ตอนที่ 108
พบพานศัตรูเก่า
ในค่ำคืนนั้นในขณะที่บนเขาหมื่นเซียนเกิดเรื่องราว ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วนำทารกแฝดทั้งสองมารอพบกับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเร่งรีบเดินทางออกจากเขตเขาหมื่นเซียน
ส่วนอีกด้านหนึ่งชุดดำซึ่งทราบว่าเป็นคนของเส้าหลิน ได้นำพาทารกหลบหนีออกจากเขาหมื่นเซียนอีกด้านหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดทราบว่า ทารกนั้นถูกเลี้ยงดูอยู่สถานที่ใด? และอยู่กับผู้ใด
ส่วนยายเฒ่าหมื่นพิษกับสามีของนางฝ่านอี้เฉิน ทั้งสองหอบหิ้วทารกแฝดออกเดินทางให้ห่างไกลจากสายตาชาวยุทธ์ แต่ในระหว่างทางกลับพบกับยอดยุทธ์หญิงนางหนึ่ง นางเห็นทั้งสองหอบหิ้วเด็กทารกท่าทางน่าสงสัย ดังนั้นจึงได้เข้าไปไต่ถามว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกเต้าของผู้ใด? ยายเฒ่ากับตาเฒ่ากลัวเรื่องนี้จะถูกเปิดเผยออกไป จึงคิดจะลงมือสังหารยอดยุทธ์หญิงท่านนั้น
ยายเฒ่ากับตาเฒ่าจึงร่วมแรงกันลงมือ แต่หาคาดคิดไม่ยอดยุทธ์หญิงท่านนั้น ฝีมือสูงล้ำสุดหยั่งคาด ทำเอาสองสามีภรรยาแทบรักษาชีวิตเอาไว้มิได้ สุดท้ายทิ้งทารกแฝดไว้แล้วรีบหลบหนีเอาตัวรอด ตั้งแต่บัดนั้นมา ยังไม่ได้ข่าวคราวของทารกแฝดคู่นั้นอีกเลย
หลังจากสำนักตำหนักหมื่นเทพล่มสลาย ศิษย์ทั้งห้าต่างเร้นกายหนีหายจากยุทธจักร สภาพบ้านเมืองในช่วงนั้นล้วนเต็มไปด้วยไฟสงคราม ดังนั้นยุทธภพจึงดูคล้ายสงบเงียบอยู่พักหนึ่ง
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วเล่าเรื่องราวถึงตอนนี้ จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับหลิวกงกงว่า
“เรื่องราวที่ข้าพเจ้ายายเฒ่าเนี๊ยะทราบมา ล้วนเล่าออกมาหมดสิ้นแล้ว ที่เหลือพวกท่านสืบหาร่องรอยกันเอาเถิด ส่วนทารกแฝดคู่นั้นหากต้องการทราบเบาะแสแล้วละก็ คงมีเพียงผู้เดียวที่ทราบ นั่นคือยอดฝีมือที่ต่อสู้กับข้าพเจ้า ตอนที่นำพาเด็กทั้งคู่หลบหนีไป”
“มิทราบว่ายอดฝีมือที่ท่านกล่าวถึงท่านนั้นมีนามสูงส่งว่ากระไร?” หลิวซุ่นกงกงส่งเสียงกล่าวถามต่อยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว
“เรื่องชื่อเสียงเรียงนามของยอดฝีมือท่านนั้น ข้าพเจ้าเองไม่อาจทราบได้? ทราบแต่เพียงว่านางเป็นสตรีที่งดงามยากพบพานในใต้หล้า แม้ในตอนนั้นยอดคนท่านนั้นจะอาวุโสมากแล้ว แต่ยังหลงเหลือร่องรอยของความงดงามไม่เสื่อมคลาย ตอนนี้ข้าพเจ้ายายเฒ่าเนี๊ยะสามารถไปจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าได้แล้วหรือไม่?”
ยายเฒ่หมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกล่าวตอบ แล้วกล่าวถามว่าตนจะออกไปจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าได้แล้วหรือไม่
“ยายเฒ่าเนี๊ยะท่านจากไปได้ แต่หากคราวหน้า ข้าพเจ้าหลิวซุ่นจะไม่ไว้ไมตรีต่อท่านโดยเด็ดขาด หากเรื่องราวที่ท่านเล่ามาทั้งหมดเป็นความจริง นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนักที่จะช่วยสืบหาลูกแฝดของเหวินอี้ ทายาทรุ่นหลานของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพ”
หลิวซุ่นกงกงส่งเสียงกล่าวกับยายเฒ่าเนี๊ยะซิ้วว่านางจากไปได้ และกล่าวปิดท้ายว่าคำบอกเล่าของนางมีประโยชน์มากมายหากเป็นความจริง ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วได้ยินเช่นนั้น พุ่งร่างจากไปจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้าในทันที ก่อนที่ร่างจะลาลับขอบหลังคาตึก นางส่งเสียงกล่าวส่งท้ายว่า
“ทุกเรื่องราวที่ข้าพเจ้ากล่าวล้วนเป็นความจริงทุกประการ เด็กแฝดคู่นั้นมีสมบัติติดกายคนละชิ้น หากสายตาข้าพเจ้ามิได้ฝ้าฟางในตอนนั้น เห็นเป็นหยกเหินลมรูปร่างคล้ายคลึงกัน นี่อาจเป็นหลักฐานสำคัญในการสืบหาตัว ข้าพเจ้ายายเฒ่าเนี๊ยะขอตัวก่อนแล้วค่อยพบเจอกัน”
แล้วร่างของยายเฒ่าเนี๊ยะซิ้วได้กลืนหายไปกับอากาศธาตุ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงหันมาเขย่าแขนของบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ด้วยความยินดี จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ท่านพี่ หากเรื่องราวที่ยายเฒ่าเนี๊ยะซิ้วเล่าเป็นความจริง ลูกของเราทั้งสองคือบุตรีของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี่ยะเหยียนนั่นเอง”
“น้องหญิง ข้าพเจ้าเองภาวนาให้เรื่องที่นางเล่าเป็นความจริง หากเป็นเช่นนั้นลูกของเราคือแม่หนูเยี่ยนผิงนั่นเอง” บัณฑิตประหลาดเซียวเหยาเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความยินดีเช่นกัน
“ข้าพเจ้าหลิวซุ่นกงกงขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งสอง ที่ทราบว่าลูกซึ่งไม่ได้พบพานกันคือแม่หนูเยี่ยนผิง เด็กน้อยผู้นี้แม้ถูกเลี้ยงดูโดยนางมารเหยา แต่เท่าที่ข้าพเจ้าคบหาสนทนากับนาง ความจริงเด็กน้อยผู้นี้นับว่ามีจิตใจดีงาม แม้การกระทำในบางครั้งคล้ายกับมารอธรรมอยู่บ้าง แต่นั่นอาจเป็นเพราะถูกเลี้ยงดูอยู่ในพรรคมารตั้งแต่เล็ก ต่อจากนี้ท่านทั้งสองจะกระทำเช่นไรต่อไป?”
หลิวซุ่นกงกงส่งเสียงแสดงความยินดีแก่สองสามีภรรยา แล้วกล่าวว่าแท้จริงแล้วเยี่ยนผิงมิได้เป็นชั่วช้าดั่งเช่นการกระทำก่อนหน้านั้น แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นเช่นนั้น จากนั้นกล่าวถามว่าต่อจากนี้สองสามีคิดจะกระทำเช่นไรต่อไป
“เรื่องนี้ไม่อาจวู่วาม เพียงทราบว่าลูกของเราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่นับว่าเป็นข่าวดีที่สุดแล้ว ต่อจากนี้คงต้องทำความรู้จักสนิทสนมกับนางให้มากยิ่งขึ้น แต่การที่จะบอกกล่าวต่อนางออกไปตรง ๆ ว่าเราสองสามีภรรยาเป็นผู้ให้กำเนิดนาง เกรงว่าจะสร้างความตกใจให้แก่นาง และอาจทำให้นางเตลิดหนีไปย่อมเป็นไปได้”
นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวตอบ หลิวซุ่นกงกงเองเห็นด้วยต่อคำพูดนาง เมื่อสนทนากันครู่หนึ่ง หลิวซุ่นกงกงชักชวนให้สองสามีภรรยา พักอาศัยอยู่ที่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทาง ส่วนหัวหน้าตึกทั้งสามที่ได้รับบาดเจ็บ หลิวซุ่นกงกงให้คนตามหมอมาดูอาการ และรักษาอาการบาดเจ็บจนไม่น่าต้องเป็นห่วงอะไร สองสามีภรรยาเห็นว่าหลิวซุ่นกงกงเองมีน้ำใจ หากไม่ได้ท่านช่วยคงไม่ได้เบาะแสของลูกน้อย ดังนั้นจึงรับปากว่าจะพักอาศัยอยู่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าสักระยะหนึ่ง
