย เอาเถิดเราไม่ถือสาวาจาเจ้า”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย แสดงสีหน้าไม่พึงพอใจ ส่งเสียงกล่าวโต้ตอบว่า
“น่าขัน เจ้าคล้ายฟังวาจาเราไม่เข้าใจ เรามิมีธุระอันใดกับเจ้า รีบหลบหลีกเปิดทางให้แก่เรา วาจาเราชัดเจนปานนี้ มีหรือที่เราจะเสียเวลาไร้สาระ กับคนแปลกหน้าเช่นเจ้า”
คนชุดดำคลุมศีรษะ ส่งเสียงหัวร่อเยือกเย็นยะเยียบ ส่งเสียงทิ่มแทงราวคมหอกทวนว่า
“สำหรับกับเจ้า เราอาจใช่? เราคล้ายคนแปลกหน้ากับเจ้าอยู่บ้าง แต่สำหรับกับเรา เจ้าคล้ายกับเป็นคนคุ้นเคยอยู่หลายส่วน จำเดิมเจ้ามีชื่อเรียกหาว่าอั้งเซี๊ยะเปา หลังจากได้ข่าวว่าเจ้า ลงมือสังหารเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ เผลอไม่เท่าไหร่ เจ้ากลับกลายเป็นศิษย์ทรยศหุบเขาวานร กระบวนท่าวานรท่องดง สามารถสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในค่ำคืนเดียว วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ที่เรากล่าวออกมานี้มีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือ?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย รู้สึกแปลกประหลาดใจ รู้สึกเหนือความคาดหมายของนางอย่างยิ่ง กลอกกลิ้งดวงตาไปมาสำรวจชุดดำผู้นั้นเที่ยวหนึ่ง ครุ่นคิดขึ้นว่า
“ชุดดำคลุมหน้าผู้นี้ นางเป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนจึงรู้จักประวัติกำพืดเรา ลักษณะท่าทางไม่คล้ายนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน มิว่านางจะเป็นผู้ใด? เราเพียงลงมือทดสอบฝีมือนางดู เรื่องราวอื่นยังพอปกปิดต่อเราได้ แต่แนวทางวิชาฝ่ามือ ไม่อาจตบตาเราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยได้เด็ดขาด”
ยามนั้น วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย จู่โจมโถมเข้าใส่ชุดดำคลุมหน้านั่น ส่งเสียงตวาดลั่นดังว่า
“หลีกทางให้กับเรา เจ้าจะได้ไม่สูญเสียเลือดเนื้อ”
วิชาวานรกระบวนท่าที่แปดนามว่า วานรพลิกฟ้าคว่ำดิน เพียงกระบวนท่าเดียว วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางคำนวณเอาไว้โดยมั่นเหมาะว่า จะสามารถบีบบังคับให้คนชุดดำคลุมหน้านี้ เปิดเผยฐานะอันแท้จริงออกมาได้
คนชุดดำคลุมหน้า นอกจากไม่เคลื่อนไหวหลบหลีกแล้ว ยังแค่นเสียงกล่าววาจาหยามหยันว่า
“ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น เจ้าประเมินฝีมือเราต่ำทรามเกินไปแล้วกระมัง?”
