ตอนที่ 77
พลัดพรากแล้วพบเจอ
หลังจากเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ่านจือช่วยท่านแต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ อีกทั้งยังผูกรวบผมบนศีรษะด้วยแถบผ้าสีทองอ่อน ทำให้สภาพที่เห็นในตอนนี้ ของบิดาบุญธรรมของเขากลายเป็นอีกผู้หนึ่ง จากคนพิกลพิการร่างกายดูซูบซีดดั่งคนอมโรค มาเป็นบุรุษเลยวัยกลางคนที่ดูสง่างาม บุคลิกภาพคล้ายบัณฑิตมากความรู้ผู้หนึ่ง
จ่านจือรู้สึกดีใจเป็นยิ่งนัก ที่เห็นบิดาบุญธรรมแสดงสีหน้ามีความสุข และแน่นอนหากท่านได้พบหน้า กับมารดาบุญธรรมอีกครั้ง ท่านทั้งสองคงจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิต หลังจากต้องพลัดพรากจากกันมาเนิ่นนาน เขาเห็นว่าจวนได้เวลาอาหารแล้ว ป่านนี้ทุกคนคงจะรอเขาและบิดาบุญธรรมอยู่ในห้องรับประทานอาหารแล้ว ดังนั้นจึงมิรอช้ารีบชักชวนบิดา มุ่งตรงสู่ห้องรับประทานอาหารโดยมิรอช้า
เมื่อก้าวเท้าเข้ามายังห้องรับประทานอาหาร เห็นทุกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ที่หัวโต๊ะนั่งอยู่ด้วยเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ทางด้านขวามือนั่งเรียงด้วยเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ถัดมาเป็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ติดกันเป็นเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ ต่อด้วยผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ จากนั้นเป็นผู้เฒ่าลู่ และผู้เฒ่าโอ่วถัดมาเป็นศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิว เหวินมู่กับอวี้หว่อ และเทียนจิ้ง ต่อมาเป็นสองศิษย์ของผาแห่งสายลม เฟิ่นมู่เหอกับเหมาต้า ท้ายสุดเป็นหนานตี้ ศิษย์คนโตของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ
ส่วนทางด้านซ้ายมือของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน นั่งเรียงอยู่ด้วยศิษย์สตรีทั้งหมดมี เฟิ่นไป่ชิงศิษย์คนเล็กของผาแห่งสายลม ถัดมาเป็นสองศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน ติดกันเป็นกุ้ยโส่ว ศิษย์คนเล็กแห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ข้างโต๊ะรับประทานอาหารเหยาเยี่ยนผิง ยืนรอจ่านจืออยู่ เมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามา นางรีบปรี่ออกมาต้อนรับ พอเห็นเขาเดินเคียงคู่มากับชายอีกผู้หนึ่ง ซึ่งดูสง่างามไม่เคยเห็นมาก่อน จึงรีบส่งเสียงกับเขาว่า
“จ่านจือท่านมาแล้วหรือ? พวกเราเพิ่งจะมารอท่านได้ไม่นาน อาวุโสเซียวละ ท่านไม่ได้มาพร้อมกับท่านด้วยดอกหรือ? แล้วอาวุโสท่านนี้มิทราบว่าเป็นผู้ใดกัน? ท่านช่วยแนะนำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร ได้รับทราบด้วยจะได้หรือไม่?” จ่านจือส่งยิ้มให้เยี่ยนผิงด้วยความยินดี ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้ามาแล้วส่งเสียงต่อทุกคนว่า
“เรียนท่านอาจารย์และอาวุโสทุกท่าน เจ๊เจ้ทั้งสองรวมถึงทุกคนด้วย ข้าพเจ้าจ่านจือขอแนะนำอาวุโสท่านนี้แก่ทุกท่านได้รู้จัก แต่ก่อนอื่นขอให้ทุกท่านลองมองดูว่า เคยเห็นอาวุโสท่านนี้มาก่อนหรือไม่? ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนคงจดจำได้ ว่าอาวุโสท่านนี้เป็นผู้ใด?”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนรีบลุกขึ้นยืน เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย รีบลุกขึ้นยืนด้วยอีกคนก่อนจะส่งเสียงทักทาย ดังพร้อมเพรียงกันว่า
“บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ เป็นท่านจริง ๆหรือนี่? แสดงว่าท่านยังมิตาย เชิญท่านมานั่งลงตรงนี้เร็วเข้า”
แล้วเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บอกให้ไป่ชิงขยับเก้าอี้ไปอีกตัวหนึ่ง เพื่อให้บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่นั่งลงแทนที่ เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วส่งเสียงทักทายดังว่า
“ข้าพเจ้าบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ยินดียิ่งนักที่ได้พบหน้าทุกท่านอีกครั้ง ท่านเส้ากับท่านเกาและท่านเหิง รวมทั้งท่านขอทานหวง ทุกท่านสบายดี? ข้าพเจ้ายินดียิ่งนักที่ได้พบกันอีกครั้ง รวมถึงท่านอื่น ๆ ในที่นี้ด้วย แล้วมิทราบว่าไฉนทุกท่านจึงคิดว่า ข้าพเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว?” เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนรีบส่งเสียงกล่าวตอบไปว่า
“หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นผ่านไปไม่กี่เดือน เห็นท่านหายหน้าไปโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น อีกทั้งไม่เคยได้ข่าวคราวของท่านอีกเลย จวบจนยี่สิบปี พวกเรากลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ยังไม่ได้รับข่าวของท่านพวกเราเลยเข้าใจว่าท่านคงเสียชีวิตไปแล้วก็อาจเป็นได้ ต้องขออภัยต่อท่านยิ่งนัก ที่พวกเราเข้าใจผิดคิดไปเช่นนั้น หวังว่าท่านเซียวคงมิตำหนิพวกเรากระมัง?”
“มิได้ มิได้ ข้าพเจ้ามิกล้าตำหนิพวกท่าน แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองยังคิดว่าพวกท่านได้เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน จนกระทั่งมีวลีสี่ประโยคปรากฏขึ้นมาในยุทธจักร ข้าพเจ้าจึงได้มั่นใจว่าจะต้องมีศิษย์คนใดคนหนึ่งของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ยังมีชีวิตอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้นที่ข้าพเจ้าออกมา ได้ปลอมแปลงโฉมเป็นอีกผู้หนึ่ง ก่อนหน้านั้นพวกท่านคงได้ยินฉายาเฒ่าประหลาดผู้หนึ่งใช่หรือไม่? นั่นเป็นข้าพเจ้าเอง หลังจากเก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในบู๊ลิ้ม จนกระทั่งได้พบเซี่ยวจือกับแม่นางเยี่ยนผิง ถึงได้ทราบว่าคนผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าติดตามหา ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้คิดหวนกลับยุทธภพอีกครั้งหนึ่ง”
เยี่ยนผิงได้ยินเช่นนั้น ด้วยสมองอันปราดเปรียวเข้าใจได้ในทันทีว่า เป็นเรื่องราวใด รีบกระซิบถามจ่านจือเบา ๆ ว่า
“จ่านจือ แล้วมารดาบุญธรรมของท่านเล่า? ป่านนี้ยังไม่เห็นท่านเลย หรือท่านทราบว่าอาวุโสเซียวอยู่ที่นี่ จึงได้หลบหน้าไปก่อนแล้ว” จ่านจือยังคงแสดงสีหน้ายินดีตลอดเวลา พร้อมกับกระซิบตอบเยี่ยนผิงกลับไปว่า
