Your Wishlist

ทะลุมิติเป็นแม่ใจโหดนักทำอาหาร (ตอนที่ 8 บะหมี่)

Author: TealChair แปล

หลี่เหอฮว๋าทะลุมิติกลายเป็นหญิงสาวชาวบ้าน เจ้าของร่างเดิมเป็นหญิงร่างอ้วนที่สุดแสนจะเกียจคร้าน ทั้งยังจิตใจชั่วร้าย จู่ๆ ก็ต้องกลายเป็นคนที่ทุกคนเกลียดชัง เพื่อความอยู่รอดนางจะใช้ฝีมือทำอาหารที่ได้รับการสืบทอดมาจากชาติที่แล้วทำมาหาเลี้ยงตัวเอง พร้อมๆ กับแก้ไขความสัมพันธ์แม่ลูกให้พลิกฟื้นขึ้นมาให้จงได้

จำนวนตอน : 87 ตอนจบ (แปลแบ่งย่อยเป็น 153 ตอนจบ)

ตอนที่ 8 บะหมี่

  • 01/07/2565

ระหว่างทางกลับบ้านแม้หลี่เหอฮว๋าจะรู้สึกหิวมากแต่นางรู้สึกมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นเพราะนางกำลังจะหาเงินได้ในไม่ช้าแล้ว

 

หากนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อไปวันหน้าก็ไม่ต้องกังวลใจเรื่องทำการค้าอีกแล้ว นางเชื่อมั่นความสามารถในการกระจายข่าวของพวกชาวบ้านว่าดีเยี่ยม

 

เมื่อเป็นอย่างนี้นางจะให้รางวัลตัวเองสักเล็กน้อยได้หรือไม่?

 

ดีละ ความจริงนางก็ไม่ได้อยากกินโจ๊กข้าวกล้องสักหน่อย หลังต้องกินมันมาหลายมื้อนางรู้สึกเหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรง

 

ยังมีเงินติดตัวอยู่อีก 30 อีแปะที่พอจะซื้อข้าวกับแป้งกลับไปได้ ถึงอย่างไรครอบครัวหวังก็กำลังจะจัดงานในอีก 10 วันข้างหน้านี้ ตอนนี้นางสามารถใช้เงินนี้ได้แล้ว

 

หลี่เหอฮว๋าอดทนต่อความหิวไม่กลับไปที่หมู่บ้านแต่ตรงเข้าไปในเมืองแทน

 

เมื่อไปถึง แผงร้านบนถนนส่วนใหญ่เลิกขายไปแล้ว แต่ยังมีบางร้านที่ยังเปิดขายอาหารอยู่

 

หลี่เหอฮว๋าลูบท้องของตน นางอยากกินบะหมี่สักชาม แต่บะหมี่ธรรมดามีราคา 3 อีแปะซึ่งแพงเกินไปสำหรับนางในเวลานี้

 

หลังจากยืนต่อสู้ความรู้สึกในใจอยู่ครู่หนึ่งหลี่เหอฮว๋าก็เอาชนะความอยากของตนได้นางเดินจากไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

 

ช่างเถิด กลับบ้านไปทำบะหมี่กินเองก็ได้ จะต้องดีกว่ากินที่นี่เป็น 100 เท่า

 

หลังปลอบใจตัวเองแล้วหลี่เหอฮว๋าก็เดินไปร้านขายของชำ ซื้อข้าวและแป้งมาอย่างละนิดหน่อยรวมแล้วเป็นเงิน 25 อีแปะ ถึงตอนนี้นางมีเงินเหลือในกระเป๋าอยู่แค่ 5 อีแปะเท่านั้น

 

หลี่เหอฮว๋าถอนหายใจออกมาแล้วหันหลังเดินกลับหมู่บ้าน

 