กระบวนท่าฝ่ามือนี้ ของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ครอบคลุมพิสดารอีกทั้งยังเกรี้ยวกราดดุร้ายยิ่ง สองฝ่ามือกลับกลายเป็นหลายสิบกว่าฝ่ามือ ละลานตาพร่าพรายไปทั้งฟากฟ้า ครอบคลุมไปทั้งผืนดิน ปราณพลังอันไร้สภาพคล้ายอัดแน่น แล้วแตกทะลักออกรอบทิศทาง ราวพายุคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงกล่าววาจาสำทับว่า
“ต่ำทรามหรือไม่? ใช่เจ้าจะกล่าววิจารณ์ได้พร่ำเพรื่อ ยินยอมก้มหัวยอมสยบให้กับเรา”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ทะนงตนเองว่า ฝ่ามือนี้ของนางสามารถกำราบชุดดำคลุมหน้าผู้นี้ ไม่มีหนทางจะหลบหนีคลี่คลายได้ แต่ทว่าในความมั่นอกมั่นใจชั่วพริบตานั้น ร่างคนชุดดำคลุมหน้า คล้ายสลายกลายเป็นอากาศธาตุ หายไปจากเบื้องหน้านาง แล้วด้านหลังของนางเล่า สัมผัสรับรู้ได้ถึงคลื่นลมวูบวาบเย็นเยียบเสียดแทงผิวกาย สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับนางอย่างที่สุด รีบสะกิดเท้าพุ่งไปข้างหน้า จากนั้นเปลี่ยนสภาวะท่าร่าง หมุนกายกลับมาสะบัดฟาดฝ่ามือเข้าใส่เงาชุดดำโดยเกรี้ยวกราด
ยามนี้ เงาร่างเลือนรางของชุดดำคลุมหน้าผู้นั้น เคลื่อนไหวไปมาราวกับวิญญาณไร้น้ำหนัก ท่าร่างเบาบางพลิ้วไหวราวกับผีเสื้อ พร้อมกับสะบัดฝ่ามือวูบหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“เทวยุทธ์ผีเสื้อ คราวนี้เจ้ายังกล้ากล่าวว่า ฝีมือของเราต่ำทรามอยู่หรือไม่? จดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจใส่สมองของเจ้า เราคือผีเสื้อหยกดำ”
สิ้นเสียงของคนชุดดำ วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ส่งเสียงกล่าวทวนวาจาราวกระซิบว่า
“ผีเสื้อหยกดำ”
จากนั้น วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางสิ้นสติสมประดีไปโดยไม่รู้ตัว ใช้พื้นดินเป็นหมอนฟูกหลับนอน ผีเสื้อหยกดำพลิ้วร่างจากไป ในมือข้างหนึ่งของนางหอบหิ้วปกเสื้อวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยไปด้วย ร่างที่นางหอบหิ้วไปราวไร้น้ำหนักเบาบางดั่งปุยนุ่น
ทางด้านกลางป่าพิษ อรุณรุ่งของยามเช้า หมอกน้ำค้างพร่างพรมภูษา นกกาโบยบินสายลมโชยชื่น หอมรวยรื่นด้วยกลิ่นมวลพฤกษา แว่วเสียงไก่ป่าโก่งคอขันเอ๊กอีเอ๊ก
จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ พากันล้างหน้าล้างตา แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว เมื่อกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง จ่านจือใช้ปลายฟืนเขี่ยกวาดกองเถ้าถ่านไปมา เพื่อทดสอบให้แน่ใจก่อนออกเดินทางว่า ก้อนถ่านในขี้เถ้ามอดดับสนิทดีหมดสิ้น เมื่อแน่ใจดีแล้ว ชักชวนกันวางแผนการ ก่อนออกเดินทาง
จานจือส่งเสียงกล่าวถามความคิดเห็นว่า
“ทุกท่าน มิทราบว่ามีความคิดเห็นเป็นเช่นไร? หลังจากเดินทางออกจากป่าพิษแล้ว พวกเราสมควรมีแผนการรองรับประการใด?”
เยี่ยนผิง นางรีบส่งเสียงแสดงความคิดเห็นว่า
“ข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับจ่านจือ พวกเราต้องร่วมกันวางแผนการเดินทางกันก่อน วางแผนให้รัดกุมตั้งกระดานวางหมาก หากยังเดินทางสะเปะสะปะ นอกจากจะเสียเวลาแล้ว อาจทำให้เสียการใหญ่ได้ อีกเพียงสามวันงานชุมนุมบุปผาจะจัดขึ้นที่ดอยตะวัน หลังจากวันนั้นไม่ถึงสิบวัน จะครบกำหนดการที่อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือ ท่านจะออกจากฌานการกักตนแล้ว”
เทียนจิ้งประมุขพรรคไผ่หลิว ส่งเสียงเอ่ยกล่าวบ้างว่า
“ข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน พวกเราหากเดินทางไปพร้อมกัน จะทำให้สะดุดตาเพราะกลายเป็นกลุ่มใหญ่ อาจตกเป็นเป้าสายตาของผู้ไม่หวังดี เอาเป็นเช่นนี้เถิด พวกเราแบ่งคนออกเป็นสามกลุ่ม แยกย้ายกันเดินทางสามสาย แบ่งหน้าที่กันทำงาน หลังจากนั้นนัดพบกันอีกทีที่เส้าหลิน”
ยามนั้น ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แผนการนี้นับว่าไม่เลว สมควรแยกย้ายกันไปทำงาน จากนั้นนัดพบกันที่วัดเส้าหลิน ไปชิงนางรีบส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เป็นแผนการอันยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเทียนจิ้ง เพียงแต่สามกลุ่มสามสาย พวกเราจะแบ่งคนกันเช่นไร?”