“คิดว่าคงมิเป็นเช่นนั้น มารดาของข้าพเจ้านางไม่ได้หลบหนีไปไหน เพียงแต่นางจะต้องงดงามเป็นพิเศษในค่ำคืนนี้ ดังนั้นนางอาจจะยังแต่งตัวไม่เสร็จก็เป็นไปได้ อีกไม่นานนางคงจะมา แต่ว่าท่านอย่าได้ตกใจที่เห็นมารดาข้าพเจ้าอีกครั้ง ข้าพเจ้ามิอาจบอกออกไปในตอนนี้ รอให้มารดาข้าพเจ้าปรากฏตัวก่อนแล้วท่านก็จะทราบเอง”
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ ต่อคำพูดของจ่านจือ แต่ก็เชื่อฟังเขาที่ว่า รอให้มารดาของเขาปรากฏตัวก่อน ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างพูดคุยกัน เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ส่วนศิษย์ของสำนักต่าง ๆได้ทำความเคารพ พร้อมกับแนะนำตัวกันจนหมดสิ้นแล้ว
ทันใดนั้นเอง ประตูทางเข้าห้องรับประทานอาหาร ปรากฏสตรีผู้หนึ่งแต่งชุดยาวสีแดงสดใส ก้าวเท้าเข้ามา ทุกคนในห้องอาหารต่างหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน สตรีนางนั้นจัดแต่งผมเป็นมวย เสียบปิ่นสีแดงเลือดนก อีกทั้งยังเหน็บแซมด้วยดอกไม้อย่างงดงาม บนใบหน้ายังปัดแป้งแต่งแต้มเติมชาดสีแดงบนเรียวปาก ทุกคนถึงกับตกตลึงกับสตรีมีอายุ ที่ยังคงไว้ซึ่งความงดงามเช่นนี้
จ่านจือมิรอช้า ทราบได้ทันทีว่าสตรีที่เดินเข้ามาเป็นผู้ใด ? ภายในจิตใจอดที่จะยินดีมิได้ คาดคิดไม่ถึงว่ามารดาบุญธรรมของตน จะงดงามถึงเพียงนี้ หากพบเจอตอนที่ท่านยังเป็นดรุณีอ่อนวัย จะงดงามสักปานใด? จึงรีบตรงเข้าประคองแล้วส่งเสียงดังว่า
“มารดาเชิญท่าน ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ ข้าพเจ้ายินดียิ่งนักที่ท่านแม่กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง ข้าพเจ้ามีคนผู้หนึ่งจะแนะนำ มิทราบว่ามารดาจะยังอยากพบหน้าท่านอยู่หรือไม่?” สตรีนางนั้นส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า
"เซี่ยวจือ เจ้าทราบได้เช่นไร? ว่าเป็นมารดา ก่อนหน้านั้นมารดามิเคยบอกกล่าวต่อเจ้า ว่าแท้จริงแล้ว มารดาปลอมแปลงโฉม แต่ใบหน้าและรูปร่างที่แท้จริงคือที่เจ้าเห็นอยู่ในขณะนี้ เพียงเจ้าเห็นมารดาเดินเข้ามา กลับเรียกหาโดยมิลังเล รีบบอกออกมาเร็วเข้าผู้ใดกัน? ที่เจ้าจะแนะนำให้มารดาได้รู้จัก” จ่านจือเมื่อได้ยินมารดาบุญธรรมกล่าวถามเช่นนั้น รีบเอ่ยตอบออกไปทันทีว่า
“มิมีผู้ใดบอกต่อข้าพเจ้า เรื่องที่ท่านปลอมแปลงโฉมหน้า เพียงแต่ข้าพเจ้าได้รู้จักคนผู้หนึ่ง ซึ่งติดตามหาท่านด้วยความรักและคะนึงหา ใคร่จะพบหน้าสักครั้งหนึ่ง หลังจากคนผู้นั้นตามหาท่านจนทั่วบริเวณสำนักตำหนักหมื่นเทพกลับไม่พบ ด้วยความอาวรณ์ คนที่กล่าวถึงจึงชักชวนข้าพเจ้า ไปยังริมผาที่หนึ่ง ซึ่งคนที่ท่านผู้นั้นกำลังติดตามหา ได้ตกลงไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เมื่อไปถึงที่นั้น พอดีได้ยินท่านแม่กำลังกล่าววาจาถึงคนผู้หนึ่งอยู่ ซึ่งคนที่ท่านแม่กล่าวถึงได้ยินวาจาของท่านแม่จนหมดสิ้น ท่านเองก็มิแตกต่างจากมารดาเท่าใดนัก ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ติดตามหามารดาเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ท่านอยากพบหน้าและขอให้มารดายกโทษให้ ดังนั้นข้าพเจ้าเมื่อเห็นท่านเดินเข้ามา ก็คาดเดาได้ทันทีว่า ต้องเป็นมารดาบุญธรรมของจ่านจือมิผิดพลาด จึงได้กล้าส่งเสียงเรียกหาท่านว่ามารดาออกไป”
สตรีชุดแดงเมื่อได้ยินจ่านจือ บอกกล่าวออกมา แม้ยังมิได้หันมามองดูจนทั่ว ว่ามีผู้ใดอยู่ในห้องนั้นบ้าง แต่นางมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี เอื้อมมือมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ จ่านจือรับรู้ได้ว่า มือของนางสั่นระริก ชีพจรเต้นระรัวดั่งกลองถูกตีถี่ ๆ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวถามกับเขาว่า
“เซี่ยวจือเจ้าว่ากระไร? มีคนผู้หนึ่งติดตามหามารดาเช่นนั้นรึ? แล้วเขาผู้นั้นเป็นใครกัน? เจ้ารีบพามารดาไปพบกับเขาเร็วเข้า” ยังไม่ทันที่จ่านจือจะได้กล่าววาจาใดออกไป เสียงหนึ่งพลันดังสอดขึ้นก่อนว่า
“น้องหญิงเป็นท่านจริง ๆ ข้าพเจ้ามิได้ฝันไปใช่หรือไม่? ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้า...ข้าพเจ้าทำผิดใหญ่หลวงต่อท่าน”
สตรีชุดแดงหันขวับไปตามเสียง พอเห็นว่าผู้ที่กล่าววาจาเป็นใคร นางถึงหลั่งน้ำตาพรั่งพรู ริมฝีปากสีแดงสั่นระริกพูดอะไรมิออก สายตาของนางคล้ายกับไม่อยากเชื่อว่า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านางจะเป็นจริง หรือว่านางคิดถึงสามีที่พลัดพราก จนสายตาพร่าพราย มองเห็นภาพมายาเลื่อนลอยไปเอง แต่เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ จดจำได้ไม่ลืมเลือน นั่นเป็นเสียงของสามีนางที่เคยกล่าวกับนางเมื่อหลายปีก่อน แสดงว่านั่นคงมิใช่ภาพลวงตาดั่งที่คิดไว้ พอเห็นร่างนั้นเคลื่อนย้ายเข้ามาหา ห่างกันไม่ถึงครึ่งก้าว นางรีบก้าวออกไป สองมือคว้าสองแขนของบัณฑิตประหลาดเอาไว้ เมื่อเพ่งท่านอย่างชัดเจน ถึงกับปล่อยโฮออกมา แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของชายที่อยู่ตรงหน้าในทันที บัณฑิตประหลาดขยับสองแขนสวมกอดนางไว้ พร้อมกับส่งเสียงว่า
“น้องหญิงเป็นท่านจริง ๆ ข้าพเจ้ามิทราบว่าจะกล่าวกับท่านเช่นไรดี? เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าพเจ้าทอดทิ้งท่านไป แล้วเก็บตัวมิได้ออกติดตามหาท่าน ด้วยข้าพเจ้าคิดว่าท่านเสียชีวิตใต้ผาไปแล้ว อีกทั้งยังเรื่องลูกของเราที่ท่านให้กำเนิดเกิดมา ข้าพเจ้าก็ยังติดตามหาไม่พบ เมื่อทราบจากเซี่ยวจือ ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าดีใจ จนไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้ ด้านหนึ่งก็เกรงว่าท่านจะไม่ให้อภัยข้าพเจ้า ที่ได้กระทำความผิดต่อท่าน และลูกของเรา”
สตรีชุดแดงคลายสองแขนออกจากร่างของบัณฑิตประหลาด พร้อมกับยกมือขวาขึ้นลูบคลำใบหน้าของท่าน จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับชายคนรักว่า
“ท่านพี่ ตลอดเวลาข้าพเจ้ามิเคยลืมเลือนท่านพี่ อีกทั้งไม่เคยกล่าวโทษโกรธท่านพี่ ที่ไม่ติดตามหาข้าพเจ้า ส่วนเรื่องลูกของเรา แม้แต่ข้าพเจ้าก็ยังมิได้เบาะแสอันใด ? ท่านพี่ก็คงเช่นกัน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่โทษโกรธท่านพี่ ครั้งนี้ได้พบท่านพี่ นับว่าสวรรค์ให้โอกาสเราทั้งสอง บางทีสวรรค์คงส่งเสริมให้เราทั้งสองได้สืบหาลูกของเราด้วยกันก็เป็นไปได้ ที่ผ่านมาท่านพี่คงลำบากไม่น้อย แล้วมิทราบว่าที่ผ่านมา ท่านพี่ไปเก็บตัวยังสถานที่ใด?”
บัณฑิตประหลาดรู้สึกยินดีเป็นที่สุด เมื่อได้ยินว่าภรรยาของตนไม่ถือโทษโกรธเคืองเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ดังนั้นเมื่อได้ยินนางเอ่ยถามเช่นนั้น ตอนแรกเกือบจะพลั้งปากบอกกล่าวถึงสถานที่ตั้งของวังบุปผาออกไป แต่แล้วพลันนึกได้ว่าในห้องนี้มีผู้คนมากมาย สถานที่แห่งนั้นตนเองได้เคยรับปากต่อลวี้ยู่เฉียน ว่าจะไม่แพร่งพรายให้แก่ผู้ใดได้รับทราบ ส่วนเรื่องที่ตนได้นำจ่านจือกับเยี่ยนผิงไปถึงสถานที่นั้น เป็นเพราะเหตุจำเป็นจึงต้องกระทำเช่นนั้น แต่ก่อนเดินทางออกมาจากวังบุปผา ตนได้สั่งกำชับจ่านจือกับเยี่ยนผิงว่า อย่าได้แพร่งพรายสถานที่แห่งนั้นออกไป ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวตอบภรรยารักออกไปว่า
“เรื่องนั้นข้าพเจ้าค่อยหาเวลาบอกกล่าวต่อท่านในภายหลัง อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ทุกคนกำลังรอรับประทานอาหาร เชิญน้องหญิงมานั่งลงตรงนี้”
กล่าวจบบัณฑิตประหลาด รีบประคองภรรยามายังโต๊ะรับประทานอาหาร แล้วนั่งลงชิดติดกันจ่านจือ เยี่ยนผิงก็นั่งลงด้วย จากนั้นทุกคนต่างรับประทานอาหาร นับว่าเป็นมื้ออาหารที่เอร็ดอร่อยที่สุดมื้อหนึ่งก็นับว่ามิผิด เพราะว่าศิษย์สตรีของแต่ละสำนัก ต่างแสดงฝีมือเต็มที่ ช่วยกันปรุงอย่างสุดฝีมือ อีกทั้งยังเป็นโอกาสดี ที่คนสองคนได้พบกัน หลังจากพลัดพรากจากกันนานหลายปี เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ บนโต๊ะอาหารยังมีผลไม้ให้ได้ล้างปากอีกด้วย ทุกคนหลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว เยี่ยนผิงมีข้อเสนอประการหนึ่ง จึงได้เอ่ยขึ้นต่อทุกคนว่า
“เรียนอาวุโสทุกท่าน ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมีความคิดเห็นหนึ่ง มิทราบว่าทุกท่านจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”
“เจ้ามีความคิดเห็นใด? ไหนลองเสนอออกมาให้ทุกคนในที่นี่ได้รับรู้” เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ร้องถามเยี่ยนผิง ดังนั้นนางจึงส่งเสียงกล่าวว่า
“ก่อนหน้านั้น อาวุโสเซียวมีฉายาว่าอัปลักษณ์อาภรณ์แดง แต่ในเวลานี้ไม่เหมือนเช่นก่อนนั้นแล้ว บัดนี้อาวุโสงดงามหาที่ติมิได้ จะให้เรียกฉายาเดิมเห็นว่ามิถูกต้อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีข้อเสนอว่า ทุกท่านมาช่วยกันตั้งฉายาใหม่ให้กับอาวุโสเซียวจะดีหรือไม่? ตอนนี้ฉายาเฒ่าประหลาดก็ถูกเรียกขานใหม่เป็นบัณฑิตประหลาด เหมือนเมื่อก่อนในอดีต ดังนั้นอาวุโสเซียวก็น่าจะมีฉายาใหม่ด้วยเช่นกัน”
ทุกคนเมื่อได้ฟังเยี่ยนผิงกล่าวจบ ต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอของนาง ดังนั้นทุกคนต่างเสนอฉายาใหม่ให้กับเซียวเหยาเซิง ภรรยาของบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ออกมาหลายชื่อด้วยกัน แต่ทุกชื่อที่เสนอมากลับไม่ถูกใจนางเลยแม้แต่ชื่อเดียว ดังนั้นบัณฑิตประหลาดหันมาทางด้านจ่านจือ ซึ่งยังมิได้เสนอชื่อให้กับมารดาบุญธรรม แล้วส่งเสียงกล่าวกับเขาว่า
“เซี่ยวจือ เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของเราทั้งสอง ทุกคนต่างเสนอชื่อออกมาหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงเจ้าผู้เดียว ไหนลองเสนอออกมาสักชื่อหนึ่ง บางทีมารดาเจ้าอาจจะพอใจ กับชื่อที่เจ้าเสนอออกมาก็ได้”
จ่านจือ เมื่อได้ยินบิดาบุญธรรมกล่าวเช่นนั้น จึงนึกถึงท่าร่างของมารดายามเหินร่าง ไม่ต่างอะไรกับนางแอ่นเหินลมตัวหนึ่ง และมารดาชื่นชอบสีแดงเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงเสนอฉายาของมารดาต่อหน้าทุกคนว่า
“ข้าพเจ้าคิดว่าท่าร่างของท่านคล่องแคล่วรวดเร็วดั่งนกนางแอ่น และท่านยังชมชอบสีแดงเป็นพิเศษ ดังนั้นข้าพเจ้าขอเสนอว่าควรเรียกฉายาท่านใหม่ว่า “นางแอ่นแดง” ทุกท่านว่าดีหรือไม่?” เมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวจบ เซียวเหยาเซิงส่งเสียงขึ้นด้วยความยินดีว่า
“นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ชื่อนี้มารดาชื่นชอบยิ่งนัก เซี่ยวจือมารดาต้องขอบใจเจ้ายิ่งนัก ที่ตั้งฉายาถูกใจให้แก่มารดาเช่นนี้ ทุกท่านต่อจากนี้ไปโปรดเรียกหาข้าพเจ้าเป็นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงก็แล้วกัน และขอขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์ช่วยกันตั้งฉายาให้แก่ข้าพเจ้า แม้นจะไม่มีชื่อใดถูกใจ แต่ทุกท่านก็แสดงความจริงใจ ดังนั้นข้าพเจ้าขอดื่มคารวะแก่ทุกท่านหนึ่งถ้วย”
กล่าวจบนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดถ้วย ทุกคนมิรอช้ารีบยกถ้วยสุราขึ้นดื่มหมดถ้วยเช่นเดียวกัน จะมีก็เพียงแต่จ่านจือที่ค่อย ๆดื่ม กว่าสุราจะเหือดแห้งไปจากถ้วย ทุกคนต่างพยายามเอาใจช่วยเขา โดยเฉพาะเยี่ยนผิง ดังนั้นนางจึงมีความคิดว่า ต่อจากนี้จะสอนเขาให้ดื่มสุรา จะได้ไม่เสียหน้าผู้คน เวลาออกท่องเที่ยวยุทธภพ หากภายหน้าจ่านจือยังคออ่อนเช่นนี้ แล้วมีสตรีใดชมชอบในความสง่างามของเขา แล้วมอมสุราจนเมามาย เมื่อนั้นจ่านจือคงมิต้องรับผิดชอบเมล็ดข้าวในหม้อ ที่หุงขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจหรอกรึ? นางไม่มีวันยอมเป็นเด็ดขาด
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องพักผ่อน ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ได้สั่งให้คนจัดเตรียมเอาไว้ให้ สำนักตำหนักหมื่นเทพในตอนนี้ มีจำนวนคนร่วมสองร้อยกว่าคน ในจำนวนนั้นรวมมือดีจากหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ที่เดินทางมาอาศัยอยู่กับสำนักตำหนักหมื่นเทพด้วย
ยามค่ำคืนดึกสงัด บรรยากาศเงียบสงบ จนได้ยินแม้กระทั้งเข็มเพียงเล่มร่วงหล่นลงพื้น จ่านจือซึ่งได้นอนหลับไปก่อนหน้านั้น พลันได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้น ทิศทางมาจากห้องตรงกันข้าม ซึ่งเป็นห้องที่ประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง นอนพักรักษาตัวอยู่นั่นเอง ดังนั้นมิรอช้าเขารีบถลันลุกจากเตียงนอน ทันใดนั้น เงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วผ่านหน้าห้องไป จ่านจือมิรอช้า รีบผลักประตูวิ่งออกติดตามไปในทันที
เงาร่างสายนั้นฝีเท้ารวดเร็ว กระทั่งจ่านจือคาดเดามิออกว่าเป็นผู้ใด? เห็นเพียงด้านหลังว่าเงาร่างนั้นแต่งชุดดำคลุมหน้ามิดชิดตลอดทั้งร่าง มิได้พกพาอาวุธ จากการสำรวจด้วยสายตา ในความมืดเขาวิ่งติดตามออกมาด้านนอกสำนักตำหนักหมื่นเทพ เงาร่างนั้นกระโดดลอยขึ้นหมุนตัวกลางเวหา แล้วทิ้งร่างหายไปยังดงไม้ทึบตรงหน้า เมื่อเขาติดตามเข้าไป ก็ไม่พบเห็นร่องรอยของเงาร่างนั้นแล้ว
จ่านจือมิรอช้ารีบวิ่งกลับเข้าไปภายในสำนักทันที โดยมีลางสังหรณ์ว่าอาจเกิดเรื่องร้ายขึ้น เมื่อเข้ามายังด้านใน รีบวิ่งตรงไปยังห้องซึ่งประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงพักรักษาตัว เห็นภายในห้องนอนจุดเทียนไขสว่างไสว นอกจากนั้นยังเห็นทุกคนชุมนุมอยู่ในห้องนั้น เขามีความรู้สึกว่าคงเกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นแล้วอย่างแน่นอน จึงรีบพุ่งร่างเข้าไปในห้องนั้นทันที
เมื่อร่างผ่านบานประตูห้องนอนเข้าไป ภาพที่เห็นตรงหน้า ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิว เหวินมู่กับอวี้หว่อ และเทียนจิ้ง ทั้งสามนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห้อง ในอ้อมแขนนอนอยู่ด้วยร่างของประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง เขาเห็นเช่นนั้นส่งเสียงกล่าวถามออกไปว่า
“ทุกท่านเกิดเรื่องราวใดขึ้น? ท่านอาวุโสเฉิง เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? เทียนจิ้งท่านรีบบอกออกมาให้ข้าพเจ้าจ่านจือรับทราบเร็วเข้า” เทียนจิ้งหันหน้ามาทางด้านจ่านจือ ด้วยสีหน้าโศกเศร้าเสียใจ แล้วส่งเสียงตอบเขาว่า
“อาจารย์ถูกคนลอบทำร้าย ข้าพเจ้าพอได้ยินเสียงผิดปกติจึงรีบวิ่งเข้ามาดู พบว่าอาจารย์ถูกทำร้ายเสียชีวิตแล้ว อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนนั้น จึงมิอาจรับมือได้ ผู้ใดกันกล้าลอบเข้ามาลงมือในสำนักตำหนักหมื่นเทพ?” จ่านจือรีบเข้ามาใกล้ร่างของประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง พร้อมกับย่อเข่านั่งลง สายตาสำรวจหาร่องรอยหลักฐานที่คนร้ายอาจทิ้งเอาไว้
“ไหนเราขอตรวจดูบาดแผลสักหน่อย อาจพบร่องรอยผู้ที่ลอบเข้ามาทำร้ายท่านเฉิงบ้างก็ได้”
เป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าวขึ้น จากนั้นตรงเข้ามาตรวจดูร่องรอยบาดแผล หลังจากสำรวจจนทั่วแล้ว ไม่ปรากฏร่องรอยบาดแผลแต่อย่างใด ทันใดนั้น เจ้าโอสถสายรุ้งแสดงสีหน้าตระหนกตกใจ ร้องขึ้นว่า
“วิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึก!”
ทุกคนรู้สึกตระหนกตกใจ เมื่อได้ยินเจ้าโอสถสายรุ้ง บอกว่าเป็นวิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึก หรือที่ชาวยุทธ์ได้ยินและรู้จักกัน นั่นคือฝ่ามือพญายมนั้นเอง ซึ่งวิชานี้อานุภาพลึกล้ำไพศาล ทำลายอวัยวะภายในแหลกละเอียด แม้ภายนอกไม่ปรากฏร่องรอยบาดแผลให้เห็น ฝ่ามือพญายมนี้ ได้ลงมือฆ่าคนอีกครั้ง หลังจากเงียบหายไปนาน เท่าที่ทราบผู้ที่ใช้วิชาฝ่ามือนี้ จะมีก็เพียงแต่เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ชาวยุทธ์ล้วนเห็นกับตาว่า ในวันประลองยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน จอมมารผู้นี้คิดจะใช้ฝ่ามือพญายมนี้สังหารจ่านจือ ดังนั้นผู้ที่ลอบเข้ามาสังหารประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กง จะเป็นผู้ใดไปมิได้ นอกจากเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันอย่างแน่นอน
หลังจากปลอบใจ และแสดงความเสียใจ แก่ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวแล้ว ทุกคนต่างออกมาสนทนากันยังห้องโถงใหญ่ ปล่อยให้ศิษย์ทั้งสามอยู่ไว้อาลัยกับร่างของอาจารย์ ซึ่งหมดลมหายใจด้วยวิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึก ในห้องโถง เยี่ยนผิงคาดเดาได้ว่า จ่านจือคงเห็นตัวคนร้ายและไล่ติดตามไป ดังนั้นขยับเข้ามาใกล้ แล้วส่งเสียงเอ่ยถามเขาว่า
“จ่านจือ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านได้ติดตามคนร้ายไป มิทราบว่าพอจะคุ้นท่าร่างการเคลื่อนไหวของคนร้ายบ้างหรือไม่? ไหนท่านลองเล่าเหตุการณ์ให้ข้าพเจ้าทราบสักหน่อยจะได้หรือไม่?” เมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าวถามออกมาเช่นนั้น จ่านจือจึงได้เล่าเหตุการณ์ให้แก่นางและคนอื่น ๆ ในสถานที่แห่งนั้นได้รับทราบจากนั้นกล่าวสรุปว่า
“เหตุการณ์ในตอนนั้น ข้าพเจ้าติดตามไป เห็นเพียงเงาหลังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก คนร้ายแต่งชุดดำอำพรางใบหน้ามิดชิด แต่ทว่าท่าร่างที่ใช้ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก หลังจากครุ่นคิด ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออกเมื่อครู่นี่เอง ว่าคนร้ายที่ข้าพเจ้าติดตามไป คล้ายกับหนึ่งในสองชุดดำที่ทำร้ายข้าพเจ้า และสี่บรรพชิตเส้าหลิน แต่จะใช่เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันหรือไม่? ข้าพเจ้าจ่านจือยังมิกล้ากล่าวสรุปได้ในตอนนี้ แต่เท่าที่ทุกคนทราบ วิชาฝ่ามือที่ใช้ลงมือต่ออาวุโสเฉิง คือวิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึก นอกจากเจ้าอสูรโลกันตร์แล้ว ยังมีผู้ใดอีก? ที่รู้จักวิชาฝ่ามือนี้ เท่าที่ทราบมันได้หายสาบสูญไปเนิ่นนานหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าขบคิดไม่ออกจริง ๆว่าเป็นผู้ใด?” เมื่อจ่านจือกล่าวจบไป่ชิงจึงได้แสดงความคิดเห็นขึ้นบ้างว่า
“ลำดับจากเหตุการณ์เมื่อครู่ดูแล้ว คนร้ายจะต้องรู้จักเส้นทางภายในสำนักตำหนักหมื่นเทพเป็นอย่างดี อีกทั้งจะต้องทราบความเคลื่อนไหวภายในสำนักอย่างละเอียดอีกด้วย เป็นไปได้หรือไม่? ในสำนักตำหนักหมื่นเทพ อาจจะมีหนอนบ่อนไส้คอยส่งข่าวความเคลื่อนไหวให้คนร้าย ดังนั้นจึงได้ลอบเข้ามาทำร้ายอาวุโสเฉิงได้ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ”
“ข้อสันนิษฐานของไป่ชิงยิ่งมีเหตุผล เราคิดว่าหลังจากวันนี้ พวกเราจะต้องเฝ้าระวังให้มากกว่านี้ ประมุขพรรคไผ่หลิวท่านก็เสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงศิษย์ทั้งสาม ไม่ทราบว่าจะกระทำเช่นไร?ต่อไป ดังนั้นรอให้ผ่านพ้นพิธีฝังศพของท่านเฉิงไปก่อน แล้วค่อยคิดวางแผนกันว่าจะกระทำเช่นไร?ต่อไป นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกท่านรีบแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวเรากับจ่านจือจะเฝ้าระวังเหตุการณ์ภายนอกให้แก่ทุกคนเอง แต่เราคิดว่าคนร้ายคงมิกล้าลอบเข้ามาทำร้ายคน ในสำนักตำหนักหมื่นเทพติดต่อกันเป็นคำรบสองอย่างแน่นอน”
ผู้ที่กล่าววาจาเป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ดังนั้นทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องไป ส่วนมู่เหอกับเหมาต้า และหนานตี้ ต่างมีความเห็นตรงกันว่า จะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเทียนจิ้ง กับศิษย์พี่ทั้งสองของเขา
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564