ตอนที่ 178
ผีเสื้อโลหิต
ดั่งสายอสนีบาตฟาดเปรี้ยงในยามเที่ยงกระนั้น สองเฒ่าพิษแห่งสำนักอสรพิษดำ ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน กว่าพวกมันทั้งสองคนจะทันรู้สึกตัวว่าบัดนี้มีเรื่องราวผิดพลาดมหันต์เกิดขึ้นแล้ว ปฏิกิริยาท่าทีเกรี้ยวกราดรังสีเข่นฆ่ารุนแรงปานนั้น มิเพียงแต่วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยที่กระหายใคร่ดื่มกินโลหิตสองเฒ่าพิษ ยังมีอีกผู้หนึ่งบนหลังคาโรงเตี๊ยมผีเสื้อโลหิตนั้นเอง เพียงแต่ว่าโลหิตที่นางต้องการดื่มกินนั้นเป็นผู้ใดในจำนวนผู้คนทั้งหลายเหล่านี้
สองเฒ่าพิษเมื่อรู้ตัวว่าผิดท่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ในท่าทีปลอดโปร่งยังลอบรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมามิได้ ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงกล่าวถามดังว่า
“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ท่านกล่าววาจากระไรไปเมื่อครู่? มิทราบว่าท่านกล่าวถามเราสองเฒ่าพิษเกี่ยวกับรอยปานสัญลักษณ์ หรือว่ารอยปานที่ว่านี้ของท่าน ความจริงแล้วมิได้มีร่องรอยอยู่บริเวณหลังกกหูขวากระนั้น?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ประกายสายตาโกรธแค้นอีกทั้งยังขบกรามแนบแน่นคล้ายต้องการกระชากร่างของสองเฒ่าพิษไปในบัดดล นางกระชากเสียงกล่าวตอบเย็นเยียบสยิวกายว่า
“ถูกต้อง ร่องรอยที่ว่าหลังกกหูของเรา มันอยู่บริเวณหลังกกหูซ้ายของเรามาตั้งแต่เราจดจำความได้ ของพี่ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ท่านทั้งสองหลงกลถูกแม่นางเยี่ยนผิงกับทารกน้อยผู้นี้กระชากหน้ากากแล้ว มีวาจาใดกล่าวแก้ตัวจงรีบเจรจา หากมิมีคำแก้ต่างอันใด? ก็จงบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่พวกท่านทราบออกมาอย่าได้ตกหล่น”
สองเฒ่าพิษเหลือบมองเยี่ยนผิงกับจ่านจือวูบหนึ่ง จ่านจือในคราบของทารกน้อยส่งเสียงหัวร่อคิก ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งปิดปากตนเอง ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกุมท้องส่งเสียงหัวร่อคิกมิหยุดหย่อน กระทั่งเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างพากันหัวร่อตาม ไป่ชิงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“น้องชายท่านนี้ เจ้าหัวร่อขบขันอันใด? พลอยทำให้พวกเราทั้งหมดอดที่จะหัวร่อตามเจ้าออกมามิได้”
จ่านจือยกมือข้างที่ปิดปากตัวเองชี้นิ้วไปที่สองเฒ่าพิษ อีกมือหนึ่งยังคงกุมท้องส่งเสียงหัวร่อ เมื่อหยุดหัวร่อกล่าวตอบว่า
“พี่สาวท่านนี้ ข้าพเจ้าหัวร่ออาวุโสสองท่านนั้น อายุปาเข้าไปเกือบร้อยผิวหนังเหี่ยวย่นฟันร่วงผมหงอกขาว กลับมาถูกเด็กทารกไม่ประสีประสาคราวหลาน ซึ่งผิวหนังยังตึงฟันขาวราวหยวกเรียงรายผมยาวดำขลับหลอกเอาได้ เช่นนี้จะมิให้ข้าพเจ้าหัวร่อขบขันได้เช่นไร?”
เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงร้องอ้อคำหนึ่ง สอดคำกล่าววาจาไถ่ถามว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นพวกเราขอหัวร่อขบขันในความโง่เขลาของสองเฒ่าพิษในครานี้ด้วย เพียงแต่น้องชายท่านนี้กับแม่นางเยี่ยนผิงวางเบ็ดล่อเหยื่อ นึกมิถึงเหยื่อฮุบเบ็ดรวดเร็วเพียงนี้ มิหนำซ้ำเหยื่อแย่งกันฮุบเบ็ดคราวเดียวถึงสอง...สอง?”
เอวี้ยอี้เซินกล่าวย้ำคำ “สอง” โดยมิกล่าวสรรพนามตามท้าย ได้แต่อึกอักกระทั่งเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวดังสดใสว่า
“เป็นสองผู้เฒ่าดีหรือไม่? หรือว่าจะใช้เป็นสองเฒ่าพิษ พวกท่านคิดว่าสมควรใช้เป็นคำใดดี?”
เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ส่งเสียงหัวร่อครื้นเครง สองเฒ่าพิษกลับอับอายขายหน้า พลันสีหน้าเขียวคล้ำโกรธแค้น ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินส่งเสียงตวาดดังว่า
“พวกเจ้าส่งเสียงหัวร่อขบขันสนุกสนานอันใดกัน? อันว่าพลาดพลั้งยังไม่ถึงกับพ่ายแพ้ ทารกไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไร้บิดามารดาอบรมสั่งสอน ขืนพวกเจ้ายังพากันหัวร่อมิหยุด เรากับยายเฒ่าจะตัดลิ้นเลาะฟันพวกเจ้าออกมาให้หมดปาก เราจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะมีปัญญาส่งเสียงหัวร่อได้อีกหรือไม่?”
จ่านจือปรบมือแปะ ๆ ชอบอกชอบใจสอดคำกล่าววาจาต่อให้กับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินว่า
“ใช่สี่เท้ายังรู้พลาด สองเฒ่าพิษคิดว่าตนเองฉลาด ดังนั้นจึงพลาดพลั้ง สองคนจึงมีสี่เท้าต่างพากันก้าวพลาดซวนเซมิเป็นกระบวนถูกต้องหรือไม่ท่านผู้เฒ่า?”
บรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ระเบิดเสียงหัวร่อพร้อมกันดังครืนใหญ่ ในเสียงหัวร่อสนุกสนาน ในม่านหมอกควันราตรีเสียงซี่ ๆ ถี่ยิบดั่งข้าวตอกแตกเร่งร้อน ท่ามกลางแสงสลัวเลือนจุดแต้มเล็ก ๆ เจิดจ้ากลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกหมอกควันอันเลือนราง จุดแต้มเล็ก ๆ เหล่านั้นพลันสาดกระจายออกพร่างพราวระยิบระยับละลานตา เป้าหมายเป็นเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ซึ่งมัวแต่หัวร่อมิได้ระมัดระวังตัว
หนึ่งในจำนวนนั้นมีเพียงทารกน้อย มิเพียงแต่สายตาปราดเปรียวโสตสัมผัสยังก้าวบรรลุขอบขั้นอันสูงสุดยอด ดังนั้นสมาธิจิตใจจึงสงบแน่วนิ่งดั่งน้ำในบ่อลึก สะบัดมือออกไปคราหนึ่งก่อเกิดเป็นมรสุมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมิมีผู้ใดในที่นั่นบรรยายอานุภาพความร้ายกาจได้ พร้อมกับทารกน้อยตวาดก้องร้องว่า
“สลาย”