จ่านจือกับเยี่ยนผิง ทั้งสองยังไม่ทันครุ่นคิด อ้าปากจะกล่าววาจา เยี่ยนผิงนางหัวร่อร่วน ส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า
“จ่านจือ ข้าพเจ้าให้ท่านเป็นผู้กำหนดแผนการนี้ หลังจากท่านตกหน้าผาเทพนิรันดร์ไป นอกจากไม่ตายแล้ว สติปัญญากับไหวพริบปฏิภาณของท่าน บางครั้งยังเหนือล้ำกว่าที่ข้าพเจ้าคิดได้เสียอีก”
จ่านจือได้ยินเช่นนั้น แย้มยิ้มพริ้มพรายสายตาเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น จากนั้นพุ่งร่างโฉบหายไปเหนือยอดไม้ใหญ่ แล้วใบไม้ร่วงหล่นเกรียวกราว ร่างของชายชราซูบเซียวดั่งอมโรค หน้าตาเหี่ยวย่นพุ่งร่างโฉบเฉี่ยวลงมา ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ กล่าววาจาแหบพร่าระคายหูว่า
“เราผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว มีหลานชายอันน่ารักผู้หนึ่ง? มันมีชื่อคล้ายเรานามของมันหยางปู้ชุยชิว เราเมื่อแก่ชราใกล้ตายปานนี้ จึงต้องมีประสบการณ์อันคร่ำครึอยู่บ้าง ดังนั้นแบ่งคนออกเป็นสามทาง เราผู้เฒ่าอมโรคไม่มีหลานชายอยู่ด้วย จึงอาศัยหลานหญิงนางนี้ร่วมเดินทางเป็นเพื่อนเรา เราสองตาหลานจะรับหน้าที่ไปงานชุมนุมบุปผาที่ดอยตะวัน”
เยี่ยนผิง เมื่อได้ยินว่าผู้เฒ่าอมโรคเรียกตัวเองว่าท่านตา เรียกนางว่าหลานหญิง รู้สึกชอบอกชอบใจน่าสนุกสนาน จะต้องมีเรื่องราวครึกครื้นให้ได้กลั่นแกล้งผู้คนเป็นแน่ ผู้เฒ่าอมโรคส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“เพียงแต่งานชุมนุมบุปผา ยังเหลือเวลาอีกตั้งสามวัน ดังนั้นเรากับหลานสาวจะย้อนกลับไปวังบุปผาก่อน เพื่อนำบัญชาเทพอสูรกลับไปฟื้นฟูสำนักเทพอสูรฟ้า แต่งตั้งจอมยุทธ์ผัวเมียแซ่เซียว ให้รับตำแหน่งเจ้าสำนักเทพอสูรฟ้าไปพลางก่อน”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว เรียกหาเยี่ยนผิงเป็นหลานหญิงผู้นี้ ทุกคนถึงกับขบขันกลั้นเสียงหัวร่อไม่ได้ เยี่ยนผิงนางเมื่อหยุดหัวร่อ ประสานมือทั้งสองนอบน้อม ส่งเสียงกล่าวว่า
“เมื่อเป็นคำสอนสั่งของท่านตา ผู้หลานได้แต่เชื่อฟังวาจา เดินทางกลับไปวังบุปผาพร้อมกับท่านตาก่อน เมื่อท่านตาแต่งตั้งบิดามารดาของข้าพเจ้า ให้รับตำแหน่งเจ้าสำนักเทพอสูรฟ้าแล้ว คิดว่าแปดสำนักที่เหลือภายใต้สังกัดสำนักเทพอสูรฟ้า ย่อมมีหน้ามีตาอีกมากโข หากทราบว่าบัญชาเทพอสูรกลับคืนสู่สำนัก ยิ่งสร้างความแข็งแกร่งน่าเกรงขามอีกเท่าตัว”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“หลานสาวเราผู้นี้ เจ้ามีความเฉลียวฉลาด คล้ายกับคาดเดาความคิดของเราได้ราวกับตาเห็นทีเดียว”
จากนั้น เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว ประสานสบสายตากับทุกคนเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า
“มีอยู่เรื่องราวหนึ่ง ซึ่งพวกเราไม่อาจหลุดปากบอกผู้ใดได้เด็ดขาด นั้นคือเรื่องราวของจ่านจือ ขอให้ปกปิดเอาไว้เป็นความลับอีกสักระยะหนึ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ผัวเมียแซ่เซียว ก็มิอาจบอกกล่าว”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบเข้าใจ ส่งเสียงกล่าวตอบพร้อมเพรียงกันว่า
“พวกเราจะปิดปากเอาไว้โดยสนิท”
เฒ่าอมโรคส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“อีกสองกลุ่มสองสายแยกย้ายกันทำงาน แบ่งออกเป็นสายละสี่คน พรรคไผ่หลิวพร้อมด้วยหลานหญิงอีกสองคน นั่นคือหลานไป่ชิงกับเอวี้ยอี้เซิน พวกเจ้าทั้งสี่เดินทางไปตามที่เราบอก ไปช่วยหลวงจีนเส้าหลินกลุ่มหนึ่ง หลวงจีนกลุ่มนี้ที่ลอบหลบหนีไปได้ทางหลังเขา พอทราบว่าอดีตเจ้าอาวาสจะออกจากการเก็บตน พวกเขาจึงจะกลับมาเส้าหลิน แต่ในระหว่างทางมีคนลอบลงมือสังหาร พวกเจ้าทั้งสี่จะต้องไม่ให้พวกมันลงมือได้เป็นผลสำเร็จเด็ดขาด”
เทียนจิ้งส่งเสียงกล่าวว่า
“พรรคไผ่หลิว พร้อมด้วยแม่นางทั้งสองนี้ จะทำหน้าที่นี้โดยสุดความสามารถ จะไม่ให้ผู้ใดลงมือสังหารหลวงจีนเส้าหลินกลุ่มนี้ได้เป็นอันขาด”
จากนั้น เฒ่าอมโรคหันมาทางด้านมู่เหอ ส่งเสียงกล่าวว่า
“สำหรับเจ้ามู่เหอ เจ้านำศิษย์สำนักเมฆฟ้าพิรุณ กับศิษย์ผู้พี่ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวไปด้วย ไปคอยสืบสาวหาข่าวคราวยุทธจักร คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของสองสำนักมาร รวมทั้งสองเฒ่าพิษก็ไม่อาจไว้วางใจได้ สำนักมารสวรรค์กับสำนักอสูรโลกันตร์ พวกมันคงกำลังรวมหัวกันคบคิด วางแผนการอันชั่วร้ายอยู่แน่นอน”
คนทั้งสี่พยักหน้ารับทราบเข้าใจ มู่เหอส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ผู้หลานมู่เหอ เข้าใจในคำพูดของท่านตา พร้อมจะนำแม่นางกุ้ยโส่ว กับศิษย์พี่ของนางหนานตี้ อีกทั้งแม่นางซื่อเหมี่ยน เดินทางไปสืบดูความเคลื่อนไหว ไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้เด็ดขาด”
เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าววาจา กับทุกคนว่า
“ให้ทุกคนระมัดระวังผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวเอาไว้ด้วย คนผู้นี้ยังมีความลับบางอย่างที่ยังปกปิด คิดว่าผู้ที่นางทำงานให้ย่อมไม่ธรรมดา อาจเป็นผู้ทักษะยุทธ์มีพลังฝีมืออันร้ายกาจสูงส่ง กระทั่งพวกเรายังคาดคิดไม่ถึงก็เป็นไปได้”
เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า
“เหลือเพียงอารามอเทวตา ที่พวกเรายังพอคิดพึ่งพาขอความช่วยเหลือได้บ้าง นางชีเทวราชชิ้วโส่ว นางยึดมั่นคุณธรรม จิตใจซื่อตรงเที่ยงแท้ อีกทั้งยังมีศิษย์ของนางอีกถึงเก้านาง แต่ละนางยังมีพลังฝีมืออันสูงเยี่ยม”
เยี่ยนผิง รีบส่งเสียงสนับสนุนเห็นด้วย กล่าววาจาว่า