เมื่อมาถึงบ้าน มองดูพระอาทิตย์แล้วน่าจะเป็นเวลาประมาณบ่าย 4 ในเวลานี้คนในหมู่บ้านหลายคนยังทำงานอยู่ที่ไร่ หลี่เหอฮว๋าไม่เห็นจางเถียซานกับจางชิงซานหรือแม้แต่มารดาของจางเถียซาน แต่ประตูบ้านยังเปิดอยู่แสดงว่าน่าจะไปไม่ไกลนัก

 

หลี่เหอฮว๋าเอาข้าวที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในห้องเก็บฟืนก่อน จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องครัวพร้อมกับถุงแป้ง ในตอนที่กำลังจะเริ่มลงมือทำอาหารนางก็นึกถึงเด็กคนเมื่อวานขึ้นมาได้ นางก้าวเท้าไปด้านหลังเตาอย่างไม่รู้ตัวและได้เห็นเด็กคนเมื่อวานนี้อีกครั้ง

 

ยังคงเงียบกริบอยู่ที่เดิม

 

หลี่เหอฮว๋าใจกระตุก ความรู้สึกเฝื่อนฝาดยากจะอธิบายท่วมท้มขึ้นในใจของนาง มันทำให้นางอยากจะเข้าไปกอดจูบเด็กน้อยผู้นี้อย่างแรงกล้า พร้อมทั้งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขา ทำให้เขาหัวเราะ ทำให้เขามีความสุข

 

แต่นางก็รู้ว่าตนจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เด็กคนนี้ต่อต้านนางอย่างยิ่ง การที่นางเข้าใกล้เขามีแต่จะทำให้เขาเจ็บปวด

 

ด้วยเหตุนี้หลี่เหอฮว๋าจึงสะกดกลั้นใจตนเองเอาไว้แล้วพูดกับเด็กน้อยว่า “สวัสดีจ้ะเด็กน้อย ข้าจะมาทำอาหารกิน ข้าจะทำบะหมี่อร่อยๆ แล้วจะทำให้เจ้าด้วยชามหนึ่งดีไหมจ๊ะ?”

 

เป็นดั่งที่คาดไว้ เด็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หลี่เหอฮว๋าไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด นางหันกลับไปเริ่มทำบะหมี่

 

ที่บ้านไม่มีเครื่องเคียงอย่างอื่น นางได้แต่ทำแค่บะหมี่เปล่าที่ธรรมดาอย่างที่สุดมากิน

 

การบะหมี่เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับนาง ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ทำเสร็จ นางตั้งใจทำมากขึ้นอีกนิด นางหยิบชามมาตักแบ่งออกไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็วางชามไว้บนม้านั่งแล้วยกม้านั่งไปไว้ตรงหน้าเด็กน้อยที่อยู่ด้านหลังเตา “เด็กน้อย นี่คือบะหมี่ อร่อยมากเลยนะจ๊ะ เจ้าลองกินดู”

 

เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่ขยับเขยื้อนและไม่ตอบสนองใดๆ หลี่เหอฮว๋าก็เม้มปากถอนหายใจแล้วพูดว่า “อย่างนั้นข้าไม่กวนเจ้าแล้ว เจ้ากินเองได้ใช่ไหมจ๊ะ? ระวังร้อนนะ ข้าจะออกไปก่อน” หลังพูดจบนางก็ยกหม้อเทบะหมี่ใส่ชามแล้วกลับไปที่ห้องเก็บฟืนพร้อมชามบะหมี่ของตน

 

ในขณะที่กินบะหมี่ที่ทำขึ้นเอง หลี่เหอฮว๋าก็คิดถึงเด็กน้อยที่อยู่ในห้องครัว ไม่รู้ว่าเขาได้กินมันหรือไม่? เขาร้อนลวกปากหรือเปล่า?

 

กินไปได้ครึ่งทาง หลี่เหอฮว๋าก็วางชามลงอย่างรู้สึกไม่สบายใจแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว นางอยากจะดูว่าเด็กน้อยถูกน้ำแกงร้อนๆ ลวกหรือไม่ ทว่าทันทีที่เดินไปถึงประตูห้องครัว นางก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาจากข้างใน เป็นเสียงของจางหลินซื่อ

 

หลี่เหอฮว๋าหยุดฝีเท้าทันที

 

ด้านในจางหลินซื่อกำลังรู้สึกแปลกใจ “ชูหลิน บะหมี่นี่มาจากที่ไหน?”

