Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (มุ่งร้ายสายตาโจร)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

มุ่งร้ายสายตาโจร

  • 13/08/2565

ตอนที่ 78

มุ่งร้ายสายตาโจร

เมื่ออยู่ลำพังศิษย์อาจารย์ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับจ่านจือ ผู้เป็นอาจารย์ให้เขาซึ่งเป็นศิษย์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่เหตุการณ์ที่วัดเส้าหลินให้ท่านฟังอย่างละเอียด จ่านจือไม่คิดปิดบังอาจารย์อยู่แล้ว จึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้น แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาได้รับปากบิดาบุญธรรมเอาไว้ เกี่ยวกับสถานที่ตั้งของวังบุปผา เรื่องนี้เขามิได้เล่าออกไป

แต่เรื่องของกระบี่อัคคีน้ำค้าง เขาได้เล่าให้กับอาจารย์ฟังว่า กระบี่เล่มนี้อยู่กับเยี่ยนผิง เพราะนางคือเจ้าของ ซึ่งมารดาคือนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ได้มอบให้แก่นาง และกระบี่เล่มนี้มีความสำคัญเช่นไร? เผื่อบางทีอาจารย์ของเขาจะได้ช่วยสืบหาร่องรอยของกระบี่คู่สุริยันจันทราอีกแรงหนึ่ง แต่เรื่องของหยกเหินลมที่เขาห้อยคออยู่ ยังมิกล้าบอกเล่าให้ท่านฟัง เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่กระจ่าง ว่าหยกซึ่งติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิดนั้น แท้จริงมีความเกี่ยวข้องใด?กับเขากันแน่? และมีส่วนเกี่ยวพันใดกับกระบี่ทั้งสามเล่ม ที่ปรมาจารย์ลวี้ยู่เฉียนสร้างขึ้น รอให้เขาสืบหาหยกอีกชิ้นซึ่งยังเป็นปริศนาเจอเสียก่อน หากได้เบาะแสแล้วตอนนั้นค่อยเล่ารายละเอียดให้อาจารย์รับทราบอีกที ท่านคงมิว่ากระไร 

จวบจนใกล้สว่าง เจ้าโอสถสายรุ้งบอกให้จ่านจือไปพักผ่อนหลับนอนสักงีบหนึ่ง ตัวท่านเองก็จะเข้าไปพักผ่อนเช่นเดียวกัน เพราะใกล้สว่างแล้ว คนร้ายคงมิกล้าลอบเข้ามาลงมืออีก ดังนั้นทั้งสองจึงเข้าห้องไปพักผ่อนจนสว่าง รุ่งสางของอีกวันต่างช่วยกันทำพิธีศพ ให้กับประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงด้วยความโศกเศร้าเสียใจอย่างที่สุดที่ ท่านได้มาด่วนจากไปโดยทิ้งปริศนาเอาไว้ ให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องทำหน้าที่สืบสาวเรื่องราวที่เกิดขึ้น 

หลังจากนี้อีกสามวัน ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิว จะนำเถ้ากระดูกของอาจารย์กลับไปยังพรรคไผ่หลิว แม้นว่าตอนนี้พรรคไผ่หลิว จะถูกทำลายย่อยยับไปแล้วก็ตาม ศิษย์ทั้งสามเห็นว่าพรรคไผ่หลิวไม่ควรจะด่วนสิ้นชื่อไปจากยุทธภพ ดังนั้นศิษย์ทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่า จะฟื้นฟูพรรคไผ่หลิวขึ้นมาใหม่ และจะแต่งตั้งเทียนจิ้งศิษย์คนเล็ก ซึ่งมีฝีมือเหนือกว่าศิษย์พี่ทั้งสอง และศิษย์พี่ทั้งสองของเขาก็พอทราบว่า ผู้เป็นอาจารย์ตั้งใจจะมอบตำแหน่งประมุขพรรคให้แก่เขาต่อจากท่าน ดังนั้นจึงสืบทอดเจตนารมณ์ ให้กับผู้เป็นอาจารย์ที่ล่วงลับ 

ในตอนแรกเทียนจิ้งกลับไม่เห็นด้วย ที่จะให้เขาขึ้นเป็นประมุขพรรคต่อจากอาจารย์ แต่ศิษย์พี่ทั้งสองของเขา ให้ความเห็นว่าควรกระทำเพื่ออาจารย์ที่ล่วงลับ ในบรรดาศิษย์ทั้งสาม เทียนจิ้งนับว่ามีฝีมือรุดหน้ามากกว่าศิษย์พี่ทั้งสองอยู่มาก ดังนั้นเขาจึงได้ยินยอมที่จะรับตำแหน่งประมุขพรรคไผ่หลิว ต่อจากอาจารย์ 

หลังจากนั้นอีกสามวัน ศิษย์ทั้งหมดของสำนักต่างๆไม่รวมสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ได้ร่วมเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิว เพื่อช่วยเทียนจิ้งกับศิษย์พี่ทั้งสองของเขา ฟื้นฟูพรรคขึ้นมาอีกครั้ง อีกด้านหนึ่ง เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ นำศิษย์ทั้งสองเดินทาง ร่วมกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กับผู้เฒ่าเก้าทิกว่อและผู้เฒ่ารักษากฎทั้งสอง ผู้เฒ่าลู่กับผู้เฒ่าโอ่ว เพื่อกลับไปปลูกสร้างบูรณะสำนักเมฆฟ้าพิรุณขึ้นมาใหม่เช่นกัน ดังนั้นมู่เหอ จึงขอแยกตัวจากศิษย์คนอื่น ๆ ติดตามไปช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางเขาได้ฝากให้เทียนจิ้งช่วยดูแลน้องสาวไป่ชิงให้ดีด้วย 

เทียนจิ้งรับปากต่อมู่เหอ ว่าจะดูแลไป่ชิงเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีจ่านจือกับคนอื่น ๆที่คอยช่วยเหลือ คงมิมีสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วง แล้วต่างแยกย้ายเดินทาง หากมีสิ่งใดเร่งด่วนจะส่งข่าวถึงกันในทันที 

ส่วนบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ กับนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง คนทั้งสองขอเดินทางไปทำธุระของท่านประการหนึ่ง  หลังจากทุกคนเดินทาง ลงจากเขาหมื่นเซียน ถัดไปไม่ไกลเท่าใดนัก สายตาคู่หนึ่งจับจ้องดูการเคลื่อนไหวของคนทั้งหมด ดูจากประกายสายตาคนผู้นี้ ไม่ประสงค์ดีต่อคนทั้งหมดเท่าใดนัก 

ส่วนสำนักตำหนักหมื่นเทพ ยังมีเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย คิดว่าคนร้ายคงมิกล้าลอบขึ้นไปทำร้าย ท่านทั้งสองอย่างแน่นอน แต่ที่น่าสงสัย เจ้าของสายตาคู่นั้นเป็นผู้ใดกัน? ไฉนถึงหลบซ่อนตัวอยู่ที่เขาหมื่นเซียนแห่งนี้ โดยที่ทุกคนมิระแคะระคายว่าเป็นคนร้ายมิใช่คนดี แล้วคนผู้นี้มีจุดประสงค์ใดแอบแฝงกันแน่?” 

ผ่านไปราวสามเดือน พรรคไผ่หลิว กับสำนักเมฆฟ้าพิรุณได้ถูกฟื้นฟูบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง พรรคไผ่หลิวหลังจากเทียนจิ้ง ขึ้นรับตำแหน่งประมุขพรรคไผ่หลิวคนใหม่แล้ว ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปทั่วยุทธภพ ในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ในยามว่างจ่านจือ กับเยี่ยนผิง และไป่ชิงต่างร่วมฝึกซ้อมฝีมือ กับประมุขพรรคไผ่หลิวคนใหม่ และศิษย์พี่ทั้งสองของเขา 

ภายในระยะเวลาเพียงสามเดือน ทำให้ทุกคนต่างมีฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็ว วิชากระบี่ไผ่หลิวชมจันทร์ในเวลานี้ เรียกได้ว่าถึงขั้นสูงสุดยอด เนื่องด้วยได้คู่ต่อสู้ที่กล้าแข็งอย่างจ่านจือ ช่วยชี้แนะอีกทั้งยังได้ความพลิ้วไหว จากเยี่ยนผิง กับไป่ชิง ช่วยประสานเสริมเติมส่วนที่ขาด ดังนั้นในตอนนี้ แม้เทียนจิ้งเพียงผู้เดียว สามารถใช้กระบี่หลิวชมจันทร์ออกได้ไร้ขอบเขต หากประสานร่วมกันทั้งสามคนแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือยังยากที่จะทำลายวิชากระบี่ไผ่หลิวชมจันทร์นี้ลงได้ 

ส่วนสำนักเมฆฟ้าพิรุณ เจ้าสำนักเหิงปี้ไป่ ทุ่มเทเวลาที่เหลือถ่ายทอดวิชาทั้งหมด ให้แก่ศิษย์ทั้งสอง หนานตี้กับกุ้ยโส่ว นอกจากฝึกซ้อมกันเองแล้ว ยังได้มู่เหอเป็นคู่ต่อสู้ให้อีกด้วย ทำให้คนทั้งสองมีฝีมือรุดหน้า จนเป็นที่น่าพอใจของผู้เป็นอาจารย์ยิ่งนัก 

นอกจากนั้นแล้ว ทั้งสองสำนักต่างรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมสำนักเพิ่มเติมอีกด้วย ดังนั้นสองสำนักจึงดูครึกครื้น ด้วยมียอดฝีมือจำนวนมากต่างพากันขอเข้าร่วม ไม่นานเท่าใดนักพรรคไผ่หลิว และสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ต่างจัดพิธีเปิดสำนักใหม่ขึ้นมาอีกครั้งไล่เลี่ยกัน แต่ในครั้งนี้เพียงเชื้อเชิญแขกเหรื่อที่สนิทชิดใกล้และไว้วางใจเท่านั้น หลังจากผ่านงานในวันนั้น ทุกคนต่างอำลาแยกย้ายไปทำธุระของตน ในงานนี้เยี่ยนผิงได้เรียกสองมารฟ้าดิน ต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา รวมทั้งเฉาลู่ฟางมาด้วย ก่อนหน้านั้นทั้งสามหลังจากติดตามหาเยี่ยนผิงไม่พบ จึงได้ออกสืบหาข่าวความเคลื่อนไหวของบู๊ลิ้มพอได้ความอยู่หลายเรื่องราว 

ทั้งสามรายงานต่อเยี่ยนผิงว่า ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีชาวยุทธ์หลายคนติดตามหาตัวนางรวมถึงมารดาของนาง และสำนักมารอธรรมทั้งหลายด้วย เมื่อสืบสาวราวเรื่องลึกลงไป กลับทราบว่าสาเหตุที่ผู้คนเหล่านั้นต้องการพบตัวนาง เพราะมีคนปล่อยข่าวออกไปว่า กระบี่อัคคีน้ำค้างเบาะแสสุดท้าย ที่จะนำไปสู่การค้นหากระบี่คู่สุริยันจันทรา และอาจจะค้นพบที่ซ่อนของคัมภีร์ยุทธ์ที่สูญหายไปด้วย ซึ่งชาวยุทธ์หลายคนยังคงเชื่อว่า เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนแม้ทำลายคัมภีร์ยุทธ์ไป แต่จะต้องคัดลอกแล้วหาสถานที่ใดสักแห่ง?ซุกซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่ครอบครองกระบี่อัคคีน้ำค้างเป็นเยี่ยนผิง ดังนั้นทุกคนจึงออกติดตามหาตัวนาง เพื่อขอชมกระบี่ล้ำค่าของนาง 

ข่าวนี้ไม่เพียงแต่สำนักมารที่ให้ความสนใจ แม้แต่หลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ดังนั้นในวันนี้ หลิวกงกงเรียกให้มือดีทั้งหมดเข้าพบ หลังจากยอดฝีมือสองคนคือ เสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ พลาดท่าเสียทีตายภายใต้น้ำมือของบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ โดยที่มันทั้งสองคนยังมิทันจะได้รับทราบว่า ผู้ที่สังหารมันทั้งสองเป็นผู้ใด

หลิวกงกงถึงกับเดือดดาลเป็นการใหญ่ สั่งให้ยอดฝีมือทั้งหมดนำเอาศีรษะของบัณฑิตประหลาดมาให้ได้ แต่ในเวลานั้นเหล่ายอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ทราบแต่เพียงว่าผู้ลงมือเป็นเฒ่าประหลาดผู้หนึ่ง? ดังนั้นต่อให้พลิกแผ่นดินเสาะหา ก็ไม่อาจพบตัว จะมีก็แต่เพียงสองสามีภรรยาแซ่เซียว ที่ออกท่องเที่ยวยุทธภพ หลังจากชาวยุทธ์เข้าใจว่าได้เสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว ทำให้ชาวยุทธ์บางคนต่างตั้งคำถาม ว่าสองคนนี้เป็นผู้ใดกัน? เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังพอจดจำสองสามีภรรยาคู่นี้ได้ 

ในวันนี้ ขณะที่จ่านจือ กับเยี่ยนผิงเตรียมตัวออกเดินทาง พอดีมีม้าเร็วควบขับด้วยคนของสำนักตำหนักหมื่นเทพ เร่งมาส่งข่าวต่อเขาว่า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เป็นศิษย์ ด้วยเห็นว่าอยู่ร่วมกับนาง ซึ่งมีกระบี่อัคคีน้ำค้างที่ชาวยุทธ์ต่างให้ความสนใจหมายปองครอบครองเป็นเจ้าของ จึงได้ให้คนมาส่งข่าวว่า อีกสองวันท่านจะมาขอกระบี่อัคคีน้ำค้างจากทั้งสอง แล้วจะนำไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักตำหนักหมื่นเทพก่อน จึงให้จ่านจือชี้แจงให้เยี่ยนผิงเข้าใจ ในเจตนาดีของท่านด้วย 

จ่านจือเมื่อทราบถึงความห่วงใยของอาจารย์ จึงได้แจ้งเรื่องนี้ต่อเยี่ยนผิง ในคราแรกเขาเกรงว่านางจะไม่ยินยอม ด้วยคิดว่าอาจารย์ของเขา จะนำกระบี่ไปเป็นสมบัติของตนเอง อันที่จริงแล้วกระบี่เล่มนี้เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน ได้มอบต่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ผู้ซึ่งเป็นมารดาของนาง และเป็นศิษย์คนที่ห้าของท่าน ดังนั้นเมื่อเยี่ยนผิงได้รับมอบกระบี่เล่มนี้มาจากมารดา เรื่องที่นางจะยินยอมมอบให้หรือไม่ ? ย่อมเป็นสิทธิ์ของนางโดยมิอาจบังคับได้ 

แต่เมื่อจ่านจือชี้แจงเหตุผลต่อเยี่ยนผิง นางกลับเห็นด้วยที่จะมอบกระบี่ให้แก่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ไปเก็บรักษาไว้ก่อน หากมิเช่นนั้นแล้วสำนักต่าง ๆ และชาวยุทธ์ทั้งฝ่ายธัมมะและอธรรม จะต้องเดินทางติดตามนางไม่ยอมห่างเป็นแน่ และผู้ที่จะมาหานางเป็นคนแรกก็คือมารดาของนางนั่นเอง หากนางทราบว่ากระบี่ที่มอบให้บุตรีมา มีเบาะแสของกระบี่คู่สุริยันจันทรา สัญลักษณ์ประจำตำแหน่งเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพ เพื่อตัดปัญหายุ่งยากที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงยอมรับปากกับเขาว่า จะมอบกระบี่อัคคีน้ำค้างไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักตำหนักหมื่นเทพชั่วคราว 

อีกสองวันต่อมา มู่เหอกับไป่ชิง และเหมาต้า รวมทั้งซื่อเหมี่ยน พร้อมทั้งอี้เซิน ต่างมารอคอยเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ยังพรรคไผ่หลิว เพื่อจะเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน พร้อมกับท่านด้วย มีเพียงจ่านจือ กับเยี่ยนผิง ทั้งสองคิดจะแยกตัวไปสืบหาความจริงเรื่องหนึ่ง ดังนั้นจึงมิได้ร่วมเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียนด้วย 

ข่าวที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จะเดินทางมารับกระบี่อัคคีน้ำค้างขึ้นไปเก็บรักษายังเขาหมื่นเซียน เป็นไปมิได้ที่สำนักต่าง ๆจะไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นระหว่างทางที่เดินทางกลับเขาหมื่นเซียน หลิวซุ่นกงกง และยอดฝืมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า อีกทั้งขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงแห่งสำนักอสูรโลกันตร์ หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยแห่งสำนักฝ่ามือโลหิต รวมถึงอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงแห่งสำนักอินทรีขาว และเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ ต่างมาดักรอเพื่อแย่งชิงกระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ 