“สำหรับอารามอเทวตา ผู้หลานก็มีความมั่นใจ หากในบรรดาพวกเรามีภัย คิดว่าหากไปขอความช่วยเหลือจากนาง อาวุโสชิ้วโส่วคงไม่ดูดายไม่ช่วยเหลือ เรื่องนี้เมื่อกลับไปวังบุปผาแล้ว ผู้หลานค่อยให้เฉาลู่ฟาง รวมทั้งสองมารฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา คอยประสานงานเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดได้”
เมื่อคนทั้งหมดทบทวนแผนการกันอีกเที่ยวหนึ่ง จึงพากันออกเดินทางในทันที
วังบุปผา เส้นทางเข้ามานั้นแสนลึกลับ ทางเข้าซุกซ่อนอยู่หลังม่านน้ำตกขนาดใหญ่ หลังจากฟื้นฟูสำนักเทพอสูรฟ้าแล้ว โดยกำลังคนจากสำนักสี่ปีศาจ สองสามีภรรยาแซ่เซียวตั้งกฎเอาไว้โดยเคร่งครัด เมื่อสำนักดังกล่าวเข้าสังกัดสำนักเทพอสูรฟ้าแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใด? ก้าวเท้าออกจากวังบุปผาแม้แต่ก้าวเดียว
ดังนั้น จึงแต่งตั้งพ่อบ้านนามโฮ่วจี๋ เป็นผู้อาวุโสรักษากฎ สองมารฟ้าดินรับหน้าที่ทูตฟ้าดิน คอยส่งสาส์นนำข่าวนอกในเข้าออก ส่วนเฉาลู่ฟางรับหน้าที่เป็นกุนซือที่ปรึกษา
ยามนี้ บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ กับนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง กำลังรอคอยทูตฟ้าดินกลับมา หลังจากให้ทั้งสองออกไปส่งข่าว ถึงแปดสำนักภายใต้สังกัดวังบุปผา
ด้านนอกหน้าธารน้ำตก ทูตฟ้าดินกลับมาถึงพอดี ต้าเอ่อคากับหม่าจิงเถา คนทั้งสองพุ่งร่างทะลุม่านน้ำตกดังซ่า ๆ เข้าไป โดยที่ทั้งสองไม่ทราบว่า กำลังนำภัยร้ายกลับมาสู่วังบุปผาแล้ว ร่างสามสายทิ้งเท้าลงหน้าธารน้ำตก ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดส่งเสียงกล่าวว่า
“ที่แท้ทางเข้าวังบุปผา สำนักเทพอสูรฟ้า ซุกซ่อนอยู่หลังธารน้ำตกนี้เอง”
จากนั้น ผู้ที่ยืนอยู่ถัดไป ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“พี่รอง เป็นท่านที่คาดเดาได้ถูกต้อง หากเราสะกดรอยติดตามทูตฟ้าดินของมันมา ย่อมค้นหาเส้นทางลับเข้าวังบุปผาได้ไม่ยากเย็น ในที่สุดพวกเราก็ค้นหาเจอจนได้”
จากนั้น คนที่ยืนอยู่ลำดับสุดท้าย สะบัดพัดจีบคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“มิเพียงแต่บิดาที่คาดเดาได้ถูกต้อง มารดาท่านก็รู้จักอุปนิสัยของพวกมันทั้งสองดี จำเดิมพวกมันเป็นคนของมารดา สองมารฟ้าดินยึดถือแม่นางเยี่ยนผิงเป็นดั่งเช่นพี่น้องญาติสนิท ดังนั้นมันจึงทรยศมารดา ตีตัวออกหางจากสำนักมารสวรรค์ หันมารับใช้สำนักเทพอสูรฟ้าอยู่วังบุปผานี้”
สามคนที่สะกดรอยติดตามทูตฟ้าดินมา ที่แท้เป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อีกทั้งบุตรโทนในสายเลือด มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ซึ่งมันยังคงใช้แซ่เยิ่นเช่นเดิม โดยที่บิดามารดามัน มิได้สงงสัยติดใจแต่ประการใด
เยิ่นหว่อถิง ในยามนี้ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากบิดามารดามาหมดสิ้น รวมถึงสำเร็จยุทธ์ในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราอีกด้วย ถึงแม้ว่าคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราเล่มนี้ จะไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง เนื่องจากขาดเคล็ดวิชาดรรชนีเทวะไปหน้าหนึ่ง แต่ทว่าเพียงเท่านี้ ฝีมือของมันก็นับว่าสูงล้ำสุดหยั่งคาดแล้ว
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง โบกพัดจีบไปมาแล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเราทั้งสามอย่ามัวรอช้า รีบเข้าไปถล่มวังบุปผาของพวกมันให้ราบเป็นหน้ากลอง อีกทั้งข้าพเจ้ายังมีความแค้นอันแสนลึกล้ำต่อนางมารน้อยเยี่ยนผิงที่ยังมิได้สะสาง วันนี้ข้าพเจ้าจะเอาคืนนางให้สาสมใจ จะมิให้นางตายได้ง่ายดาย นางจะต้องมีชีวิตต่อไปโดยทรมาน”
ยามนั้น ร่างสองคนโลดแล่นมา เป็นหนึ่งชายชรา กับอีกหนึ่งสตรีงามสะคราญ สตรีงดงามเมื่อทิ้งเท้าลง ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“นึกว่าเป็นผู้ใด? มากล่าววาจาเห่าหอนอยู่แถวนี้ ที่แท้ก็สุนัขโสโครกไม่มีหางตัวหนึ่งนั่นเอง วาจาของเจ้าเมื่อครู่ยังคงเน่าเหม็นเช่นเดิม”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ได้ยินเช่นนั้น ส่งเสียงตวาดเกรี้ยวกราดว่า
“เจ้ากล่าวด่าผู้ใดเป็นสุนัข?”
เยี่ยนผิง นางส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เรากำลังด่าผู้ใด? ผู้นั้นก็คือสุนัข เป็นสุนัขที่ไม่มีหาง หรือว่าเจ้ายังไม่เข้าใจในวาจาเรา?”
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มันเข้าใจกระจ่างดีกว่าผู้ใด วาจาของเยี่ยนผิงหมายถึงเรื่องราวใด มันโกรธจนกระทั่งนึกคำพูดไม่ออก นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เห็นเช่นนั้นก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้า ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เยี่ยนผิง เจ้ากล่าววาจาต่ำช้ารุนแรงไปแล้วกระมัง?”
เยี่ยนผิงแย้มยิ้ม ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“อ้อ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย ท่านคงมิต้องการให้ข้าพเจ้าด่าท่านด้วยกระมัง? เมื่อครู่ข้าพเจ้ากล่าวด่ามันเป็นสุนัขไม่มีหาง หากด่าท่านอีกคน ท่านเป็นมารดามัน มิเท่ากับข้าพเจ้าด่าท่านเป็น...?”
ยามนั้น นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง ก่อเกิดเป็นเปลวอัคคีลุกโหมออกมาจากในแขนเสื้อ ซึ่งเป็นวิชาซุกซ่อนเปลวไฟในแขนเสื้อนั่นเอง ชายชราท่าทางอมโรคซึ่งยืนอยู่ห่างออกไป เคลื่อนไหววูบวาบราวสายลม พริบตาเดียวร่างยืนบดบังอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนผิงแล้ว
จากนั้น สะบัดมือคราหนึ่ง ตบลูกไฟขนาดใหญ่ตกลงไปในสายธารน้ำตก ส่งเสียงกล่าวไร้เรื่องราวว่า
“เป็นผู้ใดคิดรังแกหลานเรา?”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564