 

ไม่มีเสียงตอบกลับ

 

หลี่เหอฮว๋ากลับไปห้องเก็บฟืนเงียบๆ

 

ทันทีที่ประตูห้องเก็บฟืนปิดลง นางก็ได้ยินเสียงของคนสองคนดังอยู่ภายนอก เป็นจางเถียซานกับจางชิงซานที่กลับมา

 

หลี่เหอฮว๋าก้มหน้ากินบะหมี่ของตนต่อ

 

จางเถียซานและจางชิงซานไม่เห็นมารดาของตนกับชูหลินก็วางของในมือลงแล้วเดินไปที่ห้องครัว พวกเขาเห็นจางหลินซื่อกำลังยืนค้อมตัวพูดอยู่ข้างเตา พอเห็นบุตรชายทั้งสองของตนกลับมา จางหลินซื่อก็ยืดตัวขึ้น “พวกเจ้ากลับมาแล้ว”

 

จางชิงซานสงสัย “ท่านแม่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่? คุยกับชูหลินอยู่หรือขอรับ?”

 

จางหลินซื่อขมวดคิ้ว “แม่ไปซักผ้าที่ลำธารมา พอกลับมาถึงก็เห็นชามบะหมี่วางอยู่ตรงหน้าชูหลิน ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด พอถามชูหลิน ชูหลินก็นิ่งเฉยกับแม่”

 

จางชิงซานรีบเดินเข้าไปดูก็เห็นว่าบนม้านั่งตรงหน้าชูหลินมีชามบะหมี่วางอยู่จริงๆ  กลิ่นอาหารที่โชยมาหอมฟุ้งชวนน่ารับประทานมาก

 

“บะหมี่ชามนี้หอมน่ากินจริงๆ  มาจากที่ไหนกันนี่?” จางชิงซานพูดตามความสงสัยพร้อมกับหันไปมองพี่ชายของตนอย่างอดไม่ได้

 

จางเถียซานมองเห็นชามบะหมี่แล้วเหมือนกัน เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ดวงตาฉายแววเข้มข้น ผ่านไปชั่วอึดใจเขาก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยเสียงเบา “ไม่มีอะไร ข้าจะพาชูหลินออกไปข้างนอก ออกไปข้างนอกกันเถอะ” หลังพูดจบเขาก็เดินเข้าไปที่กองฟืนเอื้อมแขนอุ้มชูหลินขึ้นมาแล้วเดินออกไป

 

จางชิงซานมองชามบะหมี่บนม้านั่ง หลังจากคิดดูแล้วก็หยิบมันขึ้นมาก่อนจะเดินตามออกไปนอกห้องครัว บะหมี่ชามนี้กลิ่นหอมดีจริงๆ ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่เอามาให้ชูหลินจะต้องเป็นคนที่มีความตั้งใจดีต่อชูหลิน หากไม่กินก็น่าเสียดาย

 

จางชิงซานวางบะหมี่ลงบนโต๊ะแล้วยื่นตะเกียบไปให้ “พี่ บะหมี่นี่น่าอร่อย จะต้องเป็นคนเดียวกับที่ให้ซาลาเปาชูหลินมาเมื่อวานนี้แน่ คนผู้นี้ต้องเป็นคนที่มีฝีมือทำอาหารดีแน่ พี่ ท่านป้อนให้ชูหลินกินเถิดนะ”

 

จางหลินซื่อพูดด้วยความสงสัยอยู่ข้างๆ “แปลกจริงๆ ข้าออกไปซักผ้าไม่ไกลจากประตูบ้านแต่กลับไม่เห็นเลยว่าผู้ใดเข้ามาส่งอาหารให้ชูหลินในบ้าน อีกอย่างเวลามีคนในหมู่บ้านเอาของมาให้พวกเขาจะไม่ส่งเสียงเรียกเลยหรือ?”

 

จางชิงซานส่ายหน้าอย่างอธิบายไม่ถูก “ข้าก็ไม่รู้ เขาอาจจะไม่อยากให้พวกเรารู้ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับชูหลิน”

 

จางหลินซื่อคิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน “เอาอาหารมาให้ชูหลินย่อมดีต่อชูหลิน เช่นนั้นก็เอาบะหมี่นี่ให้ชูหลินกินเถอะ อย่าเสียความตั้งใจดีของผู้อื่นเลย”

 

จางเถียซานชำเลืองมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ของห้องเก็บฟืนโดยที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกต เขาไม่พูดอะไรเพียงหยิบตะเกียบมาจากมือจางชิงซาน จากนั้นก็คีบบะหมี่ขึ้นมาใส่ปากของตัวเองก่อน

 

ตอนที่บะหมี่เข้าไปในปากจางเถียซานชะงักไปชั่วครู่ แววตาปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ เพียงชั่วอึดใจต่อมาเขาก็เคี้ยวบะหมี่แล้วค่อยๆ กลืนมันลงไปช้าๆ

 

จางชิงซานมองการกระทำของพี่ชายแล้วรู้สึกนับถืออย่างมาก ตัวเขาคิดอะไรเรียบง่ายเกินไป เขาคิดเพียงว่าเมื่อเป็นของดีก็ให้ชูหลินได้กินมัน แต่เขาไม่เคยนึกเลยว่าอาจจะมีอะไรผิดปกติในนั้นก็ได้ ทั้งไม่เคยคิดจะทดลองกินดูก่อน ถ้าหากสิ่งนี้มีปัญหาอาจจะเป็นอันตรายต่อชูหลินได้

 

คิดอย่างนี้แล้วจางชิงซานก็รู้สึกผิดขึ้นมา เขาเอื้อมมือไปคว้าตะเกียบมาจากมือของพี่ชาย จากนั้นก็คีบบะหมี่เข้าไปในปากของตนเช่นกัน เขาอยากจะทดลองให้ชูหลินด้วย จะให้พี่ชายของตนเป็นคนทดลองยาพิษเพียงคนเดียวไม่ได้

 

ผลคือทันทีที่บะหมี่เข้าไปในปาก ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขารีบเคี้ยวอาหารในปากด้วยความรวดเร็วพร้อมกับพูดขณะที่กินว่า “ใครเป็นคนทำบะหมี่นี้? ไม่ใช่แค่บะหมี่ธรรมดาๆ หรอกหรือ? เหตุใดถึงได้อร่อยนัก? ดีกว่าที่ขายอยู่ในเมืองเสียอีก”

 

พอได้ยินคำพูดของบุตรชายคนเล็ก จางหลินซื่อรู้สึกสงสัยจึงรีบชิมมันด้วยทันทีและก็ต้องประหลาดใจ นางไม่คาดคิดว่าบะหมี่ธรรมดาๆ ชามหนึ่งจะอร่อยได้ขนาดนี้

 

จางเถียซานไม่เอ่ยอะไร

 

หลังจากนั้นสักพัก พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จางเถียซานก็คีบบะหมี่ขึ้นมาแล้วป้อนไปที่ปากของชูหลิน “ชูหลิน กินบะหมี่นะ อ้าปากหน่อย”

 

ชูหลินเลื่อนสายตาจ้องไปที่บะหมี่อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็อ้าปากขึ้น

 

จางเถียซานค่อยๆ ป้อนบะหมี่ชูหลินอย่างช้าๆ จนกระทั่งบะหมี่ในชามถูกกินจนหมด

 

จางชิงซานรู้สึกประหลาดไม่น้อย “พี่ นี่ชูหลินกินบะหมี่หมดชามจริงๆ หรือนี่? เขาไม่เคยกินได้มากขนาดนี้มาก่อนเลย”

 

สายตาของจางเถียซานก็มีความประหลาดใจอยู่เช่นกัน

 

