ตอนที่ 141
จับวานรอาละวาด
สนธยาเริ่มเบาบาง ม่านวิกาลแน่นหนาขึ้นทุกขณะ จากสว่างไสวความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ เขาหมางซานอันวุ่นวายในยามนี้ บรรยากาศขมึงตึงเครียด สายลมกระโชกครืนครั่น
สถานการณ์ผันแปรเปลี่ยนแปลง นางมารเยือกเย็น กับวานรเหิน หลังจากทราบความผิดพลาดบางประการใหญ่หลวง เดินหน้าก็มิได้ ถอยหลังยิ่งลำบากยิ่งกว่า
ในเวลานี้หลงเหลือมือดีจำนวนไม่มากนัก หากจะเรียกขุมกำลังมาจากสาขาต่าง ๆ เกรงว่าจะมิทันการ น้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ จวบจนอรุณรุ่งพรุ่งนี้ เจ้าอสูรโลกันตร์ รวมทั้งเหล่ายอดฝีมือจึงค่อยเดินทางกลับมาถึง
นางมารเยือกเย็น สบสายตาวูบหนึ่งกับวานรเหิน แขกเหรื่อซึ่งไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้อง ต่างพากันทยอยหลบลี้หนีหน้าไปเนิ่นนานแล้ว
แต่กระนั้น พวกมันยังไม่อาจก้าวพ้นเขตเขาหมางซานได้แม้แต่ก้าวเดียว ด้วยมือดีของสำนักมารสวรรค์ ต่างดักรออยู่ระหว่างทาง ดังนั้นมิมีผู้ใด? สามารถก้าวออกไปได้แม้แต่ผู้เดียว
นางมารเยือกเย็น แสดงสีหน้าราบเรียบเย็นชา รักษากิริยาอาการเป็นเช่นปกติ ส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“เฒ่าขอทาน ในเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงระดับนี้แล้ว ข้าพเจ้าใคร่ครวญถ้วนถี่ดีแล้ว จะยินยอมปลดปล่อยท่าน พร้อมกับสหายรุ่นเยาว์ทั้งหลายของท่าน อีกทั้งหลวงจีนเส้าหลิน ให้พวกท่านจากไปได้”
ขอทานพเนจร แสดงท่าทีแปลกประหลาดใจ ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“มิใช่ท่านต้องการศีรษะเรา? ไฉนจึงเปลี่ยนความตั้งใจง่ายดายปานนี้ หรือว่าพวกท่านไร้สามารถ ไม่อาจนำศีรษะเราลงมาจากบ่าได้”
นางมารเยือกเย็น แสดงสีหน้าปั้นยากคราหนึ่ง ฝืนยิ้มเบาบางแล้วกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ายอมรับ กระทำเรื่องราวผิดพลาดบางประการ ในเวลานี้ได้แต่แก้ไขตามสถานการณ์ มีอันใดต้องยึดติด ข้าพเจ้ายังคล้ายยึดคำที่ว่า ยืดได้หดได้ ไว้สบโอกาสพรักพร้อม ค่อยติดตามไปนำศีรษะท่านกลับมา ยังนับว่าไม่สายมิใช่ดอกรึ?”
ขอทานพเนจร ได้ยินเช่นนั้น หัวร่อชอบใจกล่าวว่า
“ศีรษะเราเฒ่าขอทาน ใช่ว่าจะมีผู้ใด? ฟันลงมาจากบ่าได้ง่ายดายปานฟันหยวกผ่าแตง นางมารเยือกเย็น ท่านอย่าได้ปล่อยเวลาเนิ่นนานเกินไปนัก เมื่อถึงเวลานั้น อาจเป็นท่านเองถูกผู้อื่นหยิบยื่นดาบ ฟันศีรษะท่านลงมาก่อนเราก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านคงมิมีปัญญา นำศีรษะเรากลับมาแล้วกระมัง?”
นางมารเยือกเย็นกล่าวว่า
“ศีรษะข้าพเจ้าก็เช่นกัน หากคิดจะฟันลงมา คงต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอยู่มิใช่น้อย เฒ่าขอทานท่านรอคอยไม่นาน พรรคมารมีกำลังแข็งกล้า เมื่อถึงเวลานั้นท่านอย่าได้รู้สึกสำนึกเสียใจ”
ในขณะเดียวกัน ศิษย์ทั้งสองของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ หนานตี้กับกุ้ยโส่ว ทั้งสองก้าวเท้าออกมา แล้วหนานตี้ส่งเสียงกล่าวกับวานรเหินว่า
“ศีรษะผู้อื่นเราทั้งสองไม่ใคร่สนใจกระไรนัก ศีรษะท่านวานรเหิน ท่านจงมอบศีรษะท่านลงมาให้กับเราสองคน วันนี้ข้าพเจ้าหนานตี้ ขอทวงถามหนี้แค้นโลหิตท่านอาจารย์ กับคนของสำนักเมฆฟ้าพิรุณจากท่าน”
จากนั้นกุ้ยโส่ว ศิษย์คนเล็กของสำนักเมฆฟ้าพิรุณส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“วานรเหิน เป็นท่านทำลายล้างสำนักเรา ท่านฆ่าท่านอาจารย์ของพวกเรา ความแค้นนี้มิอาจไม่ชำระสะสาง วันนี้เราทั้งสองศิษย์สำนักเมฆฟ้าพิรุณ ขอทวงแค้นหนี้โลหิต ปิดบัญชีเรื่องราวเหล่านี้จากท่าน”
วานรเหิน ระเบิดเสียงหัวร่อยาวนาน กล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้างเย้ยหยันว่า
“ศิษย์สำนักเมฆฟ้าพิรุณ พวกเจ้าทั้งสองกำเริบเสิบสานแล้วกระมัง? ขนาดเหิงปี้ไป่อาจารย์ของพวกเจ้า ยังต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าวานรท่องดงของเรา อาศัยฝีมือชั้นปลายแถวเช่นพวกเจ้าทั้งสอง คิดจะลิ้มลองความตายเฉกเช่นอาจารย์พวกเจ้ากระมัง?”
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ได้ยินเช่นนั้น พลันกล่าวสวนขึ้นว่า
“ที่แท้เป็นท่าน?” วานรเหินได้ยินเช่นนั้นกล่าวสวนว่า
“เป็นข้าพเจ้า? ที่ท่านกล่าวหมายความว่าเช่นไร?”
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เหตุผลที่เราเชียงชุนชิว เดินทางมาหลายร้อยลี้ เจตนามิได้ต้องการมาลิ้มลองสุราเพียงถ่ายเดียว เราคล้ายได้ยินมาว่า มีวานรดุร้ายตัวหนึ่ง อาศัยหุบเขาหมางซานออกอาละวาด ดังนั้นเราเชียงชุนชิวจึงต้องรีบรุดเดินทางมา”
วานรเหิน กล่าวถามด้วยความสงสัยว่า
“เรื่องราวที่ท่านกล่าวมา เป็นท่านทราบมาจากผู้ใด?”
“เป็นโกวเนี้ยน้อยนางหนึ่ง มิทราบว่าท่านรู้จักนางบ้างหรือไม่?”
“ท่านลองบอกกล่าวออกมาดู ชื่อของนางไพเราะหรือไม่? บางทีข้าพเจ้าอาจรู้จักนางอยู่บ้างก็ได้”
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน กล่าวตอบวานรเหินว่า
“โกวเนี้ยน้อยนางนั้นบอกกล่าวต่อเราว่า นางแซ่เหยา มีนามว่าเยี่ยนผิง ชื่อนี้มีส่วนไพเราะอยู่บ้างหรือไม่? ท่านคล้ายรู้จักนางอยู่บ้างกระมัง?”
วานรเหิน รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ที่แท้เป็นนางเอง ที่บอกกล่าวต่อท่าน นางบอกกระไรต่อท่านเช่นนั้นรึ?”
“นางเพียงบอกกล่าวกับเราเพียงไม่กี่ประโยค เนื่องด้วยนางต้องรีบรุดเดินทางเร่งด่วน ดังนั้นนางเพียงบอกต่อเราว่า มีวานรดุร้ายอาละวาดอยู่ที่เขาหมางซานตัวหนึ่ง ก่อนที่โกวเนี้ยน้อยนางนั้นจะออกเดินทาง ได้กำชับกับเราเอาไว้ว่า อย่าได้ชักช้า เราจึงได้รีบรุดเดินทางมาชมดู”
“นางบอกต่อท่านให้รีบรุดมาชมดูสิ่งใด?” วานรเหินกล่าวถาม
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนย้อนถามว่า
“มิทราบว่าท่าน ใช่วานรดุร้ายตัวนั้นที่โกวเนี้ยน้อยบอกกล่าวต่อเราหรือไม่?”
ยังมิทันตอบคำถามของเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน พลันร่างสองร่างถลันวูบออกมา เป็นหนานตี้กับกุ้ยโส่วนั้นเอง ทั้งสองหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน กับวานรเหิน กุ้ยโส่วยกมือชี้ไปที่วานรเหิน แล้วหันมาหน้ามาทางเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า
“ท่านผู้เฒ่า แม่นางเยี่ยนผิงที่ท่านกล่าวถึง นางเป็นสหายกับพวกเรา ส่วนวานรดุร้ายโหดเหี้ยมที่ท่านกล่าวถึง เป็นนางผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า”
หนานตี้ส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“เป็นนางที่ทำลายล้างสำนักเมฆฟ้าพิรุณของข้าพเจ้ากับศิษย์น้อง เป็นนางที่ฆ่าท่านอาจารย์ เป็นนางที่นำคนไปเข่นฆ่าคนของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือนาง กับนางมารเยือกเย็น และเจ้าอสูรโลกันตร์ ดังนั้นวันนี้ ข้าพเจ้ากับศิษย์น้อง จะต้องล้างแค้นกับนาง ทวงถามหนี้เลือดในครั้งนั้นให้จงได้”
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนได้ยินเช่นนั้น คาดเดาเรื่องราวคร่าว ๆ ได้บางส่วน หลังจากสอบถามความเป็นมา ทราบว่าทุกคนเป็นสหายกับเยี่ยนผิงและจ่านจือ ดังนั้นเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน จึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่สำนักอสูรโลกันตร์ ให้ทั้งหมดได้รับทราบ
ทุกคนเมื่อได้รับทราบเรื่องราวของจ่านจือ ต่างตระหนกตกใจถึงที่สุด คาดคิดมิถึงว่า เขาจะมาพบพานชะตากรรมเช่นนี้ ขอทานพเนจรส่งเสียงกล่าวถาม ต่อเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนเกี่ยวกับจ่านจือว่า
“เซียนสุรา นับว่าเป็นวาสนา ที่เซี่ยวจือยังได้พบพานกับท่าน ดังนั้นแม้นเขาจะสูญสิ้นวรยุทธ์ เอ็นมือเท้าถูกทำลาย ถูกหักกระดูกแขนขา อย่างน้อยเขายังคงมีชีวิต หากมิได้ท่านยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จือน้อยคงประสบเคราะห์กรรมเลวร้ายแล้ว”
เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนกล่าวตอบว่า
“ถูกต้องของเฒ่าขอทาน เราเองก็คิดว่าเป็นวาสนาประการหนึ่ง อย่างน้อยดั่งที่ท่านกล่าวมา เขายังคงมีชีวิตได้อีกช่วงหนึ่ง ถึงแม้ไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้อีกต่อไป แต่กระนั้นเราเฒ่าชรากลับรู้สึกเสียดายต่อส่วนสัดอันสมบูรณ์ องคาพยพเหมาะสมยิ่งต่อการฝึกยุทธ์ เว้นเสียแต่ยังพอมีปาฏิหาริย์อันใด? ให้กับเขา”
ปาฏิหาริย์อันใด? ยังจะมีปาฏิหาริย์อันใดในโลกหล้าสำหรับจ่านจือ ชะตาชีวิตที่หลงเหลืออยู่ของเขาต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร? มิมีผู้ใดตอบคำถามเหล่านี้ได้ ชะตาฟ้าเป็นผู้กำหนด ลิขิตสวรรค์ล้วนเป็นสวรรค์ลิขิต ทุกชนชั้นมิอาจหลีกหนีพ้น
ดังนั้นทุกคน จึงมีความเห็นตรงกันว่า หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องราวในคราวนี้ จะรีบเดินทางไปเยี่ยมเยียนเขา ยังสำนักสำนักตำหนักหมื่นเทพ เขาหมื่นเซียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองรู้สึกเป็นห่วงเขายิ่งกว่าผู้ใด นางทั้งสองรู้สึกรักจ่านจือด้วยใจจริง รักเอ็นดูเสมือนน้องชายแท้ ๆ ของนางทั้งสองก็มิปาน
ศิษย์ทั้งสองของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ตระเตรียมพร้อมลงมือ คนสองคน กระบี่สองเล่ม แยกย้ายเป็นซ้ายหนึ่งขวาหนึ่ง ตรงกลางเป็นวานรเหิน
วิชากระบี่พิรุณโปรยปราย ใช้ออกโดยพร้อมเพรียง ทั้งเร่งร้อนทั้งดุดันคลี่กางดั่งร่างแห เพียงชั่วพริบตาเดียว หนานตี้กับกุ้ยโส่ว ใช้กระบี่พิรุณโปรยปรายออกถึงสองร้อยเจ็ดสิบสองกระบี่
ในเสียงติงตังของกระบี่พิรุณโปรยปราย ดังต่อเนื่องมิขาดตอน กุ้ยโส่วแทงกระบี่ติดต่อกันอีกเจ็ดสิบสองกระบี่ กับอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกระบี่ของหนานตี้
วานรเหิน พุ่งร่างขึ้นกลางอากาศ จากนั้นพลิกร่างกลางอากาศติดต่อกันถึงสองครั้งครา สองฝ่ามือพุ่งออก ร่างโฉบพุ่งลงมาราวนางแอ่นเหิน
หนานตี้กับกุ้ยโส่ว แม้นใช้กระบี่พิรุณโปรยปรายออกจนสุดกำลัง ยังเปิดช่องว่างให้สองฝ่ามือของวานรเหิน ชำแรกแทรกเข้ามาได้ ได้ยินวานรเหินส่งเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“วานรท่องดง”
แต่ก่อนที่สองฝ่ามือของวานรเหินจะบรรลุถึง ร่างหนึ่งเคลื่อนไหววูบ ปราดเดียวร่างขวางอยู่เบื้องหน้ากุ้ยโส่วกับหนานตี้ พร้อมกับแผ่พุ่งสองฝ่ามือออกต้านรับ กับส่งเสียงดังกังวานว่า
“วานรเมามาย”
สี่ฝ่ามือปะทะกันดังครืนครั่น เชียงชุนชิวร่างหยุดนิ่งไม่ซวนเซ ส่วนวานรเหินร่างลอยละลิ่วปลิวไปราวห้าหกวา ก่อนที่จะตกลงกระแทกกับพื้นศิลาดังครืนใหญ่ อวัยวะภายในบอบช้ำลมปราณสับสน ลำคอหวานวูบกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
เชียงชุนชิวกระโดดปราดเดียวบรรลุถึงร่างวานรเหิน คว้าจับปกเสื้อนางเอาไว้ แล้วพุ่งร่างจากไปจนหายลับ มีเพียงเสียงที่ส่งกลับมาดังว่า
“เราวานรเมามายแปดทิศ เชียงชุนชิว ขอนำศิษย์ทรยศกลับหุบเขาวานร หากยังมีวาสนาโอกาสหน้าค่อยพบพานกันใหม่”
ม่านวิกาลปกคลุมเข้มข้น สายลมกลับเข้มข้นรุนแรงกว่า สนชราโบราณยืนต้นตายโดดเดี่ยว นกเค้าแมวตัวหนึ่งบินโฉบส่งเสียงร้องวังเวง แล้วร่อนลงจับกิ่งสนชราโบราณก้านหนึ่ง
สนชราโบราณไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว นกเค้าแมวตัวนั้นกลับมีน้ำใจอยู่บ้าง บนเส้นทางสายน้อย เส้นทางซึ่งทอดสู่เขาหมื่นเซียน เกี้ยวคานอ่อนหลังหนึ่ง หามด้วยคนสี่คน ด้านหลังเดินติดตามด้วยคนสามคน
“ท่านพี่ อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เราคงหลุดออกจากเส้นทางสายน้อยนี้ เลี้ยวซ้ายเป็นเส้นทางหลัก ข้าพเจ้าเคยเดินทางผ่านไป พอจดจำได้ว่ามีโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง พวกเราเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นอีกหน่อย จะได้รับประทานอาหารพักผ่อน”
“น้องหญิง ท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือไม่?” บัณฑิตประหลาดส่งเสียงกล่าวถาม
“ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก” นางแอ่นแดงกล่าวตอบ แล้วหันไปกล่าวถามเยี่ยนผิงว่า
“เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง? เดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว คงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เซี่ยวจือเป็นเช่นไรบ้าง? อาการเขาดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
เหยาเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“จ่านจือบาดเจ็บสาหัส ได้แต่นอนหลับถ่ายเดียว ยังนับว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่เขาพกพายามังกรดำติดตัวมาด้วย จึงช่วยบรรเทาอาการบอบช้ำภายในได้มากทีเดียว แต่กระนั้นเขาสิ้นเรี่ยวแรงได้แต่นอนหลับถ่ายเดียว ข้าพเจ้าได้แต่รุ่มร้อนใจ ใคร่รีบเดินทางให้ถึงเขาหมื่นเซียนโดยพลัน เจ้าโอสถสายรุ้งอาจารย์ของเขา ท่านมีวิชาแพทย์สูงส่ง คงพอมีหนทางช่วยให้เขาไม่เจ็บปวดทรมาน”
“เราเองก็ร้อนรุ่มใจไม่น้อยไปกว่าเจ้า เขาเองเป็นลูกบุญธรรมของเรา เขาได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เราและท่านพี่รู้สึกสะทกสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย”
บัณฑิตประหลาดกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราเร่งฝีเท้าอีกสักเล็กน้อย ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว จะได้เช็ดเนื้ดเช็ดตัวให้กับเขา นอกจากนั้นยังจะได้หาอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่ายให้เขาได้รับประทาน”
โรงเตี๊ยมไม่เล็กไม่ใหญ่กระไรนัก แขวนโคมไฟเรืองรองประดับไว้ยังด้านหน้าทางเข้า สายลมกระโชกรุนแรงพัดมา บนท้องนภาราตรีที่มืดมิด บัดนี้ปรากฏงูทองทาบผ่านแปลบปลาบ ติดตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องก้องกังวาน
พายุใหญ่กำลังจะมา ในไม่ช้าสายฝนคงกระหน่ำซ้ำซัดสาดเทลงมา พอทั้งหมดก้าวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม ห่าฝนสาดเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง ช่างเป็นจังหวะพอดิบพอดี มิเช่นนั้นคงพากันเปียกปอนไปตาม ๆ กัน
ภายในโรงเตี๊ยม มีแขกเหรื่อเพียงไม่กี่คน หน้าโต๊ะเสมียนยืนอยู่ด้วยเถ้าแก่ กับเสี่ยวเอ้ออีกผู้หนึ่ง
เยี่ยนผิงเข้าไปเจรจาจองห้องพักรวมสามห้อง แล้วช่วยกันประคองร่างจ่านจือลงแปลหาม นำร่างเขาเข้าสู่ห้องพัก จ่านจือรู้สึกตัวแล้ว เมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงนอนที่หนึ่ง กลอกกลิ้งดวงตาไปมาเที่ยวหนึ่ง พบร่างเยี่ยนผิงยืนอยู่ข้าง ๆ ขอบเตียง จึงส่งเสียงแผ่วเบากล่าวว่า
“เยี่ยนผิง ข้าพเจ้าหลับใหลไปเนิ่นนานเท่าใด? ท่านกับมารดาอีกทั้งบิดาบุญธรรมคงลำบากมากทีเดียว”
เยี่ยนผิงเกาะกุมมือเขาไว้แล้วกล่าวตอบว่า
“จ่านจือ ท่านหลับไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ต่อให้ข้าพเจ้ากับบิดามารดาบุญธรรมท่าน ต้องลำบากมากกว่านี้ พวกเราก็จะพาท่านกลับไปหาอาจารย์ท่านอย่างแน่นอน”
“บิดามารดาบุญธรรมเล่า? พวกเขาอยู่แห่งหนใด?”
“พวกเขาสั่งอาหารอยู่กับเถ้าแก่ ข้าพเจ้าจ้างคนสามคนแบกหามเกี้ยวคานอ่อน พวกเขาคงเหน็ดเหนื่อยและหิวโหย ดังนั้นบิดามารดาบุญธรรมของท่าน จึงสั่งอาหารให้กับพวกเขาได้รับประทานก่อน พวกเขาจะได้รีบพักผ่อนนอนหลับ วันรุ่งพรุ่งนี้จะได้มีเรี่ยวแรงแบกหามท่านเดินทางต่อไป”
จ่านจือพยักหน้ารับทราบ เยี่ยนผิงนำถังไม้บรรจุน้ำกับผ้าเช็ดตัววางลงยังโต๊ะเตี้ย จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า
“ข้าพเจ้าจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับท่าน แล้วค่อยป้อนอาหารให้กับท่านดีหรือไม่?”
จ่านจือพยักหน้า ทราบว่านางคงต้องลำบากเพราะเขา ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ เขากลับเป็นภาระให้กับทุกคน เขาสร้างความลำบากให้กับคนรอบข้าง ดังนั้นได้แต่ทอดถอนใจ แฝงความรันทดหดหู่อยู่ในแววตา
เยี่ยนผิงเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับเขาอย่างแผ่วเบา เมื่อเช็ดบริเวณลำคอของเขา พบว่าหยกเหินลมสองชิ้นที่เขาสวมคอไว้ยังคงอยู่ดี เยี่ยนผิงอดที่จะเอื้อมมือสัมผัสกับหยกสองชิ้นที่สวมคอจ่านจือมิได้ เขายังมิทันสืบสาวความเป็นมาของหยกสองชิ้นนี้ ต่อจากนี้เขาจะเป็นเช่นไร? ในเมื่อไม่หลงเหลือพลังฝีมือให้เคลื่อนไหวเช่นเดิมอีกต่อไป
เยี่ยนผิงลูบคลำหยกเหินลมสองชิ้นอย่างเงียบงันใช้ความคิด จ่านจือเอ่ยถามขึ้นว่า
“เยี่ยนผิง ท่านคิดกระไรอยู่?”
“ข้าพเจ้ากำลังคิดถึงเรื่องราวของหยกสองชิ้นนี้ของท่าน” เยี่ยนผิงกล่าวตอบ แล้วกล่าวกับจ่านจือต่อว่า
“จ่านจือ ท่านมิต้องเป็นกังวล ข้าพเจ้าทราบ ท่านยังไม่กระจ่างเกี่ยวกับหยกเหินลมสองชิ้นนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า แม้นท่านจะเคลื่อนไหวไม่เหมือนเดิม แต่ข้าพเจ้ายังคงปราดเปรียวเช่นเดิม”
จ่านจือกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านต้องลำบากเพราะข้าพเจ้าแล้ว”
“จ่านจือ ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น นี่คงเป็นชะตาฟ้ากำหนด ภายหน้าเป็นเช่นไรไม่อาจทราบ? แต่ข้าพเจ้ามั่นใจในคำพูดของนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ว่าท่านจะต้องประสบกับความสำเร็จสูงส่ง”
จ่านจือกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าคล้ายหวังให้เป็นไปเช่นนั้น”
หลังจากป้อนข้าวต้มร้อน ๆ ให้แก่จ่านจือแล้ว เยี่ยนผิงออกจากห้องมายังโต๊ะรับประทานอาหาร ซึ่งสองสามีภรรยาแซ่เซียว สั่งอาหารรอคอยอยู่ก่อนแล้ว ส่วนคนแบกหามเกี้ยวสี่คน หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ต่างพากันเข้าห้องพักทางด้านซ้ายมือ ซึ่งอยู่ติดกับห้องพักของจ่านจือพักผ่อนนอนหลับแล้ว
“เซี่ยวจือเป็นเช่นไรบ้าง?” นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวถาม
“จ่านจือเขานอนพักผ่อนแล้ว ข้าพเจ้ากับเขาคล้ายยังไม่ท้อแท้สิ้นหวังเสียทีเดียว”
เยี่ยนผิงกล่าวตอบ จากนั้นบัณฑิตประหลาดกล่าวขึ้นบ้างว่า
“เซี่ยวจือแม้ประสบเคราะห์ร้าย ในความเลวร้ายคล้ายยังมีเรื่องดีปะปนอยู่บ้าง”
“ถูกต้องของท่านพี่ เซี่ยวจือยังมีแม่นางเยี่ยนผิงอยู่เคียงข้าง โชคร้ายในวาสนาจริง ๆ”
ทั้งสามสนทนากันพลาง พร้อมกับรับประทานอาหาร ซึ่งสองสามีภรรยาแซ่เซียวได้สั่งเอาไว้สี่ห้าอย่าง โต๊ะข้าง ๆ ทางด้านซ้ายมือนั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยสองคน ทั้งสองแต่งกายคล้ายคนเดินทางทั่วไป
“ท่านคิดว่าในครานี้ เส้าหลินพบพานเรื่องเลวร้ายทำลายขวัญ เสาหลักยุทธภพพบจุดจบเช่นนี้ ภายหน้าต่อจากนี้ยุทธภพคงต้องลุกเป็นไฟ”
คนอีกผู้หนึ่งส่งเสียงเห็นด้วย ตะเกียบคีบถั่วลิสงคั่วคลุกเกลือเข้าปากขบเคี้ยว แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“สำนักมารกลับมีขุมกำลังแข็งกล้า การปรากฏตัวของเจ้าอสูรโลกันตร์ กับเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดิน ถึงกับโค่นล้มเส้าหลินพ่ายแพ้ เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ เจ้าอาวาสคนปัจจุบันยังต้องมาสิ้นชื่อ ในฝ่ามือของเจ้าอสูรโลกันตร์”
จากนั้นอีกผู้หนึ่งส่งเสียงกล่าวว่า
“ทราบมาว่า มีเพียงศิษย์เส้าหลินส่วนหนึ่ง ซึ่งหนีรอดไปได้ทางช่องทางลับหลังเขา มีเพียงศิษย์ของเจ้าอาวาสคนก่อน ท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือ แม้นศิษย์ของท่านจะมีพลังฝีมือกล้าแข็ง ยังถูกเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินคร่ากุมจับตัวเอาไว้ได้”
คนอีกผู้หนึ่งพยักหน้าหงึก ๆ ขึ้นลง ลดสุ้มเสียงแผ่วเบาลงกล่าวว่า
“เป็นไปได้มากทีเดียว ศิษย์ของเจ้าอาวาสคนเก่าล้วนน่าสงสัย ใช่มันเป็นหนอนบ่อนไส้อยู่ในเส้าหลินหรือไม่?” คนอีกผู้หนึ่งเห็นด้วยแล้วเสนอความคิดเห็นออกมา
สองสามีภรรยาแซ่เซียว กับเหยาเยี่ยนผิง รับฟังถึงกับตะลึงลาน รู้สึกสะท้านตกใจ ถู่ฝูเป็นมันที่ทำร้ายจ่านจือบาดเจ็บสาหัส หลังจากมันหลบหนีไปแล้ว มันไปก่อเรื่องราวยังเส้าหลินอีก
หากนับเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะที่ถูกทำลาย มู่ชิวป้าแห่งหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เฉิงปู้กงแห่งพรรคไผ่หลิว หลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เกาทิเหว่ยแห่งผาแห่งสายลม เหิงปี้ไป่แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ล่าสุดเป็นเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือแห่งเส้าหลิน
แต่กระนั้นเหล่ามารอธรรมยังไม่ทราบว่า หลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ท่านยังไม่สูญเสียวรยุทธ์ ท่านยังไม่ได้ตาบอด
ที่เหลือเป็นสำนักตำหนักหมื่นเทพ ซึ่งฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ คาดเดาว่าอาจเป็นเป้าหมายรายต่อไปก็เป็นไปได้
ส่วนอารามอเทวตา ยังไม่ทราบว่าฝ่ายมารอธรรมจะกวาดรวมเข้าสู่วังวนแห่งการทำลายล้างด้วยหรือไม่
ทั้งสามรีบรับประทานอาหาร เพื่อจะได้รีบเข้าห้องพักผ่อนก่อนออกเดินทางในตอนเช้า เวลานี้ฟ้าฝนสงบลงแล้ว สายลมพัดแผ่วพลิ้ว ลูบไล้หยาดหยดน้ำฝนบนใบไม้และชายคาโรงเตี๊ยม โคมไฟด้านหน้าโรงเตี๊ยมไหววูบวาบ
ภายในห้องของจ่านจือ จุดเทียนไว้เล่มหนึ่ง ไม่สว่างไสวเกินไปนัก จ่านจือนอนหลับตา ภาพในวัยเด็กผุดขึ้นมาในความคิด หมู่บ้านเย้ยอรุณ ป้าหนิว เพื่อนบ้าน ในช่วงเวลานั้นเขาเองกลับมีความสุขที่สุด
ขณะกำลังเคลิบเคลิ้มกับภาพในวัยเด็ก ห้องติดกันทางด้านซ้ายมือมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น จ่านจือในเวลานี้แม้สะกิดความสงสัย แต่ไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายรุดออกไปดูได้
เสียงผิดปกติเงียบลงแล้ว ห้องข้าง ๆ ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ห้องของจ่านจือ หน้าต่างหลังห้องนอนถูกผลักเปิดออก จ่านจือแสร้งหลับตาทำทีเป็นนอนหลับ ร่างในชุดดำคลุมหน้าผู้หนึ่ง มุดเข้ามาอย่างแผ่วเบา
ชุดดำผู้นั้นย่างก้าวเข้าหาเตียงนอนอย่างระมัดระวัง ฝีเท้าแผ่วเบา ในมือซุกซ่อนอาวุธไว้ในห่อผ้า ลักษณะคล้ายดาบประเภทหนึ่ง เมื่อหยุดยืนริมขอบเตียงเหลียวหน้าไปมารอบหนึ่ง
จากนั้นเอื้อมมือข้างที่ว่างเปล่า ปลดเชือกคล้องคอของจ่านจือออก เชือกซึ่งประดับด้วยหยกเหินลมสองชิ้น จ่านจือรีบลืมตาขึ้น ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำดวงตาคู่นั้นประสานกับสายตาของจ่านจือ
จ่านจือ อุทานเบา ๆ ในลำคอ แต่มิได้ส่งเสียงออกมา เมื่อมิได้ส่งเสียงออกมา คนชุดดำลึกลับกลับไม่ต้องการให้จ่านจือส่งเสียงได้อีกต่อไป
คนชุดดำลึกลับเอื้อมมือแตะด้ามอาวุธ ซึ่งห่อหุ้มผ้าปกปิดเอาไว้ แต่ยังมิทันแก้ห่อผ้าออกมา เสียงผลักประตูพลันดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องเรียกดังว่า
“จ่านจือ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงกลับมาแล้ว”
คนชุดดำลึกลับถลันถึงริมหน้าต่าง พร้อมกับทะลวงบานหน้าต่างพุ่งร่างออกไปจนลับหาย
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยนผิงผลักประตูเปิดออก ด้านหลังยังติดตามมาด้วยสองสามีภรรยาแซ่เซียว แม้นสีหน้าจ่านจือมิได้แตกตื่น แต่เยี่ยนผิงนางสังเกตออกแล้ว ในห้องนี้เกิดเรื่องราว
“เกิดเรื่องราวใดขึ้น?”
เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถาม จ่านจือส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“รีบไปชมดูยังห้องด้านข้าง”
บัณฑิตประหลาดรีบส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเซี่ยวจือยังห้องนี้ ห้องด้านข้างเราสองคนขอไปตรวจตราดูเอง
คล้อยหลังสองสามีภรรยาแซ่เซียว จ่านจือบอกกล่าวกับเยี่ยนผิงว่า
“หยกเหินลมของข้าพเจ้า ถูกคนเข้ามาชิงไปแล้ว”
“กระไร? มีคนเข้ามาชิงหยกเหินลมของท่านไป!”
เยี่ยนผิงส่งเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจ ยังไม่ทันกล่าวกระไรต่อ สองสามีภรรยาแซ่เซียววิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจเช่นเดียวกัน จากนั้นนางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวว่า
“คนแบกหามเกี้ยวสี่คนที่จ้างมา ถูกฆ่าตายภายในห้องข้าง ๆ ทั้งหมดแล้ว ตรวจสอบแล้วไม่พบร่องรอยหลักฐานใด? พบเพียงรอยดาบปาดคอ ผู้ที่ลงมือคงมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564