ทางด้านถู่ฝูหลังจากเดินทางไปสำนักอสูรโลกันตร์ เมื่อทำความเข้าใจกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันแล้ว ได้ข้อสรุปว่าทั้งสองฝ่ายยังคงร่วมมือต่อกัน ดังนั้นในวันนี้ถู่ฝูจึงได้ล่ำลาเจ้าสำนักอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกลับวัดเส้าหลิน หลังจากออกมาจากวัดเส้าหลินเป็นเวลาหลายวัน หากชักช้าเนิ่นนานเกรงว่าจะสร้างความสงสัยให้แก่เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือได้
เมื่อถู่ฝูจากไปได้ไม่นาน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนได้เดินทางเข้าพบกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ส่วนเรื่องที่เข้าพบในครั้งนี้คงเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ที่นางมารและเจ้าอสูรครอบครองอยู่คนละครึ่งเล่มนั้นเอง
“พี่รอง อาการของท่านทุเลาหายดีแล้วหรือไม่?” นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนส่งเสียงกล่าวถามเมื่อเจอหน้าเจ้าอสูรโลกันตร์
“อาการของข้าพเจ้าไม่น่าเป็นห่วง ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติดีแล้ว เรื่องที่ข้าพเจ้าให้ท่านไปคิดว่าวิธี ไม่ทราบว่าคิดออกแล้วหรือไม่?” เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกล่าวตอบ แล้วกล่าวถามว่าเรื่องที่ให้ไปคิดหาวิธีคิดออกแล้วหรือไม่
“ที่ข้าพเจ้าเดินทางมาพบพี่รองด้วยเรื่องนี้ หลังจากคิดว่าวิธีอยู่นาน ข้าพเจ้านึกได้วิธีหนึ่ง ไม่ทราบว่าพี่รองจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”
“ไหนเจ้าลองบอกกล่าวออกมา” เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันส่งเสียงกล่าวถาม
“พี่รองกับข้าพเจ้ามีคัมภีร์ยุทธ์อยู่คนละครึ่งเล่ม และการที่จะฝึกได้นั้นจะต้องฝึกพร้อมกันจึงจะสำเร็จ ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าพี่รองกับข้าพเจ้าหาสถานที่ลับตาสักแห่ง? แล้วเก็บตัวฝึกวิชาในคัมภีร์ด้วยกัน หากมีสิ่งผิดพลาดจะได้ช่วยเหลือแก่กันได้”
“ข้าพเจ้ากับท่านร่วมฝึกฝนด้วยกันนับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว ส่วนสถานที่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าพเจ้าได้เตรียมเอาไว้แล้ว คิดว่าอย่างเร็วใช้เวลาสามเดือน อย่างช้าใช้เวลาหกเดือนจึงจะสามารถฝึกสำเร็จ น่าเสียดายที่เราทั้งสองมีเพียงตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณคนละสองเม็ด แต่กลับไม่ทราบได้ว่าดีงูมรกตเก้าหัวคือสิ่งวิเศษใด? มิฉะนั้นถ้าได้สิ่งนั้นมาด้วยแล้ว จะช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรได้ถึงสามสิบปีเลยทีเดียว”
เจ้าอสูรโลกันตร์กล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับวิธีของนางมารเยือกเย็น และเขาได้ตระเตรียมสถานที่เอาไว้สำหรับเก็บตัวฝึกวิชาเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังกล่าวถึงเม็ดยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่แย่งชิงมาจากไป่ชิง กับมู่เหอว่า หากได้ดีงูมรกตเก้าหัวมาด้วย คงช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรได้ถึงสามสิบปี แต่น่าเสียดายจนป่านนี้ยังไม่มีผู้ใด?ทราบว่าที่แท้ดีงูมรกตเก้าหัวเป็นสิ่งวิเศษใดกันแน่
“ถูกต้องแล้วพี่รอง ข้าพเจ้าเองก็สืบหาเบาะแสของดีงูมรกตเก้าหัวเช่นกัน แต่บัดนี้ยังคงมืดแปดด้านไม่ทราบว่าเป็นสิ่งวิเศษใดกันแน่? มีเพียงแต่อาจารย์ของเราที่ทราบเรื่องนี้ น่าเสียดายหากในตอนนั้นเราสอบถามความลับเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน ป่านนี้คงไม่สร้างปวดหัวให้แก่ข้าพเจ้ากับพี่รองแล้ว”
“เอาเถิด เรื่องของดีงูมรกตเก้าหัวพักเอาไว้ก่อน ถึงเช่นไรเราครอบครองตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณอยู่คนละสองเม็ด ในยุทธภพมีเพียงท่านกับข้าพเจ้า และพี่ใหญ่เท่านั้นที่มีตัวยานี้ หากท่านกับข้าพเจ้าฝึกฝนวิชาในคัมภีร์สุริยันจันทราสำเร็จ คงไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกแล้ว หลังจากนั้นคงไม่ยากเย็นเกินความสามารถที่จะสืบหาดีงูมรกตเก้าหัวว่าเป็นสิ่งวิเศษใดกันแน่? เท่าที่ได้ยินมาหนึ่งร้อยปีจึงจะปรากฏออกครั้งหนึ่ง”
“แล้วเรื่องสถานที่ มิทราบว่าท่านเตรียมไว้ที่ใด?” นางมารเยือกเย็นส่งเสียงกล่าวถาม
“เป็นห้องลับในเขตหวงห้าม สถานที่นั้นไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพเจ้า อีกสามวันเราจะเข้าไปยังที่นั่น ดังนั้นในเวลานี้ข้าพเจ้าจะต้องสั่งการคนในสำนัก ท่านกลับไปเตรียมตัวให้ดีเถิด ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องคุยกับเยิ่นหว่อถิงหลายเรื่อง อีกสามวันมาพบข้าพเจ้าพร้อมกับคัมภีร์ยุทธ์ครึ่งเล่มแรก”
“ตกลง อีกสามวันข้าพเจ้าจะมาหาพี่รอง พร้อมกับคัมภีร์ยุทธ์ในส่วนของข้าพเจ้า”
กล่าวจบนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนจากไปในทันที เรื่องที่เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยเสียชีวิต นางกับเจ้าอสูรโลกันตร์ยังมิทราบข่าว ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ เจ้าอสูรโลกันตร์สั่งคนให้ไปตามตัวขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเข้าพบโดยด่วน
“ท่านอสูรเรียกพบข้าพเจ้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องเร่งด่วนสำคัญหรือไม่?” ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงส่งเสียงกล่าวถาม เมื่อพบเจ้าอสูรโลกันตร์นั่งรอคอยอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่
“หว่อถิง เจ้านั่งลงก่อน เรามีเรื่องจะต้องสั่งกำชับเจ้าหลายเรื่อง” เจ้าอสูรโลกันตร์สั่งให้ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเข้ามา แล้วนั่งลงเพื่อสนทนา มันไม่รอช้ารีบก้าวเข้ามาแล้วนั่งลงยังเก้ากี้ฝั่งตรงข้ามในทันที
“อีกสามวันเราจะเก็บตัวฝึกวิชาร่วมกับน้องห้า คิดว่าอาจต้องใช้เวลาสามถึงหกเดือน ดังนั้นเรื่องราวในสำนักเราจะมอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ดูแล จำเอาไว้อย่าได้ประมาทและกระทำการใดวู่วามเด็ดขาด ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องรับมือให้ถึงที่สุด การเก็บตัวฝึกวิชาในครั้งนี้สำคัญมาก ไม่สามารถถอนตัวกลางคัน ดังนั้นหากไม่สำเร็จเราจะไม่ออกมา เช่นนั้นเจ้าจงให้คนนำคำสั่งเรา ไปแจ้งแก่เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดิน เจ้าสำนักฝ่ามือโลหิต เจ้าสำนักอินทรีขาว ให้มาช่วยเป็นหูเป็นตาช่วยเหลือเจ้า ในช่วงเวลาที่เราเก็บตัว แต่ขอเพียงแจ้งต่อพวกเขาว่า เราเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ทราบว่าเจ้าเข้าใจดีแล้วหรือไม่?”
ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงส่งเสียงรับคำว่า
“ข้าพเจ้าหว่อถิงเข้าใจกระจ่างดีแล้ว จะรีบไปดำเนินการตามคำสั่งของท่านในทันที ส่วนเรื่องในสำนักขอท่านอย่าได้เป็นห่วง ข้าพเจ้าจะดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้ผู้ใดเข้ามาก่อกวนได้เป็นอันขาด ขอให้ท่านอสูร เก็บตัวฝึกวิชาโดยไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด?”
หลังจากนั้นอีกสามวัน เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเดินทางเข้าสู่ห้องลับ ในสถานที่หวงห้ามของสำนักอสูรโลกันตร์ หากอีกไม่ช้าทั้งสองฝึกฝนวิชาในคัมภีร์สำเร็จ ในยุทธภพจะไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับทั้งสองได้อีก นึกไม่ถึงคัมภีร์ที่ชาวยุทธ์ค้นหามาช้านาน จะมาตกอยู่เงื้อมมือของสองจอมมารชั่วช้านี้ได้ ไม่แคล้วยุทธภพจะต้องลุกเป็นไฟในคราวนี้
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง เผลอเพียงไม่นานพลันผ่านไปสามเดือนแล้ว วันนี้จ่านจือกับเยี่ยนผิง ทั้งสองเดินทางสู่ทิศปัจฉิม หลังจากลงจากเขาหมื่นเซียนสืบหาตัวคนร้าย ป่านนี้ยังไม่ได้เบาะแส ขณะที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จ่านจือเห็นกลุ่มชาวบ้านวิ่งหนีอะไรบางสิ่งมา ด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงชักชวนเยี่ยนผิงเข้าไปชมดู
เดินมาอีกไม่ไกลมากนักเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง มุงดูสิ่งใดอยู่ จึงได้แหวกกลุ่มชาวบ้านเข้าไป เห็นตรงกลางมีชายฉกรรจ์สามคนถืออาวุธในมือ ที่พื้นนั่งอยู่ด้วยหญิงวัยกลางคนกับเด็กผู้ชายอีกผู้หนึ่ง ทั้งสองถูกชายฉกรรจ์สามคนทำร้ายขู่เข็ญ ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ ดังนั้นจ่านจือจึงคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือแม่ลูกคู่นั้น
ชายฉกรรจ์สามคนขู่กรรโชกคล้ายกับแย่งชิงสิ่งของ จ่านจือพลันหวนนึกถึงตนเองในวัยเด็กขึ้นมา ตอนนั้นเขาถูกคนชั่วสามคนทำร้าย จนทำให้มารดาบุญธรรมต้องเสียชีวิตไป ดังนั้นยิ่งต้องการช่วยเหลือแม่ลูกคู่นี้ขึ้นมาทวีคูณ
“ฮา ๆ นางคนนี้หากไม่อยากตาย รีบบอกที่ซ่อนเงินทองของเจ้าออกมาเร็วเข้า ข้าพเจ้าสามคนไม่มีเวลาเล่นสนุกกับท่านมากนัก ท่านซ่อนสิ่งของมีค่าไว้ที่ใด? รีบบอกกล่าวออกมาเดี๋ยวนี้”
หนึ่งในชายฉกรรจ์ส่งเสียงตวาดต่อสตรีนางนั้น พอได้ยินน้ำเสียงของมันพลันจ่านจือถึงกับหูผึ่งในบัดดล น้ำเสียงนี้ช่างคุ้นหูจ่านจือยิ่งนัก ต่อให้เป็นเวลาเนิ่นนานกว่านี้ เขายังจดจำได้ไม่ลืมเลือน ใช่แล้วมันผู้นี้ คือผู้ที่ลงมือต่อมารดาบุญธรรมของเขาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
“สมบัติที่พวกท่านถามหา ข้าพเจ้าเป็นผู้เก็บเอาไว้เอง หากต้องการจงมาถามไถ่เอาจากข้าพเจ้าย่อมประเสริฐกว่า เป็นชายชาตรีมีพละกำลัง ถืออาวุธขู่เข็ญสตรีอ่อนแอไม่รู้สึกอับอายบ้างหรืออย่างไร?”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนั้น มันเมื่อได้ยินคนส่งเสียงสอดขัดขวาง รีบหันมายังต้นเสียงทันที พอเห็นเป็นจ่านจือหนึ่งในสามคนเดินปรี่เข้ามาทันที จ่านจือในยามนี้กับคราก่อนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะผ่านมาไม่กี่ปี พวกมันทั้งสามหาจดจำได้แม้แต่น้อย ผิดกับจ่านจือเพียงมันหันหน้ามาจดจำออกได้ทันที
“ท่านเองรึ? หน้าตาหมดจดสำอางดูแล้วคงพกพาสิ่งของมีค่าติดตัวหลายชิ้น พวกเราปล่อยนางคนนั้นไปเถิด เมื่อมีคนสอดมือยุ่งเกี่ยวแถมน่าสนใจกว่านางคนนั้นมากทีเดียว พวกท่านสองคนมาช่วยกันค้นตัวมันดูสิว่า มีสิ่งใดที่พอหยิบฉวยไปแลกเงินทองได้บ้าง”
คนผู้นั้นส่งเสียงแล้วหันมองจ่านจือ จากนั้นส่งเสียงเรียกอีกสองคนให้เข้ามาช่วยเหลือ สองคนนั้นเมื่อได้ยิน รีบปลดปล่อยสตรีกับเด็กแล้วเข้ามาหาจ่านจือในทันที เยี่ยนผิงรีบตรงเข้าไปประคองสตรีนางนั้นกับเด็กชายออกมาให้พ้นบริเวณนั้น นางคาดเดาได้ว่าวันนี้จ่านจือจะต้องลงมืออย่างแน่นอน ดูจากอากัปกิริยาและสายตาของจ่านจือแล้ว คล้ายกับโกรธแค้นคนสามคนนี้มากทีเดียว
“ว่าเช่นไร? ท่านมีสิ่งของใดรีบนำออกมา หากมีสิ่งของเป็นที่พึงพอใจจะปล่อยท่านไป แต่ทว่าสิ่งของที่ท่านมี ไม่เป็นที่พอใจของข้าพเจ้าสามคน ท่านคงต้องทิ้งร่างฝังสังขารไว้ที่นี้ โทษฐานที่บังอาจสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของพวกเรา”
หนี่งในสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ส่งเสียงตะคอกใส่จ่านจือ บ่งบอกให้จ่านจือส่งของมีค่าให้แก่พวกมัน จ่านจือเห็นหน้าพวกมันชัด ๆ ทั้งสามคน ส่งเสียงกล่าวกับตัวเองว่า
“ท่านแม่ ข้าพเจ้าจ่านจือพบเจอคนที่ฆ่าท่านแล้ว วันนี้ข้าพเจ้าจะแก้แค้นให้กับท่าน”
หนึ่งในสามคนได้ยินจ่านจือส่งเสียงพึมพำ จึงส่งเสียงตวาดออกมาว่า
“เด็กน้อยท่านบังอาจนัก ข้าพเจ้าบอกให้ท่านส่งสิ่งของมีค่าออกมา นอกจากไม่ปฏิบัติตามแล้ว ยังส่งเสียงด่าพวกข้าพเจ้าอีกเช่นนั้นรึ?”
จ่านจือจ้องมองหน้าพวกมันทีละคน แล้วส่งเสียงกล่าวตอบไปว่า
“พวกท่านทั้งสามกล่าวผิดแล้ว คำว่าบังอาจสมควรใช้กับพวกท่านจึงถูกต้อง ชาวบ้านเดือดร้อนทำงานหาเลี้ยงชีวิต พวกท่านมีแขนขาไม่มีปัญญาทำมาหากิน ใช้วิธีการต่ำช้าสามานย์รีดไถ จะไม่สุขสบายไปหน่อยหรอกรึ?”
“เฮอะ เด็กน้อยเจ้าเบื่อการมีชีวิตแล้วสินะ? กล้าดีเช่นไรมาสั่งสอนพวกเรา พวกข้าพเจ้าจะใช้วิธีการใดเกี่ยวข้องใดกับท่าน วิธีที่พวกข้าพเจ้าทั้งสามใช้เป็นวิธีที่ง่าย และไม่ต้องลงทุน ช่วยไม่ได้ที่พวกมันไม่มีปัญญารักษาสิ่งของเอาไว้ได้ ท่านกล่าวเช่นนี้คล้ายกับไม่เห็นเราสามคนอยู่ในสายตาสินะ?”
“ผิดแล้ว ข้าพเจ้าจะมิเห็นพวกท่านสามคน ไม่อยู่ในสายตาได้เช่นไร? พวกท่านยังจำได้หรือไม่? ราวสามปีก่อนในหมู่บ้านเย้ยอรุณ มีแม่ลูกคู่หนึ่งถูกคนชั่วช้าสามคนทำร้าย ในครั้งนั้นนอกจากจะทุบดีแม่ลูกคู่นั้นแล้ว พวกมันยังอำมหิตโหมเหี้ยม ใช้กระบี่เสียบร่างของสตรีผู้นั้นเสียชีวิตไป และในดินแดนกังหนำเส้นทางสู่หุบเขาผีเสื้อ มันสามคนยังคิดจะสังหารเด็กชายผู้หนึ่งอีกด้วย แต่สวรรค์เมตตาพวกมันทำไม่สำเร็จ บัดนี้ข้าพเจ้ากลับได้พบพวกท่านทั้งสามอีกครั้ง จะกล่าวว่าไม่เห็นพวกท่านอยู่ในสายตาได้เช่นไร?”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวต่อพวกมันทั้งสาม พอได้ยินจ่านจือกล่าวเช่นนั้น ทั้งสามเพ่งพิศพินิจพิจารณาดูจ่านจืออีกครั้งครา เรื่องราวที่จ่านจือกล่าวเมื่อครู่พวกมันทั้งสามยังพอจดจำได้ เป็นพวกมันทั้งสามคนเองที่ลงมือ เมื่อสำรวจดูอยู่หลายเที่ยวหนึ่งในสามคนส่งเสียงกล่าวถามว่า
“หรือว่าเป็นท่าน? เป็นไปได้เช่นไร? ในตอนนั้นเด็กน้อยผู้นั้นมีสารรูปไม่ต่างอะไรกับขอทาน ส่วนท่านดูแล้วมีสง่าราศี จะเป็นคนเดียวกันได้เช่นไร?”
“คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา แต่พวกท่านทั้งสามกลับไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนชั่วช้าสามานย์เช่นไร? เดี๋ยวนี้ยังคงชั่วช้าเช่นเดิม หรืออาจกล่าวว่าชั่วช้ามากกว่าเดิมนับว่ามิผิด”
จ่านจือส่งเสียงต่อปากต่อคำต่อมันสามคน บัดนี้มันสามคนมั่นใจแล้วว่า จ่านจือที่อยู่ตรงหน้า คือเด็กหนุ่มที่พวกมันทำร้ายเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งได้สังหารมารดาของเขาเสียชีวิตไปอีกด้วย ดังนั้นพวกมันจึงหันสบตากัน แล้วเข้าใจตรงกันโดยมิต้องปรึกษาหารือ ว่าต้องลงมือจัดการสังหารจ่านจือเสียโดยเร็ว
ไม่พูดพร่ำทำเพลง สามคนชั่วต่างแยกย้ายเข้าโอบล้อมจ่านจือเอาไว้ อาวุธในมือพร้อมพรักชักออกจากฝักตั้งท่า จ่านจือแม้แต่สายตายังไม่ให้ความสนใจต่ออาวุธในมือของพวกมัน วันนี้เขาจะต้องชำระหนี้เลือดนี้ให้แก่มารดาบุญธรรมให้จงได้
“ฮา ๆ ไม่พบเจอเพียงไม่กี่ปี สารรูปของท่านดูดีถึงเพียงนี้ แต่นับว่าท่านคงไม่โชคดี ที่พบเจอเราสามคน วันนี้จะส่งวิญญาณท่านไปพบกับมารดายังปรโลก” หนึ่งในสามคนส่งเสียงกล่าวอย่างสนุกสนาน พร้อมกันนั้นกระบี่ในมือเสือกแทงเข้าใส่ร่างจ่านจือ
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564