ตั้งแต่ตอนที่จางเถียซานกลับมาชูหลินก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เขากินอะไรไม่ได้เลย  บ่อยครั้งที่ป้อนอาหารไปได้นิดเดียวเขาก็อาเจียนออกมาทันที ทุกวันนี้นับว่าดีขึ้นมาบ้างแล้วแต่กระนั้นก็ยังกินอะไรไม่ได้มากนัก ตอนที่พาเขาไปหาหมอ หมอบอกเพียงว่าเขาป่วยทางจิตใจซึ่งเป็นผลมาจากความอดอยากเป็นเวลานาน แม้จะกินยาก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เรื่องนี้ทำให้จางเถียซานถึงกับนอนไม่หลับด้วยความกังวลใจ ทว่าตอนนี้ชูหลินกลับกินบะหมี่ไปทั้งชาม จะไม่ให้เขารู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร?

 

เป็นไปได้ไหมว่าชูหลิน...

 

จางเถียซานเหลือบสายตาไปที่ห้องเก็บฟืนอีกครั้ง ดวงตาฉายความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ทำให้ผู้ที่ได้เห็นอ่านใจเขาไม่ออก

 

ในขณะที่หลี่เหอฮว๋าไม่รู้เรื่องเลยว่าทางด้านนอกเกิดอะไรขึ้น นางเพิ่งกินบะหมี่เสร็จ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายนอกก็รู้ว่าคนในครอบครัวจางยังอยู่ด้านนอกนางจึงไม่อยากเดินออกไป นางจะรอจนกว่าไม่มีคนอยู่แล้วค่อยออกไปล้างจานชามในครัว

 

หลังเพิ่งกินเสร็จ หลี่เหอฮว๋าไม่ได้เอนตัวลงนอนพักผ่อน นางลุกขึ้นยืนแล้วทำโยคะอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยเร่งการลดน้ำหนักได้ในขณะที่ย่อยอาหาร

 

เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของนางอ้วนเกินไป การทำโยคะเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับนาง ท่าโยคะหลายๆ ท่าที่เคยเป็นเรื่องง่ายในอดีต ตอนนี้กลายเป็นเรื่องยากที่จะทำได้สำเร็จ แม้แต่จะยกขาขึ้นนางยังทำไม่ได้ การเคลื่อนไหวดัดตัวเพียงครั้งเดียวก็ทำให้รู้สึกหมดแรงแล้ว เหงื่อของหลี่เหอฮว๋าไหลออกมาจนชุ่มราวกับว่านางเพิ่งไปจับปลาในน้ำมา ร่างกายของนางเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้

 

หลี่เหอฮว๋าอ่อนล้าจนทรุดตัวลงไปบนเตียง นางสูดหายใจอย่างแรงพลางก้มมองก้อนเนื้อบนร่างแล้วกำหมัดแน่น นางจะต้องอดทน ต้องลดน้ำหนักลงให้ได้

 

ฟ้าด้านนอกกำลังจะมืดลงในไม่ช้า นางได้ยินเสียงทำอาหารดังขึ้นจากในห้องครัว จากนั้นก็เป็นเสียงคนในบ้านกินข้าวกัน ผ่านไปนานหลังจากนั้นเสียงด้านนอกจึงค่อยๆ หายไปและในที่สุดก็ตกอยู่ในความเงียบ

 

หลี่เหอฮว๋าค่อยๆ แง้มประตูห้องเก็บฟืนออกมา เมื่อเงี่ยหูฟังเสียงว่าภายนอกเงียบสนิทแล้วจริงๆ นางจึงถือชามเข้าไปในห้องครัวแล้วล้างจานชามใต้แสงจันทร์ เสร็จแล้วนางต้มน้ำร้อนนำกลับไปที่ห้องเก็บฟืนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายตัวพลางวางแผนในใจว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนที่ทุกคนจะตื่นนางจะลุกขึ้นมาทำหมั่นโถวไว้เป็นมื้ออาหารของวันพรุ่งนี้เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องออกไปเจอผู้อื่น ทั้งยังแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกินตลอดทั้งวันของตนได้อีกด้วย

 

หลังคิดเรื่องนี้แล้วหลี่เหอฮว๋าก็ผล็อยหลับไป

 

เช้าวันต่อมาทันทีที่ไก่ขันหลี่เหอฮว๋าก็ลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมา พอนึกถึงแผนการของตนในวันนี้ของตนขึ้นมาได้ นางก็ลุกขึ้นนั่งทั้งทียังง่วงอยู่ หลังแต่งตัวเสร็จนางหยิบถุงแป้งที่ซื้อมาเข้าไปในครัวแล้วเริ่มทำหมั่นโถว

 

หมั่นโถวทำง่ายมากใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จ แค่จับลงนึ่งในหม้อเท่านั้น ในตอนที่กำลังจะใส่ก้อนหมั่นโถวลงไปนึ่ง หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นตะกร้ากุยช่ายวางอยู่ แววตานางวาววับขึ้นทันที นางอดคิดถึงเด็กน้อยคนนั้นอีกครั้งไม่ได้

 

นางแอบใช้กุยช่ายเพียงนิดหน่อยคงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? แค่นิดเดียวเท่านั้น นางอยากทำเกี๊ยวทอดให้เด็กน้อยคนนั้นกิน ร่างกายเขาอ่อนแอมากจำเป็นต้องได้กินอะไรดีๆ

 

แต่ถ้าหากมีคนจับได้ล่ะ? พวกเขาจะคิดว่านางลักขโมยของของบ้านเขาจนรู้สึกไม่พอใจหรือไม่?

 

หลี่เหอฮว๋าคิดไม่ตก นางรู้ว่าทางที่ดีไม่ควรทำอะไรเพิ่มอีก แต่ไม่รู้ว่าทำไมนางแค่อยากทำของอร่อยๆ ให้เด็กคนนั้นเท่านั้นเอง บางทีอาจเป็นความรู้สึกผิดที่นางไม่อยากจะยอมรับ ถึงแม้นั่นไม่ใช่ตัวจริงของนาง ทว่าตอนนี้นางก็คือหลี่เหอฮว๋า

 

สุดท้ายหลี่เหอฮว๋าก็แอบเอากุยช่ายในตะกร้ามาใช้หนึ่งกำมือเล็กๆ นางเอามาซอยเพื่อทำเป็นไส้ ปรุงรสเสร็จแล้วนำแป้งมาห่อ จากนั้นทอดในกระทะ ในที่สุดก็ได้เกี๊ยวทอดออกมาหนึ่งจาน

 

เมื่อหยิบมาลองชิมดูหนึ่งชิ้นหลี่เหอฮว๋าก็รู้สึกพอใจกับรสชาติมาก นางเอาชามมาคว่ำคลุมจานเกี๊ยวแล้วนำไปวางไว้บนเตาสำหรับให้เด็กน้อยกิน

 

นางรู้ว่าทำอย่างนี้จะต้องทำให้คนอื่นสงสัยอย่างแน่นอน ทว่านางไม่คิดจะเสแสร้งทำเป็นปิดบังไม่แสดงตัวออกไป นางแค่อยากจะดีต่อเด็กคนนั้น ตอนนี้นางยังไม่มีอะไรสักอย่างจึงทำได้เพียงทำอะไรให้เขากิน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะแอบให้อาหารเขาอย่างลับๆ ได้ทุกครั้งไป ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องรู้อยู่ดี นางไม่อยากพูดอะไรให้ดูดี

 

จากนั้นหลี่เหอฮว๋าก็หยิบหมั่นโถวขึ้นมาตั้งใจจะกลับไปที่ห้องเก็บฟืน ทว่าทันทีที่หันกลับไป นางก็เห็นร่างสูงยืนตระหง่านอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว สายตาที่มองมาทำให้นางตกใจกลัวจนเกือบจะทำชามตก

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป