Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เซียนสุราฉายาเมามายแปดทิศ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เซียนสุราฉายาเมามายแปดทิศ

  • 24/08/2565

ตอนที่ 132

เซียนสุราฉายาเมามายแปดทิศ

            ร่างของผู้เฒ่าผมยาวขาวโพลนที่โฉบลงมาจากหลังคาตึก เท้ายังมิทันสัมผัสพื้น สองมืองอนิ้วกลางดีดออก ก่อเกิดเป็นดรรชนีเสียงดังขวับเขวียว ถู่ฝูมิเคยเห็นแทบมิรู้จักกับเฒ่าชราผมขาวโพลนผู้นี้ แต่ดรรชนีของมันที่ใช้ดีดออกเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง

ถู่ฝูทิ้งร่างจ่านจือลงกับพื้นเวที พร้อมกับก้าวเท้าถอยหลังสับสนลนลาน เสียงขวับเขวียว ปง ปง ดังระรัวถี่ยิบดั่งข้าวตอกแตก พื้นเวทีตำแหน่งที่มันเพิ่งสาวเท้าก้าวพ้นมา ปรากฏเป็นช่องรูเท่าเหรียญอีแปะ ขณะที่มันก้าวเท้าถอยหลังรวดเร็วยิ่ง ช่องรูเท่าเหรียญอีแปะยิ่งปรากฏบนพื้นไม้เวทีติดตามเท้ามันมาห้างเพียงครึ่งเชี๊ยะ มันร่ำร้องคำรามขึ้นในใจ

ความจริงมันใช้ท่าเท้าเทวราชเส้าหลินออกจนสิ้นกำลังแล้ว แต่ปราณพลังจากดรรชนีของเฒ่าชราผมขาวโพลน ยังคงเปล่งอานุภาพมิสิ้นสุด มันเร่งเร้าวิชาตัวเบาให้ท่าเท้าเทวราชจนกระทั่งถึงขีดสุด จึงสามารถหลุดพ้นดรรชนีพลังสองสายไร้สภาพออกมาได้

หลังจากรอดพ้นพลังดรรชนี มันรีบถีบเท้าพุ่งร่างขึ้นกลางอากาศ อาศัยหยิบยืมพลังเปลี่ยนกระบวนท่ากลางอากาศ แล้วตีลังกากลับหลังออกไปถึงสองตลบ ก่อนจะทิ้งเท้าลงกับพื้นเวทีแถบหนึ่ง พร้อมกับหยัดยืนไม่ค่อยมั่นคงนักมันเซไปด้านหลังถึงสามก้าวด้วยกัน

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ทิ้งเท้าโดยผ่าเผยสง่าสวยงามอย่างยิ่ง จากนั้นหันมากล่าวกับถู่ฝู โดยที่เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนคล้ายกับมิเห็นมันอยู่ในสายตาปานนั้น

“หลวงจีนเส้าหลิน ดูท่านอายุยังเยาว์ แต่ทว่ากลับลงมือโดยอำมหิต รีบบอกกล่าวต่อเล่าฮูมา ท่านเป็นศิษย์ของหลวงจีนท่านใดในเส้าหลิน?”

ถู่ฝูมิกล้าดูแคลนเฒ่าชราผมขาวโพลน แม้นมันจะยังมิทราบว่าเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนเป็นคนจากสารทิศใด? มีประวัติความเป็นมาใหญ่หลวงสูงส่งในระดับใดในใต้หน้า มันรีบเปลี่ยนปฏิกิริยาจากเขื่องโขอวดดีเป็นสำรวมนอบน้อม ยกมือขึ้นปลายนิ้วชิดติดปลายคาง แล้วกล่าวตอบว่า

“เรียนต่ออาวุโสสูงส่ง อาตมามีนามว่าถู่ฝู เป็นศิษย์เอกของท่านเจ้าอาวาสคนก่อน ท่านต้าทงไต้ซือ มิทราบว่าอาวุโสมีนามอันเกรียงไกรใดในยุทธภพ”

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน โบกมือเป็นสัญญาณให้สี่คนด้านล่างพาร่างจ่านจือลงไป คนทั้งสี่มิรอช้ารีบขึ้นมาแล้วช่วยกันประคองร่างจ่านจือลงไปจากเวที จากนั้นเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนกล่าววาจาตอบว่า

