ตอนที่ 180
มังกรพลัดถิ่นงูดินเจ้าที่
ค่ำคืนดาษดื่นดาราจันทราเว้าแหว่งลอยเด่น ลมเย็นโชยพัดเฉื่อยฉิวต้นไม้แกว่งไกวกิ่งใบโยกเยก จักจั่นสั่นปีกร่ำร้องนกกลางคืนครวญคร่ำ เสียงสุนัขป่าเห่าหอนวังเวงโหยหวน มังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินเจ้าที่ ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวเหลียวซ้ายแลขวา สายตาสอดส่ายก้าวเท้าสับสน เส้นทางแถบนี้มีแต่นางที่ไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก
อสรพิษแมลงร้ายมิว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดล้วนน่ากลัว จ่านจือในคราบของทารกน้อยคล้ายคุ้นเคยสถานที่อยู่บ้าง ค่ำคืนแสงสลัวเลือนสาดส่อง ท้องนภาเมฆหมอกลอยเลื่อนละลิ่วล่อง บรรยากาศในยามนี้หากมิมีสัตว์ร้ายมากมายด้วยพิษสุดสะพรึง คิดว่าน่ารื่นรมย์ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่ไม่น้อย
งูดินเจ้าที่ทราบดีด้วยกลเล่ห์ นำพาทั้งหมดตัดเข้าป่าลึก ศึกนอกคือสัตว์พิษร้ายแต่คล้ายกับมิน่ากลัวเท่าใดนัก ศึกในคล้ายอันตรายหลายเท่านัก ศึกในที่ว่าหมายถึงวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยกับผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ดังนั้นจ่านจือจึงต้องใช้ลูกไม้นี้แล้ว
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยกับเอี้ยวเซียว นางทั้งสองช่ำชองโชกโชน ล้วนผ่านประสบการณ์ไม่น้อยในเรื่องอุบายเล่ห์ร้ายกลลวง เอะใจว่าไม่ถูกต้องนักทารกน้อยใช้ลูกไม้ไม่เที่ยงธรรมสัตย์ซื่อแล้ว อีกทั้งในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหมด ศิษย์ทั้งสองของผาแห่งสายลม เฟิ่นมู่เหอกับจ้าวไป่ชิงมีความรอบรู้เรื่องแหฟ้าตาข่ายดินค่ายกล เกรงว่ายิ่งล่วงลึกเข้าไปในป่าจะยิ่งอันตรายคลี่คลายตึงมือ
สัตว์ร้ายค่ายกลบวกกับคนเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม เฉกเช่นทารกน้อยกับอดีตนางมารน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์เซียวเยี่ยนผิง เด็กน้อยคนอื่น ๆ ใช่ว่าจะไร้พิษสงความสามารถ หากฉลาดควรหาหนทางพ้นห่างจากป่านี้
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยแสร้งกระแอมไอ ใช้น้ำเสียงคล้ายนุ่มนวลอยู่ไม่น้อย เอ่ยกล่าวกับทารกน้อยขึ้นว่า
“ทารกน้อยอันน่ารักอีกทั้งยังประเสริฐยิ่งเยี่ยงเจ้า เราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยต่อไปจะจดจำใส่ใจเอาไว้ ก่อนตายต้องตอบแทนคุณเจ้าหนหนึ่งให้จงได้ พระคุณที่เจ้ามิติดใจในเรื่องเก่าก่อนคราวหลัง คราครั้งนี้ถึงกับใจกว้างไม่แห้งแล้งน้ำใจทอดทิ้งเราเอาไว้ ในดงพิษสัตว์ร้ายน่ากลัวเหล่านี้”
จากนั้นวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย หันมากล่าววาจากับผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวว่า
“เอี้ยวเซียวเจ้าเองก็เช่นกัน เรื่องราวที่เจ้าลอบกัดซัดเข็มอาวุธลับเข้าทำร้ายพวกเขา ความใจกว้างของทารกน้อยผู้นี้ สำหรับเจ้าจะชั่วดีเลวทรามเช่นไร? พฤติการณ์ของมันเจ้ายังมิอาจปฏิเสธได้ เจ้าเป็นหนี้บุญคุณทารกน้อยหนหนึ่งแล้ว”
เอี้ยวเซียวเฉลียวฉลาดปัญญาฉับไวด้วยไหวพริบ รีบกล่าววาจาตอบโต้คล้อยตามยอมรับ หากมิใช่สถานการณ์คับขันบีบบังคับ มีหรือที่นางจะยอมรับบุญคุณหนี้ค้างในครั้งนี้ แต่ด้วยปราศจากหนทางเลือกจึงได้แต่ส่งเสียงกล่าวว่า
“อาจารย์รองท่านกล่าวได้ถูกต้อง เราทั้งสองตกเป็นหนี้บุญคุณของทารกน้อยผู้นี้หนหนึ่ง เช่นนั้นในค่ำคืนนี้เราทั้งสองจะต้องปลอดภัยไม่มีอันตรายจากพิษร้ายสัตว์เหล่านี้ อีกทั้งจะต้องออกไปจากป่าอย่างมีชีวิต ในภายหน้าจึงจะมีโอกาสได้ตอบแทนคุณหนนี้ถูกต้องหรือไม่?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยกล่าวตอบว่า
“เอี้ยวเซียวเจ้ากล่าวได้ดี คราครั้งนี้เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง บุญคุณจะกระจ้อยร่อยเพียงนิด หรือยิ่งใหญ่เทียมฟ้ามหาสมุทร บุญคุณจึงต้องตอบแทน ส่วนหนี้แค้นอาจต้องพักวางไว้ชั่วครู่ เรื่องราวเฉพาะหน้าจึงเป็นเรื่องออกไปโดยปลอดภัยจากป่านี้”
มิว่าวาจาที่กล่าวของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางจะกล่าวด้วยจริงใจหรือเสแสร้งก็ตาม แต่สำหรับกับเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์รวมถึงทารกน้อยจ่านจือ คล้ายกับต้องการให้คำกล่าวนี้เป็นจริงเที่ยงแท้ เยี่ยนผิงอดนึกถึงตนเองขึ้นมา รั้งม้าริมผายังไม่สาย กลับตัวกลับใจพระพุทธองค์ยังทรงเมฆตา มิได้ถลำลึกก้าวล่วงกระทั่งมิอาจถอนคืนแก้ไข
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยทอดถอนใจคราหนึ่ง สำรวจมองบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหมดเที่ยวหนึ่ง ความคิดวูบหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวสมองของนาง จอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านี้หาได้มีความผิดใด เรื่องราวอาจารย์รุ่นก่อน ไฉนจึงต้องประหัตประหารกับศิษย์รุ่นหลังให้หมดสิ้นมอดม้วย ส่งเสียงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาลงกว่าเก่าว่า
“ในบรรดาพวกเจ้าทั้งหมด เราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยคล้ายทำร้ายพวกเจ้ามาไม่น้อย หนักหนาสาหัสคงเป็นสำนักเมฆฟ้าพิรุณ เราเพิ่งจะเข้าใจในความแค้นหนี้เลือดของคนร่วมสำนักอาจารย์ แก้แค้นสิบปียังไม่สายพวกเจ้าแบกรับหนี้เลือดสำนักอาจารย์สมควรชื่นชม สำหรับเราเมื่อทราบว่าบิดามารดาถูกคนฆ่าตาย เราผู้เป็นบุตรจึงต้องมีภาระแบกรับหน้าที่ วันนี้เราเพิ่งจะเข้าใจพี่ใหญ่เราล้วนไม่แตกต่างกัน วันหน้าคงมีโอกาสได้ชำระตอบแทนพวกเจ้า”
ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวเหลียวมองอย่างฉงน ก่อนจะกระหยิ่มยิ้มเยาะเย้ยหยันในใจ นางไม่อาจตัดใจเชื่อถือจึงครุ่นคิดว่า
“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ท่านนี่แสดงละครได้ยอดเยี่ยม แม้แต่ข้าพเจ้าแทบเคลิบเคลิ้มหลงเชื่อคล้อยตามท่าน กาดำมิอาจกลับกลายเป็นหงส์ห่านฟ้า สุรากับน้ำคลองรสชาติมิอาจทดแทนกันได้ฉันใด ท่านก็ฉันนั้น แต่นี่ท่านกลับเสแสร้งแสดงละครแนบเนียนไร้ที่ติ”
จากนั้นผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“อาจารย์รอง ค่ำคืนนี้ศิษย์ทรยศจะเชื่อถือวาจาท่านสักคำหนึ่ง อย่างน้อยถือเป็นการตอบแทนที่ท่านสอนสั่งอบรม”
วาจากล่าวเช่นนั้น แต่ภายในจิตใจไม่เป็นเช่นวาจา สายตาที่ลอดผ่านผ้าคลุมศีรษะ ทุกคนล้วนดูออกว่ามารยาจริตไม่จริงใจ ทารกน้อยจ่านจือกับเยี่ยนผิงประสานสบสายตา เยี่ยนผิงเอ่ยกล่าววาจากระทบกระเทียบว่า
“ท้องฟ้าสดใสไฉนจึงมีสายฝนโปรยปราย นภากาศอันมืดมิดกลับแผดเผาด้วยแดดร้อนแรงสาดส่อง คาดว่าค่ำคืนนี้อาจเกิดอาเพศวิปริตผิดเพี้ยน แผ่นฟ้าอาจจะถล่ม พื้นแผ่นดินอาจจะพังทลาย กรวดทรายจะกลายเป็นทองคำ มัจฉาจะโบยบินขึ้นฟ้า พญาอินทรีจะลงมาแหวกว่ายธารา”
ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว ตะคอกกล่าวถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง ที่ท่านกล่าววาจามานี้หมายความเป็นเช่นไร?”
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าพึงพอใจ ดวงตาทั้งสองวาววับสาดประกาย เผยรอยยิ้มเห็นไรฟันขาวเรียงราย โยกคลอนศีรษะไปมาเที่ยวหนึ่งจึงกล่าววาจาตอบโต้ยียวน
“ข้าพเจ้าย่อมหมายถึงพวกท่านทั้งสองคน คิดตอบแทนคุณหนหนึ่ง คำกล่าวนี้ของพวกท่านมีน้ำหนักสักเล็กน้อยหรือ? ดังนั้นข้าพเจ้าจึงแผลงวาจาเมื่อครู่เป็นเนรคุณ ได้ยินเช่นนี้แล้วยังต้องให้ข้าพเจ้ากล่าวอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยอยู่หรือไม่?”
ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด สายตาอาฆาตมาดร้ายคล้ายต้องการฉีกร่างหักบดกระดูกของเยี่ยนผิงให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยกลับเยือกเย็น ส่งเสียงกล่าวราบเรียบกับผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวว่า
“เอี้ยวเซียว สำรวมกิริยาวาจาเจ้าไว้อย่าได้หุนหันวู่วาม วาจาเป็นนายกายเป็นบ่าว อ่อนข้อยอมถอยก้าวหนึ่งวันหน้าค่อยก้าวเท้าเอาคืน ถึงเช่นไรเราสองคนยังต้องพึ่งพาอาศัยพวกเขาเหล่านี้ หรือว่าเจ้ามิต้องการมีลมหายใจออกไปจากป่าพิษนี้?”
เยี่ยนผิงรีบกล่าวต่อทันทีว่า
“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ท่านคล้ายยังมีเหตุผลพอให้เจรจาอยู่บ้าง เอาเถิดแม้นพวกเราจะไม่ค่อยเชื่อถือวาจาท่าน แต่พวกเรามิได้เป็นเช่นชนชั้นไร้น้ำใจ คิดมอบโอกาสให้กับท่านสักครั้งหนึ่ง แก้ไขจากผิดเป็นถูกปลูกเพาะเมล็ดความดีงาม ย่อมแตกหน่อออกดอกผลในภายหลัง ลูกหลานรุ่นต่อจากนี้ยังได้เก็บเกี่ยว”
จากนั้นหันมากล่าวกับจ่านจือว่า
“น้องชายท่านนี้ เป็นเจ้าที่ไม่เอาชีวิตของพวกนางทั้งสอง ดังนั้นเจ้าหาวิธีส่งพวกนางออกไปจากป่าพิษนี้เถิด”
จ่านจือฉีกชายเสื้อออกมาแถบหนึ่ง จากนั้นฉีกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งยื่นส่งให้กับเยี่ยนผิง อีกส่วนหนึ่งเช็ดซับหยดโลหิตบนฝ่ามือตน ผืนผ้าชายเสื้อชิ้นนั้นชุ่มโชกโลหิต จ่านจือยื่นส่งออกเบื้องหน้ากล่าวว่า
“พวกท่านทั้งสองรับผืนผ้าโลหิตของข้าพเจ้าไป จากนั้นพวกท่านก็รีบย้อนกลับออกไปจากป่านี้ สัตว์พิษเหล่านั้นหวาดกลัวโลหิตข้าพเจ้า จึงไม่ติดตามพวกท่านไป อีกทั้งในระหว่างทางพวกมันจะวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง พวกท่านทั้งสองควรรีบจากไปก่อนที่โลหิตบนผืนผ้าชิ้นนี้จะเหือดแห้ง”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ขณะจะเอื้อมมือรับผืนผ้าโลหิตจากมือของจ่านจือ ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวซึ่งถ่ายทอดลมปราณไว้ใจกลางฝ่ามือ ตระเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ใช้ออกด้วยกรงเล็บอเวจี ในประกายสายลมกระชากวูบ คล้ายดั่งมีแรงดึงดูดอันมหาศาล เศษชิ้นผ้าโลหิตในมือจ่านจือ พุ่งขวับเข้าสู่อุ้งกรงเล็บนาง เศษผืนผ้าว่าแดงฉานด้วยโลหิตแล้ว เล็บยาวราวภูตผีปีศาจร้ายสีแดงค่อนมาทางสีคล้ำดำขยำรับเศษผ้าไว้รวดเร็วยิ่ง รวบรัดอย่างที่สุด ดวงตาทั้งเจิดจ้าดั่งเพลิงโลหิต ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ข้าพเจ้าจะเป็นผู้นำทาง อาจารย์รองท่านเป็นผู้ติดตาม อย่าได้ตุกติกเล่นลวดลายสกปรกเด็ดขาด ลอบทำร้ายข้าพเจ้าจากด้านหลังยังไม่นับเป็นผู้กล้า”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ส่งเสียงร้องเฮอะคำหนึ่ง ตวาดกล่าวสวนว่า
“เอี้ยวเซียว เรากับเจ้าจะอย่างไรก็เคยเป็นศิษย์อาจารย์กันระยะหนึ่ง เราจะโฉดชั่วอำมหิตเช่นไร? ตัวเจ้าเองก็ชั่วช้าสามานย์เช่นนั้น งูเห็นนมไก่ ไก่เห็นตีนงู เช่นนี้เจ้าจะระแวงเกรงกลัวเราไปไย? เราสองคนหากไม่ลงนรกทั้งคู่แล้วผู้ใดจะลงเล่า?”
ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวอับจนคำพูด ขยับเท้าเตรียมกระโดดพุ่งร่างจากไป วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยส่งเสียงกล่าวห้ามเอาไว้ก่อนว่า
“ช้าก่อน เอี้ยวเซียวเจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนรีบเร่ง พุ่งไปไม่ระมัดระวังมิเพียงแต่สัตว์พิษร้าย เราอยู่ข้างหลังอาจลอบลงมือเจ้าหลงลืมไปแล้วรึ?”
ผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวชะงักเท้าหยุดยั้งกระชากเสียงกล่าวถามว่า
“อาจารย์รอง กระไรของท่านอีก?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยกล่าวตอบว่า
“เรายังมิทราบนามของทารกน้อยผู้นี้ ภายหน้าเราจะตอบแทนคุณเขาได้เช่นไร? อดทนระงับความใจร้อนรอคอยเราเพียงครู่เดียว”
จากนั้นหันมากล่าวถามกับจ่านจือว่า
“ทารกน้อย เจ้าจะเชื่อหรือไม่? เรามิอาจบีบบังคับเจ้าได้ ที่เรากล่าวกับเอี้ยวเซียวเมื่อครู่คือความสัตย์ เจ้าเป็นคนแรกที่เรากล่าวลั่นสัตย์วาจา หนหนึ่งเราจะต้องตอบแทนคุณเจ้าแน่นอน เราขอทราบนามของท่านปู่ของเจ้าด้วยได้หรือไม่?”
ยามกะทันหันมิทันได้คิดชื่อไว้ อาศัยความว่องไวกล่าวตอบไปโดยมิได้ขบคิดว่า
“ข้าพเจ้าหยางปู้ชุยชิว ท่านปู่ของข้าพเจ้าเรียกหาว่าผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว บิดามารดาข้าพเจ้าถูกคนฆ่าตายไปตั้งแต่ครั้งข้าพเจ้าคลอดยังมิทันได้ลืมตาดูโลก”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยพยักหน้า สายตาคล้ายเวทนาสงสารทารกน้อยอยู่บ้าง พร้อมกับพึมพำทวนชื่ออยู่เที่ยวหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“แค่นี้ก็เพียงพอให้เราจดจำ เอาไว้พบหน้าท่านปู่หยางปู้ตงชิวของเจ้าที่เส้าหลิน เราค่อยน้อมคารวะยอมรับการโบยตีจากปู่เจ้า ส่วนเจ้าที่แท้มีชื่อหยางปู้ชุยชิวเราจดจำได้แม่นยำ ค่ำคืนนี้เราไปก่อนแล้วค่อยพบกันในงานชุมนุมบุปผาในอีกสามวันข้างหน้า เราขอให้พวกเจ้าทุกคนเดินทางโดยปลอดภัย”
จากนั้นหันมากล่าวกับผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียวดังว่า
“เอี้ยวเซียว พวกเราไป”
กล่าวจบทั้งสองพุ่งร่างจากไป สัตว์พิษร้ายวิ่งหลบ กระโดดหลบหนี เลื้อยคลานชุลมุนหลบหลีก บรรดาสัตว์พิษเหล่านั้นหวาดกลัวกลิ่นโลหิตในผืนชิ้นผ้าในมือของผีเสื้อโลหิตเอี้ยวเซียว
เมื่อนางทั้งสองไปแล้ว บรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างพากันระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ศัตรูอันน่ากลัวไม่อยู่ที่นี้แล้ว ที่อยู่มีเพียงแมลงสัตว์อสรพิษหนอนด้วง และอีกมากมายสารพัดชนิดล้วนแต่มีพิษร้ายชวนให้สยดสยอง จ่านจือในร่างทารกน้อยส่งเสียงกล่าวกับเยี่ยนผิงว่า
“พี่สาวท่านนี้ เศษผ้าในมือท่านส่งให้แก่ข้าพเจ้า”
เยี่ยนผิงยื่นส่งเศษผ้าชิ้นนั้นให้แก่จ่านจือ ทารกน้อยนำผ้าชิ้นนั้นซับโลหิตบนฝ่ามือ ปากส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านข่วยกันเก็บกิ่งไม้แห้งจำนวนหนึ่ง แล้วรีบก่อกองไฟขึ้นมากองหนึ่งเร็วเข้า”
จากนั้นกล่าววาจาต่ออีกว่า
“พี่สาวทั้งหลาย พวกท่านหักกิ่งไม้ที่มีใบหนามาสักคนละกิ่ง”
จากนั้นยื่นส่งผ้าชุ่มโลหิตในมือให้แก่เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าวว่า
“สำหรับพี่สาว เมื่อพี่ชายเหล่านั้นก่อกองไฟติดดีแล้ว โยนผ้าโลหิตชิ้นนี้เข้าสู่กองไฟแล้วโปรยทับด้วยใบไม้แห้งเศษหญ้าลงไปเพื่อให้เกิดควัน จากนั้นพวกท่านช่วยกันใช้กิ่งไม้ที่หักมาโบกพัดให้ควันกระจายออกไปรอบทิศทางและในอากาศ ส่วนข้าพเจ้าจะรับหน้าที่จับงูพิษมาย่างเป็นอาหารให้กับทุกท่านเอง ค่ำคืนนี้เราจะพักผ่อนกันบริเวณนี้”
ทุกคนรีบทำตามที่จ่านจือบอก หลังจากก่อกองไฟกระทั่งลุกท่วมแล้ว เยี่ยนผิงโยนชิ้นผ้าโลหิตลงสู่กองไฟ เศษผ้าโลหิตเมื่อโดนความร้อนจึงลุกไหม้ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เมื่อโปรยด้วยใบไม้แห้งเศษหญ้าจึงเพิ่มควันหนาแน่นพวยพุ่ง ต่างช่วยกันพัดโบกกิ่งไม้ไล่ควันให้กระจายไปรอบทิศทาง
สัตว์พิษเมื่อได้กลิ่นพากันหลบหนีเตลิดกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง ทารกน้อยจับงูพิษมาได้หลายตัว เมื่อถลกหนังนำพิษออกแล้วหั่นเป็นท่อน คีบใส่ไม้ยื่นส่งให้พี่ชายพี่สาวทั้งหลายช่วยกันย่าง โดยใช้ไฟย่างอ่อน ๆ พอเริ่มเหลืองส่งกลิ่นหอมหวนโชยแตะปลายจมูก ทุกคนเริ่มน้ำลายสอ นานมากแล้วมิได้ลิ้มลองรสชาติเนื้องูอันโอชะ
เยี่ยนผิงเห็นรอยบาดแผลที่ฝ่ามือของจ่านจือ ส่งเสียงร้องกล่าวถามด้วยความห่วงใยว่า
“จ่านจือ บาดแผลที่มือท่าน?”
ทุกคนเมื่อได้ยินคำว่าจ่านจือ พากันร้องอุทานด้วยความตกใจและแปลกประหลาดใจ ไฉนเยี่ยนผิงจึงเรียกหาทารกน้อยว่าจ่านจือ จ่านจือมิต้องการปกปิดทุกคน ดังนั้นเร่งเร้าลมปราณหมุนกายรอบหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“เราผู้เฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิว พวกเจ้าเมื่อพบหน้าเรายังไม่รีบเข้ามากราบกรานคารวะ”
ทุกคนอ้าปากค้างแสดงสีหน้าตระหนกตกใจ แทบทำงูย่างเหลืองกรอบภายในชุ่มฉ่ำร่วงหล่นจากมือ จ่านจือรีบหมุนกายอีกรอบหนึ่ง จากเฒ่าอมโรคหยางปู้ตงชิวกลับสู่สภาพร่างกายอันแท้จริง ทุกคนส่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกันว่า
“จ่านจือ!”
เยี่ยนผิงยินดียิ่ง ลืมตัวโผพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของจ่านจือ พี่สาวทั้งสองของเขา ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินตรงเข้ามาสวมกอดทับอีกรอบหนึ่งรวมเป็นสามคนด้วยกัน ถึงกับปล่อยหยดหยาดน้ำตาไหลอาบลงสองข้างแก้ม ซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวว่า
“เซียวจือ เป็นเจ้า? เจ้ายังไม่เสียชีวิต พี่สาวใหญ่ดีใจยิ่ง พี่สาวรองของเจ้าก็เช่นกัน”
เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวตามติดว่า
“พี่สาวรองคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เซียวจือเกิดเรื่องราวใดขึ้น? ไฉนเจ้าจึง...?”
จ่านจือยังมิตอบคำถามหันมาทางด้านไป่ชิง จากนั้นส่งเสียงร้องเรียกว่า
“ไปชิง น้องสาวที่น่ารักของพี่ใหญ่ เจ้าเป็นน้องสาวฝาแฝดของพี่ ในเมื่อเจ้ายังไม่ตายพี่ใหญ่จะทอดทิ้งเจ้าชิงตายไปก่อนได้เช่นไร?”
พี่น้องโผเข้าสวมกอดกัน ถึงกับปล่อยน้ำตาหลั่งไหลส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้นออกมาทั้งคู่ เมื่อปลอบประโลมกระทั่งหายจากอาการร้องไห้ เมื่อผละออกจากกันแล้วจ่านจือทักทายกับคนอื่น ๆ ที่เหลือกระทั่งครบทุกคน เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวว่า
“จ่านจือ ข้าพเจ้าจะพันแผลที่มือให้กับท่าน”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวตอบว่า
ขอบคุณท่านยิ่ง เพียงแต่มิต้องลำบากท่านแล้ว ในคัมภีร์เทพอสูรมีเคล็ดวิชารักษาบาดแผลด้วย เพียงข้าพเจ้าใช้ลมปราณผ่านฝ่ามือประกบทับลงบนบาดแผล ไม่กี่อึดใจบาดแผลที่มีก็ปิดสนิท แทบจะมิเห็นร่องรอยว่าก่อนนั้นเคยมีบาดแผลเกิดขึ้น”
ทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดี เมื่อนั่งลงล้อมรอบกองไฟ แบ่งงูย่างเหลืองกรอบชุ่มฉ่ำภายในรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย จ่านจือชูน้ำเต้าขึ้นใบหนึ่งไม่ใหญ่นัก ส่งเสียงกล่าวว่า
“รับประทานเนื้องูย่างต้องควบคู่กับสุราชั้นดีรสเยี่ยม โชคดีที่ข้าพเจ้าฉวยติดตัวมาได้ใบหนึ่ง”
เมื่อรับประทานเนื้องูย่างตามด้วยสุรากระทั่งอิ่มหนำสำราญกันแล้ว จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับทุกคนว่า
“ข้าพเจ้าจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่ทุกท่านได้รับทราบ”
จากนั้นจ่านจือจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อทุกคนทราบความจริงกระจ่างแล้ว ต่างพากันส่งเสียงร้องชื่นชมยินดี ต่างดีใจในปาฏิหาริย์ของจ่านจือในครั้งนี้ ก่อนที่จะพากันแยกย้ายหลับนอนพักผ่อนเอาแรง ฟ้าสางอรุณรุ่งพรุ่งนี้จึงค่อยออกเดินทาง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564