จุดแต้มระยิบระยับพลันหายวับไปกับคำว่า “สลาย” ของทารกน้อยซึ่งก็คือจ่านจือนั้นเอง สำหรับกับคนอื่น ๆ เพียงขยับร่างกายแต่ยังมิทันได้เคลื่อนไหว แต่กระนั้นวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยนางเคลื่อนไหวแล้ว ฝ่ามือกระแทกออกปราณพลังไร้สภาพหยุ่นเยือก แผ่พุ่งออกจากใจกลางฝ่ามือนางดั่งสายฟ้า พื้นกระเบื้องหลังคาโรงเตี๊ยมทั้งแถบลอยยกขึ้น แล้วระเบิดออกกระจัดกระจายกลายเป็นเศษละอองเศษชิ้น เสียงดังอื้ออึงสนั่นหวั่นไหว วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยคำรามตวาดลั่นดังว่า
“โอหังบังอาจ ยามวิกาลกลับใช้ลูกไม้สกปรกลอบกัดราวสุนัข เปิดเผยตัวออกมาหากพอมีฝีมืออันแท้จริงอยู่บ้าง”
ในเสียงตวาดก้องร้องด่าของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ชุดยาวสยายพลิ้วสายลมเบาบาง แต่กระจ่างแจ้งชัดดั่งโลหิตเพลิงเผาผลาญ ร่างนั้นพุ่งฝ่าเศษชิ้นส่วนกระเบื้องหลังคาโรงเตี๊ยม และกลุ่มควันฝุ่นผงคลีคลุ้งกระจายราวสายหมอก ร่างนั้นสาดทะยานลิ่วลงมาราวผีเสื้อปีศาจอาละวาดทำลายขวัญ พร้อมกับเสียงหัวร่อก้องกังวานลมปราณที่แฝงมามิธรรมดา ร่างนั้นคือผีเสื้อโลหิตนั้นเอง
เมื่อทิ้งร่างหยัดยืนมั่นคง ทุกคนส่งเสียงร้องดังว่า
“ผีเสื้อโลหิต!”
ผีเสื้อโลหิตภายใต้อาภรณ์คล้ายดั่งผีเสื้อปกปิดมิดชิด เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงดั่งเลือดแดงฉาน หรือไม่อาจคล้ายลูกไฟสองดวงสว่างไสว ผีเสื้อโลหิตเมื่อได้ดื่มกินเลือดคน กรงเล็บอเวจีชั่วร้ายสุดอำมหิต ยิ่งได้ดื่มเลือดยิ่งทวีความน่ากลัวอันพรั่นพรึงถึงที่สุด ในกระบวนท่าวิชากรงเล็บถือว่ากรงเล็บอเวจีร้ายกาจอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในเทวยุทธ์ผีเสื้อ
หากจัดอันดับความชั่วร้าย กรงเล็บอเวจีถือว่าอยู่ในอันดับหนึ่ง ซึ่งอานุภาพมิได้ด้อยน้อยกว่าฝ่ามือพญายม เพียงแต่มีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ฝ่ามือพญายมไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผล แต่กรงเล็บอเวจีจะมีรูห้ารอยปรากฏชัดเจน ถึงแม้จะมีข้อแตกต่างแต่ผลลัพธ์เป็นเช่นเดียวกัน นั้นคือทิ้งร่างอันปราศจากลมหายใจ
เมื่อสิ้นสุดเสียงหัวร่อ ผีเสื้อโลหิตส่งเสียงกล่าวทักทายดังว่า
“อ้อ ที่แท้ทุกคนในที่นี้ก็รู้จักข้าพเจ้าด้วย เมื่อทราบเช่นนี้เป็นที่น่าปลาบปลื้มยินดีนัก ผีเสื้อโลหิตเพิ่งออกอาละวาดเมื่อไม่กี่วันก่อน กลับสามารถสร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักถึงเพียงนี้ เห็นทีในภายภาคหน้าคงก้าวขั้นมาอยู่แถวหน้าของบู๊ลิ้มแล้ว”
สองเฒ่าพิษสบตากันวูบหนึ่ง จากนั้นยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วโยกคลอนศีรษะกล่าววาจาว่า
“สามหาว กล่าววาจาโอหัง มีเราสองเฒ่าพิษอยู่ตรงนี้ ผู้อื่นจะมาอวดดีถึงกับกล้ายกหางตนเอง กล่าววาจาข่มขวัญเกินตัว เรายายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ผาดโผนยุทธจักรกระทั่งผมหงอกขาว เจ้ามีความสามารถใด? เพียงอาละวาดเข่นฆ่าคนไปไม่กี่คน ถึงกับอวดโอ่มิอายปาก ถึงกับจะก้าวขั้นมาอยู่แถวหน้าของบู๊ลิ้มกระนั้นรึ? เจ้ามิฝันเฟื่องไปหน่อยกระมัง?”
ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน ส่งเสียงกล่าวสนับสนุนคำพูดยายเฒ่าหมื่นพิษภรรยาทันทีว่า
“กรงเล็บอเวจี วิชาลี้ลับที่สาบสูญไปสิบกว่าปี มีเพียงขันทีเฒ่าเล่าอีที่เป็นผู้สืบทอดวิชาชั่วร้ายเป็นคนสุดท้าย ฝ่ามือพญายมข่มขวัญคนว่าน่ากลัวแล้ว กรงเล็บอเวจียิ่งน่าพรั่นพรึงมิแตกต่างกัน แต่กระนั้นวิชาพิษในแดนดินต่ำใต้ ยังจะหาผู้ใดเทียบชั้นเราสองเฒ่าพิษได้อีก คิดจะก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าบู๊ลิ้ม ที่แท้เจ้าเป็นใครกันแน่? มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับขันทีเฒ่าเล่าอี?”
ผีเสื้อโลหิตเค้นเสียงดั่งเย้ยหยันกล่าวตอบ
“ข้าพเจ้าจะเป็นใคร มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับขันทีเฒ่าเล่าอี เรื่องราวเหล่านี้พวกท่านมิจำเป็นต้องสอดรู้สอดเห็น”
จากนั้นผีเสื้อโลหิตหันมาทางด้านวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย เอ่ยกล่าวไถ่ถามแหย่รังแตน วางแผนให้เกิดการต่อยตีกันอีกครั้ง วาจาที่กล่าวเรียกวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยตรง ๆ มิได้แสดงความเกรงอกเกรงใจแต่ประการใด
“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย เป็นท่านที่ซัดฝ่ามือกระแทกทำลายหลังคาโรงเตี๊ยมเมื่อครู่ พลังวัตรร้ายกาจดุดันน่ากลัวนัก ก่อนหน้านั้นมิทราบว่าข้าพเจ้าหูฝาดไปหรือไม่? คล้ายกับท่านกำลังจะลงมือเข่นฆ่าคน มิทราบว่าท่านต้องการจัดการกับสองเฒ่าพิษ หรือกับบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านั้นก่อน สามารถขอร้องให้ข้าพเจ้าลงมือช่วยเหลือได้ หากท่านผู้เดียวไร้สามารถจัดการได้หมดในคราวเดียว”
กล่าวจบหันมาทางสองเฒ่าพิษส่งเสียงกล่าวถามว่า
“พวกท่านทั้งสองเล่า? ระหว่างวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย กับเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ปลายแถวเหล่านั้น มิทราบว่าท่านทั้งสองคิดจัดการกับผู้ใดก่อนกันแน่? หากต้องการให้ข้าพเจ้าช่วยลงมือ เอ่ยปากขอร้องต่อผีเสื้อโลหิตให้กรงเล็บอเวจีลงมือให้พวกท่านเปิดหูเปิดตา ข้าพเจ้ากลับมิถือว่าเป็นหนี้บุญคุณแต่ประการใด”
จ่านจือในคราบของทารกน้อย ส่งเสียงหัวร่อชอบอกชอบใจ พร้อมกับก้าวเดินวนรอบคนทั้งสี่อยู่เที่ยวหนึ่ง หยุดยืนแล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“น่าสนุกสนาน น่าสนุกสนานยิ่ง ท่านผู้นี้คงเป็นผีเสื้อโลหิต เมื่อครู่เข็มซัดอาบพิษห่านั้น เป็นท่านที่ลอบกัดซัดมาถูกต้องหรือไม่? หลบซ่อนอยู่ในที่ลับแล้วยังลอบทำร้ายมิใช่วิสัยชาวยุทธ์ พอปรากฏตัวออกมายังคิดยุแหย่ให้ผู้คนเข่นฆ่ากัน ที่แท้ท่านมีแผนการใดอยู่ในใจ?”
ผีเสื้อโลหิตเค้นเสียงเฮอะคำหนึ่ง หันมากล่าวตอบว่า
“เด็กทารกผู้นี้ เมื่อครู่เป็นเจ้ากระมังที่ทำลายอาวุธลับเรา? คลับคล้ายกับเรามิเคยพบหน้ากันมาก่อน บิดามารดาเจ้าเป็นยอดฝีมือชื่อเสียงเรียงใด? เจ้าอายุอ่อนวัยจึงสามารถทำลายอาวุธลับของเราได้”
จ่านจือแสดงสีหน้าเหยเก ยกกำปั้นสองข้างขึ้นขยี้ตา ทำท่าคล้ายจะร้องไห้วิ่งเข้ามาหากลุ่มจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ ส่งเสียงกล่าวว่า
“พี่ชาย พี่สาวทั้งหลาย ตัวประหลาดน่ากลัวผู้นั้น มิเพียงแต่ลอบกัดดั่งสุนัข ยังกล่าววาจาคล้ายข่มขู่ข้าพเจ้าด้วย บิดามารดาข้าพเจ้าแม้เป็นยอดคนแต่พวกท่านทั้งสองอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น มีเพียงท่านปู่ซึ่งท่านก็เดินทางไปเส้าหลินแล้ว นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังดูออก ตัวประหลาดนั้นคิดร่วมมือกันกำจัดพวกเราแล้ว”
เยี่ยนผิงสวมกอดเด็กน้อยเอาไว้ ปลอบประโลมส่งเสียงกล่าวว่า
“น้องชายอันน่ารักของพี่ชายและพี่สาวทั้งหลาย เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไป ตัวประหลาดน่ากลัวนั่น มันคิดร่วมมือกันกำจัดพวกเรา ดังนั้นพวกเราก็มอบข้อเสนอออกมาบ้างดีหรือไม่?”
ทารกน้อยตบมือดีใจ กระโดดโลดเต้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยินดียิ่ง ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“พี่สาวท่านนี้ ท่านเองก็มีข้อเสนออยู่ในใจด้วย พี่สาวท่านรีบบอกกล่าวออกมาเร็วเข้า”
เยี่ยนผิงเจ้าเล่ห์ร้อยเหลี่ยมมากอุบาย บวกกับจ่านจือคนใหม่ที่ร้ายกาจชั้นเชิงไหวพริบเหลี่ยมคูเช่นกัน เปรียบไปไม่อ่อนด้อยไปกว่ากันในปฏิภาณไหวพริบ เมื่อประสานมันสมองจึงลงตัวดั่งจับวางมั่นเหมาะ เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ในยามนี้ มีคนสี่ฝ่ายซึ่งมิคล้ายมิตรแต่อาจใช่ศัตรู รู้เขารู้เราโอกาสได้เปรียบจึงมีอยู่ค่อนข้างมาก อีกทั้งพวกเรายังมีกำลังคนมากหลายกว่าพวกเขา โคถึกย่อมคึกคักพละกำลังดี งูพิษสองตัวกับสุนัขจรจัดอีกทั้งวานรผยอง น้องชายหากเป็นเจ้าคิดจะมอบข้อเสนอให้กับผู้ใด?”
จ่านจือแสดงท่าทีครุ่นคิด จากนั้นฉีกยิ้มกว้างกระทั่งแทบเห็นลิ้นไก่ ไม่เพียงเท่านั้นทารกน้อยยังฮัมเพลงดังว่า
“วานรผยองควบขับสุนัขจรจัด สองขาหนีบคล้องท้องไว้ ใช้อีกสองมือกระชับสายบังเหียน สุนัขมิควบขับเหยาะย่าง เนื่องด้วยสายบังเหียนทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นงูพิษ”
ได้ยินเช่นนั้นเฟิ่นมู่เหอจึงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“น้องชายท่านนี้ เพลงที่เจ้าร้องออกมาเมื่อครู่ ความหมายคือ วานร สุนัข งูพิษ สามสิ่งนี้ล้วนไม่อาจไว้วางใจ ถึงเช่นไรพวกมันทั้งหมดก็ยังคิดแว้งกัดหันมากำจัดพวกเราท้ายที่สุดถูกต้องหรือไม่?”
เยี่ยนผิงฟาดฝ่ามือกับต้นขาตนเองฉาดหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“พี่มู่เหอ ที่ท่านกล่าวมาเมื่อครู่ ล้วนถูกต้องมิผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นในสามสิ่ง วานร สุนัข อสรพิษ สัตว์เลื้อยคลานไม่มีขาแต่ทว่ามีพิษนั้นน่ากลัวที่สุด ดังนั้นข้าพเจ้ากับน้องชายท่านนี้ จึงมีความคิดเห็นตรงกันที่จะมอบข้อเสนอให้กับวานรผยองกับสุนัขจรจัด”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย กับผีเสื้อโลหิตหรือก็คือเอี้ยวเซียว คนทั้งสองส่งเสียงร้องโพล่งโดยพร้อมเพรียงกันว่า
“ข้อเสนออันใดของพวกเจ้า?”
จากนั้นผีเสื้อโลหิตส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“เราคือผีเสื้อโลหิต หาใช่สุนัขจรจัดดั่งวาจาพวกเจ้า กล่าววาจาใดกรุณาระมัดระวังคำพูดเอาไว้ให้มากด้วย”
ซื่อเหมี่ยนถือโอกาสกล่าววาจาโต้ตอบบ้างว่า
“ถูกต้องของท่าน ท่านคือผีเสื้อโลหิต เพียงแต่สุนัขจรจัดที่น้องชายผู้นี้กับแม่นางเยี่ยนผิงกล่าวถึง อาจหมายถึงสุนัขจรจัดที่ลอบกัดซัดอาวุธลับทำร้ายพวกเรากระมัง?”
ผีเสื้อโลหิตคิดกล่าววาจาโต้ตอบ แต่จ่านจือแสยะยิ้มให้กับเยี่ยนผิงและซื่อเหมี่ยนก่อน จากนั้นส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ข้าพเจ้ากับพี่สาวท่านนี้ จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสองปีศาจเฒ่าทารกหรือปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า เส้าไท่แป๊ะหยินกับเส้าไท่ซาโกว คนทั้งสองก่อนจะเสียชีวิต ได้ลงมือสังหารเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง อีกทั้งข้าพเจ้ากับพี่สาวท่านนี้ เราทั้งสองทราบว่าผู้ใดเข่นฆ่าบิดามารดาของท่าน”
คำว่าบิดามารดาของท่าน จ่านจือหันไปทางด้านวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ผีเสื้อโลหิตกับวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยสะท้านคราหนึ่ง ผีเสื้อโลหิตพลั้งเผลอลืมตัวชั่วขณะ ดวงตาแดงฉานราวโลหิตแปรเปลี่ยน จ่านจือกับเยี่ยนผิงจดจำดวงตาคู่นี้ได้ไม่ลืมเลือน แต่เนื่องด้วยจ่านจือยังมิต้องการเปิดเผยฐานะ จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เยี่ยนผิงเปิดโปงฐานะอันแท้จริงของผีเสื้อโลหิต เยี่ยนผิงส่งเสียงหนักแน่นมั่นอกมั่นใจกล่าวว่า
“ที่แท้ภายใต้ผีเสื้อโลหิต ท่านก็คือเอี้ยวเซียวนั่นเอง ความจริงข้าพเจ้าคาดเดาเอาไว้แต่แรกว่าเป็นท่าน เพียงแต่ยังมิมั่นใจเท่าใดนัก สันนิษฐานจากร่องรอยของเอี้ยวเซียวท่านหายไปไร้ร่องรอยจากป่าเก้าหยกระยะหนึ่ง ไม่นานผีเสื้อโลหิตออกอาละวาด จึงคาดคิดเอาไว้ว่าอาจเป็นท่าน ดังนั้นเมื่อน้องชายท่านนี้กล่าวถึงเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง เอี้ยวเซียวท่านจึงยื่นหัวโผล่หางออกมา”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยส่งเสียงร้องอ้อ ตวาดเสียงเกรี้ยวกราดดังว่า
“ที่แท้เป็นศิษย์ทรยศเอี้ยวเซียว ทรยศหักหลังพี่ใหญ่ลอบไปฝึกฝนกรงเล็บอเวจี ผ่านไปมิเท่าไหร่ฝีมือก้าวหน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงมิเห็นเงาหัวของอาจารย์และอาจารย์รองอยู่ในสายตาแล้วกระมัง?”
เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“อาจารย์กับอาจารย์รองสุขสบายดี? เอี้ยวเซียวมีฝีมือรุดหน้าปานนี้ ด้วยอาจารย์ทั้งสองถ่ายทอดพื้นฐานอันยอดเยี่ยมให้ ดังนั้นฝีมือที่ก้าวหน้าพวกท่านทั้งสองสมควรยินดีจึงถูกต้อง ฝากวาจาไปถึงท่านอาจารย์ อีกไม่นานศิษย์ทรยศคนนี้ จะไปเยี่ยมเยียนกราบกรานตอบแทนคุณ”
ในคำตอบแทนคุณของเอี้ยวเซียว น้ำเสียงกล่าวเน้นตรงกันข้ามอย่างแจ่มชัด จากนั้นหันมาทางด้านจ่านจือและเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“บิดาบุญธรรมของข้าพเจ้าจะตายไปได้เช่นไร? บนเขาหมื่นเซียนในเหตุการณ์วันนั้น เจ้าป่าเก้าหยกบิดาบุญธรรมข้าพเจ้าท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”
เยี่ยนผิงส่งเสียงหัวร่ออย่างผู้กำชัยเหนือกว่า ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วงในเหตุการณ์วันนั้น ที่แท้เป็นเฉาลู่ฟางปลอมตัวเป็นมัน กระทั่งบัดนี้ท่านยังมิทราบกระมัง? เจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วงเสียชีวิตอย่างอเนจอนาถ ตายในค่ำคืนเดียวกันกับที่ท่านลอบเข้าไปช่วงชิงหยกเหินลมสองชิ้น พร้อมกับสังหารจ่านจือด้วยคมดาบเสี้ยวพระจันทร์ เอี้ยวเซียวท่านยังจำเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมบนเส้นทางสายหลักได้อยู่หรือไม่?”
เอี้ยวเซียวสะท้านขึ้นอีกคราหนึ่ง ยกมือขึ้นดึงผ้าคลุมศีรษะสีแดงลงห้อยเอาไว้ด้านหลังศีรษะ จากนั้นเค้นเสียงกล่าวถามว่า
“ไฉนสองนักฆ่าหน้ากากเงิน ซึ่งความจริงร่วมมือกับบิดาบุญธรรมข้าพเจ้า ในค่ำคืนนั้นมันสองคนรับหน้าที่ไปปัดกวาดทำความสะอาดโรงเตี๊ยม ลบร่องรอยทำลายหลักฐาน ศิษย์พี่ใหญ่จ่านจือความจริงในค่ำคืนนั้น จะต้องมิเหลือร่องรอยใดด้วยซ้ำ ด้วยอานุภาพของยาสลายกระดูกของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว รายละเอียดเป็นเช่นไร?”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564