ตอนที่ 175
จับคู่ให้หนุ่มสาว
เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ แม้นจะไม่รู้จักเด็กน้อยผู้นี้ แต่ดูสีหน้าของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย กับปฏิกิริยานอบน้อมเกรงอกเกรงใจต่อชายชราอมโรคซูบเซียวผู้นั้นของนาง ต่างพอจะคาดเดาได้ว่านางมีความกริ่งเกรงชายชราผู้นั้นอยู่หลายส่วน แม้กับเด็กน้อยผู้นี้คล้ายกับนางยังมิกล้ากล่าววาจาโอหังสักเท่าใด
ดังนั้นทั้งหมดจึงพากันถอยออกไปชมดูอยู่ไม่ไกลนัก สำหรับกับหนานตี้และกุ้ยโส่ว คนทั้งสองกระหายใคร่แก้แค้นให้กับอาจารย์กับคนของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ซึ่งถูกวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยเข่นฆ่าสังหารจนหมดสิ้น ดังนั้นก่อนล่าถอยไปยืนชมดู กุ้ยโส่วส่งเสียงกล่าวกับเด็กน้อยว่า
“น้องชายท่านนี้ เราสองคนเป็นศิษย์ของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ อาจารย์ของพวกเราและคนภายในสำนักถูกนางผู้นี้สังหารอย่างโหดเหี้ยม เราสองคนแม้นไม่เคยรู้จักน้องชาย แต่เราสองคนดูออกว่าเจ้าชมชอบความยุติธรรม ไม่ชื่นชอบเห็นคนถูกรังแกเอาเปรียบ หากไม่ถือเป็นการรบกวนเจ้าจนเกินไป กรุณาช่วยเหลือเราทั้งสองให้ได้แก้แค้นแทนผู้ล่วงลับด้วยเถิด”
หลังจากกุ้ยโส่วกล่าววาจาจบ หนานตี้ผู้เป็นศิษย์พี่ส่งเสียงกล่าวบ้างว่า
“น้องชายท่านนี้ สหายของเรายังถูกพี่ชายของนางสังหารตกหน้าผาเทพนิรันดร์ไป ซึ่งนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้น ถึงเช่นไรค่ำคืนนี้พวกเราในที่นี้จะต้องแก้แค้นให้กับสหายและคนของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ น้องชายหากเจ้ามีหนทางช่วยเหลือพวกเรา ในภายภาคหน้าหากต้องการให้พวกเราตอบแทนใด? พวกเราจะมิเกี่ยงปฏิเสธแม้แต่น้อย”
จ่านจือในคราบของเด็กน้อย เขาเองแทบจะบอกกล่าวความจริงออกไป ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใคร ไม่ต้องการให้พวกเขาเหล่านั้นกล่าวคำเกรงอกเกรงใจต่อเขา แต่เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เพราะความยึดมั่นคุณธรรมหนักแน่น กระทำการใดโดยเปิดเผยมิเคยพลิกแพลง ซื่อตรงเกินไปก็เป็นโทษ กระทั่งชีวิตของตนเองยังแทบรักษาเอาไว้มิได้
เมื่อนึกได้เช่นนี้จ่านจือได้แต่เปลี่ยนความคิด ตนจะมิกลับไปเป็นจ่านจือคนเดิมอีกแล้ว ดั่งท่านว่าน้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา เปิดเผยเกินไปไม่ระมัดระวังตัวก็ถูกเอาเปรียบ แต่หากเขามีอุบายใช้ไหวพริบ รู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมคูหยั่งทางศัตรู ปิดช่องโหว่ของตนเอง จริงบ้างเท็จบ้างปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ แต่ทว่าอุดมการณ์หาญกล้าปณิธานต้องไม่สั่นคลอน ยึดมั่นคุณธรรมเป็นที่ตั้งเพียงนี้ก็ไม่ผิดกับผู้อื่น ท่านให้เราตอบแทน บุญคุณกับหนี้แค้นต้องแยกแยะชัดเจน ดังนั้นจึงโปรยยิ้มกลอกกลิ้งดวงตากลมโตไปมา มองหน้าเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ไปมาเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย ในจำนวนพวกท่านเก้าคน มีบุรุษสี่กับสตรีห้านาง เช่นนี้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นน้องชายของพวกท่าน จะทำการจับคู่ให้กับพวกท่านถูกได้เช่นไร? หากจะให้ข้าพเจ้าช่วยจัดการกับนางผู้นี้ ข้าพเจ้าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเรื่องราวหนึ่งก่อน”
เยี่ยนผิงซึ่งยืนห่างออกไปเพียงหนึ่งก้าวได้ยินเช่นนั้น ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“น้องชายท่านนี้ รู้สึกว่าเจ้าจะกระทำการใด? จะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่พี่สาวเห็นด้วยกับเจ้า เอาเป็นเช่นนี้พี่สาวไม่อยู่ในข้อแลกเปลี่ยนของเจ้า ดังนั้นจึงหลงเหลือเพียงบุรุษสี่กับสตรีอีกสี่นาง ดังนั้นจึงครบคู่พอดีไม่ขาดไม่เกิน พวกเขาทั้งแปดคนล้วนผ่านประสบการณ์หวาดเสียวมาด้วยกันหลายครั้ง พี่สาวคล้ายพอทราบอยู่บ้างว่าบุรุษผู้ใด? พึงใจสตรีนางใดอยู่ เจ้าต้องการให้พี่สาวช่วยเจ้าจับคู่ให้กับพวกเขาดีหรือไม่?”
จ่านจือฉีกยิ้มกว้างส่งเสียงหัวร่อชอบใจพร้อมกับตบมือเกรียวกราว ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ดี ๆ ข้าพเจ้าต้องการให้พี่สาวท่านนี้ช่วยจับคู่ให้กับพวกเขา”
สตรีในที่นี้สี่นางประกอบด้วย ซื่อเหมี่ยน เอวี้ยอี้เซิน กุ้ยโส่ว และไป่ชิง ส่วนบุรุษสี่คนได้แก่ หนานตี้ อวี้หว่อ มู่เหอ และเทียนจิ้ง จริง ๆ แล้วจ่านจือเองทราบดีว่าสตรีและบุรุษทั้งแปดคน ผู้ใดที่พึงพอใจต่อผู้ใดอยู่ แต่ด้วยที่ผ่านมาทุกคนล้วนผ่านเหตุการณ์ร้ายมาหลายครั้ง ผู้เป็นอาจารย์ก็มาลาจากไปจนหมดสิ้น หนุ่มสาวแม้ชอบพอกันแต่มิกล้าเปิดเผยจริงจัง ดังนั้นจ่านจือคิดจะใช้แผนการนี้ส่งเสริมพวกเขาให้สมหวัง
สตรีทั้งสี่ได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันหน้าแดงขวยเขินดั่งลูกตำลึงสุก ผิดกับบุรุษทั้งสี่คน ซึ่งส่งสายตาจับจ้องสตรีที่ตนพึงใจรักใคร่เอาไว้ไม่ละสายตา ยิ่งทำให้สตรีทั้งสี่นางกัดเม้มริมฝีปาก หลุบสายตาลงต่ำสองมืออยู่ไม่นิ่งม้วนชายเสื้ออยู่ไปมา ไป่ชิงเอ่ยกล่าวเสียงสั่นว่า
“กระไร? เวลานี้เป็นเวลาอันตราย ไฉนแม่นางเยี่ยนผิงถึงกล่าววาจาล้อเล่นเช่นนี้กับน้องชายผู้นั้น พวกเรา... พวกเรา”
ไป่ชิงกล่าวได้เพียงนี้ จ่านจือรีบส่งเสียงกล่าวแทรกขึ้นก่อนว่า
“พี่สาวท่านนี้ ข้าพเจ้ามิได้กล่าววาจาล้อเล่นกับพี่สาวผู้นี้ ข้อแลกเปลี่ยนของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้จริง ๆ หรือว่าพี่สาวทั้งสี่มิต้องการมีบุรุษที่หล่อเหลาเอาไว้เคียงข้าง ยามมีภัยอันตรายจะได้คอยปกป้องคุ้มครอง พอเข้าพิธีพวกท่านจะได้มีทายาทที่น่ารักชายหญิง เช่นนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องราวถูกต้อง”
สตรีทั้งสี่นางบิดกายไปมา ปฏิกิริยาเอียงอายขวยเขิน มีเพียงเยี่ยนผิงที่สีหน้าเศร้าสร้อยคล้ายยังไม่อาจลืมเลือนจ่านจือที่จากไปได้ เด็กน้อยซุกซนกระโดดปราดเข้าคว้าข้อมือของเยี่ยนผิงเอาไว้ แล้วส่งเสียงปลอบโยนดังว่า
“พี่สาวท่านนี้ท่านมิต้องโศกเศร้าเสียใจไป ข้าพเจ้าพอจะคาดเดาได้ว่าท่านเพิ่งสูญเสียคนรักไป แต่พี่สาวมิต้องเป็นห่วงอีกเพียงไม่กี่ปีข้าพเจ้าก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ พี่สาวท่านรอคอยข้าพเจ้าไม่นาน พอข้าพเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะเข้าพิธีกับพี่สาว เมื่อสักครู่พี่สาวกอดข้าพเจ้าพร้อมกับหอมแก้มข้าพเจ้าแล้วทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นพยาน ดังนั้นข้าพเจ้ายึดถือว่าพี่สาวจะรอคอยข้าพเจ้าเติบโตไปสู่ขอท่านในไม่ช้า”
เยี่ยนผิงแม้เข้มแข็งจิตใจห้าวหาญปานใด เมื่อได้ยินเด็กน้อยตรงหน้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน อดที่จะแสดงสีหน้าขวยเขินเอียงอายออกมามิได้เช่นกัน ส่งผลให้บุรุษสี่คนกับสตรีอีกสี่นางส่งยิ้มออกมาด้วยความสุขใจมิได้
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยอยู่ในเหตุการณ์ คล้ายกับถูกเด็กรุ่นหลังตบหน้าอยู่กระนั้น ยามนี้เพิ่งผ่านเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานมาเมื่อครู่ แต่ทุกคนคล้ายกับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาไม่มีนางยืนอยู่ตรงนั้น หรือว่าพวกเขาเหล่านี้มิรู้สึกว่าอันตรายความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงเค้นเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“พวกเจ้าทุกคนล้วนหน้าไม่อาย มิรู้สึกบัดสีบัดเถลิงบ้างหรืออย่างไร? เวลานี้ความตายอยู่ใกล้พวกเจ้า แต่พวกเจ้ายังมีจิตใจกล่าววาจาเกี้ยวพาราสีต่อกัน หากไม่อายผีสางเทวดา ก็ให้เกรงอกเกรงใจเราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ซึ่งกำลังจะมอบความตายให้กับพวกเจ้าบ้าง”
เยี่ยนผิงส่งเสียงร้องอ้อ แล้วเค้นเสียงกล่าวออกไปว่า
“พวกเราจะกล่าววาจาเกี้ยวพาราสีมีอันใดเกี่ยวข้องกับท่าน? หรือว่าท่านกำลังรู้สึกริษยาต่อพวกเรา แม้ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกเรายังมีความสุขยังมีความปรารถนาดีต่อกัน โดยปกติแล้วบุรุษสตรีล้วนต้องมีคู่จึงมีทายาทได้ หรือว่าท่านมิมีบิดามารดา เช่นนั้นเดรัจฉานใดให้กำเนิดท่านมา?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยได้ยินเช่นนั้นสีหน้าโกรธเกรี้ยว สะบัดฝ่ามือวูบรวดเร็วยิ่ง รวบรัดอย่างที่สุด เป็นอาวุธลับอาบยาพิษหลายสิบชิ้น นางคิดจะตัดกำลังชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ เป้าหมายเป็นเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านั้น
จ่านจือสายตาปราดเปรียวยิ่ง ปฏิกิริยายิ่งปราดเปรียวพิสดาร ลอยตัวปราดขึ้นด้วยกระบวนท่าที่สี่ในวิชาวานรนามวานรเหินหาว พร้อมกับใช้ฝ่ามือออกด้วยวิชาดาวดึงส์ท่าที่สองนามดาวเกลื่อนนภา เสียงติง ๆ ดังสดใสอาวุธลับเหล่านั้นแบนเบือนออกสองฟากข้าง ปักเรียงรายอยู่กับลำต้นไม้สองต้นอย่างเป็นระเบียบ มิตกหล่นลงพื้นแม้แต่ดอกเดียว
การลงมือของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย อาศัยความรวบรัดรวดเร็วยิ่ง แต่การเข้าคลี่คลายทำลายของเด็กน้อยผู้นี้กลับพิสดารยิ่งกว่า มิหนำซ้ำวิชาที่ใช้กลับเป็นวิชาวานรของนางกับวิชาดาวดึงส์ของพี่ใหญ่นางอีกด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้นนางถึงกับแสดงสีหน้าแตกตื่นแปลกประหลาดใจ ยังมิทันกล่าววาจาใดออกมา จ่านจือส่งเสียงกล่าวขึ้นก่อนว่า
“ท่านอำมหิตเกินไปแล้วกระมัง? แถมยังใช้วิธีลอบกัดเช่นนี้อีก เป็นอาวุโสรังแกผู้เยาว์ว่าน่าอับอายเกินไปแล้ว นี่ท่านใช้อาวุธลับอาบยาพิษลอบทำร้ายทีเผลอ จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าสมควรด่าท่านว่า สุนัขลอบกัดจึงถูกต้อง ข้าพเจ้าขอเตือนท่านประโยคหนึ่ง อย่าได้เคลื่อนไหวใดอีกหากธุระของพวกเรายังจัดการไม่เสร็จ อีกทั้งอย่าได้คิดหลบหนีเด็ดขาด”
สิ้นเสียงของจ่านจือ วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยคาดคิดมิถึงว่าเด็กน้อยผู้หนึ่งจะลงมือตามติดไม่สิ้นสุด จ่านจือหงายฝ่ามือข้างขวางอนิ้วกลางดีดออก ใช้วิชาดรรชนีสกัดจุดของสำนักหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว นางแม้มีพลังการฝึกปรือสูงล้ำยังไม่อาจเคลื่อนไหวได้ทัน พลันไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกต่อไป นับว่าเป็นวิชาสกัดจุดโดยมิต้องสัมผัสแตะต้องตัวอันพิสดารนัก
ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน แม้ฝึกฝนดรรชนีสกัดจุดเช่นกัน แต่ยังไม่อาจก้าวหน้าดั่งใจต้องการได้ เมื่อเห็นเด็กน้อยผู้นี้ใช้ออก ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ จ่านจือส่งเสียงเอ่ยกล่าวกับเยี่ยนผิงต่อว่า
“พี่สาวท่านตระหนกตกใจหรือไม่? ท่านมิต้องหวาดกลัวไป มีข้าพเจ้าอยู่ด้วย นางผู้นี้ไม่อาจอาละวาดตามใจปรารถนาได้ อีกประการหนึ่งข้าพเจ้ามีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองพี่สาว หากท่านเป็นไรไปก่อนแล้วข้าพเจ้ายามเติบใหญ่จะไปสู่ขอผู้ใด?”
เยี่ยนผิงระบายลมออกจากปากคำหนึ่ง รู้สึกหวาดเสียวยิ่งหากเมื่อครู่เด็กน้อยผู้นี้ไม่ลงมือสกัดอาวุธลับ ไม่แน่นักว่านางและคนอื่น ๆ จะหลบหนีอาวุธลับได้ทัน ยิ่งคิดยิ่งสงสัยในตัวเด็กน้อยผู้นี้ ในบางครั้งประกายสายตาเด็กน้อยผู้นี้ช่างคลับคล้ายจ่านจืออยู่ไม่น้อย แต่ผิดแผกแตกต่างที่จ่านจือมิใช่คนกะล่อนซุกซนเช่นนี้ ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขอบคุณน้องชายท่านนี้ หากมิได้เจ้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่แน่นักว่าพวกเราอาจประสบเคราะห์กรรม จากอาวุธลับที่ลอบกัดของนางแล้ว”
จ่านจือส่งยิ้มคล้ายไร้เรื่องราว ส่งเสียงกล่าวว่า
“พี่สาว เช่นนั้นท่านจับคู่ให้กับพวกเขาเร็วเข้าเถิด ข้าพเจ้าใคร่อยากทราบว่า เป็นบุรุษคมคายท่านใด? คู่กับสตรีงดงามผู้ใดกันแน่?”
เยี่ยนผิงอดที่จะเผยยิ้มออกมามิได้ มองหน้าบุรุษทั้งสี่กับสตรีสี่นาง จากนั้นก้าวเท้าเข้าไปหาไป่ชิง พร้อมกับเกาะกุมสองมือของนางไว้ จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับนางว่า
“แม่นางไป่ชิง ท่านมิต้องเอียงอายขวยเขินแล้ว วัยของพวกเราทุกคนสมควรที่จะมีคู่หมั้นหมายได้แล้ว มิใช่เรื่องน่าอับอายกระไร? อีกประการหนึ่งเด็กน้อยผู้นี้ล้วนน่าสงสัยยิ่ง ข้าพเจ้าคล้ายสงสัยว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องใด? กับพี่ชายของท่านจ่านจืออยู่บ้าง”
เยี่ยนผิงจูงมือไป่ชิงก้าวเดินเข้ามาหาเทียนจิ้ง จากนั้นจับมือของทั้งสองสัมผัสกุมสองมือต่อกัน เทียนจิ้งจับจ้องมองใบหน้าไป่ชิงที่เอียงอายขับเน้นความงดงามปานเทพธิดา เทียนจิ้งบีบสองมือของไป่ชิงพร้อมกับส่งเสียงกล่าวกับนางว่า
“ต่อไปข้าพเจ้าเทียนจิ้งจะดีต่อแม่นางไป่ชิง ข้าพเจ้าจะรักท่านแต่เพียงผู้เดียว ชั่วชีวิตนี้จะมิคิดทอดทิ้งท่านเป็นเด็ดขาด ท่านเล่าคิดจะทอดทิ้งข้าพเจ้าเทียนจิ้งหรือไม่?”
ไป่ชิงส่งเสียงแผ่วเบากล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าไป่ชิง เมื่อท่านดีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองสมควรต้องดีกับท่าน ชั่วชีวิตนี้จะรักท่านแต่เพียงผู้เดียว น่าเสียดายพี่จ่านจือมิได้อยู่แสดงความยินดีกับพวกเรา”
จากนั้นเยี่ยนผิงจูงมือกุ้ยโส่วเดินเข้าไปหามู่เหอ คนทั้งสองเกาะกุมมือมันกล่าววาจาว่าจะรักกันตลอดไปไม่ทอดทิ้งกัน คู่ต่อไปเป็นหนานตี้กับซื่อเหมี่ยน สำหรับคู่สุดท้ายเป็นอวี้หว่อกับเอวี้ยอี้เซิน จ่านจือปรบมือดีใจส่งเสียงหัวร่อชอบอกชอบใจ จากนั้นหันมากล่าวกับเยี่ยนผิงว่า
“สำหรับข้าพเจ้า ขอให้คำมั่นสัญญากับพี่สาวว่า เมื่อข้าพเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะไปสู่ขอพี่สาวตามประเพณี ข้าพเจ้าทราบว่าพี่สาวสงสัยในตัวข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าขอให้พี่สาวมั่นใจว่าข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาร้ายใดต่อพี่สาวเด็ดขาด เพียงแต่มีเหตุผลจำเป็นที่มิอาจเปิดเผยได้ในเวลานี้ พี่สาวท่านเชื่อวาจาข้าพเจ้าหรือไม่?”
เยี่ยนผิงรู้สึกอบอุ่นและสบายใจที่เด็กน้อยผู้นี้กล่าววาจาอยู่ตรงหน้า หรือว่าจ่านจือส่งเด็กน้อยผู้นี้มาหานาง แต่ทว่าวัยของนางกับเด็กน้อยผู้นี้ยังห่างกันอย่างน้อยสี่ห้าปีเห็นจะได้ ดังนั้นนางจึงมิอยากคิดเรื่องราวไปไกลกว่านี้ ได้แต่คิดว่าเด็กน้อยผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้ ถึงกับสยบวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยเอาไว้ได้ง่ายดายปานนี้ เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่
ในขณะที่ทุกคนมิได้ระมัดระวังตัว ไม่ไกลออกไปมากนัก ผีเสื้อโลหิตปรากฏกายขึ้นแล้ว นางแอบหลบซ่อนอยู่บนหลังคาโรงเตี๊ยม เพียงแต่นางมิทราบว่าวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยถูกสยบเอาไว้มิอาจเคลื่อนไหว ดังนั้นนางจึงมิเปิดเผยตัวออกมา ได้แต่ซุ่มดูว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่
จ่านจือหันมากล่าวกับคนทั้งเก้าว่า
“พวกท่านถอยออกไปก่อน ข้าพเจ้าจะให้นางได้สำแดงฝีมือโดยเต็มที่ ข้าพเจ้าสยบนางเอาไว้เช่นนี้ คิดว่านางคล้ายจะร้อนใจกระทั่งจะอกแตกตายแล้วกระมัง? การประลองฝีมือต้องกระทำโดยเปิดเผย ข้าพเจ้าจะท้าประลองฝีมือกับนาง โดยใช้วิชาวานรประลองกับนาง ข้าพเจ้าจะให้นางยอมแพ้และยอมรับโดยหมดใจ พวกท่านล้วนเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วล่าถอยออกไปอีกหลายก้าว จ่านจือหันมาทางด้านวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ดีดนิ้วคราหนึ่งคลายจุดให้กับนาง จ่านจือเพียงขยับนิ้วเพียงเล็กน้อย ดังนั้นผีเสื้อโลหิตบนหลังคาโรงเตี๊ยมจึงไม่อาจมองเห็นได้ นางยังคงเข้าใจเอาเองว่า วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยกำลังจะจัดการเข่นฆ่าเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านี้ เพียงแต่ไม่คุ้นหน้าว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่
จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยว่า
“อาวุโสท่านนี้ ท่านมีฉายาว่าวานรเหินนามเส้าฮ่วยฮวย วิชาประจำตัวของท่านคือวิชาวานรแห่งหุบเขาวานร ซึ่งเป็นวิชาของท่านปรมาจารย์เส้าเหว่ยฉีฉายาวานรขาว ท่านเป็นศิษย์ทรยศของหุบเขาวานร ในอดีตท่านขโมยเคล็ดวิชาวานรหลบหนีออกจากหุบเขาวานร เปลี่ยนชื่อแซ่เป็นอั้งเซี๊ยะเปา ที่ข้าพเจ้าเอ่ยกล่าวมาทั้งหมดถูกต้องหรือไม่?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยรู้สึกแปลกประหลาดใจที่เด็กน้อยผู้นี้ทราบเรื่องราวของหุบเขาวานรละเอียดเพียงนี้ ส่งเสียงกล่าวตอบออกไปว่า
“ถูกต้อง ที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดล้วนมิผิด อาจารย์ตามล่าเราอยู่หลายปีแต่หาเรามิพบ ทราบว่าอาจารย์ตกหน้าผาเทพนิรันดร์ ดังนั้นเราจึงหาทางกลับหุบเขาวานร พร้อมกับฆ่าเจ้าหุบเขาวานรรุ่นที่สองตายไป เช่นนั้นเจ้าก็คงทราบเจ้าหุบเขาวานรรุ่นที่สอง ที่แท้เป็นเซียนสุรา ฉายาเมามายแปดทิศนามเชียงชุนชิว จากนี้ไปเราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยจะเป็นเจ้าหุบเขาวานรรุ่นที่สาม”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านจะเป็นเจ้าหุบเขาวานรได้หรือไม่? ยังไม่อาจกล่าวได้ในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะขอท้าประลองฝีมือกับท่าน โดยข้าพเจ้าจะใช้วิชาวานรซึ่งได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากปรมาจารย์เส้าเหว่ยฉี หากท่านสามารถเอาชนะข้าพเจ้าได้ ท่านจึงจะเป็นเจ้าหุบเขาวานรรุ่นที่สามได้ หากไม่อาจเอาชนะข้าพเจ้าได้ ท่านอย่าได้เหยียบย่างเข้าหุบเขาวานรตลอดชีวิตตกลงหรือไม่?”
วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยได้ยินเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบห้าปี กล่าววาจาว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาวานรจากปรมาจารย์เส้าเหว่ยฉีโดยตรง นางไม่อาจเชื่อถือได้เป็นอันขาด อาจารย์ของนางตกหน้าผาตายไปก่อนที่เด็กน้อยผู้นี้จะเกิดด้วยซ้ำ ดังนั้นส่งเสียงหัวร่อเย้ยหยัน กล่าวตอบว่า
“ตกลง แต่เจ้ารับปากเราประการหนึ่ง? เจ้าจะต้องใช้เพียงวิชาวานรในการประลองฝีมือกับเรา ห้ามเจ้าใช้วิชาอื่นออกมาเป็นเด็ดขาด หากมิเช่นนั้นถือว่าเราเป็นฝ่ายชนะเจ้า ตกลงตามนี้”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ตกลงตามนั้น ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าจะสั่งสอนศิษย์ทรยศหุบเขาวานรแทนปรมาจารย์เส้าเหว่ยฉี”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564