“นามของเราคือนิรนาม เรานั้นจะเป็นสหายนิรนาม หรือศัตรูนิรนามขึ้นอยู่กับผู้ที่เรียกหา นามของเรามิควรค่ากล่าวว่าสูงส่งอันใด เราเป็นเพียงเฒ่าชราสามัญยิ่ง น่าเสียดายเส้าหลินมีศิษย์อำมหิตเช่นท่าน ชาวยุทธ์กล่าวขานยอมรับ ยกให้เส้าหลินเป็นเสาหลักยุทธภพ เป็นสำนักอันดับหนึ่งของบู๊ลิ้ม เพียงเพราะมีศิษย์มิเอาไหนใฝ่ชั่วเพียงไม่กี่รูป ถึงกับทำให้เส้าหลินเสื่อมเสียชื่อเสียงลงได้ถึงเพียงนี้”

ถู่ฝูหาได้ยินยอมอ่อนข้อต่อคำพูดของเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนไม่ ส่งเสียงกล่าวเข้าข้างตนเองว่า

“ถูกยกย่องให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งแล้วเป็นเช่นไร? หลวงจีนชราแม้มีวิชาแก่กล้า แต่ทว่าทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ปณิธานของอาตมา นอกจากนำพาเส้าหลินเป็นสำนักอันดับหนึ่งของยุทธภพแล้ว อาตมายังต้องการปกครองบู๊ลิ้ม มิใช่ทำตัวเช่นหลวงจีนชรา คอยแต่นั่งภาวนาสวดมนต์ไปวัน ๆ”

จากนั้นมันส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“ในอดีตมีปรมาจารย์ท่านหนึ่ง ได้รับการกล่าวขานยกย่องให้เป็นสุดยอดฝีมือ สำนักมีชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือเป็นอันดับหนึ่งในขณะนั้น สุดท้ายเป็นเช่นไร? อาตมาไม่อาจเป็นเช่นนั้น ท่านเมื่อไม่ประสงค์จะเอ่ยนามออกมา โปรดถอนตัวจากไป อย่าได้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของอาตมา”

จ่านจือเมื่อถูกประคองลงไปจากเวที บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ดูอาการแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายในสาหัสนัก กระดูกข้อมือและข้อเท้าถูกดรรชนีอรหันต์เส้าหลินหักสะบั้นไปสิ้น เอ็นมือเอ็นเท้ายังถูกดรรชนีนี้ทำลายเสียหายไปสิ้น ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น วิทยายุทธ์ของเขาถูกถู่ฝูทำลายหายไปหมดสิ้น

จ่านจือทราบดีว่าเขามีสภาพเป็นเช่นไร? ในขณะนี้ ได้แต่เพียงหวังพอจะรักษาลมหายใจ กลับไปกราบอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย กับคารวะหลุมฝังศพของป้าหนิวแม่บุญธรรมผู้ล่วงลับอีกสักครั้ง แต่ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสหรือไม่? ดังนั้นจึงส่งเสียงแผ่วเบาเอ่ยกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า

“เยี่ยนผิง ท่านมิต้องโศกเศร้าเสียใจไป นี่คงเป็นชะตาฟ้ากำหนดแล้ว บิดาท่าน มารดาท่าน รวมทั้งท่านเฉาลู่ฟาง หากข้าพเจ้าเป็นไรไป รบกวนพวกท่าน หยกเหินลมสองชิ้นนี้ นอกจากเป็นเบาะแสตามหากระบี่คู่วิเศษแล้ว หยกชิ้นหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเพิ่งได้มาจากแม่นางเอี้ยวเซียว ยังพอสืบหาน้องสาวฝาแฝดของข้าพเจ้า มิทราบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ารบกวน จะหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับพวกท่านหรือไม่?”

