Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เหล่าสหายได้พบหน้า)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เหล่าสหายได้พบหน้า

  • 15/09/2565

ตอนที่ 174

เหล่าสหายได้พบหน้า

ผ่านไปได้สามวัน เกิดเหตุการณ์สะท้านสะเทือนขวัญสั่นวิญญาณ เป็นที่กล่าวขานโจษจันไปทั่วหัวระแหง ในยุทธภพปรากฏมารโลหิต บรรดาชาวยุทธ์เรียกขานกันว่าผีเสื้อโลหิต ค่ำคืนที่ผ่านมามีชาวยุทธ์ถูกเข่นฆ่าสยดสยองด้วยกรงเล็บอเวจี นับรวมทั้งสิ้นได้ห้าสิบเก้าศพด้วยกัน ทุกศพล้วนถูกเจาะกะโหลกห้ารูด้วยกัน ผู้ที่รอดชีวิตคนหนึ่งเล่าว่า ผู้ที่ลงมือเป็นบุคคลลึกลับในชุดผีเสื้อสีโลหิต มันที่รอดชีวิตมาได้ด้วยตกใจหวาดกลัวจนสิ้นสติไปเสียก่อน

ดึกสงัดบรรยากาศวิปลาสแปรปรวน ตั้งแต่ยามโพล้เพล้เพิ่งสิ้นแสงทิวา สายฝนพลันโปรยปราย สายลมกระโชกครืนครั่น บางคราวสายวิชชุแลบแปลบปลาบทาบผ่าน ท่ามกลางสายพิรุณกระหน่ำซ้ำซัด ร่างเลือนรางสองสายสาดทะยานฝ่าสายฝนมาอย่างเร่งร้อน ในม่านหมอกละอองฝนปนเจือสายลมแลเห็นเงาร่างสองสายคล้ายเบาบางจาง ๆ ดั่งภาพวาดผืนหนึ่ง

จ่านจือในร่างของเด็กน้อยผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งดื่มสุราบรรเทาความหนาวเหน็บอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เมื่อทอดสายตาแหวกฝ่าสายลมฝนออกไป ในม่านพายุฟ้าฝน คนอีกผู้หนึ่งวิ่งตะบึงไล่หลังมาด้วยระดับความเร็วจนแทบตระหนก เมื่อร่างสองสายวิ่งใกล้เข้ามาแลเห็นเป็นบุรุษในชุดสีเขียว บุรุษหนึ่งในมือถืออาวุธลักษณะคล้ายไม้ไผ่สีเขียวด้ามหนึ่ง อีกหนึ่งบุรุษมือข้างหนึ่งกำฝักกระบี่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกระชับกระบี่แนบแน่น ทั้งกระบี่และฝักล้วนเป็นสีเขียว

ร่างที่ติดตามมาด้านหลังตีลังกากลางอากาศสองตลบติดกันแล้วทิ้งเท้าขวางหน้าสองบุรุษเอาไว้ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมเท่าใดนัก จากนั้นส่งเสียงตวาดลั่นแข่งกับเสียงฟ้าฝนว่า

“พวกเจ้าสองคนจะหลบหนีเราไปได้ไกลเท่าใด? เฮอะถึงแม้พวกเจ้าสองคนผนึกกำลังกันมีพลังฝีมือเหนือล้ำกว่าผู้เป็นอาจารย์ก็ตาม แต่กระนั้นเราวานรเหินยังไม่เห็นเจ้าสองคนอยู่ในสายตา ค่ำคืนนี้เมื่อมีเราอยู่ที่นี้ จะต้องมิมีพวกเจ้าซึ่งมีลมหายใจเด็ดขาด เราเมื่อกล่าววาจาแล้วย่อมมิแปลกปลอมแน่นอน เช่นไรพวกเจ้าทั้งสอง จะต้องทิ้งร่างเป็นซากศพอยู่หน้าโรงเตี๊ยมนี้ แม้นมีปีกก็ไม่อาจบินหนีเงื้อมมือของเราไปได้พ้น”

จ่านจือสายตาปราดเปรียวแม้ม่านลมฝนจะเข้มข้นปานนั้น ผนวกกับเป็นเวลายามค่ำคืนแต่เขายังดูออกได้สองคนนั้นเป็นสหายของเขาเอง ผู้ที่ถืออาวุธลักษณะคล้ายไม้เท้าไผ่หลิวเป็นเทียนจิ้งนั่นเอง ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นศิษย์น้องของเขาอวี้หว่อ

คนทั้งสองกระชับอาวุธในมือ เทียนจิ้งใช้ออกด้วยวิชาไผ่หลิวกวาดพสุธาท่าที่เจ็ดนามม้วนพสุธาตีฝ่าคลื่นลม ส่วนอวี้หว่อใช้ออกด้วยวิชาไผ่หลิวชมจันทร์กระบวนท่าที่สามนามไผ่หลิวล้อจันทรา ทั้งสองผนึกกำลังจู่โจมพร้อมเพรียงกัน เทียนจิ้งส่งเสียงตวาดดังว่า

“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ถึงเช่นไรท่านยังนับว่าเป็นผู้อาวุโสพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง พลังฝีมือของท่านสูงส่งเหนือล้ำกว่าเราสองคนมีอันให้แปลกประหลาด หากเราสองคนฝึกปรือกระทั่งวัยใกล้เคียงท่าน คิดว่าวันนั้นคำกล่าวทิ้งซากศพเอาไว้ที่นี่สมควรเป็นคำกล่าวของพวกเราสองคนแล้วกระมัง?”

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยสะบัดฝ่ามือขวับ ๆ รับกระบวนท่าจู่โจมเอาไว้ได้ไม่ยากเย็น เมื่อคลี่คลายสภาวะกระบี่และไม้เท้าไผ่หลิวแล้ว แผ่พุ่งสองฝ่ามือออกบังเกิดเป็นคลื่นลมก่อกวน คล้ายม้วนรวมเอาสายลมฝนเอาไว้ภายในสองฝ่ามือ จากนั้นผลักสองฝ่ามือออกกระแทกเทียนจิ้งกับอวี้หว่อร่างลอยตกฟาดกระแทกพื้นชื้นแฉะดังครืนใหญ่

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยเค้นเสียงเย็นเยือกปานน้ำแข็งแข่งกับสายฟ้าฝน พร้อมกับกระโจนลอยขึ้นราวนางแอ่นเหินลมตัวหนึ่ง จากนั้นแผ่พุ่งสองฝ่ามือเข้าใส่เทียนจิ้งกับอวี้หว่ออย่างมั่นอกมั่นใจ คล้ายกับจะสะกดคนทั้งสองให้ต้องอกสั่นขวัญแขวน แม้นจะมีขวัญกล้ามากมายปานใด? หากผู้ใดเมื่อเห็นกระบวนท่าลงมือนี้แล้ว มีหรือที่จะไม่ตระหนกแตกตื่น

“พวกเจ้าทั้งสองต้องลิ้มลองกระบวนท่าวานรท่องดงของเราดู เตรียมตัวน้อมรับความตายเสียเถิด เราวานรเหินรับรองว่าจะมิให้พวกเจ้าทั้งสองต้องทรมานมากนัก”

แต่ก่อนที่สองฝ่ามือของวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยจะบรรลุถึงร่างของเทียนจิ้งและอวี้หว่อ ในประกายสายลมฝนพลันปรากฏเงากระบี่สองสายแลบแปลบปลาบ ประกายสายกระบี่เจิดจ้าท่ามกลางสายอสนีบาตฟาดฟ้า พร้อมกับเสียงคำรามของกระบี่ที่พิสดารสั่นโสต กระทั่งวานรเหินยังต้องตระหนกเปลี่ยนกระบวนท่ากลางคัน ตีลังกากลับหลังเค้นเสียงตวาดดังว่า

“เพลงกระบี่พิรุณโปรยปราย พวกเจ้าสองคนคือศิษย์ชั้นปลายแถวของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ อาศัยเพลงกระบี่พื้นฐานปานนี้คิดจะข่มขู่เราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยได้เช่นนั้นรึ?”

เทียนจิ้งกับอวี้หว่อรีบดีดร่างขึ้นแล้วพุ่งเฉียง ๆ ออกไปยังด้านข้าง อวี้หว่อส่งเสียงร้องว่า

“แม่นางกุ้ยโส่ว หนานตี้ เป็นพวกท่านทั้งสอง หากพวกท่านทั้งสองมาช้ากว่านี้อีกเพียงครึ่งก้าว พวกเราทั้งสองคงต้องไปน้อมรอยังสรวงสวรรค์แล้ว”

เทียนจิ้งส่งเสียงกล่าวว่า

“ขอบคุณพี่หนานตี้ แม่นางกุ้ยโส่ว หากมาช้ากว่านี้สมควรเป็นเช่นศิษย์พี่ข้าพเจ้ากล่าวเมื่อครู่แล้ว”

หนานตี้กับกุ้ยโส่ว หันมาสบตาทั้งสองพร้อมพยักหน้ารับทราบ จากนั้นหันไปยังวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย สีหน้าปราศจากความหวาดหวั่น มิหนำซ้ำยังเพิ่มความมั่นอกมั่นใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ หนานตี้ส่งเสียงกล่าวว่า

“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยท่านกล่าวผิดแล้ว เราทั้งสองแม้เป็นศิษย์ชั้นปลายแถวของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ซือแป๋ถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้ เราทั้งสองยอมรับว่าในเวลานั้นมิเอาไหน กระทั่งได้รับการชี้แนะจากเซียวจือ เมื่อเขาไม่อยู่แล้วเราในฐานะสหายทั้งสองของเขา มีหรือจะกล้าทำให้เขาผิดหวังได้”

จากนั้นกุ้ยโส่วส่งเสียงกล่าวสืบต่อว่า

“พี่หนานตี้กล่าวได้ถูกต้อง เราทั้งสองจะไม่ทำให้เซียวจือและท่านอาจารย์ต้องผิดหวังเด็ดขาด ที่ผ่านมาเราสองคนไม่เข้าใจเคล็ดความสำคัญของเพลงกระบี่พิรุณโปรยปราย กระทั่งในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อครู่ เพื่อช่วยเหลือสหายทั้งสองของพวกเรา อาศัยการแปรปรวนของสายพายุฝน สายพิรุณโปรยปรายจากท้องฟ้ากว้างใหญ่ บางครั้งกระหน่ำซ้ำซัดดั่งบ้าคลั่ง บางครั้งเบาบางพร่างพราย ผสานคลื่นวายุสายวิชชุ เราทั้งสองจึงเข้าใจกระจ่างถึงเคล็ดวิชาเพลงกระบี่พิรุณโปรยปรายกระจ่างแจ้งแล้ว”

หนานตี้ส่งเสียงกล่าวอีกว่า

“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ถึงแม้นท่านจะมีสุดยอดวิชาวานร แต่หากเราสองคนใช้วิชาอาจารย์ของสำนักเมฆฟ้าพิรุณโดยสุดกำลังแล้ว อย่างน้อยก็รั้งท่านไว้ได้ครึ่งชั่วยามหรือหนึ่งชั่วยามถูกต้องหรือไม่? ท่านเองย่อมทราบดีอยู่แก่ใจ พวกเรามิได้มีกันเพียงแค่สองคน ยังมีสหายคนอื่น ๆ กำลังเร่งรุดเดินทางมา เมื่อถึงเวลานั้นท่านเองที่จะต้องประเมินสถานการณ์เสียใหม่แล้ว”

จ่านจือซึ่งนั่งกรอกสุราลงกระเพาะอยู่บริเวณชั้นสองของโรงเตี๊ยม ล้วนได้ยินทุกคำพูดเห็นทุกการเคลื่อนไหวของทุกคน ศิษย์ทั้งสองของสำนักเมฆฟ้าพิรุณกล่าวถูกต้อง จ่านจือคล้ายมองเห็นว่าคนทั้งสองมีฝีมือรุดหน้าจริง ๆ เขาเองพลันเพิ่งเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่พิรุณโปรยปรายเช่นกัน

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยแสดงสีหนาเหยียดหยาม เค้นเสียงกล่าวกับหนานตี้และกุ้ยโส่วว่า

“เราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ล้วนผ่านประสบการณ์มานานเนิ่น คำพูดหลอกเด็กเพียงนี้คิดว่าจะข่มขู่เราได้เช่นนั้นรึ? เราเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าพวกเจ้าทั้งสองจะมีความสามารถเช่นวาจาที่กล่าวมาหรือไม่? พวกเจ้าคงยังไม่ลืมกระมัง? อาจารย์ของพวกเจ้าตายเช่นไร? มิใช่มันตายภายใต้กระบวนท่าวานรท่องดงของเรา”

กล่าวจบวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยวาดสองฝ่ามือสลับไขว้ เร่งเร้าพลังวัตรเตรียมลงมือ ยามนั้นในสายพายุฝนร่างเลือนรางห้าสายพุ่งมาดุจเหินบิน พร้อมกับน้ำเสียงเจื้อยแจ้วดังชัดเจนว่า

“ช้าก่อน อย่าได้ใจร้อนลงมือรวดเร็วปานนั้น วานรเหินท่านโปรดรอข้าพเจ้าพร้อมทั้งสหายก่อนเถิด”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้ จ่านจือแทบกระโดดลงจากชั้นสองโรงเตี๊ยม ทว่าระงับความตื่นเต้นยินดีเอาไว้ได้เสียก่อน ด้วยยังไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น ไว้รอดูสถานการณ์ไปก่อนว่าจะเป็นเช่นไร? อีกประการหนึ่งในเวลานี้เขาอยู่ในร่างของเด็กน้อยผู้หนึ่ง จ่านจือนึกถึงเรื่องราวหนึ่งขึ้นมาได้ ส่งเสียงหัวร่อประกายสายตาคล้ายมีอุบายใดกระนั้น

จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับตนเองว่า

“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย เมื่อหลายวันก่อนพวกท่านกล้าวางยาเด็กน้อยผู้หนึ่ง เช่นนั้นค่ำคืนนี้เราผู้เป็นปู่ของเด็กน้อยจะต้องทวงถามคิดบัญชีนี้แล้ว”

กล่าวจบจ่านจือหมุนกายรอบหนึ่ง ใช้เคล็ดวิชาเฒ่าทารกในคัมภีร์เทพอสูร เมื่อนั่งลงยังม้านั่งอีกทีกลับกลายเป็นเฒ่าชราซูบเซียวท่าทางอมโรคผู้หนึ่งแล้ว เฒ่าชรายกถ้วยสุราขึ้นกรอกลงไปอีกถ้วยหนึ่งเหือดแห้ง ถึงแม้ร่างกายจะแก่ชราปานนั้น กระนั้นสายตากลับซุกซนดั่งทารกมิปาน

คนทั้งห้าเมื่อทิ้งเท้าลงประกอบด้วย เซียวเยี่ยนผิง พี่สาวทั้งสองของเขาซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน ด้านหลังสองคนเป็นเฟิ่นมู่เหอ อีกคนหนึ่งซึ่งจ่านจือยินดีกระทั่งแทบหลังน้ำตาออกมา น้องสาวฝาแฝดของเขา เฟินไปชิงซึ่งต่อไปจะต้องใช้แซ่จ้าวนามไป่ชิง เขาเองก่อนหน้านี้ได้แต่ภาวนาว่าให้น้องสาวฝาแฝดของเขามีหัวใจอยู่ทางด้านขวาเช่นเดียวกับเขา เมื่อเห็นนางปรากฏตัวเช่นนี้แสดงว่าสิ่งที่เขาภาวนาไว้ไม่ผิดพลาดแล้ว

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยเห็นเช่นนั้น ส่งเสียงหัวร่ออย่างไร้เรื่องราว สายฟ้าพายุฝนสงบลงแล้ว นางส่งเสียงคล้ายกับมิเห็นทุกคนอยู่ในสายตา กล่าวว่า

“มากันหมดแล้วเช่นนั้นรึ? เยี่ยนผิงเจ้าสบายดี? มารดาของเจ้าเล่า? อ้อ มิใช่สินะนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน มิทราบว่าป่านนี้นางกระอักโลหิตอกแตกตายไปแล้วหรือไม่?”

เยี่ยนผิงกลอกกลิ้งดวงตาไปมาเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าสบายดี นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนหามีส่วนเกี่ยวข้องใดกับข้าพเจ้าแล้ว ดังนั้นนางจะเป็นเช่นไร? ข้าพเจ้าจึงมิอาจกล่าวตอบต่อท่านได้ ท่านเล่า? ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากมายปานนั้น คงจะมิค่อยสบายสักเท่าใดถูกต้องหรือไม่? คิดว่าท่านคงต้องระมัดระวังตัวด้วยเกรงว่าผู้ใด? จะมาทวงถามเอาชีวิตท่านได้ทุกเวลา ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาคงมิแปลกปลอม”

วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยระเบิดเสียงหัวร่อดังยาวนาน จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เราวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย ชื่นชอบการเข่นฆ่าคน เพียงแต่ผู้อื่นหากคิดจะเข่นฆ่าสังหารเรา ต้องดูก่อนว่ามีความสามารถเพียงใด? เราขอบอกต่อเจ้าว่ายิ่งได้เข่นฆ่าคนมากมายเท่าใด เรายิ่งรู้สึกเบิกบานใจมากมายปานนั้น”

ยามนั้นเสียงหนึ่งแหบพร่าดั่งน้ำเสียงคนใกล้ตาย ส่งเสียงสอดแทรกดังมาว่า

“วานรเหินเส้าฮ่วยฮวย คนที่เจ้าเข่นฆ่ารวมถึงทารกน้อยของเราด้วยหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นต่อจากนี้เจ้าคงมิได้เบิกบานใจแน่นอน เราย้อนกลับไปรับทารกน้อยของเรากลับไม่พบหน้า เห็นทีเจ้าคงต้องได้ร่ำร้องแทนแล้วกระมัง?”

กล่าวจบเหนือหลังคาโรงเตี๊ยมปรากฏร่างหนึ่งขึ้น ชายชราร่างกายซูบเซียวผู้หนึ่ง จากนั้นพุ่งร่างวูบวาบดั่งวิญญาณปีศาจยามค่ำคืนลงมาจากหลังคาโรงเตี๊ยมร่างยังมิทันบรรลุถึง วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยรับรู้ได้ถึงพลังวัตรอันพิสดาร ตั้งแต่อาละวาดในยุทธภพมาช้านาน ยังมิเคยพบพานกับพลังการฝึกปรือที่เร้นลับสูงส่งเช่นนี้มาก่อน นางถึงกับลืมตัวก้าวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้รีบสำรวมเก็บอาการประสานมือส่งเสียงกล่าวว่า

“ที่แท้เป็นผู้อาวุโสเอง มิทราบว่าท่านมีนามสูงส่งว่ากระไร? ข้าพเจ้าวานรเหินเส้าฮ่วยฮวยมิกล้าล่วงเกินท่านเป็นอันขาด ทารกของท่านมิได้ถูกข้าพเจ้าหรือผู้ใดเข่นฆ่าแน่นอน เพียงแต่ข้าพเจ้ามิทราบว่าทารกน้อยเดินทางไปสถานที่ใด? มิได้บอกกล่าวต่อข้าพเจ้าเอาไว้”

ร่างของชายชราซูบเซียวมิได้ทิ้งเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้น ถึงกับเปลี่ยนท่าร่างกลางอากาศได้ พุ่งร่างดั่งเงาวิญญาณภูตพรายหายไปกับความมืด พร้อมกับส่งเสียงตะโกนก้องร้องว่า

“ทารกเอย ทารกของปู่เจ้าอยู่สถานที่ใด? ไฉนจึงหลบหน้าปู่ ทราบหรือไม่? ผู้ปู่กินข้าวมิได้ดื่มสุรามิลงไปหลายวัน เจ้ารีบออกมาพบหน้าปู่เร็วเข้า”

ยามนั้นทิศทางตรงกันข้ามมีน้ำเสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งส่งเสียงกล่าวตอบมาว่า

“ท่านปู่ ผู้หลานออกไปพบพานหน้าท่านปู่มิได้ ผู้หลานถูกรุมรังแก หลังจากท่านปู่จากไปในวันนั้น พวกมันทุกคนรุมรังแกแต่ผู้หลาน พวกมันวางยาผู้หลาน มิหนำซ้ำยังใช้มีดสั้นของผู้หลานปักขั้วหัวใจกระทั่งมิดด้าม จากนั้นนำร่างผู้หลานยัดใส่หีบใบหนึ่ง พอตกดึกนำหีบที่มีร่างของผู้หลานไปกลบฝัง ท่านปู่เช่นนี้ผู้หลานจะออกไปพบพานหน้าท่านปู่ได้เช่นไร?”

จากนั้นทิศทางฝั่งตรงกันข้าม เสียงแหบพร่าส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เด็กเอย เด็กน้อยอันน่ารักน่าชังของปู่ เจ้าช่างน่าสงสารนัก ยังอ่อนวัยไม่ประสีประสา กลับถูกคนชั่วช้ารุมรังแก พวกมันฝังร่างเจ้าไว้สถานที่ใด? ผู้ปู่จะรีบรุดไปขุดช่วยเหลือเจ้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

เสียงกล่าวตอบของเด็กน้อยดังมาจากทิศทางฝั่งตรงกันข้ามว่า

“ท่านปู่ ถึงแม้ท่านรีบรุดไปตอนนี้ ถึงขุดร่างผู้หลานขึ้นมาได้จริง ร่างของผู้หลานคงเหลือเพียงโครงกระดูกแล้วกระมัง? เอาเช่นนี้เถิดท่านปู่เดินทางไปวัดเส้าหลิน อีกไม่กี่วันท่านเจ้าอาวาสคนเก่าจะออกจากการบำเพ็ญเพียรฝึกตน ผู้หลานต้องการให้ท่านเจ้าอาวาสสวดภาวนา บางทีผู้หลานอาจจะฟื้นคืนมาจากหลุมก็เป็นได้”

เสียงแหบพร่าส่งเสียงดังมาว่า

“เด็กน้อยของท่านปู่ เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น ท่านปู่จะรีบเดินทางไปวัดเส้าหลินเดี๋ยวนี้ จากนั้นค่อยกลับไปคิดบัญชีกับพวกมันที่รังแกหลานของปู่ในภายหลัง”

จากนั้นฝั่งตรงกันข้าม ร่างหนึ่งพุ่งสาดทะยานมาดั่งเหินบิน กลับเป็นเด็กทารกน้อยผู้นั้น วานรเหินเส้าฮ่วยฮวยถึงกับแสดงสีหน้าแตกตื่นตกใจ ส่งเสียงละล่ำละลักกล่าวออกมาว่า

“เจ้า...เจ้าเป็นวิญญาณหรือเป็นคนกันแน่? ไม่ใช่วิญญาณแน่นอน เจ้าย่อมเป็นคนเจ้ายังไม่ตาย หรือว่าสองเทวทูตซ้ายขวาเจียจิ้งกับเจียฮุย มันสองคนปั้นน้ำเป็นตัวมาหลอกเราเกี่ยวกับเจ้า ถูกมิดปักอกปานนั้นไฉนเจ้าจึงยังไม่ตาย?”

เด็กน้อยผู้สาดเหินร่างมาเมื่อทิ้งเท้า กลอกกลิ้งดวงตาไปมาดั่งทารกซุกซนผู้หนึ่งดูไร้เดียงสา มันสอดส่ายสายตาไปมาสำรวจทุกคนอยู่เที่ยวหนึ่ง จากนั้นหันไปทางเยี่ยนผิง พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า

“พี่สาวท่านนี้ อาวุโสโหดเหี้ยมผู้นี้ถามข้าพเจ้าว่าเป็นคนหรือไม่? พี่สาวท่านกรุณาแตะต้องตัวข้าพเจ้าได้หรือไม่? แล้วช่วยบอกต่อนางว่าข้าพเจ้าเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่?”

เยี่ยนผิงเฉลียวฉลาด มองปราดเดียวทราบได้ว่าจะเป็นวิญญาณภูตผีได้เช่นไร? ในเมื่อบนพื้นเฉอะแฉะปรากฏเงาจากแสงโคมไฟหน้าโรงเตี๊ยม เงาร่างเด็กน้อยเคลื่อนไหวไปมาตามการก้าวย่างของมัน เยี่ยนผิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก จากนั้นก้าวเข้ามา แล้วเอื้อมมือแตะข้อแขนของเด็กน้อยแล้วแสดงสีหน้าตกอกตกใจ ส่งเสียงกล่าวว่า

“เจ้า...เจ้าเป็นวิญญาณ เพียงแต่มิใช่วิญญาณธรรมดาทั่วไป เจ้ากลับเป็นวิญญาณอาฆาต หรือที่เจ้ามาเพื่อต้องการเอาชีวิตคนโหดเหี้ยมผู้นี้ เจ้าต้องการให้พี่สาวช่วยเหลือเช่นไรบอกกล่าวออกมาได้เต็มที่”

เด็กน้อยผู้นั้นย่ำสองเท้าไปมา สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา พร้อมกับส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“มิได้ พี่สาวท่านต้องช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเป็นวิญญาณมิได้ หากข้าพเจ้าเป็นวิญญาณจะคิดบัญชีกับนางได้เช่นไร? เอาเช่นนี้เถิด พี่สาวท่านกอดข้าพเจ้าทีหนึ่ง จากนั้นหอมแก้มข้าพเจ้าอีกทีหนึ่ง หากพี่สาวทำตามที่ข้าพเจ้าบอก ข้าพเจ้าจะกลับมาเป็นคนได้อีกครั้งหนึ่ง”

เยี่ยนผิง เพ่งมองใบหน้าเด็กน้อยอย่างสงสัย แต่คล้ายกับสายตานี้คุ้นเคยนางอยู่มากทีเดียว แต่นางทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้กำลังเล่นละครเพื่อกลั่นแกล้งวานรเหินเส้าฮ่วยฮวย นางแม้นไม่ทราบจุดประสงค์ของเด็กน้อยผู้นี้ แต่เรื่องที่ให้นางช่วยเพียงนี้ไม่หนักหนานัก นางเองไม่ทราบเช่นกันว่าไฉนจึงคิดถึงจ่านจือขึ้นมาโดยกะทันหัน ส่งเสียงกล่าวกับเด็กน้อยตรงหน้าว่า

“เจ้ามิต้องร้องไห้ไป พี่สาวผู้นี้จะช่วยเจ้าเอง แต่มีข้อแลกเปลี่ยนประการหนึ่ง เจ้ายินดีกระทำตามข้อแลกเปลี่ยนของพี่สาวหรือไม่?”

เด็กน้อยรีบส่งเสียงกล่าวตอบโดยมิขบคิดว่า

“ตกลง พี่สาวให้ข้าพเจ้ากระทำอะไร ข้าพเจ้ามิอิดออดปฏิเสธเด็ดขาด พี่สาวต้องการให้ข้าพเจ้าทุบตีนางผู้นี้ใช่หรือไม่?”

เยี่ยนผิงส่งยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะ แต่ภายในใจกลับเห็นเด็กน้อยตรงหน้าคล้ายเป็นจ่านจือกระนั้น นางเอื้อมสองแขนสวมกอดเด็กน้อยแนบแน่น พร้อมกับบรรจงหอมแก้มเด็กน้อยไปอีกฟอดหนึ่ง เมื่อปล่อยสองมือจากการสวมกอดแล้ว เด็กน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ตบมือไปมาแล้วพุ่งร่างฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงร้องดังว่า

ขอบคุณพี่สาวท่านนี้ ข้าพเจ้ากลับมาเป็นคนแล้ว พี่สาวท่านนี้รวมถึงสหายของพี่สาวทุกท่าน ถอยออกไปยืนชมดูข้าพเจ้าทุบตีนางผู้โหดเหี้ยมผู้นี้ให้ชมดูดีหรือไม่?”

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป