ตอนที่ 171
ประลองยุทธ์ถ่ายทอดวิชา
หลังจากผลัดเปลี่ยนชุดแต่งกายใหม่เรียบร้อยแล้ว บัดนี้จ่านจืออยู่ในชุดใหม่สีเทาอ่อน เขาก้าวเท้าเดินมายังห้องรับประทานอาหารชั้นล่างโรงเตี๊ยม หลังจากจับจองโต๊ะริมระเบียงแล้ว เขาสั่งอาหารสามอย่างกับสุราอีกห้าชั่ง จากนั้นนั่งรับประทานอาหารจิบสุรา ปลดปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับความคิด
ยามนี้ข่าวคราวที่จ่านจือต้องการทราบ ย่อมเป็นข่าวคราวเกี่ยวกับน้องสาวฝาแฝดของเขาไป่ชิง รวมถึงเยี่ยนผิง พี่สาวทั้งสองของเขา อีกทั้งบรรดาสหายจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งหลาย นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวความเคลื่อนไหวในยุทธภพในช่วงนี้
ขณะนั้นมีวณิพกผู้หนึ่งเคาะไม้นำทางก้าวย่างเข้ามาภายในร้าน คนตาบอดผู้นั้นเป็นชายชราอายุราวแปดสิบเก้าสิบปี แต่งกายด้วยอาภรณ์เก่า ๆ มีร่องรอยปะชุนอยู่เกือบทั้งตัว ลักษณะการก้าวย่างฝีเท้าแผ่วเบายิ่ง
เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้น รีบปรี่เข้าไปเอ่ยปากไล่ชายตาบอดด้วยน้ำเสียงอันดังว่า
“หากไม่มีเงินจับจองห้องพัก ไม่สั่งอาหารสุรารับประทานจงรีบออกไปจากร้านเรา โรงเตี๊ยมเราทำการค้ามิได้เปิดโรงทาน มิทราบว่าท่านเดินสะเปะสะปะเข้ามาในร้าน ต้องการสั่งอาหารจับจองห้องพักหรือไม่?”
ชายชราตาบอดส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เรามิได้เข้ามาจับจองห้องพัก อีกทั้งมิต้องการสั่งอาหารกับสุรารับประทานแต่ประการใด?
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นแสดงท่าทีฉุนเฉียว ตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“เช่นนั้นท่านก้าวเข้ามาไยในโรงเตี๊ยมเรา ดังนั้นเราขอน้อมเตือนท่านให้รีบไสหัวออกไป หากมิเช่นนั้นแล้วเราจะให้คนจับท่านโยนออกไป”
ชายตาบอดส่งเสียงกล่าวว่า
“เราแม้สายตามืดบอด แต่ทว่าหูเรายังใช้การได้ดีอยู่ เรามีคำพูดไม่กี่ประโยคคิดจะบอกกล่าวกับเถ้าแก่ของเจ้า มิทราบว่าเถ้าแก่ของเจ้าอยู่หรือไม่? รีบไปตามเถ้าแก่ของเจ้าออกมาพูดคุยกับเราเถิด”
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นส่งเสียงหัวร่อ แล้วเค้นเสียงเหยียดหยามกล่าวว่า
“เถ้าแก่ร้านเรามีเวลาว่างปานนั้นเชียว? ท่านมีคำพูดใดฝากบอกกับเรามาก็เช่นเดียวกัน หากคิดจะเข้ามาขอทานแบ่งปันเศษเงิน ท่านคิดผิดยิ่งแล้วที่ก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมนี้ หากมิมีคำพูดใดจะกล่าวรีบไสหัวไปให้แก่เรา”
ยังมิทันที่ชายชราตาบอดจะได้กล่าววาจาใด บังเกิดเสียงลมพัดดังอื้ออึง จากนั้นแว่วได้ยินเสียงหัวร่อระคายหูดังมาแต่ไกล ในอากาศธาตุได้ยินเสียงชายเสื้อกระพือลมดังพับ ๆ จากนั้นร่างหนึ่งสาดทะยานมาดุจเกาทัณฑ์
ร่างของคนผู้หนึ่งยังมิทันสัมผัสพื้น แผ่พุ่งกรงเล็บทั้งห้าออกเสียงคลื่นลมสายหนึ่งกรีดร้องก้องดัง จากนั้นเสียงเปรื่องดังเลื่อนลั่น หินแกะสลักรูปพยัคฆ์ขนาดใหญ่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมแตกกระจัดกระจายออก เศษหินน้อยใหญ่ปลิวเวียนว่อนพร้อมกับผงฝุ่นคลีคละคลุ้ง พอฝุ่นควันจางหายร่างคนผู้นั้นทิ้งเท้าลงกับพื้นหน้าโรงเตี๊ยม
แขกเหรื่อภายในโรงเตี๊ยมส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตระหนกตกใจ ต่างพากันวิ่งเข้าไปหลบอยู่ด้านหนึ่งของโรงเตี๊ยม มีบางส่วนวิ่งขึ้นบันไดชั้นสองไป เถ้าแก่โรงเตี๊ยมซึ่งนั่งนับเงินอยู่หลังโต๊ะเก็บเงิน แตกตื่นวิ่งออกมาด้วยสีหน้าขาวซีดราวกระดาษ ส่งเสียงละล่ำละลักกล่าวถามเสี่ยวเอ้อผู้ที่ตวาดชายชราตาบอดว่า
“อาเหลียง เกิดเรื่องราวใดขึ้น?”
เสี่ยวเอ้อผู้นั้นมีชื่อเรียกหาว่าอาเหลียง มันเองมิเพียงแต่สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ มิหนำซ้ำยังตัวสั่นกระทำเรื่องราวใดไม่ถูก ส่งเสียงกล่าวตอบละล่ำละลักว่า
“ข้าพเจ้ามิทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น มีคนทำลายรูปหินแกะสลักด้านหน้าโรงเตี๊ยม ข้าพเจ้ามิทราบเป็นผู้ใด และมีจุดประสงค์ใดกันแน่?”
ชายชราตาบอดพลันสอดคำขึ้นว่า
“เราทราบว่ามันเป็นผู้ใด? เพียงแต่ล่วงหน้ามากล่าวเตือนพวกเจ้าให้ปิดร้านหลบหน้าซ่อนตัวไว้ชั่วคราว แต่เสี่ยวเอ้อผู้นี้ดื้อดึงหารับฟังวาจาของเราไม่?”
ภายในโรงเตี๊ยมมีเพียงจ่านจือที่ยังคงนั่งสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว สายตาลอบมองออกไปด้านหน้าโรงเตี๊ยม เห็นร่างคนผู้หนึ่งยืนอยู่รอบกายของมันเกิดรังสีเข่นฆ่ารุนแรงยิ่ง ทุกสรรพสิ่งคล้ายถูกคนผู้นี้ควบคุมเอาไว้ ประกายเย็นเยียบแทบทำให้หนาวสั่นสะท้าน คนผู้นั้นร่างสูงใหญ่สวมใส่อาภรณ์สีดำค่อนไปทางเทาซีด เส้นผมบนศีรษะขาวโพลนหนวดเคราคิ้วล้วนขาวโพลนเช่นกัน
ชายผู้นี้มีดวงตาลึกกลวงเข้าไปในส่วนกะโหลกศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูจากลักษณะภายนอกน่าจะมีอายุล่วงเลยเกือบร้อยปีเห็นจะได้ แต่กระนั้นสภาวะท่าร่างกลับปราดเปรียวแฝงพลังเร้นลับยากอธิบาย แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งมองเห็นชัดเจน นั้นคือเล็บนิ้วมือทั้งสิบล้วนแหลมคมและยาวน่ากลัวยิ่ง ดูไปคล้ายมีทั้งเล็บจริงและเล็บปลอมที่สร้างจากโลหะประเภทเงิน ซึ่งเป็นอาวุธเร้นลับประเภทหนึ่ง
คนผู้นั้นก้าวเท้าเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกับเสี่ยวเอ้อถอยกรูดเข้าไปด้านหลังร้าน แต่ถือว่ายังคงชักช้าเกินไป คนผู้นั้นแผ่พุ่งกรงเล็บทั้งห้าออกอย่างเร่งร้อน ก่อเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวพร้อมกับเสียงทึบดังสนั่น ร่างของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกับเสี่ยวเอ้อนามอาเหลียงปลิวไปคล้ายไร้น้ำหนัก ร่างของทั้งสองลอยละลิ่วไปเกือบเจ็ดแปดวาตกกระแทกฟาดพื้นดังครืนใหญ่ กระอักโลหิตออกมาจากปากร่างสั่นกระตุกเพียงสามครั้งพากันสิ้นใจตายไป
ชายชราตาบอดส่งเสียงกล่าวว่า
“กรงเล็บอเวจี นี่คงเป็นเทวยุทธ์ผีเสื้อ ร้ายกาจโหดเหี้ยมดั่งคำกล่าวขาน ในอดีตมีเพียงเก้ากระเรียนเบิกฟ้าที่เป็นคู่ปรับของกรงเล็บอเวจี ที่แท้ท่านก็คือขันทีเฒ่าเล่าอี สิบกว่าปีที่สาบสูญท่านยังไม่ตายไปจริง ๆ”
คนผู้นั้นส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวร่ออย่างคนบ้าคลุ้มคลั่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า
“เราขันที่เฒ่าเล่าอีไฉนจะตายได้ง่ายดายปานนั้น นึกมิถึงการปรากฏตัวของเรายังมีคนจดจำได้ หากเราคาดเดาไม่ผิด ท่าร่างที่ท่านสาดทะยานล่วงหน้ามาก่อนเรา ท่านก็คือมังกรล่องเมฆา ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ”
ชายชราตาบอดกลอกกลิ้งดวงตาขาวขุ่นไปมาเที่ยวหนึ่ง พริบตานั้นจากดวงตาขาวขุ่นกลับกลายเป็นดวงตาเช่นคนปกติ ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ กล่าวตอบว่า
“เราขอทานเฒ่ามิอาจตบตาท่านได้จริง ๆ มิได้พบหน้าศัตรูเก่าเนิ่นนานสิบกว่าปี มิทราบว่าสุขสบายดีหรือไม่?”
ขันที่เฒ่าเล่าอีส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เราแม้นไม่สุขสบายเท่าใดนัก แต่มิถึงกับลำบากทรมานเกินไปเช่นกัน ต่อให้ลำบากกว่านี้แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เราขันทีเฒ่าเล่าอีก็มิปรารถนาสิ่งใดไปกว่านี้แล้ว ท่านเล่าสุขสบายดีหรือไม่?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ยกมือขึ้นลูบเครายาวแล้วกล่าวตอบว่า
“เราสุขสบายดียิ่ง ชีวิตบั้นปลายของขอทานเฒ่ามิปรารถนาสิ่งใดเช่นกัน มีเพียงสิ่งเดียวที่มุ่งมาดคาดหวัง นั่นคือต้องการพบเห็นยุทธภพสุขสงบสันติสืบไป”
แขกเหรื่อภายในโรงเตี๊ยมต่างแตกตื่น พากันอกสั่นขวัญแขวนต่างพากันปีนป่ายออกทางหน้าต่างด้านหลัง บ้างกระโดดลงจากระเบียงชั้นสอง พากันวิ่งหนีหายไปกับความมืดมิดแบบไม่คิดชีวิต มีเพียงจ่านจือผู้เดียวที่ยังคงนั่งนิ่งสงบมิได้เคลื่อนไหว
จ่านจือเคยได้ยินเรื่องราวของขันทีเฒ่าเล่าอีมาบ้าง จากปากของอาวุโสหลิวซุ่นกงกง แต่กลับคาดคิดมิถึงว่าขันทีเฒ่าเล่าอีจะลงมือโหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้ เทวยุทธ์ผีเสื้อของคนผู้นี้มิใช่ก้าวหน้าถึงขั้นสูงสุดแล้ว ในเทวยุทธ์ผีเสื้อของคนผู้นี้มีวิชากรงเล็บอเวจีที่น่ากลัว ในใต้หล้านับว่าหาคู่มือต่อกรได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง หนึ่งในนั้นคือวิชาเก้ากระเรียนเบิกฟ้าของหลิวซุ่นกงกง ที่เป็นคู่ปรับของวิชากรงเล็บน่ากลัวนี้
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เมื่อเห็นจ่านจือยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ เห็นเป็นเด็กน้อยอายุเยาว์จึงคาดเดาเอาว่า เด็กน้อยผู้นี้คงเกิดความหวาดกลัวถึงที่สุด จึงมิกล้าลุกขึ้นวิ่งหลบหน้าไปดั่งเช่นคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวว่า
“ขันทีเฒ่าเล่าอี เรากับท่านค่ำคืนนี้จะต้องรู้ผลแพ้ชนะ เรื่องราวของพวกเราอย่าให้ผู้อื่นต้องมารับเคราะห์กรรมด้วยเลย เราขอให้ท่านปลดปล่อยเด็กน้อยผู้นี้ไปเถิด”
ขันทีเฒ่าเล่าอี ส่งเสียงหัวร่ออย่างชั่วร้าย ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขอทานเฒ่า ไยเราจะต้องสนใจในชีวิตของผู้อื่นด้วย แต่เมื่อท่านเอ่ยปากร้องขอชีวิตให้กับมัน เราจะยอมยกเว้นให้สักครั้งหนึ่ง แต่ทว่าเรามิเคยกระทำสิ่งใดโดยปราศจากเงื่อนไขมาก่อน”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เค้นเสียงกล่าวถามว่า
“ขันทีเฒ่าเล่าอี ท่านมีเงื่อนไขอันใด? รีบบอกกล่าวออกมา”
ขันทีเฒ่าเล่าอีกล่าวว่า
“เราจะปลดปล่อยคนผู้นี้ไป แต่ต้องภายหลังจากที่เราส่งท่านไปสู่ปรโลกเสียก่อน เราจะให้มันผู้นี้นำเรื่องราวที่เราสังหารท่านออกไปบอกกล่าวต่อชาวยุทธจักร เพียงแต่มันผู้นี้มันจะมีขวัญกล้าเป็นพยานการต่อสู้ระหว่างท่านกับเรากระทั่งจบการต่อสู้หรือไม่? หากมันขวัญอ่อนวิ่งหนีไประหว่างการต่อสู้ เราได้แต่ตัดใจลงมือสังหารมันก่อน ตกลงหรือไม่?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือ ซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่กับเก้าอี้ว่า
“เด็กน้อยผู้นี้ เจ้าอย่าได้หวาดกลัว คนผู้นี้แม้จะเป็นชนชั้นอำมหิต แต่เป็นชนชั้นยุทธจักร มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ระยะหนึ่ง มันนับว่าเป็นผู้อาวุโสวาจาที่เขื่องโขของมัน เมื่อเอ่ยออกมาจากปากก็มิอาจกลืนน้ำลายตนเองเช่นกัน เด็กน้อยเจ้ารู้สึกหวาดกลัวหรือไม่?”
จ่านจือลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเท้าเขาหาขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขอบคุณท่านอาวุโสที่ห่วงใยในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิกลัวและไม่วิ่งหลบหนีไปในขณะที่พวกท่านกำลังต่อสู้ ข้าพเจ้ามั่นใจค่ำคืนนี้ท่านจะต้องไม่ตายเด็ดขาด อาวุโสท่านเชื่อวาจาข้าพเจ้าหรือไม่?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ รู้สึกแปลกประหลาดในคำพูดของเด็กน้อยตรงหน้าอยู่บ้าง ฟังจากวาจาที่กล่าวคลับคล้ายกับคุ้นหูอยู่ไม่น้อย ขณะจะกล่าววาจาใดสืบต่อ จ่านจือส่งเสียงแผ่วเบากล่าวว่า
“อาวุโสท่านย่อมไม่ตายแน่นอน ข้าพเจ้ายิ่งไม่อาจตายได้อีก อาวุโสท่านจดจำได้หรือไม่? เมื่อข้าพเจ้าพบพานกับความตาย จึงประสบกับความสำเร็จขั้นสูงสุด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ที่ผ่านความตายมาแล้วครั้งคราหนึ่ง”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ พร้อมกับปรากฏประกายสายตายินดี ส่งเสียงกล่าวตอบเบา ๆ ว่า
“เซียวจือ ที่แท้เป็นเจ้า เกิดเรื่องราวใดขึ้นกับเจ้า อ้อ เราขอทานเฒ่าเข้าใจแล้ว ยินดีกับเจ้าด้วย เราเบาใจไม่กังวลสิ่งใดแล้ว เราเชื่อวาจาเจ้า เช่นนั้นขณะที่เราต่อสู้กับขันทีเฒ่าเล่าอี เจ้าจงชมดูแล้วจดจำเคล็ดลับการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ วิชาฝ่ามือของเราทั้งหมด ขอถ่ายทอดให้กับเจ้าในค่ำคืนนี้”
ขันทีเฒ่าเล่าอีเป็นผู้ทักษะยุทธ์ แม้คนทั้งสองจะสนทนากันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ยังพอจะจับใจความได้ส่วนหนึ่ง เพียงแต่มันไม่ทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้คือเซียวจือ และมันมิทราบว่าเซียวจือคือผู้ใดเช่นกัน ดังนั้นส่งเสียงกล่าวว่า
“ขอทานเฒ่า ที่แท้ท่านรู้จักกับเด็กน้อยผู้นี้ ท่านกล่าววาจาคล้ายกับต้องการถ่ายทอดวรยุทธ์ของท่านให้กับมันผู้นี้ เราในวัยเยาว์ใช้เวลาถึงสามสิบปีจึงฝึกปรือฝีมือได้สำเร็จ ฟังว่าท่านจะถ่ายทอดวิชาฝ่ามือทั้งหมดของท่านให้กับทารกน้อยผู้นี้เพียงชั่วค่ำคืนเดียว เรื่องราวเช่นนี้เรามิเคยได้ยินมาก่อน ออกจะคุยโวเกินไป มิอาจเป็นไปได้เด็ดขาด”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือได้ยินเช่นนั้น เค้นเสียงกล่าวตอบว่า
“ในวัยเยาว์ เราขอทานเฒ่าเพิ่งทราบว่าท่านปัญญาทึบถึงเพียงนั้น เราเองสำเร็จยุทธ์ในวัยยี่สิบห้าปี ยังถือว่ารวดเร็วกว่าท่านอยู่ถึงห้าปี แต่ทว่าทารกน้อยผู้นี้มิใช่เราทั้งสองคน เด็กน้อยผู้นี้มีพรสวรรค์ สิ่งที่เรากำลังบอกกล่าวต่อท่าน อาจไม่ทำให้ท่านเชื่อถือ แต่เราก็ไม่อาจกล่าวตำหนิท่านได้”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือหยุดกล่าววาจาเล็กน้อย พลางใช้ความคิด ขันทีเฒ่าเล่าอีผู้นี้เป็นคนยโสถือดี ไม่ค่อยเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา วาจาที่กล่าวไม่เกรงอกเกรงใจผู้คน คิดได้เช่นนั้นกล่าวต่อว่า
“ขันทีเฒ่าเล่าอี เช่นนั้นท่านกับเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่? เพียงแต่เราขอทานเฒ่า เกรงว่าท่านจะขี้ขลาดตาขาว มิกล้าเดิมพันกับเราก็ได้”
ขันทีเฒ่าเล่าอี ส่งเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“ขอทานเฒ่า หยุดกล่าววาจาสุนัขของท่าน เราขันทีเฒ่าเล่าอีอายุปูนนี้มีหรือจะเกรงกลัวขลาดเขลา ท่านต้องการเดิมพันสิ่งใดกับเรา จงรีบกล่าวมา”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กล่าวว่า
“เรากับท่านจะประลองต่อสู้กันในค่ำคืนนี้ ขณะต่อสู้กับท่านเรายังคล้ายมีความสามารถถ่ายทอดวิชาฝ่ามือให้กับทารกน้อยผู้นี้ ท่านเล่าขณะต่อสู้กับเราเกรงว่าจะมิมีความสามารถทัดเทียมเรา ถึงกับสามารถถ่ายทอดเทวยุทธ์ผีเสื้อของท่านให้กับทารกน้อยผู้นี้ได้ สิ่งที่เราต้องการเดิมพันกับท่าน นั้นคือผู้ใดสามารถถ่ายทอดวิชาฝ่ามือ ให้กับเด็กน้อยผู้นี้ได้หมดสิ้นก่อนกัน”
ขันทีเฒ่าเล่าอีแหงนหน้ามองหลังคาโรงเตี๊ยม ระเบิดเสียงหัวร่อดังกึกก้อง ถลึงตามองมายังจ่านจือ แล้วเค้นเสียงกล่าวว่า
“เราขันทีเฒ่าเล่าอี ถ่ายทอดวิชาเทวยุทธ์ผีเสื้อให้กับเด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ยังใช้ระยะเวลาหนึ่งเดือนจึงถ่ายทอดได้หมดสิ้น ทารกน้อยผู้นี้เป็นใครกัน จึงจะมีความสามารถสูงส่งเทียมฟ้า สามารถเรียนรู้วิชาของท่านกับของเราพร้อมกันในค่ำคืนเดียว ตกลงเราขันทีเฒ่าเล่าอีขอเดิมพันกับท่าน เพียงแต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมข้อหนึ่ง”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เงื่อนไขข้อหนึ่งอันใดของท่าน?”
ขันทีเฒ่าเล่าอีกล่าวตอบว่า
“มีคนผู้หนึ่งที่เราไม่อาจลงมือต่อนางได้ การต่อสู้ของเราในค่ำคืนนี้ เราเปลี่ยนใจไม่สังหารท่าน เพียงแต่ท่านต้องสังหารคนผู้หนึ่งให้กับเรา”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“คนผู้นั้นเป็นใคร? ไฉนท่านจึงไม่อาจลงมือด้วยตนเองได้”
ขันทีเฒ่าเล่าอีกล่าวตอบว่า
“เป็นผีเสื้อหยกดำ เรารู้จักนางในชื่อผีเสื้อหยกดำ ส่วนฐานะอันแท้จริงของนางในยุทธจักร เราหาทราบไม่ว่านางคือผู้ใดกันแน่?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวว่า
“เราเมื่อรับปากแล้วไม่คืนคำเช่นกัน มิว่าเราหรือท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรือชนะ เมื่อเด็กน้อยผู้นี้ได้รับการถ่ายทอดวิชาฝ่ามือของเราทั้งสอง หากเราลงมือสังหารคนผู้นั้นไม่สำเร็จ ท่านยังมีเด็กน้อยผู้นี้อีกผู้หนึ่ง ไฉนจึงจะต้องกลัวว่าจะมิมีผู้ใดจัดการแก้แค้นให้”
ขันทีเฒ่าเล่าอีกล่าวว่า
“เช่นนั้นอย่ามัวรีรอชักช้า พวกเรารีบรุดออกไปประลองฝีมือให้รู้ผลแพ้ชนะ”
กล่าวจบขันทีเฒ่าเล่าอี ขอทานพเนจรหวงเกาฉือโผพุ่งออกสู่ด้านหน้าโรงเตี๊ยม แล้วพุ่งขวับ ๆ ขึ้นสู่หลังคาโรงเตี๊ยม จ่านจือพุ่งร่างตามติดออกด้านหน้าโรงเตี๊ยม เตรียมชมการต่อสู้ของสุดยอดฝีมือ ซึ่งหาชมดูได้ยากยิ่ง อีกทั้งสุดยอดฝีมือทั้งสองยังวางเดิมพันไว้ที่เขาอีกด้วย ดังนั้นจึงรวบรวมสมาธิจิตใจ คอยชมดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564