ทุกคนแม้โศกเศร้าเสียใจ แต่มิมีผู้ใดแสดงออกมา ต่างแสดงทีท่าเข้มแข็งให้กำลังใจ เพื่อต้องการให้จ่านจือเข้มแข็ง มีกำลังใจในการต่อสู้กับความเจ็บปวด เพื่อมีชีวิตรอด แม้จะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม

บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ส่งเสียงกล่าวว่า

“กระบี่คู่วิเศษ กระบี่สุริยันและจันทรา เราแม้ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อีกทั้งมิมีวาสนาได้สัมผัส แต่นั้นมันเป็นกระบี่คู่วิเศษ เป็นสุดยอดกระบี่ที่หายากที่สุดในใต้หล้า หากมีเบาะแสให้สืบหา คิดว่าสักวันพวกเราคงเสาะหามันพบ

จากนั้นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงเอ่ยกล่าวขึ้นมาบ้างว่า

“เซี่ยวจือ ส่วนน้องสาวฝาแฝดของเจ้าเล่า? มีจุดสำคัญอันใด? ให้สังเกตเป็นจุดเด่นบ้าง นอกเหนือจากหยกชิ้นนี้แล้ว”

จ่านจือแสดงอาการครุ่นคิด แต่เยี่ยนผิงโพล่งคำพูดออกมาก่อนว่า

“อาวุโสเซียว ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ท่านอาวุโสเซียวบ้อซัว เคยเล่าให้ข้าพเจ้ากับจ่านจือฟังว่า ท่านได้สลับทารกเพศหญิงในกลุ่มชาวบ้าน ก่อนที่จะสลับตัวนั้น ท่านใช้ลมปราณผ่านหยกชิ้นหนึ่ง ซึ่งคาดเดาว่าน่าจะเป็นหยกชิ้นที่จ่านจือได้มาจากแม่นางเอี้ยวเซียว ก่อนที่ท่านจะใช้หยกชิ้นนั้นประทับลงบนร่างของทารกหญิงนั้น ดังนั้นหากเราพบสัญลักษณ์หยกเช่นนี้บนร่าง เท่ากับเราพบน้องสาวฝาแฝดของเขาแล้ว”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แม้นจะยังมิทราบว่าทารกหญิงนางนั้น ถูกประทับหยกลงยังตำแหน่งใดในร่างกาย

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า

“จ่านจือ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออกมาได้ ตอนที่ท่านอยู่ที่ดอยตะวัน ท่านเคยเก็บหญ้ามังกรดำได้ สรรพคุณรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้วิเศษนัก ท่านได้นำติดตัวมาด้วยหรือไม่?”

จ่านจือได้ยินเช่นนั้นพลันนึกได้ ส่งเสียงกล่าวกับเฉาลู่ฟางว่า

“เฉาลู่ฟาง รบกวนท่านหยิบขวดยาในอกเสื้อออกมา ข้าพเจ้าบดหญ้ามังกรดำและทำเป็นเม็ดยา พกพาติดตัวมาตลอด หากเยี่ยนผิงไม่บอกกล่าวออกมา ข้าพเจ้าแทบลืมเลือนไปสิ้นแล้ว”

เฉาลู่ฟางรีบล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อจ่านจือ หยิบฉวยขวดยาออกมาขวดหนึ่ง ยื่นส่งให้แก่เยี่ยนผิง นางรับขวดยามาแล้วเทลงบนฝ่ามือเม็ดหนึ่ง เป็นเม็ดยาสีดำสนิท นางรีบป้อนใส่ปากให้แก่จ่านจือแล้วปิดปากขวด จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับนางว่า

“เยี่ยนผิง ท่านเก็บขวดยามังกรดำเอาไว้เถิด ข้าพเจ้ามิแน่นักว่าจะได้ใช้มันอีก อย่างน้อยท่านจะได้ใช้ช่วยเหลือคน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นบุญกุศลอีกทางหนึ่ง”

เยี่ยนผิงพยักหน้า รีบซุกขวดยาไว้ในแขนเสื้อ จ่านจือกล่าวต่ออีกว่า

“เยี่ยนผิง ต่อจากนี้ท่านคงต้องลำบากแล้ว ถู่ฝูมันทราบ อีกมินานผู้อื่นย่อมต้องทราบ หยกเหินลมอยู่กับท่าน มันจะต้องติดตามรังควานท่านแน่ แต่อย่างน้อยมันคงไม่คิดฆ่าท่าน เนื่องด้วยข้าพเจ้าหลอกมันว่า มีเพียงแต่ท่านนอกจากข้าพเจ้า ที่ทราบความลับเกี่ยวกับหยกนี้”

บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่พยักหน้าเห็นด้วยต่อคำพูดของจ่านจือ พร้อมกับกล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า

“มิผิด สมกับคำท่านว่า “คนมิผิด ผิดที่มีหยกติดตัว” ต่อไปโกวเนี้ยน้อยจะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ มิเพียงแต่มัน ภายหน้าชาวยุทธ์ที่ละโมบจะต้องรับทราบข่าวนี้อย่างแน่นอน”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าคิดไว้แล้วเช่นกัน แต่ข้าพเจ้าพอมีหนทางรับมือ และจะระมัดระวังตัวไว้ให้มาก พร้อมกับจะเก็บรักษาหยกเหินลมไว้ให้ปลอดภัยที่สุด หากจวนเจียนพลาดท่าหมดสิ้นหนทาง มีถ่ายเดียวคือทำลายหยกทิ้งไป”

จ่านจือได้ยินเช่นนั้นค่อยเบาใจ ด้วยเขารู้สึกเป็นห่วงนาง ในตอนแรกเขานึกว่าเยี่ยนผิงเข้าใจผิด คิดว่าเขากับสองดรุณีที่ล่วงลับ มีสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดกัน แต่เมื่อนางเข้าใจเขาจึงสบายใจขึ้นมาอีกมากโข

หลังจากกลืนกินยามังกรดำลงไปได้สักพัก จ่านจือรู้สึกว่าทุเลาอาการเจ็บปวดภายในขึ้นมาได้มาก ดังนั้นคนทั้งสี่จึงใช้เศษไม้กระดานจากพื้นเวทีที่แตกออก ช่วยกันดามกระดูกข้อมือและเท้าของเขา ตามคำบอกเล่าขั้นตอนที่จ่านจือกล่าวให้ทำตาม

เสร็จสรรพแล้ว คนทั้งสี่มองขึ้นไปบนเวที ชายชราผมยาวขาวโพลนกับถู่ฝูยังคงยืนประจันหน้ากัน จ่านจือรู้สึกขอบคุณอาวุโสท่านนั้นจากใจจริง แต่มิทราบว่าอาวุโสท่านนั้นเป็นผู้ใด? จึงเอ่ยถามสองสามีภรรยาแซ่เซียวว่า

“บิดา มารดาท่าน มิทราบว่าท่านทั้งสอง พอจะทราบและรู้จักอาวุโสผมยาวขาวโพลนท่านนั้นหรือไม่?”

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวตอบว่า

“เรายังนึกมิออก ว่าอาวุโสท่านนี้เป็นผู้ใด? แต่เป็นเพราะท่านเราจึงช่วยเหลือเยี่ยนผิงออกมาได้โดยปลอดภัย ท่านมิยอมบอกชื่อแซ่ ได้แต่เรียกตัวเองเป็นสหายนิรนาม”

บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ส่งเสียงกล่าวต่อบ้างว่า

“เราก็ไม่เคยเห็นอาวุโสท่านใด? มีหน้าตาและบุคลิกภาพเช่นนี้มาก่อนเลย”

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง บอกเล่าเรื่องราวว่านางพบเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ท่านคงเป็นผู้ที่ใช้เกาทัณฑ์ยิงออกมาจากในมุมลับ เพื่อช่วยเหลือสามีนางกับเฉาลู่ฟาง พร้อมกับบอกเล่าว่าท่านผู้เฒ่ามอบของสองสิ่ง ให้นำไปช่วยเหลือเยี่ยนผิงออกมา

“ท่านพี่ ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้เฒ่าดื่มสุราต่างน้ำปานฉะนั้น แต่ดูจากสภาพท่านผู้เฒ่าแล้ว มิมีอาการมึนเมาสุราแต่อย่างใด”

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงบอกให้สามีนางทราบ ว่าสหายนิรนามดื่มสุราต่างน้ำมากมายปานนั้น ไฉนท่านผู้เฒ่าจึงยังมีสติแจ่มใสไม่เมามาย

บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ แสดงสีหน้าครุ่นคิดมิค่อยมั่นใจเท่าใดนัก จากนั้นส่งเสียงเอ่ยกล่าว

“ในอดีตมีบุคคลผู้หนึ่ง ชื่นชอบการดื่มสุรา มิว่าจะเป็นสุราชนิดใด? เพียงได้กลิ่นสูดดม สามารถบ่งบอกออกมาว่าชื่อสุรานั้นไม่ผิดพลาด คนผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญในด้านสุรา จนชาวยุทธ์เรียกหาเป็นเซียนสุรา ฉายาเมามายแปดทิศ นามเชียงชุนชิว”

ทุกคนตั้งอกตั้งใจรับฟังคำบอกเล่าของบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ บัณฑิตประหลาดบอกเล่าต่อว่า

“เชียงชุนชิวชื่นชอบการดื่มสุรา ชื่นชอบการปรุงสุรา คิดค้นตำรับหมักบ่มสุราจนมีชื่อเสียงกระเดื่อง เนื่องด้วยชื่นชอบดื่มสุราแต่มิชื่นชอบการฝึกยุทธ์ ถึงแม้จะมิชื่นชอบการฝึกวิทยายุทธ์ แต่ในยามที่คนผู้นั้นเมามายมิได้สติ มักจะร่ายรำกระบวนท่าพิสดาร อีกทั้งลมปราณอีกแนวทางหนึ่งออกมา มิมีผู้ใดทราบว่าเชียงชุนชิวมีอาจารย์ท่านใด? ถ่ายทอดวิชาให้ แต่ในตัวเชียงชุนชิวพกพาคัมภีร์สุราอยู่เล่มหนึ่ง ดังนั้นชาวยุทธ์ทั้งหลาย เข้าใจว่าในคัมภีร์สุรา อาจมีสุดยอดวิชาบันทึกไว้ก็เป็นไปได้ สุดท้ายเชียงชุนชิวหายสาบสูญไปไร้ร่องรอย จนกระทั่งบัดนี้ยังมิมีผู้ใดทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

ทุกคนเมื่อฟังถึงตรงนี้ ต่างสรุปว่าอาจเป็นเชียงชุนชิวอยู่เก้าส่วน หรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นอย่างแน่นอน

บนเวทีเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ส่งเสียงกล่าวกับถู่ฝูว่า

“หลวงจีนท่านนี้ช่างมีวาจาสามหาวอวดดีนัก หากเฒ่าชราเช่นข้าพเจ้า มิยอมถอนตัวจากไป อีกทั้งยังจะสอดมือเข้าพัวพันเรื่องราวในคราวนี้ เส้าหลินมีศิษย์นอกรีตเยี่ยงนี้ เห็นทีเฒ่าชราจะต้องเปลืองเวลาไปเส้าหลิน สอบถามจากปากอาจารย์ท่านว่าไฉนจึงไม่อบรมสั่งสอนศิษย์”

ถู่ฝูโกรธกริ้วจนปลายคิ้วยาวชี้ชัน ใบหน้ามันแดงก่ำจนเกือบเขียวคล้ำ เรื่องราวชั่วช้าที่มันกระทำ ผู้เป็นอาจารย์ยังมิเคยทราบมาก่อน และมันจะให้ท่านทราบมิได้ เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนจะไปสอบถามจากปากต้าทงไต้ซือผู้เป็นอาจารย์ มันหรือจะยินยอมให้กระทำได้

สามในสี่บรรพชิตเส้าหลิน มันเองเป็นผู้ลงมือสังหารแล้วป้ายความผิดให้แก่จ่านจือ เมื่อได้ฟังเฒ่าชราตรงหน้ากล่าววาจาเช่นนั้น มันจึงคิดจะทดสอบพลังฝีมือ จะสูงส่งทัดเทียมสี่บรรพชิตเส้าหลินได้หรือไม่ดังนั้นมันส่งเสียงกล่าวต่อเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนว่า

“ในเมื่อท่านมิยินยอมบ่งบอกชื่อเสียงออกมา แสดงว่าท่านนั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนามอันใดให้กล่าวถึง ในยามนี้ทอดตาทั่วแผ่นดิน ยอดฝีมือที่พอจะมีชื่อเสียงให้กล่าวขวัญ มีเพียงเส้าหลิน ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ศิษย์ทั้งสี่ที่เหลือของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ขันทีชราราชสำนักหลิวซุ่นกงกง นอกจากนี้อาตมายังมิเห็นผู้ใด? ให้เปรียบเทียบคู่ควร เช่นนั้นอาตมาจะขอรับทราบ ฝีมือท่านจะเลิศล้ำหรือต่ำทรามสักปานใด?”