เรื่องราวเหล่านี้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ทราบดีว่ามิอาจหลีกพ้น ดังนั้นก่อนที่คนร้ายจะทันจู่โจม ท่านได้ใช้แผนหลอกคนร้ายให้ติดตามท่านไป แล้วสั่งให้คนทั้งหมดรีบเดินทางกลับเขาหมื่นเซียน  โดยด้านหน้าระยะทางอีกไม่กี่ลี้ มีเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย กับมือดีของสำนักตำหนักหมื่นเทพ มาคอยช่วยเหลือ ส่วนท่านจะพกพากระบี่อัคคีน้ำค้างไปอีกเส้นทางหนึ่ง เมื่อเหล่าคนร้ายเห็นกระบี่เล่มนั้น อยู่ที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ต่างมิต้องนัดหมาย พากันเร่งฝีเท้าพุ่งร่างติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งไปในทันที 

ทางด้านขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย เมื่อเห็นเหล่าศิษย์ของท่านและทุกคนเดินทางมาถึงต่างมิชักช้า รีบเดินทางกลับสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียนในทันที แต่ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง คิดว่าเจ้าโอสถสายรุ้งอาจจะใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ ดึงความสนใจไปที่กระบี่อัคคีน้ำค้าง ให้เหล่ายอดฝีมือของฝ่ายมารอธรรมติดตามไป แต่แท้จริงกระบี่อัคคีน้ำค้าง ซึ่งอยู่กับเจ้าโอสถสายรุ้ง อาจเป็นกระบี่ปลอมก็เป็นได้ โดยที่กระบี่อัคคีน้ำค้างของจริง อาจถูกศิษย์นำมาให้เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย นำกลับเขาหมื่นเซียน ดังนั้นคนผู้นี้ จึงได้เร่งฝีเท้าติดตามขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยไปไม่ลดละ ยิ่งเร่งฝีเท้ายิ่งเข้าใกล้ขบวนของท่านไปทุกขณะ 

ผู้ที่ติดตามขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมไป มิใช่ผู้ใด ? เป็นยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว อีกทั้งยังมีถู่ฝูอำพรางกายปิดบังใบหน้า ร่วมอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง หลังจากทั้งสองติดตามขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมมาได้เป็นระยะทางหลายลี้ จากการสังเกตและแอบฟังการสนทนาของคนทั้งหมด กลับไร้วี่แววของกระบี่อัคคีน้ำค้างที่หมายตาเอาไว้ ทำให้คนทั้งสองรู้สึกเจ็บใจเป็นที่สุด คิดว่าโดนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนหลอกเข้าให้แล้วจึงรีบเปลี่ยนแผนทันควัน เดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิมในทันที 

ถู่ฝูถึงแม้พลาดท่า ถูกหลอกให้ติดตามขบวนของเจ้าผาแห่งสายลมมา แต่ว่ามันยังมีเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ ซึ่งคนทั้งสองแอบร่วมมือกันมาโดยตลอด ดังนั้นพระชั่วเส้าหลินรูปนี้ จึงไม่ค่อยกังวลเท่าใดนักที่ต้องพลาดท่าในครั้งนี้ ดังนั้นมันกับยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว จึงเร่งฝีเท้าจนสุดกำลังเพื่อไล่ติดตามคนทั้งหมด ให้ทันโดยเร็วที่สุด 

หลังจากวิ่งติดตามมาเป็นระยะทางหลายลี้ คนทั้งสองก็เข้าใกล้ขบวนคนของหลิวซุ่นกงกง อีกราวครึ่งลี้ ทางด้านหน้าจะเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งไหลมาจากต้นน้ำอันเป็นน้ำตกสูงชันขนาดใหญ่ ที่ไหลลงมาจากยอดภูเขาสูง เมื่อได้ยินขบวนคนเหล่านั้นชะลอฝีเท้าลง คนทั้งสองจึงรีบหลบวูบหลังก้อนหินใหญ่ใกล้ ๆในทันที 

ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ยืนอยู่ห่างจากแม้น้ำราวสิบก้าว ห่างไปอีกไม่เท่าใดนัก หลิวซุ่นกงกงกับยอดฝีมือในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า อีกทั้งขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง รวมถึงหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย และอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง ยืนอยู่ด้วยท่วงท่าตระเตรียมพร้อม จากนั้นเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าส่งเสียงดังว่า 

“เจ้าโอสถท่านไม่มีหนทางหลบหนีแล้ว หากท่านจะจากไปโดยสะดวกและปลอดภัย ก็จงรีบวางกระบี่เล่มนั้นลง แล้วพวกเราจะปล่อยให้ท่านจากไป โดยมิแตะต้องตัวท่านแม้แต่ปลายขน หากมิเช่นนั้นแล้วท่านกับข้าพเจ้า ต้องลงไม้ลงมือต่อยตีกันแล้ว ต่อให้ท่านมีฝีมือสูงส่งเทียมฟ้าสักปานใด แต่ลำพังท่านผู้เดียวคงยากจะรับมือพวกเราหลายคนได้อย่างแน่นอน” 

เจ้าโอสถสายรุ้งแสดงสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางปลอดโปร่ง มือขวาถือกระบี่อัคคีน้ำค้าง มือซ้ายไขว่ไปด้านหลัง จากนั้นยกกระบี่ในมือขึ้นมาชมจนทั่ว แล้วส่งเสียงกล่าวต่อหลิวกงกงว่า 

“ข่าวเรื่องกระบี่อัคคีน้ำค้าง ช่างแพร่สะพัดรวดเร็วนัก อันที่จริงกระบี่เล่มนี้เป็นสมบัติของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ครั้งหนึ่งอาจารย์ของข้าพเจ้า ได้มอบให้แก่ศิษย์น้องห้า วันนี้ข้าพเจ้าเจ้าโอสถสายรุ้งในฐานะศิษย์คนโต จะเชิญกระบี่เล่มนี้คืนสู่สำนัก ความจริงพวกท่านหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด? กับกระบี่เล่มนี้ไม่? น่าขันยิ่งนัก พวกท่านกลับละโมบคิดแย่งชิงสิ่งของผู้อื่น ถึงกับยอมรับว่าตนเองเป็นคนชั่วช้าสามานย์นำพาคนมากมาข่มขวัญ หมายชิงกระบี่เล่มนี้จากมือข้าพเจ้า พวกท่านมิรู้สึกละอายใจบ้างหรือไม่? หรือว่าทั้งหมดเป็นพฤติกรรม ที่พวกท่านกระทำอยู่บ่อย ๆจนคุ้นเคย ไม่สินะ? มิอาจเรียกว่าพฤติกรรม ควรเรียกว่ากระไรดี?  ท่านหลิวกงกง” 

“ไม่เรียกว่าพฤติกรรม แล้วจะให้เรียกว่ากระไร? ท่านจงกล่าวออกมาให้กระจ่าง อย่าได้ใช้วาจาคลุมเครือให้ข้าพเจ้าระคายหู” หลิวกงกงโต้ตอบกลับในทันที เจ้าโอสถสายรุ้งส่งเสียงหัวร่อ ก่อนจะกล่าวโต้ตอบกลับมาว่า 

“ข้าพเจ้ากำลังหมายถึง สิ่งที่ไม่อาจเรียกว่าพฤติกรรม แต่มันเป็นคำที่ใช้เรียกการกระทำของคน ในแต่ละรุ่น ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือว่าอาจจะเกิดขึ้นเองกับคนผู้นั้นเป็นการส่วนตัว และยากที่จะแก้ไขให้หายได้ ต่อให้หมอวิเศษก็มิอาจช่วยแก้ไข หากจิตใจของคนผู้นั้นยังมีความต้องการ จะกระทำสิ่งนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ท่านเองก็น่าจะทราบดีมากกว่าข้าพเจ้ามิใช่รึ?” ในขณะที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กับเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า กำลังปะทะคารมต่อกัน ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงส่งเสียงกล่าวกับหลิวกงกงว่า 

“ท่านหลิวกงกง ท่านเจ้าโอสถกล่าวว่าไม่อาจเรียกว่าพฤติกรรม อาจจะหมายถึงคำว่าสันดานก็อาจจะเป็นไปได้ ข้าพเจ้าได้ยินพวกท่านโต้คารมกันไปมา กลัวจะเสียเวลา พวกเราติดตามเจ้าโอสถมาก็เพื่อกระบี่อัคคีน้ำค้าง ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่ารีบจัดการแย่งกระบี่มา แล้วจากไปเสียดีกว่า เดี๋ยวมีผู้ใดที่มีจุดประสงค์เดียวกับพวกเรา มาแย่งชิ้นปลามันไป นอกจากพวกเราไม่ได้สิ่งใดแล้ว ยังต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย”             

เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดิน รีบส่งเสียงสนับสนุนคำพูดของขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณ คนอื่น ๆในที่นั้นต่างส่งเสียงเห็นด้วยในทันที ดังนั้นหลิกงกงจึงเดินเข้ามาอีกสองก้าว แล้วกล่าวกับเจ้าโอสถสายรุ้งว่า 

“ท่านจะมอบกระบี่อัคคีน้ำค้างมาแต่โดยดี หรือว่าจะให้พวกเราลงมือต่อท่าน? ท่านเป็นคนฉลาดคิดว่าคงทราบดี ในตอนนี้ควรปฏิบัติตัวเช่นไร? จึงประเสริฐ รีบส่งกระบี่มาให้ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ และอย่าได้งัดลูกไม้ใดออกมาเล่นโดยเด็ดขาด” เจ้าโอสถสายรุ้งใช้มือซ้ายลูบคลำฝักกระบี่ แล้วส่งเสียงแก่ทุกคนว่า 

“ข้าพเจ้าทราบว่าจุดประสงค์ของพวกท่าน ต้องการกระบี่เล่มนี้ไปเพื่อสิ่งใด? แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบความลับในกระบี่เล่มนี้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นกระบี่เล่มนี้หาได้มีความสำคัญต่อข้าพเจ้าอีกต่อไป หากพวกท่านต้องการกระบี่เล่มนี้ ข้าพเจ้าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จะยกให้กับพวกท่าน แต่ว่าพวกท่านจงลงไปงมหา เอายังก้นแม่น้ำก็แล้วกัน” 

สิ้นเสียงของเจ้าโอสถสายรุ้ง กระบี่อัคคีน้ำค้างที่อยู่ในมือ ถูกซัดขว้างลงกลางแม่น้ำ ซึ่งมีความลึกราวคนสิบคนต่อกัน ในขณะเดียวกัน เจ้าโอสถสายรุ้งพุ่งร่างทะยานจากไปดุจเกาทัณฑ์ ด้านหลังเหล่ายอดฝีมือต่างรีบกระโจนลงสู่แม่น้ำ เพื่องมหากระบี่ล้ำค่าเล่มนั้น มีเพียงหลิวกงกงแต่ผู้เดียว ที่คอยออกคำสั่งอยู่บนฝั่ง โดยมิลงน้ำไปด้วย ปล่อยให้ยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ช่วยกันงมหา ไม่เว้นแม้แต่ลามะชั่วต๊กม้อเต็ก ก็กระโดดลงไปงมหาด้วยเช่นกัน ผ่านไปไม่นานเท่าใดนัก ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เป็นผู้งมพบกระบี่เล่มนั้นเข้าจนได้ 

เมื่อได้กระบี่ รีบพุ่งร่างขึ้นฝั่งในทันที คนอื่น ๆรีบวิ่งขึ้นจากน้ำเพื่อมาชมดูกระบี่อัคคีน้ำค้างพร้อมกัน ด้วยเกรงว่าความลับในกระบี่ จะถูกผู้หนึ่งผู้ใดพบเห็นก่อน หลิวซุ่นกงกงมิรอให้ทุกคนแตะกระบี่ ตรงเข้าไปแย่งกระบี่อัคคีน้ำค้าง ซึ่งยังคงชุ่มไปด้วยน้ำ จากมือของขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณมาในทันที ด้วยความอยากรู้ ว่าตัวกระบี่ด้านในจะงดงามสักปานใด? และในกระบี่ซุกซ่อนความลับใดเอาไว้? จึงได้รีบชักกระบี่ออกจากฝักในทันที พอตัวกระบี่ถูกชักพ้นจากฝัก ทุกคนถึงกับเบิกตาด้วยความตระหนกตกใจ บรรยายความรู้สึกมิออก สีหน้าของหลิวกงกงแดงกล่ำจนเกือบเขียวคล้ำ พร้อมกับส่งเสียงดังว่า 

“บัดซบ เจ้าโอสถสายรุ้งบังอาจเล่นลูกไม้ นำกระบี่ปลอมมาหลอกลวงพวกเรา ให้ติดตามอยู่เป็นครึ่งค่อนวันหรือนี่? อีกทั้งยังหลอกให้พวกเราลงไปงมกระบี่ปลอมเล่มนี้จากก้นแม้น้ำอีก ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนักเราหลิวซุ่นกงกง สาบานว่าจะต้องเอาเลือดมันผู้นี้มาชำระล้างเท้าให้จงได้” 

ที่แท้กระบี่ที่ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณงมขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเป็นกระบี่ปลอม พอหลิวกงกงชักกระบี่ออกมา ปรากฏว่าตัวกระบี่ด้านในเก่าจนเป็นสนิม และที่น่าเจ็บใจมากไปกว่านั้น บนตัวกระบี่ที่มีสนิมเกรอะกรัง ยังถูกสลักอักษรเอาไว้ว่า “ความลับของกระบี่อัคคีน้ำค้าง คือพวกท่านถูกหลอก พวกสุนัขมีหางงอกเงยหน้าโง่” ทุกคนพากันกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ ที่เสียท่าเจ้าโอสถสายรุ้งในครั้งนี้ ดังนั้นเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ๋เต๋อ ส่งเสียงดังว่า 

“ถู่ฝู เจ้ารีบออกมาเร็วเข้า” 

สิ้นเสียง ถู่ฝูรีบก้าวออกมาจากหลังโขดหิน ส่วนยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว พลิ้วร่างจากไปก่อนหน้าแล้ว ตั้งแต่ทราบว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นของปลอม พอถู่ฝูก้าวออกมาดึงผ้าคลุมหน้าออก แล้วตรงเข้ามาประสานมือต่อหลิวกงกง และทำความเคารพต่อเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดิน กับเจ้าสำนักคนอื่น ๆในที่นั้นจากนั้นเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ส่งเสียงเอ่ยถามกับหลวงจีนรูปนี้ว่า

“ถู่ฝู เราให้ท่านติดตามขบวนของเด็กพวกนั้นไป มิทราบว่าได้เรื่องราวใดมาบ้าง? แล้วพวกมันเดินทางไปถึงที่ใดแล้ว? พอที่พวกเราจะไล่ติดตามพวกมันได้ทันหรือไม่?” ถู่ฝูแสดงสีหน้าเสียใจแล้วกล่าวตอบหลิวกงกงว่า 

“เรียนท่านหลิวกงกง ข้าพเจ้าได้ติดตามขบวนคนเหล่านั้นไปหลายลี้ ในระหว่างทางมีเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย และยอดฝีมือหลายคนเดินทางมารับพวกมัน แต่ข้าพเจ้าได้สืบดูจนแน่ใจว่ากระบี่อัคคีน้ำค้าง ไม่อยู่ในขบวนนั้นอย่างเด็ดขาด และคิดว่าพวกเราไล่ติดตามไม่ทันพวกเขาอย่างแน่นอน ถึงจะไล่ติดตามไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อกระบี่เล่มนั้นมิได้อยู่ที่นั่น” 

ทุกคนต่างขบฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น อุตส่าห์วางแผนมาเป็นอย่างดี ยังเสียทีเจ้าโอสถสายรุ้งเข้าจนได้ หากกระบี่อัคคีน้ำค้างถูกนำไปถึงสำนักตำหนักหมื่นเทพแล้ว คงยากที่จะเข้าไปลักขโมยออกมาได้แต่ถึงเช่นไร ความลับในกระบี่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด? จะด้วยวิธีการใดจะต้องเข้าไปแย่งชิงออกมาให้จงได้ 

ไม่นานนัก นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กับมือดีข้างกายอั้งเซี้ยะเปา เดินทางมาสมทบเมื่อทราบว่าถูกหลอกให้ติดตามแย่งกระบี่ปลอม ต่างส่งเสียงด่าทอเจ้าโอสถสายรุ้งเป็นการใหญ่ จากนั้นคนชั่วเหล่านั้นต่างทยอยจากไปด้วยความผิดหวัง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป