ตอนที่ 131
หนามยอกเอาหนามบ่ง
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง พุ่งร่างปราดเปรียวจุดหมายเป็นตึกใหญ่หลังนั้น อีกเพียงไม่กี่ก้าวจะบรรลุถึง สองมารฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถาถลันร่างเข้ามารับหน้า พร้อมกับมารฟ้าหม่าจิ้งเถากล่าวขึ้นว่า
“สถานการณ์ด้านนั้นเป็นเช่นไรบ้าง? ท่านประมุขน้อยจ่านจือใช่รับทราบแล้ว? น่ากลัวถู่ฝูมันมีแผนการอันตรายใหญ่หลวง เราทั้งสองล้วนเป็นห่วงท่านประมุขน้อย แต่ทว่าสถานการณ์ทางด้านนี้ ยังตกอยู่ในห้วงอันตรายคล้ายมิแตกต่างกัน ดังนั้นเราทั้งสองมิอาจแบ่งออกเป็นสองทางไปช่วยเหลือประมุขน้อยจ่านจือได้”
จากนั้นมารดินต้าเอ่อคากล่าววาจาต่อว่า
“นางแอ่นแดง เมื่อท่านมาย่อมประเสริฐ เราทั้งสองมิอาจเสนอหน้าโดยเปิดเผย พวกเราทั้งสองตัดสินใจใคร่ครวญดีแล้ว ต่อจากนี้ไปจะไม่มีชื่อสองมารฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา ให้เรียกเราทั้งสองเป็นถงถงกับเกาเกา พวกเราจะแฝงตัวคอยรับใช้พร้อมกับกับสืบสาวความเคลื่อนไหวภายในสำนักของพวกมัน”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงพยักหน้ารับทราบเข้าใจ แล้วกล่าวตอบว่า
“สถานการณ์จ่านจือเลวร้ายไม่ใคร่สู้ดีนัก ได้เพียงฝากความหวังไว้กับตาเฒ่าประหลาดกับเฉาลู่ฟาง จะมีหนทางคลี่คลายช่วยเหลือได้หรือไม่?”
จากนั้นเอ่ยถามต่อว่า
“เยี่ยนผิงเล่า? เยิ่นหว่อถิงจับนางไปทิศทางใด?”
มารดินต้าเอ่อคาหรือชื่อใหม่เป็นเกาเกา กล่าวตอบว่า
“เยิ่นหว่อถิง มันพาน้อยเยี่ยนผิง เข้าไปในห้องที่สามขวามือ คาดว่ายังมิเป็นเช่นไร? ท่านมาพอดีรีบเข้าไปช่วยเหลือนาง พวกเราทั้งสองจะคอยให้การช่วยเหลืออยู่ลับ ๆ มิทราบว่าท่านมีแผนการรองรับแล้วหรือไม่?”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวตอบว่า
“แผนการรองรับเราย่อมพอมี ยังนับว่าโชคดีมีสหายนิรนามท่านหนึ่งยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ดังนั้นหนทางรับมือยังคงมิหนักหนาสาหัสกระไรนัก? ดังนั้นข้าพเจ้าคงมิอาจชักช้า ต้องรีบรุดไปช่วยเหลือเยี่ยนผิงหากชักช้าจะมิทันการ”
กล่าวจบนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงพุ่งร่างเข้าไปในตึกใหญ่ในทันที จุดหมายเป็นห้องที่สามขวามือตามคำบอกของสองมารฟ้าดิน เมื่อนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงเข้าไปแล้ว ถงถงและเกาเกาทะยานร่างขึ้นสู่หลังคาตึกในทันทีเช่นกัน เพื่อคอยดูสถานการณ์และคอยช่วยเหลืออยู่ลับ ๆ
สุราโลกันตร์แดงชามที่สี่ถูกกระดกจนหมดชามแล้ว เยิ่นหว่อถิงลุกจากม้าหินอ่อนอย่างช้า ๆสายตายังคงจับจ้องอยู่บนเรือนร่างของเยี่ยนผิง มันก้าวเท้าช้า ๆเข้าหาตั่งเตียง มันหย่อนก้นลงนั่งยังขอบตั่งเตียงแล้ว มันเริ่มส่งเสียงพึมพำในลำคอว่า
“ในที่สุดท่านก็ตกเป็นของข้าพเจ้า ท่านช่างงดงามปานเทพธิดานางฟ้ามาจุติจากสรวงสวรรค์ก็มิปาน”
กล่าวจบมันเขยิบร่างเข้าไปใกล้นาง พร้อมกับเอื้อมมือหมายรั้งดึงสายรัดเอวของนางออก แต่ฉับพลันเบื้องนอกประตูมีเสียงเคาะเรียกแผ่วเบาขึ้นเสียก่อน มันเข้าใจว่าเป็นคนของมันมีเรื่องเร่งด่วนอันใด? รีบหยิบเสื้อคลุมสวมทับกระชับสายรัดเอว แล้วก้าวเท้าปราดออกไปยังประตูทันที เมื่อถึงหน้าประตูตวาดถามว่า
“เป็นผู้ใด? บังอาจมารบกวนเวลาของข้าเยิ่นหว่อถิง หากมิมีเรื่องด่วนสำคัญอันใด? ข้าจะมอบความตายให้ตอบแทนในทันที”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง แสร้งดัดสุ้มเสียงเป็นกังวานดั่งชายชาตรีกล่าวตอบว่า
“เรียนนายน้อย สถานการณ์ด้านนี้ย่ำแย่แล้ว ท่านถู่ฝูมีเรื่องเร่งด่วนให้รีบมาเรียนต่อท่าน”
แม้นเยิ่นหว่อถิงจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่เรื่องสำคัญของถู่ฝูนับว่าเป็นเรื่องสำคัญของมันด้วย ดังนั้นมันจึงรีบผลักประตูออกทันที
“ขวับ”
เสียง “ขวับ” พอดัง ผงฝุ่นเจือจางสีขาวขุ่นกระจายฟุ้งออก เยิ่นหว่อถิงมันมิทันระวังป้องกันตัว ด้วยคิดว่ามิมีผู้ใดคิดทำร้ายมัน มันตระหนกตกใจยิ่ง ส่งเสียงกล่าวถามเพียงว่า
“เป็นท่าน?!”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวตอบมันว่า
“ถูกต้อง เป็นข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้านำของสองสิ่งของท่านมาคืนให้”
เยิ่นหว่อถิงยังมิทันฟังคำตอบจนครบประโยค สายตาพร่าพรายเลือนรางก่อนแล้ว จากนั้นล้มพับลงกับพื้นหมดสติสัมปชัญญะไป
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง โยนพัดจีบกับขลุ่ยเงินไปบนร่างมัน จากนั้นพุ่งร่างเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว บนตั่งเตียงร่างเยี่ยนผิงยังนอนแน่นิ่ง เมื่อสภาพของนางยังคงเป็นเช่นเดิม เสื้อผ้ายังคงเรียบร้อยดี นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงค่อยคลายกังวลใจ แสดงสีหน้ายินดียิ่ง รีบตรงเข้าไปประคองศีรษะนางขึ้น พร้อมกับยัดเม็ดยาสีแดงซึ่งให้มาจากด้ามขลุ่ยเงินของเยิ่นหว่อถิงเข้าปากนาง
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เยี่ยนผิงเริ่มฟื้นคืนสติมา เมื่อลืมตาพบเบื้องหน้าเป็นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ค่อยคลายความกังวลใจและยินดีเป็นที่สุด รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า
“จ่านจือเล่า? เขาเป็นเช่นไรบ้าง?”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง รีบกล่าวตอบโดยมิปิดบังอำพรางว่า
“เซี่ยวจือยังคงมิเป็นเช่นไร? แต่ในไม่ช้าคิดว่าเขาคงไม่พบเรื่องราวอันดีอย่างแน่นอน”
เยี่ยนผิงโพล่งถามด้วยความร้อนใจว่า
“อาวุโส เกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกับเขาเช่นนั้นรึ?”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง บอกเล่าเรื่องราวแต่ต้น เยี่ยนผิงร้อนใจยิ่ง พอนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงบอกเล่าเรื่องราวจบ นางสวมใส่รองเท้าสองข้างเสร็จพอดี นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงเองรู้สึกเป็นห่วงจ่านจือไม่แพ้เยี่ยนผิงเช่นกัน แต่การช่วยเหลือเยี่ยนผิงย่อมสำคัญเช่นกัน ดังนั้นจึงเลือกที่จะมาช่วยเหลือเยี่ยนผิงจากมือเยิ่นหว่อถิงให้นางปลอดภัยเสียก่อน
ดังนั้นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกับเหยาเยี่ยนผิง รีบชักชวนกันออกจากห้องไป พอก้าวเท้ามาถึงหน้าประตูซึ่งเปิดอ้าอยู่ พบร่างเยิ่นหว่อถิงนอนมิได้สติอยู่กับพื้น เยี่ยนผิงขุ่นแค้นมันแสนสาหัส รู้สึกพลุ่งพล่านเดือดดาลเป็นการใหญ่ ใช้เท้าเตะประเคนไปที่ร่างมันเสียหลายเท้าระบายโทสะ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงเข้าใจความรู้สึกนางดี จึงมิได้ส่งเสียงห้ามปรามแต่อย่างใด แท้จริงสมควรฆ่ามันเสียด้วยซ้ำ
เยี่ยนผิงหันมากล่าวกับนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงว่า
“อาวุโส รบกวนท่านล่วงหน้าไปรอข้าพเจ้ายังด้านนอกก่อน อ้อ ข้าพเจ้ายังมีเรื่องรบกวนท่าน ข้าพเจ้าขอหยิบยืมมีดสั้นจากท่านด้วย”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงล้วงมีดสั้นในอกเสื้อ แล้วยื่นส่งให้แก่เยี่ยนผิง พร้อมกับกล่าวว่า
“เยี่ยนผิง เจ้าคงมิคิดฆ่ามัน?”
เยี่ยนผิงกล่าวตอบว่า
“คนอย่างมันมิสมควรตายง่ายดายเกินไป ข้าพเจ้าจะให้มันได้จดจำข้าพเจ้าจนขึ้นใจ อาวุโสโปรดวางใจมีดสั้นของท่าน มิอาจทำให้มันถึงแก่ชีวิตเด็ดขาด”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง พยักหน้ารับทราบ แล้วก้าวเท้าออกมายังเบื้องนอกหน้าตึกทันที ผ่านไปไม่นานเยี่ยนผิงวิ่งออกมา ยื่นส่งมีดสั้นแก่นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง พร้อมกับกล่าวว่า
“ขอบคุณอาวุโส สำหรับมีดสั้น และขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือข้าพเจ้าให้รอดพ้นเงื้อมมือมัน หากมิได้ท่าน ป่านนี้ข้าพเจ้าคงต้องจบสิ้นชีวิตตนเองแล้ว”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวตอบว่า
“ช่วยเหลือเจ้า ย่อมเป็นหน้าที่ของ...เราอยู่แล้ว อย่าได้เกรงอกเกรงใจให้มากเลย”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง นางเกือบหลุดปากไปแล้ว เกือบหลุดปากกล่าวคำมารดาออกไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำว่าเราได้ทันท่วงที เยี่ยนผิงนางเองมิได้สงสัยกระไร จากนั้นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวต่อว่า
“มีดสั้นนี้เรามอบให้เป็นของขวัญแก่เจ้า เห็นเจ้าปลอดภัยมิเป็นไรนับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว”
จากนั้นทั้งสองชักชวนกันไปยังลานกว้าง มิทราบว่าป่านนี้จ่านจือจะเป็นเช่นไรบ้าง
กล่าวย้อนไปบนเวที หลังจากนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงจากไปได้ไม่นาน การประลองกำลังภายในระหว่างจ่านจือกับถู่ฝูยังคงดำเนิน ยิ่งเวลาผ่านไปพลังถู่ฝูยิ่งเพิ่มพูน ตรงกันข้ามกับจ่านจือพลังวัตรกลับยิ่งลดน้อยถอยลง
ถูฝูสาดประกายสายตาเจิดจ้าดุจอินทรี พร้อมกับเร่งเร้าลมปราณในร่างจนถึงขีดสุด จากนั้นรวมรั้งไว้จุดกึ่งกลางท้องน้อย แล้วส่งผ่านขึ้นสู่หัวไหล่ทั้งสองออกสองฝ่ามือ เสียง “ปง” ดังสนั่นปานฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ปราณพลังไร้สภาพแตกกระจายออกรอบทิศทาง จนก่อเกิดเป็นคลื่นพลังม้วนโหมกระหนาบสี่ทิศแปดทาง
ร่างของจ่านจือกระเด็นออกไปดั่งว่าวหลุดลอยหลายวา ร่างพุ่งกระแทกเสาต้นหนึ่งของเวทีสนั่นครืนใหญ่ เสาไม้ต้นไม่ใหญ่ไม่เล็กกระไรนักหักโค่นล้มลง พร้อมกับร่างจ่านจือร่วงหล่นกระแทกพื้นเวทีเสียงดังครืน กระอักโลหิตออกมาจากปากสีแดงสดคำโต
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กับเฉาลู่ฟาง หลังจากพัวพันกับมือดีสิบกว่าคนด้านล่าง ถีบร่างลอยขึ้นบนเวที พุ่งตรงเข้าหาร่างจ่านจือ แต่ทว่ายังมิทันถึง ได้ยินถู่ฝูส่งเสียงตวาดดังก้องว่า
“ธูปในกระถางยังมิทันหมดดอก ผู้ใดก็มิอาจแตะต้องตัวประมุขจ่านจือได้”
เสียงตวาดจบลงพร้อมกับร่างถู่ฝู พุ่งเข้าสกัดขัดขวางทั้งสองเอาไว้ พร้อมกับใช้ออกด้วยเท้าเทวราช เตะกวาดกราดเกรี้ยวเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กับเฉาลู่ฟาง เกร็งพลังลมปราณลงปกป้องสองขา แต่ทว่ายังรับทราบว่ามิอาจคลี่คลายได้โดยง่ายดาย รู้สึกเจ็บแสบแปลบปลาบบริเวณสองขาจนชาวูบ
แม้นจะชาวูบบริเวณขาทั้งสองถึงฝ่าเท้า แต่ในมือบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กับเฉาลู่ฟางยังมีกระบี่ ดังนั้นทั้งสองพลิกแพลงข้อมือพาดขวางเสือกแทงกระบี่เข้าใส่หนึ่งบนหนึ่งล่าง ตำแหน่งทรวงอกกับท้องน้อย ถู่ฝูมันมิหลบหลีก ใช้วิชาเกราะอรหันต์เส้าหลินขึ้นปกป้องท้องน้อยและทรวงอกเอาไว้
พอปลายกระบี่ทั้งสองบรรลุถึง ปลายกระบี่สัมผัสถึงเกราะพลังคล้ายอ่อนหยุ่น คล้ายแข็งกร้าว อีกทั้งยังคล้ายมีคล้ายไม่มีพิสดารยิ่ง อีกทั้งปลายกระบี่ทั้งสองยังถูกพลังไร้สภาพรั้งดึงเอาไว้ ปลายกระบี่มิอาจสัมผัสร่างมันแม้แต่ปลายขน จากนั้นมันตวาดเสียงกังวานว่า
“ไป”
สิ้นเสียง “ไป” ของถู่ฝู ร่างของบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กับเฉาลู่ฟาง ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ รู้สึกเจ็บแสบง่ามมือจนปวดร้อนรุนแรง ทั้งสองรีบปล่อยกระบี่ทิ้งจากมือ ร่างยังมิทันพ้นขอบเวที เท้าเทวราชของถู่ฝูบรรลุมาถึง เสียงทึบหนัก ๆดังขึ้นพร้อมสองเท้าของถู่ฝู ประเคนเข้าใส่ถี่ยิบหลายสิบฝ่าเท้าด้วยกันจนละลานตา
ร่างของบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กับเฉาลู่ฟู พุ่งตามแรงเท้าเทวราชของมัน ทั้งสองคล้ายจะสำรอกอาเจียนน้ำย่อยออกมาจากกระเพาะลำไส้ รู้สึกจุกท้องน้อยจนส่งเสียงร้องมิออก
ขณะที่ร่างทั้งสองจะตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง ร่างของนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกับเหยาเยี่ยนผิงวิ่งเข้ามาถึง พร้อมกับแยกย้ายรับร่างของทั้งสองเอาไว้ได้ทันท่วงที แต่กระนั้นพลังที่แฝงมายังมิทันสลายคลี่คลายไป ส่งผลให้นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกับเยี่ยนผิงล้มไปกับพื้นดังครืนใหญ่ รู้สึกจุกแน่นรุนแรงบริเวณหน้าอกและท้องน้อย รีบผนึกลมปราณสลายคลี่คลายไป
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่กับเฉาลู่ฟาง กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ แต่มิถึงกับสาหัสกระไรนัก รีบรวบรวมลมปราณผสานจุดชีพจร เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายใน
เฉาลู่ฟางเมื่อเห็นเยี่ยนผิงปลอดภัย ค่อยโล่งใจหายกังวล ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เยี่ยนผิง ท่านมิเป็นเช่นไร?”
เยี่ยนผิงกล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง ข้าพเจ้าสบายดี มิเป็นเช่นไร? ต้องขอบคุณอาวุโสเซียว ที่รุดไปช่วยเหลือไว้ได้ทันท่วงที”
“จ่านจือเล่า?”
เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามต่อ
“ประมุขน้อยจ่านจือ น่ากลัวได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว”
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าตกใจ เพ่งมองขึ้นไปบนเวที เห็นร่างจ่านจือนอนกองอยู่กับพื้นเวที มุมปากปรากฏคราบโลหิต สีหน้าแสดงอาการเจ็บปวดรุนแรงยิ่ง เยี่ยนผิงเห็นเช่นนั้นแทบร่ำร้องออกมา ขยับร่างหมายกระโดดปราดเข้าไปหาจ่านจือ
บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ รีบส่งเสียงร้องห้ามไว้ก่อนว่า
“ช้าก่อนโกวเนี้ยน้อย อย่าได้วู่วามหุนหันไป นอกจากไม่สามารถช่วยเหลือเซี่ยวจือแล้ว โกวเนี้ยน้อยเองจะประสบเหตุเภทภัยใหญ่หลวงแล้ว หลวงจีนเส้าหลินผู้นั้นมันอำมหิตเกินไปแล้วจริง ๆมิสู้ยอมอ้อนวอนขอร้องมันให้ละเว้นชีวิตจ่านจือ น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ภายภาคหน้ายังไม่สายค่อยแก้แค้นตอบตอบแทนมัน”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง เห็นด้วยกับคำพูดของสามีนาง จึงรีบเอ่ยกล่าวต่อทันทีว่า
“เราเห็นด้วยต่อคำพูดของตาเฒ่า จ่านจือได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งภายในร่างยังมียาสลายพลัง หากพวกเราหุนหันกระตุ้นมันให้กราดเกรี้ยว แล้วมันพลันลงมือดุดันสุดกำลัง ลมหายใจที่เหลือของจ่านจือ จะมีถือว่าริบหรี่กว่านี้แล้ว”
บนเวทีถู่ฝูสาวเท้าเข้าหาร่างจ่านจือ มันหยุดยืนห่างเพียงสี่ห้าก้าว แล้วส่งเสียงเย้ยหยันกล่าว
“นึกมิถึง ประมุขน้อยจ่านจือ ท่านก็มีเช่นวันนี้ด้วย ตัวยาสลายพลังเพียงทำให้พลังท่านสิ้นสูญ แต่ทว่าอาตมาเป็นบรรพชิตคิดจะส่งเสริมประมุขน้อยให้ถึงที่สุด จึงได้ทำลายจุดชีพจรตลอดทั้งร่าง อีกทั้งยังทำลายวรยุทธ์สิ้นสูญสลายสิ้น”
หลวงจีนเส้าหลินสาดประกายสายตาดุร้ายทำลายขวัญผู้คน มันจับจ้องมองจ่านจือดั่งต้องการสะกดเขาไว้กับที่ คล้ายกับว่าเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับมันมาแต่ปางก่อน จ่านจือคล้ายสูญสิ้นเรี่ยวแรง แม้แต่จะพยุงกายลุกขึ้นยังไม่สามารถจะกระทำได้ จึงส่งเสียงราบเรียบกล่าวกับมันว่า
“ข้าพเจ้าตายไปไม่เสียดายชีวิต แต่คนทั้งสี่มิได้มีความแค้นใดกับท่าน ถือว่าข้าพเจ้าจ่านจือขอร้องต่อท่าน โปรดปล่อยพวกเขาไปโดยปลอดภัยด้วยเถิด”
ถู่ฝูส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“น้ำใจประมุขน้อยจ่านจือช่างประเสริฐนัก ชีวิตตนเองกลับมิร้องขออ้อนวอน กลับมีน้ำใจห่วงชีวิตผู้อื่นก่อน อาตมาถู่ฝูต้องดูก่อนว่า ประมุขน้อยจ่านจือมีสิ่งของมีค่าอันใด? ให้อาตมายินยอมเปลี่ยนใจ ไว้ชีวิตพวกมันทั้งสี่ได้”
จ่านจืออาเจียนโลหิตออกมาอีกคำใหญ่ คิดแล้วตนคงมิอาจมีชีวิตรอดสืบไป ห่วงแต่เยี่ยนผิง บิดามารดาบุญธรรมกับเฉาลู่ฟาง พวกเขาจะพลอยมาติดร่างแหอำมหิตนี้ไปกับเขาด้วย
ตัวตายไม่เสียดายชีวิต คิดแต่จะช่วยเหลือพวกเขาทั้งสี่ให้ปลอดภัยได้เช่นไร? พลันนึกถึงหยกเหินลมซึ่งห้องคอไว้ หยกสองชิ้นนี้พอจะเป็นสิ่งต่อรอง ร้องขอชีวิตของคนทั้งสี่เอาไว้ได้ แต่จะให้มอบให้แก่มันกับมือ ยังมิอาจเชื่อถือได้ว่ามันจะรักษาสัตย์
ดังนั้นจึงดำเนินแผนการในใจ ใช้โอกาสนี้พลิกสถานการณ์ อาจช่วยเหลือชีวิตของคนทั้งสี่เอาไว้ได้ คิดได้เช่นนั้นจึงส่งเสียงกล่าว
“สิ่งของมีค่าที่พอเป็นเบาะแสสืบหากระบี่คู่วิเศษ กระบี่สุริยันและจันทรา มีค่าเพียงพอจะแลกเปลี่ยนกับคนทั้งสี่ไว้ได้หรือไม่?”
ถู่ฝูพอได้ฟังคำว่ากระบี่คู่วิเศษ มันถึงกับหูผึ่งส่งประกายสายตาตื่นเต้นยินดีออกมา หัวใจมันคับพองโต มันให้ความสนใจในคำพูดของจ่านจือขึ้นมาบ้างแล้ว
คราก่อนเกิดศึกแย่งชิงกระบี่อัคคีน้ำค้าง มันพลาดท่าผิดหวังไปแล้วครั้งคราหนึ่ง ครั้งนี้เมื่อได้ยินว่ามีสิ่งของสำคัญที่จะพอเป็นเบาะแสสืบหากระบี่คู่วิเศษได้ มันรีบส่งเสียงกล่าวถามขึ้น
“สิ่งของมีค่าอันใด? ใช่กระบี่อัคคีน้ำค้างหรือไม่?”
จ่านจือกล่าวตอบว่า
“นั่นเป็นเพียงเบาะแสหนึ่ง ซึ่งอาศัยเพียงกระบี่อัคคีน้ำค้าง มิสามารถสืบหากระบี่คู่วิเศษจนพบได้ หากว่าท่านยอมปล่อยพวกเขาทั้งสี่ไป ไม่แน่นักข้าพเจ้าจะยอมเปิดเผยออกไป ว่าเป็นสิ่งของมีค่าอันใด? ในการใช้สืบหากระบี่คู่วิเศษ”
ถู่ฝูรีบส่งเสียงกล่าวสวนว่า
“เช่นนั้นประมุขน้อยจ่านจือรีบบอกออกมา หากว่าสิ่งของมีค่าที่เอ่ยถึง สามารถเฉลยแหล่งที่ซ่อนกระบี่คู่วิเศษ อาตมาจะยอมไว้ชีวิตคนทั้งสี่ไป”
จ่านจือใคร่ครวญถ้วนถี่แล้วกล่าวกับมันว่า
“ก่อนที่ข้าพเจ้าจะบอกกล่าวกับท่าน ขอข้าพเจ้าได้สนทนากับแม่นางเยี่ยนผิงไม่กี่ประโยค หากท่านมัวชักช้าข้าพเจ้าตายไป เบาะแสที่เหลือไว้ คงถูกฝังไปกับร่างของข้าพเจ้าแล้ว”
ถู่ฝูดูจากอาการบาดเจ็บของจ่านจือนับว่าสาหัสนัก ดังนั้นเห็นด้วยต่อคำกล่าวของเขาเมื่อครู่ จึงรีบส่งเสียงกล่าวกับเยี่ยนผิงเบื้องล่างว่า
“โกวเนี้ยน้อย ประมุขน้อยจ่านจือ ใคร่ต้องการสั่งคำอำลากับโกวเนี้ยสักประโยค จงรีบขึ้นมาอย่าได้ชักช้า”
เยี่ยนผิงได้ยินเช่นนั้น พุ่งร่างปราดขึ้นบนเวที พอทิ้งเท้ารีบเข้าไปประคองร่างจ่านจือไว้ แล้วส่งเสียงละล่ำละลักกล่าวถามด้วยความรักห่วงใยว่า
“จ่านจือ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? ดูท่านบาดเจ็บหนักหนาสาหัสนัก หากไม่เป็นเพราะข้าพเจ้า ท่านคงมิประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ จ่านจือท่านมีสิ่งใด? จะกล่าวกับข้าพเจ้าเช่นนั้นรึ?”
จ่านจือบอกใบ้ให้เยี่ยนผิงเอียงหูเข้ามาใกล้ ๆจากนั้นกระซิบที่ริมโสตแผ่วเบากับนาง มีเพียงนางกับเขาที่ได้ยิน จากนั้นเขาลอบกระตุกหยกเหินลมที่คอ ยัดใส่ใจกลางฝ่ามือนางเอาไว้ โดยที่ถู่ฝูมันยังมิทันสังเกตเห็น จากนั้นเขาบอกให้เยี่ยนผิงลงจากเวทีไป เมื่อเยี่ยนผิงพลิ้วร่างลงไปรวมกับสองสามีภรรยาแซ่เซียวกับเฉาลู่ฟางแล้ว จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับถู่ฝูว่า
“สิ่งของมีค่า ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่แม่นางเยี่ยนผิงแล้ว มีแต่ข้าพเจ้ากับนางที่ทราบ หากท่านคิดใช้กำลังทำร้ายนาง มีแต่ให้นางทำลายสิ่งของสำคัญนั้นไป
ถู่ฝูรู้สึกโกรธเกรี้ยวกราดปานน้ำเดือด ไม่คิดว่าจะพลาดท่าในวาระสุดท้ายให้จ่านจือ แต่มันยังโหดเหี้ยมกว่าที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้ มันพุ่งร่างเข้าหาจ่านจือพร้อมกับตะปบร่างเขาขึ้น แล้วงอนิ้วใช้วิชาดรรชนีอรหันต์เส้าหลิน พลังดรรชนีแข็งแกร่งดุจคีบเหล็ก มันบีบข้อมือขวาจ่านจือแล้วตวาดดังว่า
“โกวเนี้ยน้อย มอบสิ่งของมีค่าชิ้นนั้นออกมา มิเช่นนั้นอาตมาจะตัดชีพจรหักกระดูกข้อมือข้อเท้าประมุขน้อยให้หมดสิ้น ถึงแม้นไม่ตายก็เป็นได้แค่คนพิการ โกวเนี้ยน้อยท่านจงตัดสินใจเลือกเอาเถิด”
ถู่ฝูมันมิได้พูดเพียงถ่ายเดียว เกร็งกำลังใส่ง่ามนิ้วมือ ใช้ดรรชนีอรหันต์เส้าหลินหักกระดูกข้อมือจ่านจือเสียงดังกรอบ เยี่ยนผิงตระหนกตกใจยิ่ง ถู่ฝูมันลงมือซ้ำตามติด หักข้อมือซ้ายของจ่านจือหักไป
จ่านจือแม้เจ็บปวดแสนสาหัสทรมาน กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมา
เยี่ยนผิงยกชูหยกเหินลมขึ้นตรงหน้าส่งเสียงตวาดว่า
“หลวงจีนชั่ว หากท่านยังไม่หยุดมือ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะทำลายหยกเหินลมสองชิ้นนี้ไป”
ถู่ฝูส่งเสียงก้องกังวาน ตวาดกลับไปว่า
“โกวเนี้ยน้อย ท่านหรือจะกล้ากระทำดั่งคำพูด”
กล่าวจบมันใช้ดรรชนีอรหันต์เส้าหลิน หักกระดูกข้อเท้าทั้งสองของจ่านจือไป
มันส่งเสียงตวาดก้องดั่งพยัคฆ์คำรามว่า
“โกวเนี้ยน้อย รีบส่งหยกสองชิ้นนั้นมา มิเช่นนั้นประมุขน้อยจ่านจือ ต้องหยุดหายใจไปในบัดดล”
สิ้นเสียงตวาดของมัน มีเสียงหนึ่งส่งเสียงหัวร่อก้องกังวาน พร้อมกับร่างหนึ่งโฉบบินลงมาจากหลังคาตึก เสื้อยาวสีเทาซีดสะบัดลมดังพึบพับ คล้ายปักษาตัวมหึมา เส้นผมขาวโพลนบนศีรษะสยายพลิ้วไปกับสายลม ร่างยังมามิถึงแต่เสียงบรรลุมาถึงก่อนแล้ว
“ฮา ๆหลวงจีนเส้าหลินทำตัวนอกรีตอาบัติ กล่าววาจาเขื่องโขต่อหน้าเล่าฮู ต้องขอพิสูจน์ทราบความสูงต่ำของพลังฝีมือ ว่าจะร้ายกาจดั่งวาจาเขื่องโขที่ผายได้หรือไม่?”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564