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน แสดงสีหน้าปลอดโปร่งไร้เรื่องราว ผมสีขาวราวเส้นไหมสะบัดพลิ้วไหวไปมาท้าสายลม จากนั้นส่งเสียงหัวร่อแล้วกล่าว

“หลวงจีนชั่วเช่นท่าน นอกจากกล้ากล่าววาจาสามหาวแล้วยังอวดดี ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เป็นผู้ทรงศีลกลับทำตัวชั่วช้าไม่มีความเมตตา เช่นนั้นเฒ่าชราเช่นข้าพเจ้าคงต้องออกแรงสั่งสอนบ้างแล้ว”

ถู่ฝูถือดีว่ามันเป็นศิษย์เอกของเส้าหลิน ตั้งแต่จำความได้มันฝึกวิทยายุทธ์กับเส้าหลินแล้ว เฒ่าชราผู้นี้มันมิเคยทราบว่าเป็นบุคคลจากสารทิศใด? ดังนั้นมันจึงเร่งเร้าลมปราณ ทะยานร่างเข้าหาเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนก่อนทันที

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนยังคงยืนสงบนิ่ง จนกระทั่งหนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือของถู่ฝูบรรลุถึง เฒ่าชราท่อนล่างยังคงมิเคลื่อนไหว ใช้เพียงการโยกลำตัวท่อนบนไปซ้ายขวาเท่านั้น หนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือของถู่ฝู เห็นแน่ชัดว่ามิพลาดเป้าอย่างแน่นอน เพียงกระบวนท่าธรรมดาโยกซ้ายขวาสองครา ถึงกับหลบพ้นกระบวนท่าที่เกรี้ยวกราดของมันได้

ถู่ฝูเมื่อกระบวนท่าแรกมิประสบผล รีบพลิกแพลงกระบวนท่าจู่โจมใส่สองขาของเฒ่าชราอย่างบ้าคลั่ง เท้าเทวราชเส้าหลินมันใช้ออกจนถึงขีดสุด เท้าขวาเตะกวาดวาดออกเป็นรูปวงกลมสองวงติดต่อกัน เฒ่าชราหมุนกายดั่งลูกข่างออกนอกวงกลมของเท้าเทวราชเส้าหลินของมัน แล้วพลิ้วร่างแผ่วเบาทิ้งเท้าห่างออกไปราวสี่ก้าวโดยปลอดโปร่ง

ถู่ฝูใช้ออกด้วยเท้าเทวราชเส้าหลินต่อเนื่องตามติด เท้าซ้ายใช้เคล็ดวิชาถ่วงพันชั่ง เหยียบเข้าใส่ไม้กระดานแผ่นหนึ่ง เสียงทึบเมื่อดัง ไม้กระดานแผ่นนั้นแตกหักหลุดออก ปลายด้านหนึ่งกระดกยกขึ้น มันบรรจุลมปราณสู่เท้าขวา ส่งผ่านไปที่กระดานไม้แผ่นนั้น กระดานไม้ธรรมดาพุ่งออกดั่งทวนยักษ์ แผ่นไม้ธรรมดากลายเป็นอาวุธสุดแหลมคม เสียงหวีดกรีดอากาศดังสนั่นลั่นเลื่อนดั่งอสนีบาตฟาดทลาย กระดานไม้กลายเป็นทวนยักษ์ พุ่งเข้าหาเฒ่าชราบริเวณกึ่งกลางลำตัว

ถู่ฝูกระหยิ่มยิ้มในใจ ใช้เคล็ดวิชาถ่วงพันชั่ง เหยียบแผ่นไม้กระดานใช้ออกดั่งทวนยักษ์รวดเดียวถึงสิบกว่าแผ่นด้วยกัน กระบวนท่าเท้าเทวราชเส้าหลิน เตะระรัวถี่ยิบเข้าใส่แผ่นไม้ใช้เป็นอาวุธสังหาร

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ลอยตัวขึ้นแล้วใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาพลิ้วบนยอดหญ้า เหยียบย่างดั่งบันไดเมฆ เฒ่าชราผมขาวร่างคล้ายไร้น้ำหนักบางเบา สองเท้าก้าวเหยียบแผ่นไม้ที่พุ่งเข้ามา วิ่งเข้าหาถู่ฝูอย่างแยบคายยิ่ง

ถู่ฝูเหนือความคาดหมายจนตะลึงลาน รีบพุ่งร่างไปด้านหลังสามสี่ก้าว ฝ่ามือใช้ออกด้วยวิชาฝ่ามืออรหันต์เส้าหลินต้านรับ เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนหลังจากเหยียบย่างแผ่นสุดท้ายของไม้กระดาน สองเท้าเตะสลับขวับ ๆกลางอากาศ เข้าใส่บริเวณใบหน้าถู่ฝู

มันเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ฟาดฝ่ามือออกสุดกำลังใช้สันมือต่างกระบี่ ฝ่ามือนี้หวังผลไว้ข้อเท้าชายชราต้องหักสะบั้น พลันมันต้องลอบร้องตระหนกตกใจ ชายชราผมขาวพลิกแพลงท่าร่างกลางอากาศ

ที่มันลอบร้องตระหนกตกใจ เนื่องด้วยมันเห็นชายชราลอยอยู่ตรงหน้าชัด ๆถนัดถนี่ แต่อยู่ดี ๆชายชราผมขาวเคลื่อนย้ายหายไปต่อหน้ามัน ขณะที่มันเหลียวซ้ายขวามองหาร่างชายชราอยู่นั้น ด้านหลังกระแสลมวูบวาบกระทบแผ่นหลัง มันหันขวับไป ไม่มีอันใดมีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

กระแสลมรุนแรงกระทบแผ่นหลังมันอีกแล้ว มันฟาดฝ่ามือกลับหลังกระชั้นชิดจนสุดกำลัง พร้อมกับผนึกลมปราณคุ้มครองกายหมุนร่างกลับมา ฝ่ามือมันฟาดใส่อากาศธาตุอีกระลอกหนึ่ง มันแทบร่ำร้องเป็นบ้าคลุ้มคลั่ง ทุกครั้งที่มันหันมากลับพบกับความเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่แผ่นหลังมันสัมผัสกระแสลมวูบวาบรุนแรง

นี่เป็นวิชากระบวนท่าอันใด? มันครุ่นคิดขึ้นในใจ หรือในยุทธภพมีวิชาพิสดารเช่นนี้ด้วย เมื่อมันคิดเช่นนี้รู้สึกสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว เท่ากับมันเพาะสร้างคู่มือเพิ่มขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง คู่มือที่มันไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลเช่นไร? มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับค่ายพรรคสำนักใด

ในยามสมองสับสนเขม็งตึงเครียด คู่มือน่ากลัวกว่าที่มันคาดคิดเอาไว้ มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงหายหัวไปไหน? มันขบคิด มันคิดอยู่ว่าในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน หากเพิ่มเยิ่นหว่อถิงมาคงช่วยคลายสถานการณ์ความตึงเครียดลงไปได้บ้าง แต่มันยังไม่เห็นเยิ่นหว่อถิงปรากฏตัว

เยิ่นหว่อถิงมันยังไม่ตื่น อีกทั้งมันยังมิฟื้นแถมยังเสียเลือดไปมากอย่างยิ่ง ยังนับว่าโชคดี ที่ถงถงและเกาเกา ช่วยกันแบกหามร่างมันมาไว้บนเตียง จากนั้นช่วยกันห้ามเลือดใส่ยาสมานแผล มิเช่นนั้นเลือดในร่างมันคงไหลออกมาหมดตัว

ตอนนี้เลือดของเยิ่นหว่อถิงหยุดไหลแล้ว บาดแผลของมันฉกรรจ์อยู่ไม่น้อย อวัยวะในร่างมันถูกตัดขาดไป ไม่อาจต่อติดได้อีกต่อไป เยิ่นหว่อถิงเมื่อมันฟื้นตื่นมา เห็นว่าสิ่งที่มันหวงแหนไม่อยู่กับตัวแล้ว มันจะรู้สึกเช่นไร

ถงถงและเกาเกา ต้องการสร้างความไว้วางใจ จึงยอมช่วยเหลือมัน ต่อไปจะได้ไม่ถูกสงสัย พร้อมกับเข้านอกออกในได้โดยง่ายดาย

ถู่ฝูเมื่อสู้ไม่ได้ใช่หาทางหลบหนี ในซอกเอวมันมีระเบิดควันอยู่ด้วยกันหลายลูก มันกำหนดแผนการขึ้นในใจแล้ว แต่ที่มันยังสงสัยใคร่รู้ ชายชราผมยาวขาวโพลนเป็นผู้ใดกัน? ชายชราหายตัวไปทิศทางใด

มันซัดขว้างระเบิดควันออกมาแล้วโดยรอบทิศทาง เมื่อกลุ่มควันเบาบางจางหาย ร่างของมันอันตรธานหายไปแล้ว เหลือเพียงเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนกำลังยกไหใบหนึ่ง ดื่มกินสุราโลกันตร์แดงอย่างปลอดโปร่ง ชายชรานั่งอยู่บนปลายเสาไม้ต้นหนึ่งซึ่งมันไม่ทันสังเกตเห็น

สองสามีภรรยาแซ่เซียว  เยี่ยนผิงกับเฉาลู่ฟาง ช่วยกันพยุงร่างจ่านจือขึ้น ทั้งสี่ประสานมือขอบคุณเฒ่าชราผมยาวขาวโพลน มีเพียงจ่านจือเพียงเอ่ยคำขอบคุณด้วยแขนถูกดามไม้ไว้นั้นเอง

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า

“เรียนอาวุโส พวกเราขอรับทราบนามท่านด้วยจะได้หรือไม่? ไว้ภายหน้าหากมีโอกาสข้าพเจ้ากับสามีจะได้คารวะสุราขอบคุณ เราทั้งหมดเป็นหนี้บุญคุณท่าน สหายนิรนามคงมิอาจเรียกแล้ว มิทราบว่าท่านอาวุโสจะสามารถบ่งบอกออกมาให้รับทราบได้หรือไม่?”

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลน ทิ้งร่างลงจากเสาไม้พลิ้วร่างแผ่วเบาลงไม่ห่างจากคนทั้งห้า แล้วกล่าววาจาตอบว่า

“เราแท้จริงสมควรเก็บตัวไม่ข้องแวะเรื่องราวยุทธจักรอีก แต่ด้วยรับปากสหายนิรนามท่านหนึ่งซึ่งคบหาเพียงไม่กี่ชั่วยาม ว่าจะยอมเป็นศิษย์ของมัน และจะดูแลคนของหุบเขาแทนมัน อีกทั้งจะติดตามหาศิษย์ทรยศของหุบเขา กระทั่งบัดนี้เรายังมิอาจทราบ ศิษย์ทรยศของหุบเขาหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด? ดังนั้นเราจึงต้องออกสู่ยุทธภพอีกครั้ง”

ชายชราผมยาวขาวโพลนหยุดกล่าววาจา ยกไหสุราขึ้นซดดั่งน้ำธรรมดาจากนั้นกล่าว

“จำเดิมก่อนที่เราจะเก็บตัวซ่อนกายในป่าเขาลึกลับ ครั้งสุดท้ายเราถูกจับตัวอยู่ที่สำนักอสูรโลกันตร์แห่งนี้ สุราโลกันตร์แดงเป็นเราหมักบ่มขึ้นมาเอง ตอนนั้นเราเอาแต่เมามายไม่สนใจฝึกยุทธ์ ดังนั้นจึงถูกมันจับตัวมากักขังอยู่หลายปี เมื่อเราหนีไปได้อีกทั้งรับปากสหายคุ้มดีคุ้มร้ายผู้หนึ่ง เราจึงเก็บตัวฝึกวิชาในคัมภีร์สุราและวิชาวานรของสหายผู้นั้น”

เฒ่าชราผมยาวขาวโพลนยกไหสุราดื่มไปอีกหลายอึกแล้วกล่าวสืบต่อ

“หุบเขาวานรแท้จริงมิได้สูญหายไป แต่ด้วยหุบเขาลึกลับซับซ้อน จึงมิมีผู้ใดเสาะหาได้พบ เราเก็บตัวอยู่ที่นั่นหลายสิบปี จนกระทั่งลืมเลือนไปแล้วว่าวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด? เรื่องราวที่รับปากสหายนิรนามยังไม่บรรลุ ดังนั้นเราจึงต้องออกท่องยุทธภพอีกครั้ง พวกท่านเรียกเราเป็นเซียนสุรา ฉายาวานรเมามายแปดทิศ นามเชียงชุนชิว”

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

           

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป