ตอนที่ 137
สุราสัตย์สาบาน
ห้องลับ...สำนักมารสวรรค์
วานรเหินในชุดเจ้าสาวสีแดงเฉิดฉัน เจ้าสาวในชุดสีแดงกลับเป็นเหยาเยี่ยนผิง เหตุการณ์ในงานมงคลในวันนี้ย่อมมิรวบรัดธรรมดา มิเช่นนั้นไฉนเหยาเยี่ยนผิงจึงอยู่ในร่างวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา
นางมารเยือกเย็นเหยาเอ่ยวาจากล่าวถาม
“แผนการราบรื่นดีหรือไม่?”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปากล่าวตอบว่า
“คล้ายดั่งมิมีสิ่งใดผิดพลาด”
จากนั้นส่งเสียงกล่าวถามต่อนางมารเยือกเย็นเหยาว่า
“ทางด้านนอกเล่าเป็นเช่นไรบ้าง? ทุกอย่างยังคงราบรื่นดีอยู่หรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวตอบราบเรียบ
“ท่านลองคาดเดาเอาดู”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปากล่าวตอบโดยมิต้องขบคิดว่า
“ย่อมต้องเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ ใช่ต้องราบรื่นไร้อุปสรรคอย่างแน่นอน ด้วยมันสมองระดับท่าน ไม่มีวันที่พวกมันจะหนีรอดลอดแหปากนี้ไปได้”
นางมารเยือกเย็นเหยาส่งเสียงหัวร่อพอใจกล่าว
“วานรเหินท่านกล่าวชื่นชมข้าพเจ้าเกินไปแล้วจริง ๆแหปากนี้เป็นพวกเราหลายคนช่วยกันหว่าน คิดจะให้พวกมันทั้งหลายมาติดกับหากใช่เรื่องลำบาก แต่ทว่าจะจับพวกมันทั้งหมดไว้ในแหปากนี้ พวกเรายังคงต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกันอีกไม่น้อย”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาทอประกายสายตาเจิดจ้าขึ้นมาคราหนึ่ง เพียงคราเดียวแล้วสลายไป ในน้ำเสียงราบเรียบของนางกล่าว
“แผนล่อเสือออกจากถ้ำของพวกเราประสบผล เด็กน้อยจ่านจือมันยังพลาดท่าเสียทีแก่พวกเราได้ ในไม่ช้าข่าวคราวเส้าหลินคงถูกจัดส่งมา นางมารเหยาท่านลองคาดเดาดู...?”
“ไฮ้ ไฉนท่านยังจะต้องให้ข้าพเจ้าคาดเดาได้ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเดินทางไปด้วยตัวเอง ท่านยังต้องให้ข้าพเจ้าคาดเดากระไรอีก นากจากนั้นยังมีเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อกับถู่ฝู ผู้ซึ่งคนหนึ่งเคยเป็นคนของเส้าหลิน ผู้หนึ่งยังคงเป็นคนของเส้าหลิน ต่อให้พวกมันติดปีกบิน ยังไม่อาจจะหนีรอดไปได้”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาส่งเสียงหัวร่อฮา ๆกล่าวว่า
“นางมารเยือกเย็น ท่านกล่าวมาคล้ายดั่งตาเห็น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าสมควรเป็นเช่นนั้น นี่ยังไม่นับรวมยอดฝีมือที่ติดตามไปด้วยอีกหลายคน เช่นนั้นแผนการในวันนี้ พวกเราจะต้องตัดรากถอนโคน ขจัดเสี้ยนหนามที่ตำเท้าชิ้นนี้ไปให้หมดสิ้น”
นางมารเยือกเย็นเหยาพยักหน้าเห็นด้วย แต่กระนั้นคล้ายกับมีกระไรในใจก็ปาน
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาย่อมสังเกตออก ส่งเสียงกล่าวถาม
“นางมารเยือกเย็นเหยา ท่านคล้ายมีกระไรกังวล?”
นางมารเยือกเย็นเหยาระบายลมออกจากปากคำหนึ่ง กล่าวว่า
“”มิว่าผู้ใดไม่อยู่ในสายตาข้าพเจ้า ขว้างมุสิกยังเกรงภาชนะเสียหาย ขอทานเฒ่าคล้ายเป็นเสี้ยนหนามตำเท้า ข้าพเจ้าดูออก เฒ่าขอทานต้องการเข้ามาพัวพันในโคลนตมปลักนี้”
“หรือมันทราบ? ว่าเรามีแผนการอันใด?”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาส่งเสียงโพล่งถาม
นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวตอบว่า
“ทราบหรือไม่? ไม่อาจคาดเดา เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกต ขอทานเฒ่าเจ้าเล่ห์ยิ่ง มันเปิดเผยท่าทีออกมาชัดเจน หากพวกเราลงมือต่อพวกเด็กน้อยนั่น มันต้องกระโดดออกมาปกป้องอย่างแน่นอน”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาแสดงสีหน้าปลอดโปร่ง คล้ายไม่กังวลต่อคำพูดของนางมารเยือกเย็นเหยาแม้แต่น้อย ประกายสายตาของนางยังเจิดจ้าดุจดั่งพญาอินทรี พร้อมกับแค่นเสียงกล่าว
“ขอท่านเฒ่าหากมันตัดสินใจเยี่ยงนั้น ลมหายใจในวัยชราของมันคงสั้นลงไปอีกกระมัง? นางมารเยือกเย็นเหยาท่านโปรดวางใจ ต่อให้พวกมันเสียบปีกบิน หากคิดจะโบยบินไปจากสถานที่นี้ ต่อให้มีสิบเศียรหกกร ยังคงมิเพียงพอให้พวกเราสับแทง”
นางมารเยือกเย็นเหยาค่อยแสดงสีหน้ากระตือรือร้น รีบส่งเสียงกล่าวถาม
“หรือว่านอกจากข้าพเจ้ากับท่านแล้ว อีกทั้งยอดฝีมือที่ตระเตรียมไว้ ยังมีผู้ใดอยู่ในแผนการนี้กระนั้นรึ?”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาส่งเสียงหัวร่อฮา ๆอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวตอบว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยา ข้าพเจ้าอยู่กับท่านมาเนิ่นนาน ทุกแผนการย่อมมีช่องโหว่อยู่บ้าง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมีแผนการรองรับไว้ก่อนเสมอ ความจริงอาศัยพลังอัคคีของท่าน รวมทั้งวิชาในคัมภีร์สุริยันจันทรา ไม่แน่นักต่อให้นางชีเทวราชชิ้วโส่ว กับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเดินทางมาปรากฏตัวในงานนี้ ใช่ว่าจะได้เปรียบเอาชัยได้”
น้ำเสียงวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปากล่าวมั่นอกมั่นใจ นางมั่นอกมั่นใจในพลังฝีมือของนางมารเยือกเย็นเหยาและตัวนางเอง หรือนางยังเก็บงำซ่อนพลังฝีมือเอาไว้ไม่แสดงออกจนหมดสิ้น
จำเดิมหุบเขาวานรมีชื่อเสียงเลื่องลือ กล่าวขานกันว่าเคล็ดวิชาวานรแห่งหุบเขาวานร ร้ายกาจพอ ๆกับเคล็ดวิชาในคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราก็ว่าได้ วานรขาวเส้าเหว่ยฉีคุ้มดีคุ้มร้ายด้วยสาเหตุใดไม่มีผู้ใดทราบ แม้นมันจะทราบเคล็ดวิชาวานร แต่ก็มิอาจฝึกสำเร็จได้ถึงขั้นสูงสุดยอด
เมื่อศิษย์ทรยศหุบเขาวานร วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาขโมยเคล็ดวิชาวานรหลบหนีออกจากหุบเขาวานร ก็ไม่มีผู้ใดทราบความร้ายกาจของวิชาวานรอีกเลย จวบจนกระทั่งกระบวนท่าวานรท่องดง ปรากฏขึ้นที่สำนักนักเมฆฟ้าพิรุณ ความน่าสะพรึงกลัวของวิชาวานรจึงสะท้านสะเทือนบู๊ลิ้มอีกครั้ง ในครั้งนั้นถึงกับทำลายล้างสำนักเมฆฟ้าพิรุณไปแทบหมดสิ้น แม้กระทั่งเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ ยังไม่อาจรักษาลมหายใจเอาไว้ได้ ยังต้องสังเวยชีวิตภายใต้กระบวนท่าวานรท่องดงนี้
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปากล่าวต่อว่า
“ในงานวันนี้หากมีสิ่งใดผิดพลาด เราคงต้องเปิดตัวสองนักฆ่าหน้ากากเงินออกมาแล้วกระมัง? ท่านกับข้าพเจ้าต่างไม่ทราบ สองนักฆ่าหน้ากากเงินเป็นผู้ใดกันแน่? ในงานวันนี้สมควรให้พวกมันสองคนได้ลงมือแล้วกระมัง?”
นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวถามว่า
“สองนักฆ่าหน้ากากเงินเป็นผู้ใดกันแน่? พวกเราเพียงทราบว่าเป็นนักฆ่าราชสำนัก ขันทีเฒ่าเล่าอีซ่อนกายหลายสิบปี หากสองนักฆ่าหน้ากากเงินปรากฏตัว ขันทีเฒ่าเล่าอีย่อมไม่อยู่เหนือข้อยกเว้นเช่นกัน เช่นนั้นฝ่ายเรายังเพิ่มสุดยอดฝีมืออันน่ากลัวอีกสามคน ต่อให้ยังไม่ทราบภายใต้หน้ากากเงินของพวกมัน ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่? แต่ความน่ากลัวของพลังฝีมือเป็นที่น่าเชื่อถือได้”
“ถูกต้อง ย่อมเป็นเช่นนั้น สองนักฆ่าหน้ากากเงินเคยก่อกวนเรื่องราวสะท้านสะเทือนขวัญชาวบู๊ลิ้มในครั้งอดีต มีผู้ใดบ้างเมื่อได้ยินผู้คนเอ่ยถึงมันทั้งสองแล้วจะไม่รู้สึกสยิวผิวกาย ชาวยุทธจักรคิดว่ามันตายไปแล้วพร้อมกับขันทีเฒ่าเล่าอี มีแต่พวกเราที่ทราบ พวกมันยังมีชีวิตสุขสบายภายใต้ราชสำนักนั่นเอง”
นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวเสริมต่อว่า
“น่าเสียดาย ขันทีหลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า มันตาบอดแถมสูญเสียวรยุทธ์ หากมันทราบว่าขันทีเฒ่าเล่าอีคู่ปรับมันยังไม่ตาย เห็นทีมันคงกระอักโลหิตตายเป็นแน่แท้”
เมื่อเอ่ยกล่าวถึงตอนนี้ นางมารเยือกเย็นเหยาคล้ายกับนึกเรื่องราวใดขึ้นมา แล้วเอ่ยกล่าวกับวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาว่า
“ข้าพเจ้าคล้ายสงสัยเรื่องราวหนึ่งขึ้นมา เหตุการณ์วันที่พวกเราบุกหมู่ตึกกระเรียนฟ้า หลังจากพวกเราจุดดินระเบิด ในม่านหมอกควันข้าพเจ้าใคร่คว้าร่างหลิวซุ่นกงกง แต่กลับมีฝ่ามือข้างหนึ่งนุ่มนิ่มสกัดขัดขวาง ฝ่ามือนั่นมิใช่เด็กน้อยจ่านจือ ฝ่ามือนั่นมิได้รวบรัดธรรมดา แต่ทว่าร้ายกาจยิ่ง หรือว่าในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ายังแอบซุกซ่อนสุดยอดฝีมือผู้ใดที่พวกเราไม่รู้จักเอาไว้อีก”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปากล่าวตอบว่า
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในเมื่อมันตาบอดแถมแขนขาพิการ อีกทั้งเพิ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาได้ไม่นาน มันจะติดต่อยอดฝีมือได้จากที่ใด? หากจะให้ข้าพเจ้าคาดเดา ฝ่ามือนุ่มนิ่มนั่นคงเป็นเด็กน้อยจ่านจือ ใช้กระบวนท่าฝ่ามือพิสดารหลอกตบตาท่าน เพื่อให้ฝ่ายเราเข้าใจว่าในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ยังมีสุดยอดฝีมือซุกซ่อนเอาไว้คอยให้ความช่วยเหลือ”
นางมารเยือกเย็นเหยาพยักหน้าคล้อยตามความคิดของวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาแล้วกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าหายหน้ามาเนิ่นนานเกินไปแล้ว เห็นทีต้องออกไปแล้วกระมัง? มิเช่นนั้นพวกมันจะสงสัยเอาได้ แล้วมิทราบว่าเยิ่นหว่อถิงเป็นผู้ใดปลอมแปลงเป็นมัน”
วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาแสดงสีหน้าพิสดาร แล้วหันมากล่าวตอบว่า
“เรื่องนั้นท่านมิต้องกังวล ข้าพเจ้าหาคนที่เหมาะสมมาปลอมแปลงเป็นมัน ท่านออกไปดำเนินแผนการเถิด ส่วนเรื่องราวด้านนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า”
“ตกลงตามนั้น”
นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวจบ ก้าวเดินออกจากห้องลับไป
ในบริเวณงาน แขกเหรื่อต่างเดินทางมาแทบหมดสิ้นแล้ว ต่างพากันดื่มกินสรวลเสเฮฮา สนทนากันอย่างออกรสชาติ ไม่ต่างจากโต๊ะของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ หนุ่มสาวพูดจาหยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่กัน สุดท้ายประเด็นพูดคุยกลับกลายเป็นเรื่องราวของเยี่ยนผิงกับจ่านจือ
ทุกคนล้วนทราบ จ่านจือกับเยี่ยนผิงสนิทสนมกันถึงปานไหน ความรู้สึกอันลึกซึ้งยิ่งกว่าสหาย ทุกคนล้วนทราบเยี่ยนผิงเป็นสตรีผู้รู้ใจของจ่านจือ ส่วนจ่านจือเองก็เป็นบุรุษผู้รู้ใจของเยี่ยนผิง ทุกสิ่งในโลกใบนี้ย่อมมีเปลี่ยนแปร มีการเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดจริงแท้แน่นอน มีเพียงความตายเท่านั้นที่จริงแท้แน่นอน จะยากดีมีจน ขอทานซอมซ่อหรือกงจื้อสูงศักดิ์ ไม่อาจหลีกหนีสิ่งนี้พ้น ทุกคนล้วนต้องตาย แต่ทว่าในขณะที่ทุกคนยังคงไม่ตาย...
แต่ที่ทุกคนกังขาสงสัย ในเมื่อทั้งสองเป็นผู้รู้ใจซึ่งกันและกัน ไฉนงานมงคลในวันนี้ จึงมิใช่งานสำคัญของคนทั้งสอง ถึงแม้นเยิ่นหว่อถิงจะพึงตาต้องใจในตัวเยี่ยนผิง แต่ทว่าเยี่ยนผิงหาได้ตอบสนองต่อความสนใจของมันไม่
ด้วยเหตุผลนี้ งานมงคลในวันนี้หาใช่งานมงคล ทุกคนต่างเริ่มสัมผัสถึงสัญญาณอัปมงคลในงานมงคลในวันนี้ เป็นไปมิได้ที่เยี่ยนผิงจะยินยอมร่วมหอตบแต่งให้กับมัน และที่สำคัญวันนี้จ่านจือไฉนจึงไม่รีบรุดเดินทางมา
นางมารเยือกเย็นเหยา นางก้าวเดินออกมาแล้ว เล๋อต้าเต๋อกับสองเทวทูติซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งรีบปรี่ออกไปรับหน้า นางมารเยือกเย็นเหยาส่งเสียงกล่าวกับพวกมันว่า
“เรื่องราวทางด้านนี้เรียบร้อยดีหรือไม่?”
เล๋อต้าเต๋อส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ทุกสิ่งล้วนเรียบร้อยดี สุราอาหารยิ่งไม่ตกหล่นขาดเหลือ แขกเหรื่อต่างดื่มกินกันอย่างสำราญ แม้แต่น้ำชาอาหารเจ ยังมิกล้าบกพร่องต่อผู้ทรงศีล ทุกเรื่องราวไม่มีที่ใดให้ผิดพลาด”
นางมารเยือกเย็นเหยาแสดงสีหน้าพึงพอใจยิ่ง จากนั้นหมุนกายก้าวเดินขึ้นบนเวที ทางด้านล่างส่งเสียงโห่ร้องก้องดัง มีเสียงดังมาจากมุมหนึ่งของสถานที่ดังมาว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยา ใกล้ฤกษ์งามยามดีแล้วกระมัง? มีผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว แล้วผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวเล่า? เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันไฉนจึงยังไม่มาปรากฏตัว”
ผู้ที่ส่งเสียงกล่าววาจาเป็นปีศาจแมงป่องเงินปึงคุ้นเจ้าสำนักสี่ปีศาจนั่นเอง นางมารเยือกเย็นเหยาโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ จากนั้นนางส่งเสียงอันดังได้ยินทั่วกันว่า
“ทุกท่านอย่าได้ใจร้อนวู่วาม ท่านเจ้าอสูรโลกันตร์ติดธุระสำคัญบางประการยังมิอาจปลีกตัวมาได้ แต่ทุกท่านโปรดวางใจ ไม่ช้าท่านเจ้าอสูรโลกันตร์จะเดินทางมา ตอนนี้ได้เวลาเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าพิธีแล้ว”
สิ้นเสียงนางมารเยือกเย็นเหยา ด้านข้างเวทีเจ้าบ่าวเจ้าสาวก้าวขึ้นสู่เวที เจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดสีแดง ก้าวมาหยุดยืนตรงกลางเวที เจ้าบ่าวเจ้าสาวมิได้ปิดคลุมหน้าแต่อย่างใด คล้ายจงใจให้เห็นใบหน้าได้ชัดเจนนั่นเอง
เจ้าบ่าวในชุดสีแดงเป็นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เจ้าสาวในชุดสีแดงเช่นกันเป็นเหยาเยี่ยนผิง วันนี้นางดูงดงามเป็นพิเศษ เยิ่นหว่อถิงเองกลับดูหล่อเหลาคมคายไม่แตกต่างกัน
ด้านล่างส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องอีกครั้ง มีเพียงโต๊ะของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ทุกคนมิได้โห่ร้องส่งเสียง เพียงสบตามองหน้ากันไปมา นางมารเยือกเย็นโบกมือขึ้นอีกครา เมื่อเสียงด้านล่างเงียบลง นางส่งเสียงกล่าวว่า
“ทุกท่านร่วมดื่มอวยพรให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาวสักสามจอก”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น รีบรินสุราลงจอก กรอกพรวดรวดเดียวสามจอกเหือดแห้ง มีเพียงโต๊ะของหลวงจีนเส้าหลิน ที่ต้องรินน้ำชาต่างสุราร่วมอวยพร นางมารเยือกเย็นเหยากวาดสายตามอง แล้วมาหยุดสายตาอยู่ที่โต๊ะของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ
สายตานางมารเยือกเย็นเหยาคมกริบดั่งคมกระบี่ คมกระบี่ที่กรีดกรายพร่าพรายสายตา ทุกปฏิกิริยาทุกเรื่องราวคล้ายไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้ แต่ทว่าทุกเรื่องราวในโลกใบนี้ย่อมมีข้อยกเว้น มีบางสิ่งบางอย่างที่นางปล่อยให้หลุดรอดพ้นสายตาคมกริบราวกระบี่ของนางไป
นางมารเยือกเย็นเหยากวาดสายตาไปมาอีกเที่ยวหนึ่ง แล้วส่งเสียงอันดังฟังทั่วกันว่า
“ทุกท่าน ก่อนที่จะเริ่มพิธีมงคลต่อจากนี้ ก่อนอื่นข้าพเจ้ามีสุราให้กับทุกท่าน พวกท่านจะได้รับสุราท่านละหนึ่งถ้วย สุราถ้วยนี้มิได้เป็นสุราธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสุราสัตย์สาบาน”
“สุราสัตย์สาบาน นางมารเยือกเย็นเหยาท่านหมายความว่าเช่นไร? พวกเราเส้าหลินไม่คิดดื่มกินสุรา ท่านหมายความว่าเช่นไร? รีบบอกกล่าวออกมาให้กระจ่าง”
เป็นหลวงจีนเส้าหลินนามเต้าจื่อเป็นผู้ส่งเสียงกล่าวถาม นางมารเยือกเย็นเหยาแค่นเสียงกล่าวตอบ
“สุราสัตย์สาบาน เมื่อทุกท่านดื่มสุราถ้วยนี้แล้ว ดั่งทุกท่านได้ให้คำสัตย์ไม่อาจคืนคำ ว่าต่อจากนี้ไปจะสวามิภักดิ์ ล่องเรือลำเดียวกัน ก้าวเดินบนเส้นทางสายเดียวกัน โดยมีสำนักมารสวรรค์กับสำนักอสูรโลกันตร์เป็นผู้นำ มีผู้ใดไม่เข้าใจในคำกล่าวนี้อยู่บ้างหรือไม่?”
หลวงจีนเส้าหลินรูปหนึ่งส่งเสียงขึ้นอีกว่า
“ประสกเหยา ท่านกล่าววาจาเหลวไหลกระไร? พวกเราเส้าหลินมาเป็นแขกร่วมดื่มอวยพร ส่วนสุราสัตย์สาบานเป็นท่านกำหนดขึ้นเอง เราเส้าหลินเป็นสำนักฝ่ายธัมมะ มิอาจร่วมเส้นทางเดียวกับพวกท่านได้ การดื่มสุราที่ว่านี้จึงยิ่งมิอาจกระทำได้ มีผู้ใดเห็นด้วยกับอาตมาหรือไม่?”
สิ้นเสียงของหลวงจีนรูปนั้น มีเสียงสนับสนุนดังมาจากหลายทิศทาง นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวต่อทันทีว่า
“ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ทุกท่านดื่มสุราสัตย์สาบานถ้วยนี้ ข้าพเจ้าหาได้บังคับผู้ใดไม่? เฉกเช่นเดียวกันสุราอาหารก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าก็มิได้บังคับทุกท่านดื่มกิน มีผู้ใดลองโคจรพลังลมปราณดูบ้างหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวคำพูดไว้เพียงนี้ ทุกคนเริ่มเอะใจในคำพูดของนางบ้างแล้ว ต่างลองโคจรลมปราณทดสอบดู ทุกคนล้วนร้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อลมปราณในร่างแตกซ่าน ไม่อาจรวมรั้งจุดศูนย์กลางท้องน้อยได้ นางมารเยือกเย็นเหยาส่งเสียงหัวร่อพอใจ กล่าวต่อว่า
“ความจริงพิษในร่างของพวกท่าน มันมิได้กระจายหรือมีอันตรายกระไร หากแต่พวกท่านใช้กำลังภายในเมื่อใด พิษร้ายภายในร่างจึงจะเริ่มส่งผล พิษร้ายจะกระจายทำอันตรายอวัยวะของพวกท่าน ในเวลาครึ่งชั่วยามอาจไม่ทรมานเท่าใดนัก แต่หลังจากนั้นทุกท่านจะรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงดั่งถูกเหล็กในของผึ้งนับร้อยนับพันรุมต่อย หากทุกท่านไม่เชื่อรอคอยให้ถึงเวลานั้น คงทรมานจนมิอาจทนทานรับได้”
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการชั่วของท่าน?”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือส่งเสียงกล่าวถาม นางมารเยือกเย็นเหยากล่าวสวนตอบว่า
“ถูกต้องเป็นแผนการของข้าพเจ้า ท่านเข้าใจว่าเป็นแผนการของผู้ใดเช่นนั้นรึ?”
“นางมารเยือกเย็นเหยาท่านช่างอำมหิตนัก แต่กระนั้นขอทานเฒ่าเช่นข้ายังมีเรื่องกังขาข้องใจ ในสุราอาหารล้วนไม่มีพิษ ข้าพเจ้าทดสอบดูก่อนแล้ว”
นางมารเยือกเย็นเหยาระเบิดเสียงหัวร่อออกมา จากนั้นกล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง ขอทานเฒ่าท่านเข้าใจได้ไม่ผิดเลย ในสุราอาหารย่อมไม่มีพิษ แต่บนผิวภาชนะ จอกสุรา ตะเกียบ พวกท่านได้ลองทดสอบดูก่อนหรือไม่?”
ผู้คนในที่นั้นต่างรีบจี้สกัดจุดสำคัญบนร่างเอาไว้ เพื่อป้องกันพิษกระจายในเวลาอันรวดเร็ว นางมารเยือกเย็นเหยาส่งเสียงกล่าวต่ออีกว่า
“ในเมื่อทุกท่านล้วนได้รับพิษ ยกเว้นผู้ที่มิได้ดื่มสุรารับประทานอาหาร ข้าพเจ้าคาดเดาว่าทุกท่านคงได้ดื่มกิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีน้ำใจยินดีมอบยาถอนพิษให้กับทุกท่าน ยาถอนพิษอยู่ในถ้วยสุราสัตย์สาบานเรียบร้อยแล้ว ทุกท่านสามารถดื่มกินได้ทันที นอกจากสุราถ้วยนี้จะช่วยขจัดพิษในร่างพวกท่านแล้ว ยังเป็นการยืนยันจากพวกท่านด้วยว่า ต่อจากนี้พวกท่านจะต้องฟังคำสั่งและปฏิบัติตาม ไม่ว่าสำนักมารสวรรค์และสำนักอสูรโลกันตร์ สั่งการสิ่งใดพวกท่านจะต้องปฏิบัติตามไม่อาจบิดพลิ้ว”
บรรยากาศภายในงานเริ่มแบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งสองฝ่ายชัดเจน วัดเส้าหลินเคลื่อนย้ายมารวมกับกลุ่มของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ติดตามมาด้วยสำนักกระบี่เขียว สำนักหอกมรกต สำนักสายลม สุดท้ายเป็นสำนักพิณสวรรค์
ส่วนที่เหลือแยกย้ายไปอีกฟากข้างหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักสี่ปีศาจ สำนักทะเลทราย สำนักทวนทอง สำนักดาบเงิน สำนักเหยี่ยวมังกร นอกจากนั้นเป็นเหล่าชาวยุทธ์ซึ่งมิได้สังกัดค่ายพรรคสำนักใดอีกจำนวนมาก
ฟากฝั่งที่เลือกข้างนางมารเยือกเย็นเหยา ต่างยกถ้วยสุราขึ้นกรอกดื่มจนเหือดแห้ง เมื่อทดลองโคจรลมปราณดูอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด ต่างแสดงสีหน้ายินดีออกมาโดยถ้วนทั่วกัน
ปีศาจแมงป่องเงินปึงคุ้น เจ้าสำนักสี่ปีศาจส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ขอบคุณนางมารเยือกเย็นเหยา ต่อจากนี้เราลงเรือลำเดียวกัน ท่านมีคำสั่งใดโปรดกล่าวได้มิต้องเกรงใจ”
จากนั้นลิ้มไต้เพ้งเจ้าสำนักทะเลทราย จงหยวนหยูเจ้าสำนักทวนทอง หนานลี้หลางเจ้าสำนักดาบเงิน เล้งทงทีเจ้าสำนักเหยี่ยวมังกร ต่างกล่าววาจาเฉกเช่นเดียวกันกับสำนักสี่ปีศาจ รวมทั้งบรรดาชาวยุทธ์ไม่สังกัดค่ายพรรค
ส่วนฟากฝั่งของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ มิมีผู้ใดยอมดื่มกินสุราสัตย์สาบานของนางมารเยือกเย็นเหยาแม้แต่ผู้เดียว เหนียงไช่เจ้าสำนักพิณสวรรค์ส่งเสียงกล่าวว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยา ต่อให้พวกเราต้องตายทรมาน แต่จะไม่ขอตกเป็นเครื่องมือของพวกท่านเป็นอันขาด”
“ถูกต้อง สำนักสายลมเฉกเช่นเดียวกัน”
บ้อหลงเจ้าสำนักสายลมส่งเสียงกล่าว จากนั้นเหลียงไฉ่เจ้าสำนักหอกมรกตกล่าวสนับสนุน ติดตามด้วยซู่หยงเจ้าสำนักหอกมรกต
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กวาดสายตาคมกริบดุจดั่งกระบี่ แถมทวีความคมกล้าทวีคูณ คล้ายจะเข่นฆ่าประหัตประหาร ทันใดนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดสีแดงพลันกระโดดปราดออกมา แล้วยืนเคียงข้างห่างจากนางมารเยือกเย็นเหยาไม่มากนัก
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564