ตอนที่ 172
เทวยุทธ์ผีเสื้อ
สายลมสงบเงียบ แต่ทว่าเหนือท้องฟ้าจันทรายังคงเคลื่อนคล้อย เมฆน้อยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลอย ดาวน้อยเติมแต้มวับแวมเต็มท้องฟ้า เหนือหลังคาโรงเตี๊ยมก็เช่นเดียวกัน เฒ่าชราสองคนกำลังจะประลองฝีมือ หนึ่งคือขอทานพเนจรหวงเกาฉือ อีกหนึ่งคือขันทีเฒ่าเล่าอี
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือท่านมีฉายาว่า “มังกรล่องเมฆา” ดังนั้นวิชาฝ่ามือของท่านจึงเป็น “ฝ่ามือมังกรล่องเมฆา”กับวิชาประจำตัวของผู้นำขอทานที่ได้รับการถ่ายทอดจากปรมาจารย์ขอทานพันหน้ากังจง นั่นคือเพลงไม้หวดสุนัข แต่จะให้สืบสาวแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้คิดค้นมานั้น บัดนี้ยังมิมีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้
สำหรับขันทีเฒ่าเล่าอี เท่าที่ทราบมาคนผู้นี้มีเทวยุทธ์ผีเสื้อ ซึ่งเป็นวิชาเร้นลับร้ายกาจแห่งราชสำนัก เล่าลือกันว่าทุกกระบวนท่าก้าวย่าง ทุกการร่ายรำออกฝ่ามือล้วนสวยงามปานเทพธิดาร่ายรำ แต่กระนั้นแม้ทุกกระบวนท่าจะสวยงามเฉิดฉันปานใด ยังมีวิชาหนึ่งในเทวยุทธ์ผีเสื้อ ที่มีความอำมหิตโหดเหี้ยมนั่นคือกรงเล็บอเวจี
ยามนี้สายลมไม่สงบเงียบแล้ว เหนือท้องฟ้าคล้ายมีเมฆหนาเคลื่อนเข้ามาบดบังจันทรา ดาราน้อยใหญ่เร้นกายหายไปในกลุ่มเมฆเหล่านั้น บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงกล่าวว่า
“เซียวจือ เจ้าจงจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ วิชาฝ่ามือมิว่าจะเป็นของค่ายพรรคสำนักใด? ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละสำนักนั้น ผู้ที่มีพรสวรรค์ในเชิงทักษะยุทธ์ยังสามารถนำไปดัดแปลงแต่งเติมเสริมต่อยอดให้แตกฉานได้ ฝ่ามือมังกรล่องเมฆาของเรา ล้วนได้รับการถ่ายทอดมาจากปรมาจารย์ ทราบว่าต้นกำเนิดนั้นอาจมาจากวัดเส้าหลิน ซึ่งเราเองได้รับการถ่ายทอดมาเพียงเก้าท่าเท่านั้นเอง เจ้าจงตั้งใจจดจำให้ดี”
ขันทีเฒ่าเล่าอีส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ ส่งเสียงเอ่ยกล่าวขึ้นบ้างว่า
“ในเมื่อขอทานเฒ่าเรียกหาเจ้าว่าเซียวจือ เราขันทีเฒ่าเล่าอีจะเรียกเจ้าว่าเซียวจือด้วยก็แล้วกัน ถูกต้องของขอทานเฒ่า วรยุทธ์ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากวัดเส้าหลิน ก่อนจะแตกกระจัดกระจายออกไป เทวยุทธ์ผีเสื้อก็เช่นเดียวกัน ทราบว่าผู้ที่คิดค้นเป็นศิษย์ฆราวาสสตรีผู้หนึ่งของเส้าหลินเป็นผู้คิดค้นขึ้น ต่อมาเทวยุทธ์ผีเสื้อได้กลายเป็นวิชาประจำราชสำนัก กระทั่งมีขันทีผู้เปรื่องปราดคิดค้นดัดแปลงเพิ่มเติม เพิ่มความร้ายกาจด้วยวิชากรงเล็บอเวจี เจ้าจงตั้งใจดูให้ดี”
เมื่อกล่าวจบคนทั้งสองพุ่งร่างเข้าหากัน ดูไปคล้ายมังกรขนดตัวเขื่อง กับผีเสื้อปีศาจร้ายกาจดุดันตัวหนึ่ง โดยรอบกายของคนทั้งสองคล้ายมีคลื่นพลังไร้สภาพที่ส่งเสียงดั่งฟ้าคะนองทะเลคลุ้มคลั่ง ร่างของขอทานพเนจรหวงเกาฉือยังมิทันบรรลุถึง เบื้องหน้าคล้ายกับมีมังกรฉวัดเฉวียนอยู่เบื้องหน้า ขอทานเฒ่าส่งเสียงร้องว่า
“มังกรทะยานฟ้า ฝ่ามือนี้อาศัยเคล็ดความแข็งแกร่งดุดัน เคลื่อนย้ายลมปราณจากศูนย์กลางท้องน้อย โคจรลงสู่สองเท้าแล้วเคลื่อนสู่กลางขม่อม บังคับสู่หัวไหล่ทั้งสองแผ่พุ่งออกสู่สองฝ่ามือ จิตใจแน่วนิ่งพลิกแพลงตามใจ”
ทางด้านขันทีเฒ่าเล่าอี เบื้องหน้าคล้ายโบยบินอยู่ด้วยฝูงผีเสื้อ ทุกการกระพือปีกเกิดเป็นเสียงคลื่นลมหวีดหวิว เศษกระเบื้องหลังคาโรงเตี๊ยมปลิวกระจัดกระจายปากส่งเสียงกล่าวว่า
“ผีเสื้อชมบุปผา ท่วงท่าแม้สวยงามชดช้อย ค่อย ๆ กระบิดกระบวนคล้ายหญิงงามขวยเขินเอียงอาย แต่นั่นเป็นเพียงภาพมายาความจริงฝ่ามือนี้แฝงลมปราณปานมีดแหลมคม นุ่มนวลในแข็งกร้าว เชื่องช้าในปราดเปรียว เดี๋ยวจริงเดี๋ยวหลอก ขอทานเฒ่าเตรียมรับกระบวนท่า”
เสียงเปรื่องดังสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นพลังไร้สภาพแตกกระจายออกรอบทิศทาง พื้นหลังคากระเบื้องของโรงเตี๊ยมหายวับไปแถบหนึ่ง คนทั้งสองต่างแยกออก แล้วโผพุ่งเข้าหากันดุจมังกรคะนอง พยัคฆ์คลุ้มคลั่ง
คนทั้งสองประกระบวนท่าผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า ทุกกระบวนท่าที่ใช้ออกแต่ละครั้ง ต่างส่งเสียงบอกถึงเคล็ดความเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนย้ายลมปราณ แต่ละกระบวนท่าล้วนพิสดารแทบละลานตา จ่านจือมีความจำอันยอดเยี่ยม ล้วนจดจำเอาไว้ได้หมดสิ้นไม่หลงลืม ดังนั้นจึงทะยานร่างขึ้นหลังคาโรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าวว่า
“อาวุโสทั้งสองโปรดหยุดพักผ่อนสักครู่เถิด ข้าพเจ้าจ่านจือจะขอร่ายรำกระบวนท่าออกมาให้แก่อาวุโสทั้งได้ชมดู ว่ามีขอบกพร่องผิดเพี้ยนไปหรือไม่?”
กล่าวจบจ่านจือร่ายรำวิชาฝ่ามือของขอทานพเนจรหวงเกาฉือออกมารวดเดียวเก้ากระบวนท่าด้วยกันนั้นคือ มังกรทะยานฟ้า มังกรทะยานคลื่น มังกรคู่ปราดเปรียว มังกรเกี้ยวจันทรา มังกรล้อสุริยัน มังกรสยบแปดทิศ มังกรเย้ยฟ้าท้าดิน มังกรกลับใจ มังกรคืนถิ่น
ขันทีเฒ่าเล่าอีถึงกับเอ่ยปากชื่นชมด้วยจริงใจว่า
“ยอดเยี่ยม เด็กน้อยเจ้าช่างร้ายกาจนัก แม้แต่เราเองยังจดจำกระบวนท่าของขอทานเฒ่ามิได้ถึงครึ่งกระบวนท่า เจ้ามิธรรมดาเลยจริง ๆ”
จ่านจือได้ยินเช่นนั้นส่งเสียงกล่าวขอบคุณว่า
“ขอบคุณอาวุโส เป็นเพราะท่านทั้งสองตั้งใจถ่ายทอดได้ดี มีอาจารย์ดีเช่นนี้จะมีศิษย์ที่เลวได้เช่นไร? ต่อไปข้าพเจ้าจะร่ายรำเทวยุทธ์ผีเสื้อให้แก่อาวุโสทั้งสองได้ชื่นชม”
กล่าวจบจ่านจือร่ายรำเทวยุทธ์ผีเสื้อออกมา ซึ่งมีทั้งหมดสิบสองกระบวนท่าด้วยกันนั้นคือ ผีเสื้อชมบุปผา ผีเสื้อฉวัดเฉวียน ผีเสื้อโบยบิน ผีเสื้อล้อลม ผีเสื้อหาคู่ ผีเสื้อลอกคราบ ผีเสื้อสะบัดปีก ผีเสื้อร่อนลม ผีเสื้อหลบหลีก ผีเสื้อโฉบวารี ผีเสื้อเหินลม ผีเสื้อพลิ้วหมอก
เมื่อร่ายรำกระบวนท่าจบลง ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงชมเชยดังว่า
“วิเศษ ในใต้หล้าจะหาผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้าคงมิมีอีกแล้ว ขอทานเฒ่าแม้แก่เฒ่ามีความสามารถ แต่จะให้ร่ายรำกระบวนท่าของขันทีเฒ่าเล่าอีออกมาเพียงครึ่งกระบวนท่า ยังเกรงว่ามิมีความสามารถล้อเลียนได้เหมือน แต่เจ้าเซียวจือจือร่ายรำได้กระทั่งขันเฒ่าเล่าอียังตาค้างอ้าปากหุบมิลง ราวไม่เชื่อว่าเจ้ายอดเยี่ยมเพียงนี้”
จ่านจือประสานมือต่อขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พร้อมทั้งขันทีเฒ่าเล่าอี แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าล้วนมีวาสนาได้อาวุโสทั้งสองสอนสั่ง หากท่านทั้งสองไม่ถ่ายทอดให้ด้วยความตั้งใจ ข้าพเจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งกว่านี้ยังมิสามารถจะร่ายรำออกมาได้มิตกหล่น”
ขันทีเฒ่าเล่าอีทอดถอนใจแล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“ในชีวิตเราไม่ค่อยได้ประพฤติเรื่องราวดีงามสักเท่าใด? ที่พอจะจดจำได้มีแต่เรื่องราวชั่วช้าเลวทราม ก่อกรรมทำชั่ว คิดมิถึงวันนี้พลันรู้สึกอิ่มเอิบใจ คล้ายกับมิเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย ขอทานเฒ่าความรู้สึกเช่นนี้ใช่เป็นความรู้สึกของคนที่กำลังจะลาโลกนี้ไปหรือไม่?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือท่านทอดถอนใจออกมาเช่นกัน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขันทีเฒ่าเล่าอี ก่อนตายหากมีสักครั้งได้ประพฤติเรื่องราวงดงามสักเรื่องหนึ่ง แม้ตายไปยังมีคนเอ่ยถึงเรื่องราวเหล่านั้น แต่ทว่ามีหลายคนฉากหน้ากระทำเรื่องราวสวยหรู เบื้องหลังกลับฟ่อนเฟะฉาวโฉ่ ตายไปมีแต่ผู้คนสาปแช่งก่นด่า เช่นนี้ท่านสมควรภาคภูมิใจแล้วที่ยังมีโอกาสได้กระทำความดีสักครั้งหนึ่ง”
ขันทีเฒ่าเล่าอีส่งเสียงกล่าวว่า
“ขอทานเฒ่าเราขอยอมแพ้ต่อท่านด้วยจริงใจ ท่านเป็นคนที่มีสายตายาวไกล เด็กน้อยผู้นี้สมควรที่พวกเราต้องส่งเสริม แม้นเราเองจะมิทราบความเป็นมาของเด็กผู้นี้มาก่อน ท่านยังมิได้ถ่ายทอดเพลงไม้หวดสุนัขให้กับเด็กน้อยผู้นี้ วิชานี้ไม่แพร่งพรายให้คนนอก ดังนั้นท่านจงถ่ายทอดให้กับเด็กน้อยผู้นี้เถิด เราจะไปรอคอยอยู่ฟากโน้นก่อน จากนั้นเราค่อยถ่ายทอดกรงเล็บอเวจีให้แก่เขา”
ขันทีเฒ่าเล่าอีพุ่งร่างปราดมายังฟากหนึ่งของโรงเตี๊ยม เมื่อทิ้งเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้น พลันสัมผัสรับรู้ได้ถึงประกายเย็นเยียบสายหนึ่ง มุมหนึ่งของสถานที่มีเงาร่างสีดำทะมึนของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ คนผู้นั้นสวมชุดดำตลอดทั้งร่าง คลุมศีรษะมิดชิดเห็นเพียงดวงตาสาดประกายอำมหิต หมายปลิดชีวิตสังหารผู้คน
ขันทีเฒ่าเล่าอีส่งเสียงหัวร่อคล้ายน้ำเสียงเลือนรางห่างไกล ส่งเสียงเอื้อนเอ่ยว่า
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เรามิมีสิ่งใดติดค้างอีกแล้ว เสียใจเพียงเรื่องราวเดียว ในวันที่ท่านช่วยเหลือเรา หากเราทราบเจตนาของท่าน เราคงมิถ่ายทอดเทวยุทธ์ผีเสื้อของเราให้แก่ท่านกับเด็กหญิงผู้นั้น ท่านรีบร้อนมาหาเรารวดเร็วปานนี้ คงมิใช่มีเรื่องราวอันดีกับเราถูกต้องหรือไม่?”
คนชุดดำลึกลับก้าวเท้าเข้ามาสองก้าวส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขันทีเฒ่าเล่าอี ความจริงท่านสมควรตายไปตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน แต่ท่านยังมีชีวิตยืดยาวมาได้ถึงทุกวันนี้ ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านตาย หรือว่าท่านยังดื้อดึงมิยินยอม นับจากวันนี้ไปกรงเล็บอเวจีจะออกอาละวาด ผู้คนจะสาปแช่งก่นด่าท่าน ส่วนข้าพเจ้าฉากหน้าเป็นที่นับถือเลื่อมใส ผู้ใดจะไปนึกว่าแท้จริงเรื่องราวความบาดหมางในยุทธภพที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต แท้จริงเป็นฝีมือของข้าพเจ้าแทบทั้งสิ้น”
ขันทีเฒ่าเล่าอีทอดถอนใจแล้วระบายลมออกจากปากคำหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“เรานี้เป็นขันทีราชสำนัก ตลอดเวลาล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อขันทีหลิวซุ่น หลิวซุ่นกงกงแม้จะไม่ชอบหน้าเราสักเท่าใด? แต่มีอยู่บ่อยครั้งที่เอ่ยปากกับเราให้กลับตัวกลับใจไม่ประพฤติตัวนอกรีต เรากลับไม่เคยยึดถือคำกล่าวตักเตือนเหล่านั้น ในที่สุดหลิวซุ่นกงกงกับเราจึงต้องห้ำหั่นเข่นฆ่าให้ตกตายกันไปข้างหนึ่ง เทวยุทธ์ผีเสื้อของเราแม้ร้ายกาจพิสดาร กรงเล็บอเวจีถึงจะอำมหิตโหดเหี้ยม ยังถึงกับเทียบชั้นมิได้กับกรงเล็บกระเรียนในวิชาเก้ากระเรียนเบิกฟ้าของหลิวซุ่นกงกง”
คนชุดดำผู้นั้นเค้นเสียงกล่าวว่า
“ขันทีเฒ่าเล่าอี ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด หมายความว่าถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีเทวยุทธ์ผีเสื้อ มีกรงเล็บอเวจี แต่สุดท้ายยังจะต้องพ่ายแพ้ต่อเก้ากระเรียนเบิกฟ้าถูกต้องหรือไม่?”
ขันทีเฒ่าเล่าอีมิเอ่ยกล่าววาจา คนชุดดำผู้นั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ต่อให้วาจาที่ท่านกล่าวมาถูกต้อง แต่ท่านทราบหรือไม่? หลิวซุ่นกงกงมิมีชีวิตอยู่อีกแล้ว และที่สำคัญศิษย์ของมันที่ได้รับการถ่ายทอดเก้ากระเรียนเบิกฟ้า กับฝ่ามือพุทธรรมพิสุทธิ์ ก็ได้ตกตายภายใต้ผาเทพนิรันดร์ไปแล้วด้วยเช่นกัน เช่นนี้วาจาที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดมิใช่เป็นเพียงผายลมสุนัขหรอกรึ?”
ขันทีเฒ่าเล่าอีแสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ท่านว่ากระไร? หลิวซุ่นกงกงเคยรับศิษย์ด้วยเช่นนั้นรึ? เป็นไปมิได้เท่าที่เราทราบ หลิวซุ่นกงกงเคยกล่าวไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมิรับศิษย์เป็นเด็ดขาด ท่านรีบบอกกับเรามาศิษย์ผู้นั้นของหลิวซุ่นกงกงเป็นผู้ใด?”
คนชุดดำผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะในลำคอ น้ำเสียงเยือกเย็นสายลมพลันพัดมาวูบหนึ่ง เพิ่มบรรยากาศเย็นเยียบกระทั่งลืมตัวสยิวกายออกมา ชุดดำผู้นั้นส่งเสียงกล่าวว่า
“เอาเถิด ค่ำคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่ท่านจะได้มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะบอกเล่าเรื่องราวให้ท่านทราบก็แล้วกัน”
จากนั้นคนชุดดำผู้นั้นจึงเริ่มบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นว่า
“เรื่องราวเริ่มจากชาวยุทธ์สุมหัวกันข่มเหงรังแกข้าพเจ้า แม้กระทั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องยังกล่าวคำตำหนิติเตียน ยิ่งไปกว่านั้นซือแป๋ท่านยังต้องรักษาหน้าตนเองและสำนัก นำเอาเรื่องที่ข้าพเจ้าทำนายทายทักผิดพลาด ความจริงแล้วข้าพเจ้ามิได้ทำนายผิดพลาด สุดท้ายซือแป๋อเปหิข้าพเจ้าออกจากสำนัก ห้ามมิให้ข้าพเจ้าเหยียบย่างเข้าสำนักอีกแม้แต่ก้าวเดียว
ข้าพเจ้าถูกบรรดาชาวยุทธ์ตามล่าอยู่หลายปี ในช่วงเวลานั้นคิดอยู่ก็มิได้คิดหนีก็มิได้ ในที่สุดจึงตัดสินใจออกบวชก่อตั้งอาราม โดยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าอาวาสเส้าหลิน ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ลั่นวาจาเอาไว้ ห้ามมิให้ชาวยุทธ์ทุกคนเหยียบย่างเข้าสู่อารามอเทวตาแม้เพียงก้าวเดียว ข้าพเจ้าเองก็จะไม่เหยียบย่างหวนคืนสู่ยุทธจักรเช่นกัน เว้นแต่ผิดไปจากนี้วาจาที่กล่าวถือว่าไม่เคยเอ่ยกล่าวมาก่อน
ข้าพเจ้าสะสมความแค้นเอาไว้ภายในใจไม่อาจบอกกล่าวแก่ผู้ใดได้ แต่นั่นกลับเป็นผลดีกับข้าพเจ้าประการหนึ่ง ในระยะเวลาสิบห้าปีข้าพเจ้าสำเร็จวิชาเก้าชโลทรขั้นที่เก้า อีกทั้งยังรับศิษย์พร้อมกับถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้ คิดค้นค่ายกลเก้าชโลทรอันร้ายกาจ ในใต้หล้านี้ยากที่จะมีผู้ใดมีความสามารถเอาชัยได้
ความแค้นที่ซือแป๋อเปหิข้าพเจ้าออกจากสำนัก ข้าพเจ้าจึงวางแผนที่จะทำลายลูกหลานของท่าน ทราบว่าซือแป๋มีหลานแฝดสองคนด้วยกัน ในที่สุดจึงทราบว่าศิษย์ของพี่ใหญ่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน นามจ้าวจ่านจือคือหลานผู้หนึ่งของซือแป๋ ดังนั้นในวันชุมนุมชาวยุทธ์เส้าหลิน ข้าพเจ้าจึงสนับสนุนเด็กน้อยผู้นี้ขึ้นเป็นประมุขน้อยยุทธภพ จุดประสงค์เพื่อให้เกิดการแก่งแย่งห้ำหั่นกันในยุทธภพอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาโอกาสช่วงชิงคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรามาครอบครอง ซือแป๋สั่งห้ามมิให้ข้าพเจ้าเหยียบย่างสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน แต่ข้าพเจ้าจะเหยียบสำนักนักตำหนักหมื่นเทพให้ราบเป็นหน้ากลอง
แท้จริงแผนการที่ทำให้ศิษย์พี่น้องในสำนักผิดใจกันเป็นข้าพเจ้าเอง ดังนั้นต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าเพียงชมดูแต่ละสำนักเข่นฆ่ากัน เสียดายที่ศิษย์น้องสี่ชิงตายภายในเงื้อมมือของศิษย์พี่ใหญ่ไปเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะให้ทั้งสี่ได้ตายภายใต้การลงมือของข้าพเจ้า
ต่อจากนี้ยุทธภพจะปรากฏมารร้ายขึ้นมาสองคน นั้นคือผีเสื้อหยกดำ กับผีเสื้อโลหิต ท่านลองคิดดูว่าคนทั้งสองใช้เทวยุทธ์ผีเสื้อกับกรงเล็บอวจีออกอาละวาด ผู้คนจะมิก่นด่าท่านได้เช่นไร?”
ขันทีเฒ่าเล่าอีฟังเรื่องราวจบลงพลันปรากฏรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้า เค้นเสียงกล่าวถามชุดดำผู้นั้นว่า
“เราขันทีเฒ่าเล่าอีโง่เขลานัก เราขอถามท่านสักประโยคหนึ่ง มิทราบว่าท่านมั่นใจได้เช่นไร? ว่าคำทำนายทายทักของท่านจะมิผิดพลาดอีก ท่านมั่นใจได้เช่นไรว่าทายาทของปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนเสียชีวิตแล้วจริง ๆ จากวาจาของท่านเมื่อครู่ทายาทของท่านลวี้มีสองคน ท่านมิเกรงกลัวเด็กน้อยทั้งสองจะมาทวงคืนเอาชีวิตท่านหรอกรึ?”
คนชุดดำผู้นั้นระเบิดเสียงหัวร่อยาวนาน จากนั้นเอ่ยกล่าวว่า
“น่าขัน ทายาทแฝดของซือแป๋ล้วนไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จ่านจือประมุขน้อยเป็นเรากล่าววาจาโกหกไว้ว่า เมื่อพบพานกับความตายจึงประสบความสำเร็จสูงสุด ป่านนี้ร่างคงแหลกและอยู่ใต้ผาเทพนิรันดร์แล้ว ส่วนแฝดน้องก็ถูกมิดสั้นปักขั่วหัวใจในเหตุการณ์วันเดียวกัน เช่นนี้ท่านยังจะเกรงกลัวว่าเด็กน้อยทั้งสองจะมาทวงถามชีวิตข้าพเจ้าได้รึ? หรือกลับมาทวงถามได้จริงดั่งวาจาท่าน ด้วยความสามารถของพวกมัน แถมประมุขน้อยจ่านจือยังกลายเป็นคนพิการ ขันทีเฒ่าเล่าอีท่านช่างกล่าววาจาน่าบัดสีก่อนตายจริง ๆ”
กล่าวจบชุดดำผู้นั้นทะยานร่างเข้าหาขันทีเฒ่าเล่าอีด้วยท่าร่างอันน่ากลัว ฝ่ามือทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลมคม ขันทีเฒ่าเล่าอีแม้ทราบว่าไม่อาจรับมือกับชุดดำผู้นี้ได้ แต่ยังเร่งเร้าลมปราณขึ้นทั่วร่าง ใช้กรงเล็บอเวจีขึ้นต้านทานเช่นกัน
ร่างของคนทั้งสองคล้ายดั่งเมฆหมอกในความมืดสลัว คนชุดดำคล้ายดั่งมีอำนาจลึกลับ ถึงกับสะกดขันทีเฒ่าเล่าอีเอาไว้กับที่ไม่อาจไหวติง ฝ่ามือข้างขวาอันมีเล็บยาวแหลมคมตะปบเข้าบริเวณศีรษะของขันทีเฒ่าเล่าอี กรงเล็บอเวจีร้ายกาจน่ากลัวน่าสะพรึงถึงขีดสุดเมื่อตกอยู่ในมือคนชุดดำผู้นี้ เล็บยาวแหลมคนทั้งห้าเจาะลึกเข้ากะโหลกของขันทีเฒ่าเล่าอี ขันทีเฒ่าเล่าอียังมิทันได้ส่งเสียงร้องออกมา ตาถลนเหลือกสิ้นใจตายไปในบัดดล
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564