Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (จอมยุทธ์รุ่นเยาว์)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

จอมยุทธ์รุ่นเยาว์

  • 13/08/2565

ตอนที่ 75

จอมยุทธ์รุ่นเยาว์

อีกด้านหนึ่งเล่อต้าเต๋อกำลังใช้อาวุธเป็นค้อนเหล็กหนักหลายร้อยชั่งลงมือ แต่ยามฟาดออกคล้ายบรรจุพลังมหาศาลนับพันชั่ง ดังนั้นจึงตั้งชื่อวิชานี้ว่าพันชั่งอสูรคลั่ง เป้าหมายที่เล่อต้าเต๋อเลือกลงมือเป็นสองศิษย์ของพรรคไผ่หลิวเหวินมู่กับอวี้หว่อนั่นเอง ศิษย์ทั้งสองของพรรคไผ่หลิวประสานวิชาไผ่หลิวชมจันทร์ออกมาต้านรับ มองเห็นเงากระบี่สีเขียวของกระบี่หยกไผ่หลิวสาดประกายวูบไหวไปมาน่าชมยิ่ง

คนทั้งสามผลัดรุกรับผ่านไปหลายกระบวนท่า ถึงแม้เล่อต้าเต๋อจะเป็นยอดฝีมือแต่คู่ต่อสู้ครานี้มีถึงสองคน ดังนั้นจึงมิอาจรวบรัดจัดการได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นยอดฝีมือผู้นี้จึงเร่งเร้าพลัง เพื่อต้องการจะสยบคู่ต่อสู้ให้รวดเร็วที่สุด ทุกครั้งที่ค้อนเหล็กฟาดออก ก่อเกิดคลื่นเสียงดั่งฟ้าถล่มลงมาก็มิปาน อีกทั้งยังเกิดเป็นหลุมลึกยามค้อนเหล็กกดกระแทกลงมายังพื้นดิน

อีกฟากหนึ่งเหมาต้ากับหนานตี้ ประสานตั้งรับการจู่โจมจากหัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย คนผู้นี้ใช้กระบี่ยาวเป็นอาวุธ เหมาต้าเป็นศิษย์คนโตของผาแห่งสายลม พลังฝีมือนับว่าเข้มแข็งไม่แพ้ศิษย์อีกสองคน ทุกกระบวนท่าล้วนตั้งรับอย่างรัดกุม พร้อมกับโต้ตอบกลับไปอย่างมิเพลี่ยงพล้ำเท่าใดนัก หนานตี้ศิษย์คนโตแห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณก็เช่นกัน มิทำอับอายขายหน้าชื่อเสียงสำนักอาจารย์

ส่วนหัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน กับหัวหน้าตึกอินทรีต้าถง รวมถึงสองเทวทูตซ้ายขวาเจียจิ้งกับเจียฮุย คนทั้งสี่แยกย้ายรายล้อมสี่ดรุณีเอาไว้ ไป่ชิงส่งเสียงร้องด่าทอออกไป ก่อนที่จะใช้กระบี่ในมือสำแดงวิชาวายุกรีดนภาออกไปปกป้อง ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินหลังจากได้รับการชี้แนะจากจ่านจือ วิชากระบี่ดรุณีปราบมารก้าวหน้าไปมากโข  ดังนั้นนางทั้งสองจึงมิแสดงอาการเกรงกลัวออกมา ต่างใช้กระบี่ในมือกรีดออกซ้ายขวา ต่อต้านการบุกรุกของคนทั้งสี่ นอกจากนั้นยังมีกุ้ยโส่ว ศิษย์ของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ที่ร่ายรำกระบี่ออกด้วยวิชากระบี่พิรุณโปรยปราย สภาวะทั้งดุดัน ผสานความพลิ้วไหวก่อเกิดเป็นประกายดั่งหยาดพิรุณพร่างพรมลงมาจากฟากฟ้าช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง

แต่ถึงกระนั้นต่อให้ศิษย์ของทั้งสี่สำนักเข้มแข็งสักปานใด? ไหนเลยจะสามารถต้านรับบรรดายอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าได้ เมื่อมองไปยังคู่ของเทียนจิ้งกับต๊กม้อเต็กลามะ ซึ่งต่อสู้ผ่านมานับร้อยกระบวนท่า ด้านพลังวัตรเขาไหนเลยทัดเทียบมาละชั่วช้าได้ มองเห็นห่วงทองเหลืองนามห่วงคู่ประทับฟ้า ถูกซัดขว้างออกจากมือของลามะชั่ว ห่วงแรกบรรลุถึงก่อนอย่างเร่งร้อน เทียนจิ้งรีบพลิกตัวตีลังกากลับหลัง แต่ยังมิทันจะตั้งตัวห่วงที่สองถลันกระชั้นชิดติดตามมา ดังนั้นเขาจึงรีบวกกระบี่หยกไผ่หลิวเขี่ยเข้าใส่บริเวณขอบนอกของห่วงทองเหลือง จึงสามารถรอดพ้นห่วงคู่ประทับฟ้าวงนี้ไปได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียว

ต๊กม้อเต็กไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ด้วยชั้นเชิงยุทธ์ที่มีมากกว่ารีบพุ่งร่างตามติด ต่อยหมัดเข้าใส่เทียนจิ้ง มืออีกข้างที่เหลือคว้ารับห่วงทองเหลือง ที่วกกลับมาจากแรงปะทะของกระบี่หยกไผ่หลิว จากนั้นสะบัดข้อมือซัดห่วงทองเหลืองออกไป เพื่อเปลี่ยนทิศทางของห่วงทองเหลืองอีกวงให้ย้อนกลับคืนมา เทียนจิ้งเห็นหมัดของต๊กม้อเต็กลามะใกล้บรรลุถึง ครั้นจะวกกระบี่กลับมาคิดว่ามิทันการ จึงพุ่งฝ่ามือออกต้านรับหมัดเอาไว้โดยมิเต็มใจเท่าใดนัก

เสียงทึบเมื่อหมัดของลามะต่อยเข้าใส่ใจกลางฝ่ามือของเทียนจิ้ง พลังลมปราณอันกล้าแข็งที่บรรจุมาพร้อมกับหมัดนั้น รุนแรงและมหาศาลส่งผลให้ร่างของเขากระเด็นลอยไปตามแรงหมัด ร่างกระแทกพื้นดังครืนใหญ่ อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บแปลบแสบร้อนอย่างรุนแรงบริเวณแขนข้างที่ใช้รับหมัดนั้น

ต๊กม้อเต็กเมื่อคว้ารับห่วงคู่ประทับฟ้าแล้ว รีบพุ่งร่างเข้าหาเทียนจิ้งที่นอนอยู่กับพื้น จากนั้นประเคนเท้าขวาเตะเข้าใส่บริเวณหัวไหล่ของเขาโดยหวังผล แต่ทว่าเท้านี้มิได้ต้องการสังหารผลาญชีวา แต่ต้องการสกัดจุดเพื่อสยบของเอาไว้เท่านั้นเอง เมื่อร่างไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ เทียนจิ้งได้แต่เบิกตาชมดูการต่อสู้ของคนที่เหลืออย่างไม่สามารถช่วยเหลือกระไรได้

อีกไม่นานนักศิษย์พี่ทั้งสองของเทียนจิ้ง นั่นคือเหวินมู่กับอวี้หว่อต่างถูกกระแทกมากองรวมกับเขา สภาพของศิษย์พี่ทั้งสองต่างถูกสกัดจุดเอาไว้เฉกเช่นกันกับเขา ต่อจากนั้นอีกไม่นานหนานตี้กับเหมาต้าก็ถูกสกัดจุดเอาไว้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะถูกถีบกระเด็นมากองรวมกัน

ที่เหลือก็จะมีแต่สี่ดรุณีที่ยังคงต่อสู้อย่างมิยอมแพ้ถดถอย แต่ดูเหมือนยอดฝีมือเหล่านั้นจะเห็นดรุณีทั้งสี่เป็นเช่นของเล่น จึงมิได้รีบร้อนลงมือทำร้ายหมายชีวิต เพียงโอบล้อมบีบบังคับให้สตรีทั้งสี่ใช้กำลังออกมา พวกมันกำหนดแผนการเอาไว้แล้วว่า เมื่อสี่ดรุณีหมดสิ้นเรี่ยวแรง จะลงมือผลัดเปลี่ยนกันย่ำยีสตรีทั้งสี่ ต่อหน้าบุรุษที่ถูกสกัดจุดเอาไว้

เมื่อย่ำยีสตรีเหล่านั้นจนหนำใจแล้ว ค่อยสังหารทุกคนเพื่อไปรับความดีความชอบจากหลิวซุ่นกงกง นับว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญของพวกมัน และที่พวกมันคิดจะกระทำอีกเรื่องราวหนึ่ง นั่นคือป่าวประกาศออกไปว่าพวกมันสามารถย่ำยีศิษย์สตรีของสามสำนัก ก่อนสังหารคงสร้างความโกรธแค้นแสนสาหัสแก่อาจารย์ และฝ่ายธัมมะเป็นอย่างมาก

ดรุณีทั้งสี่ลงมือมาช้านานพละกำลังย่อมอ่อนโทรม เรี่ยวแรงในตอนนี้ได้แต่ฟาดฟันกระบี่ออกสะเปะสะปะด้วยอาการเหนื่อยหอบ ในที่สุดกระบี่ในมือถูกกระแทกปลิดปลิวพ้นตัวพวกมันทั้งหมดส่งเสียงหัวร่ออย่างสาสมใจ แล้วต๊กม้อเต็กลามะหันมาทางด้านศิษย์บุรุษทั้งหมดที่ถูกสกัดจุดเอาไว้ พร้อมกับส่งเสียงดังว่า

"พวกท่านจงเปิดตาชมดูให้ดี ต่อจากนี้พวกท่านทั้งหมดจะได้เห็นเรือนร่างของพวกนางเหล่านี้ ปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์นับเป็นบุญตาของพวกท่านทั้งสี่ก่อนตาย ส่วนพวกเราจะแสดงบทสามีภริยา ยามเข้าห้องหอว่าเขาปฏิบัติตัวกันเยี่ยงไร? น่าเสียดายที่สถานที่แห่งนี้ มิมีตั่งเตียงนุ่มนิ่มไว้รองรับ อาศัยพื้นดินแถบนี้เป็นดั่งตั่งเตียง อดที่จะสงสารเนื้อหนังมังสาอันขาวผุดผาดดั่งหยวกของพวกนางมิได้ แต่พวกเราคิดว่านั่นมิเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด สวรรค์รออยู่ตรงหน้าจะมัวรีรอไปไยกัน” 

ลามะชั่วกล่าวจบส่งเสียงหัวร่ออย่างชั่วร้าย โดยมิละอายสิ่งใดมิหลงเหลือบุคลิกภาพของผู้บำเพ็ญศีลแต่อย่างใด จากนั้นหันมาทางพวกพ้องแล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“พวกท่านลงมือได้ ชอบใจแม่นางคนใด? ก็เลือกเอาเถิด ส่วนแม่นางไป่ชิงช่างงดงามนักอาตมาขอเชยชมก่อนก็แล้วกัน" 

กล่าวจบต๊กม้อเต็กลามะ กระชากร่างของไปชิงออกไป หมายจะฉีกเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางสวมใส่ออก แต่ยังมิทันจะลงมือเสียงหนึ่งพลันดังสอดแทรกขึ้นก่อนว่า

"ลามะชั่วกับลูกสุนัขต่ำช้าสามานย์นัก คิดจะกระทำย่ำยีสตรีกลางวันแสก ๆเชียวรึ? มารดาของพวกท่านหายหน้าไปสถานที่ใด? ไยมิไปกระทำกับมารดาพวกท่านเล่า? หรือว่ามารดาของพวกท่าน มิมีเวลาว่างต้องคอยต้อนรับแขกเหรื่อในห้องหอคณิกา จึงมิมีเวลาปลีกตัวมาอบรมบ่มสันดานของพวกท่าน เช่นนั้นวันนี้ข้าพเจ้าจะขอลดตัวเป็นตัวแทนมารดาพวกท่านทั้งหลาย อบรมลูกน้อยไม่หย่านมให้ก็แล้วกัน แต่ข้าพเจ้ามิได้มาเพียงลำพังดอกนะ พวกท่านล้วนมีสันดานสัตว์เดรัจฉาน ลำพังข้าพเจ้าคนเดียวคงมิอาจอบรมได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพาคนมาช่วยอบรมสั่งสอนพวกท่านด้วย พวกท่านอย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์พวกเขาก็แล้วกัน"

สิ้นเสียงร่างสามสายปรากฏกายขึ้น ไป่ชิงและดรุณีทั้งสามเมื่อเห็นผู้ที่มา ต่างแสดงอาการยินดีออกมาอย่างโล่งอก ผู้ที่ส่งเสียงกล่าววาจาอยู่ด้านหน้าสุด ถัดไปเป็นชายชราร่างกายพิกลพิการ ผู้ที่อยู่รั้งท้ายงอนิ้วดีดออกพร้อมกับวัตถุเล็ก ๆ พุ่งออกจากปลายนิ้ว วัตถุที่ว่าเห็นมิชัดตานัก แต่พอคาดเดาได้ว่าเป็นก้อนเห็นเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง พอก้อนหินเหล่านั้นต้องสัมผัสร่างของศิษย์บุรุษที่ถูกสกัดจุดเอาไว้ก่อนหน้านั้น ทุกคนต่างรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อจุดที่ถูกสกัดเอาไว้ถูกคลายออก พอเห็นชัดถนัดตาว่าผู้ที่มาเป็นใคร ต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโล่งใจ

ผู้ที่มามีด้วยกันสามคน เป็นจ่านจือกับเยี่ยนผิง และเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่นั่นเอง ผู้ที่ดีดก้อนหินคลายจุดให้แก่ทั้งหมดเป็นจ่านจือนั่นเอง ศิษย์สตรีทั้งหมดเมื่อเห็นผู้ที่มาเป็นเขากับเยี่ยนผิง ต่างรีบฉกฉวยโอกาสที่พวกคนชั่วมิทันระวังตัว ผลักฝ่ามือเข้าใส่และวิ่งออกมารวมตัวกับคนทั้งหมด จ่านจือเมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองกับไป่ชิงและกุ้ยโส่ว ท่าทางปลอดภัยรีบส่งเสียงเรียกออกไปทันทีว่า

"พี่สาวทั้งสอง แม่นางไป่ชิง แม่นางกุ้ยโส่วมิเป็นไรใช่หรือไม่?" ทั้งสี่รีบพยักหน้าต่อจ่านจือ แล้วไป่ชิงส่งเสียงตอบออกไปว่า

"พวกเรามิเป็นไร แต่หากพวกท่านมาช้าอีกก้าวเดียว พวกเราคงต้องเสียท่าเหล่าคนชั่วอย่างแน่นอน แล้วมิทราบว่าท่านกับแม่นางเยี่ยนผิงมาได้เช่นไร? แล้วอาวุโสอีกท่านนั่นเล่าเป็นใคร? มาด้วยกันกับท่านหรือไม่?"

จ่านจือเมื่อได้ฟังคำตอบของไป่ชิง ค่อยเบาใจลงดังนั้นรีบแนะนำเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ให้แก่ทุกคนได้รู้จัก จากนั้นบอกให้ทุกคนถอยออกไปก่อน ส่วนคนชั่วทั้งหมดเขากับเยี่ยนผิง และเฒ่าประหลาดจะคิดบัญชีให้กับทุกคนเอง ลามะชั่วต๊กม้อเต็กเมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวว่า จะคิดบัญชีให้กับคนทั้งหมด มันรีบแหงนหน้าส่งหัวร่ออย่างเย้ยหยัน ก่อนจะส่งวาจากล่าวออกไปว่า

"ฮา ๆ นึกว่าเป็นผู้ใด? ที่แท้เป็นประมุขยุทธภพคนใหม่นี่เอง อาตมาเสาะหาท่านกลับมิพบตัว วันนี้ท่านกลับยื่นศีรษะเข้ามา ให้อาตมาหิ้วไปรับรางวัลต่อท่านหลิวกงกง อีกทั้งยังเพิ่มสตรีงดงามปานเทพธิดามาอีกหนึ่งนางด้วย แม้ว่าฝีปากนางจะร้ายกาจนัก แต่อาตมาก็มิถือสาอันใด ได้ยินท่านกล่าวเมื่อครู่ ว่าจะคิดบัญชีกับพวกอาตมาเช่นนั้นรึ? ด้วยความสามารถของพวกท่าน จะคิดบัญชีกับอาตมา และพวกของอาตมาคาดว่าคงมิมีปัญญากระมัง?" พอต๊กม้อเต็กลามะกล่าวจบ เยี่ยนผิงรีบกล่าวสวนออกไปทันทีว่า

"ลามะชั่วประพฤติตัวนอกรีต ท่านช่างเป็นมารศาสนาต่ำช้าเลวทราม ยากแก่การให้อภัย ข้าพเจ้าเห็นท่าน พร้อมพรรคพวกทำร้ายสหาย และพี่น้องของข้าพเจ้า แถมจะย่ำยีสตรีกลางวันแสก ๆโดยมิอับอายผีสาง เห็นทีข้าพเจ้า คงจะต้องให้พวกท่าน ได้รับทราบฝีมือที่แท้จริงของนายน้อยแห่งพรรคมารสวรรค์ดูเสียแล้ว มาตรแม้นข้าพเจ้าได้ชื่อว่าเป็นคนของพรรคมาร ยังมิเคยกระทำการชั่วช้าสามานย์เช่นพวกท่านมาก่อน” เมื่อกล่าวจบ เยี่ยนผิงหันมาทางจ่านจือแล้วกล่าวกับเขาว่า

“จ่านจือข้าพเจ้าขอจัดการกับคนชั่วเหล่านี้ให้ทราบสำนึก ท่านเองควรช่วยเหลือข้าพเจ้าอีกแรง อีกทั้งรบกวนท่านอาวุโสเซียว พวกเรารีบลงมือต่อพวกมันเพื่อแก้แค้นให้แก่พี่สาวทั้งสอง กับสหายของท่านเถิด"

กล่าวจบเยี่ยนผิงพุงร่างดั่งนางแอ่นเหินเข้าหาเหล่าคนชั่ว ในขณะเดียวกัน จ่านจือรีบทะยานร่างเข้าหาต๊กม้อเต็กลามะในทันที ส่วนเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ มิอาจนิ่งเฉยดูดาย ชั่วพริบตาร่างบรรลุถึงหน้าเสิ่นซื่อสูอวี้ กับเล่อต้าเต๋อแล้ว เยี่ยนผิงนางจดจำสองเทวทูตซ้ายขวาได้แม่นยำ จึงได้เลือกลงมือต่อสองคนนี้อีกคราหนึ่ง ส่วนหัวหน้าตึกทั้งสาม ล้วนทราบแก่ใจว่าหลิวซุ่นกงกง ต้องการตัวจ่านจือมากที่สุด ดังนั้นรีบพุ่งร่างเข้าหาเขา เพื่อช่วยเหลือต๊กม้อเต็กลามะจัดการเขาอีกแรงหนึ่ง

ต๊กม้อเต็กลามะยังมิเคยประมือกับจ่านจือแบบซึ่งหน้ามาก่อน ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะเคยประมือเพียงไม่กี่กระบวนท่า แต่ทว่าเพียงแค่ผิวเผิน อีกทั้งเคยเห็นฝีมือของเขา ครั้งประลองยุทธ์ที่เส้าหลิน ลามะชั่วคำนวณว่าฝีมือของเด็กน้อยผู้นี้คงมิเท่าไหร่ ดังนั้นวันนี้ตนเองจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นกับตา ว่าระหว่างตนกับเขาใครจะเหนือชั้นกว่ากัน

ดังนั้นห่วงทองเหลือง นามห่วงคู่ประทับฟ้าทั้งสองวงในมือ ต่างแยกย้ายซ้ายขวาจู่โจมออกทันที วงแรกพุ่งออกก่อน เพื่อสกัดจ่านจือเอาไว้ ติดตามด้วยวงที่สองพุ่งออกกระชั้นชิดติดตาม จ่านจือปกติมิเคยใช้อาวุธต่อสู้มาก่อน แต่ในเวลานี้ในมือบังเอิญถือกระบี่ของเยี่ยนผิงติดมือมาเล่มหนึ่ง ส่วนเยี่ยนผิงนางได้กระบี่อัคคีน้ำค้างกลับคืนมา จากเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ ดังนั้นเขาจึงชักกระบี่ออกต้านรับห่วงทองเหลืองของต๊กม้อเต็กลามะเอาไว้เพื่อผ่อนแรง

เสียงติงติงตังตังดังสดใส เมื่อกระบี่ในมือของจ่านจือปะทะเข้ากับห่วงคู่ประทับฟ้าของลามะชั่วต๊กม้อเต็ก เมื่อเห็นเช่นนั้นลามะทิเบตรีบก้มศีรษะลงต่ำ พร้อมกับหมุนร่างเป็นวงกลายเป็นรัศมีวงกลมที่เต็มไปด้วยคลื่นพลังลมปราณมหาศาล หมุนวนเข้าหาเขาดั่งกงจักร จ่านจือแม้ประสบการณ์การต่อสู้มิเทียบเท่าลามะชั่วรูปนี้ แต่หาได้รู้สึกกริ่งเกรงหวาดกลัว

พอเห็นกระบวนท่าอันน่ากลัว จ่านจือรีบรวบรวมสมาธิเพ่งมอง ถึงแม้ท่าร่างของลามะทิเบตจะรวดเร็ว แต่เมื่อเขาเพ่งสมาธิจิตกับร่างกายผสานเป็นหนึ่งเดียว จนสงบนิ่งดั่งน้ำในบ่อ กลับมองเห็นช่องว่างระหว่างห่วงทองเหลืองทั้งสองวงชัดเจน ดังนั้นแทนที่เขาจะหลบหลีก กลับเสือกกระบี่เข้าไปยังช่องว่างนั้นเมื่อปลายกระบี่ชำแรกแทรกผ่านคลื่นปราณพลัง ของห่วงคู่ประทับฟ้าเข้าไป ต๊กม้อเต็กลามะถึงกับแสดงสีหน้าแตกตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับส่งเสียงดังว่า

"เด็กน้อยท่านร้ายกาจนัก อาตมาประเมินฝีมือท่านต่ำไปจริง ๆหรือนี่? แม้แต่กระบวนท่าห่วงคู่โค่นขุนเขาของอาตมา ท่านยังสามารถทำลายได้ ร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่งนัก"

จ่านจือมิสนใจในคำพูดของพระนอกรีต เขาร่ายรำกระบี่ติดต่อกันถึงสิบกว่ากระบวนท่า ไล่ต้อนต๊กม้อเต็กมาละ จังหวะนั้นทางด้านหลัง และสองข้างซ้ายขวาของเขา เพิ่มคนอีกสามคนเข้ามา ทางด้านหลังเป็นอันสุ่ย ทางด้านซ้ายเป็นฉีฝ่าน และทางด้านขวาเป็นต้าถง หัวหน้าตึกทั้งสามต้องการบีบบังคับเขาเป็นวงแคบ เพื่อง่ายต่อการลงมือ จ่านจือมิวอกแวกและหาได้เกรงกลัว ยังคงเร่งฝีเท้าไล่ติดตามต๊กม้อเต็กลามะมิลดละ ในขณะเดียวกันฝักกระบี่ในมือซ้าย ฟาดกลับหลังพร้อมกับบรรจุพลังดาวดึงส์จนเปี่ยมล้น

หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย พอเห็นจ่านจือฟาดฝักกระบี่กลับหลังมา พร้อมกับสัมผัสได้ถึงคลื่นปราณพลังเป็นเส้นสาย รีบพุ่งร่างถอยออกเพื่อหลบหลีกรัศมีปราณพลังของเขา ในขณะเดียวกันกระบี่ในมือขวาของจ่านจือ ทิ่มแทงเข้าใส่ในช่องว่างวงกลม กลางห่วงทองเหลืองของลามะทั้งสองวง แล้วพลิกข้อมือหมุนวนกระบี่เป็นวงดั่งบุปผา ยามแตกตื่นตกใจต๊กม้อเต็กเกรงคมกระบี่จะทำอันตรายนิ้วมือ ที่จับห้วงคู่เอาไว้จึงรีบคลายมือจากห่วงคู่ พร้อมกับพุ่งร่างถอยหลังอย่างร้อนรน พอห่วงคู่ประทับฟ้าหลุดพ้นจากมือลามะเป็นอิสระ จ่านจือใช้กระบี่ในมือขวาของเขา หมุนควงเป็นวงสองรอบ ก่อนที่จะบังคับทิศทางปล่อยห่วงทั้งสองเข้าใส่ฉีฝ่านกับต้าถง ที่พุ่งร่างกระหนาบซ้ายขวาเข้ามา

ในจังหวะเดียวกันนั้น ฝักกระบี่ในมือซ้ายของจ่านจือ มิปล่อยไว้ไร้ประโยชน์ เขาเมื่อเห็นลามะชั่วพุ่งร่างถอยหลังห่างออกไป รีบวกฝักกระบี่กลับมาแล้วใช้เป็นอาวุธ ซัดไล่ติดตามร่างลามะไป เสียงทึบเมื่อฝักกระบี่ของเขา พุ่งเข้าปะทะร่างมาละชั่ว ถึงแม้ว่าพระชั่วจะเกร็งลมปราณขึ้นป้องกันตัวเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ยังรู้สึกได้ถึงพลังแข็งกร้าว ที่บรรจุแฝงมากับฝักกระบี่

ดังนั้นอดที่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจมิได้ว่า พลังลมปราณของตนเองแข็งแกร่ง ล้วนเดินในแนวทางเดียวกับพลังลมปราณของจ่านจือ ต๊กม้อเต็กจึงชะล่าใจคิดว่าสามารถต้านทานพลังที่แฝงมากับฝักกระบี่ของเขาได้อย่างมิยากเย็น ขณะที่ในใจครุ่นคิดอยู่นั้น พลันต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตระหนกตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ ๆพลังลมปราณแข็งกร้าวที่สัมผัสได้ สลายหายวับ ปราณพลังที่เข้ามาแทนที่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นพลังอ่อนหยุ่นดั่งละอองน้ำถูกสายลมพัดผ่านในบัดดล

ในขณะเดียวกันลมหายใจพลันขาดห้วง ช่วงจังหวะที่พุ่งร่างถอยหลัง พอผนึกกำลังลมปราณขึ้นมาใหม่อีกรอบ พลังอ่อนหยุ่นเยือกเย็นของจ่านจือ ได้แทรกผ่านเข้ามาในร่างตนเองเสียแล้ว ต๊กม้อเต็กเบิกตาทั้งสองด้วยอาการตกใจสุดขีด นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า จะมีพลังลมปราณอันพิสดารเช่นนี้ อาศัยเพียงฝักกระบี่ ก็สามารถทำร้ายตนได้ ซึ่งในรอบสิบปีมานี้ ยังมิเคยปรากฏว่าผู้ใดสามารถกระทำได้ หากเมื่อครู่ มิใช่ฝักกระบี่แต่เป็นคมกระบี่เล่า ชีวิตของตนคงมิจบสิ้นภายใต้คมกระบี่ ของเด็กน้อยผู้นี้แล้วกระมัง 

ดังนั้นได้แต่ใช้ลมปราณปิดจุดสำคัญบนร่างเอาไว้ ถึงแม้จะถูกพลังของจ่านจือทำร้ายในครานี้ ก็ไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต จ่านจือเองไม่คิดแม้แต่จะหันกลับไปมองเบื้องหลัง ได้ยินเพียงเสียงห่วงทองเหลืองทั้งสองวง ปะทะเข้ากับร่างของฉีฝ่านกับต้าถงอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ร่างของทั้งสองปลิดปลิวลอยไปกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น ดังนั้นจึงออกแรงเพิ่มพลังไปยังฝักกระบี่อีกเท่าตัว ได้ยินเสียงลามะต๊กม้อเต็กส่งเสียงร้อง ดั่งถูกของหนักกระแทกร่าง ก่อนที่ร่างจะปลิวออกไปหลายวา อีกทั้งยังกระอักโลหิตออกมาคำโตก่อนร่างจะร่วงหล่นกระแทกพื้น

จ่านจือรีบพลิกร่างกลับมา เห็นฉีฝ่านกับต้าถงเพิ่งจะพยุงกายลุกขึ้นยืน โดยมีอันสุ่ยทะยานออกหน้าหมายจัดการเขา ให้ได้ในกระบวนท่าเดียว จ่านจือคิดจะสั่งสอนคนชั่วเหล่านี้ ให้รับทราบฝีมือของตนบ้างดังนั้นซัดขว้างกระบี่ในมือทิ้งห่างออกไปหลายวาปักลงกับพื้นดิน จากนั้นกำหนดลมปราณ ใช้วิชาดาวดึงส์ท่าที่เก้านามย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาลออกมา แล้วพุ่งสองฝ่ามือออกชักนำห่วงคู่ประทับฟ้าของต๊กม้อเต็กลามะ ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาดั่งหยิบฉวยด้วยมือก็มิปาน

ท่าที่เก้าในวิชาดาวดึงส์มีอานุภาพกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากสามารถใช้ทำลายอาวุธสารพัดชนิดได้แล้ว ยังสามารถใช้บังคับอาวุธได้โดยมิต้องหยิบจับอีกด้วย ห่วงทองเหลืองทั้งสองวง ถูกจ่านจือใช้พลังดาวดึงส์ บังดับให้เคลื่อนย้ายเข้าหาหัวหน้าตึกทั้งสามอย่างรวดเร็ว อันสุ่ยกับฉีฝ่านและต้าถง ทั้งสามเมื่อเห็นห่วงคู่ประทับฟ้าของต๊กม้อเต็กลามะ พุ่งเข้าหาพวกตนด้วยความเร็วสุดบรรยาย ต่างรีบแยกย้ายหลบหลีกซ้ายขวา อันสุ่ยซึ่งอยู่ตรงกลางอาจหาญขวัญกล้า ทะนงตัวถือดีในฝีมือยกกระบี่ในมือขึ้นต้านรับห่วงทองเหลืองวงหนึ่งเอาไว้

พอกระบี่สัมผัสกับห่วงทองเหลือง รู้สึกเจ็บแสบบริเวณง่ามนิ้วจนต้องรีบคลายมือ ปล่อยกระบี่ร่วงหล่นหลุดมือ แล้วกระโจนร่างออกมาด้านข้าง เห็นโลหิตไหลซึมออกมาจากง่ามนิ้วมือตนเอง ต้องลอบร้องอุทานออกมาด้วยความตระหนก พร้อมกับครุ่นคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้ ที่ได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพมา คงมิใช่โชคช่วยแล้ว ฝีมือเด็กน้อยตรงหน้าช่างร้ายกาจยากต้านรับได้ เมื่อมองไปยังหัวหน้าตึกอีกสองคน คือฉีฝ่านกับต้าถง เห็นห่วงคู่ประทับฟ้าหมุนเป็นวงอย่างเร่งร้อนเข้าใส่คนทั้งสอง จึงรีบส่งเสียงร้องเตือนต่อหัวหน้าตึกทั้งสองว่า

"ท่านทั้งสอง อย่าได้ใช้กระบี่ปะทะกับห่วงทองเหลืองเป็นอันขาด"

แต่ได้สายไปเสียแล้ว เมื่อฉีฝ่านกับต้าถง ยกกระบี่ฟันใส่ห่วงทองเหลืองคนละวงอย่างสุดกำลัง เสียงเปรื่องดังกึกก้องไปทั้งบริเวณ พร้อมกับประกายไฟแลบแปลบปลาบจากห่วงทองเหลืองและกระบี่ทั้งสองเล่ม ของหัวหน้าตึกทั้งสอง ก่อนที่กระบี่ในมือของทั้งสองจะกระเด็นหลุดจากมือไปหลายวา มือด้านที่จับกระบี่ ปรากฏโลหิตไหลซึมเป็นทางยาว ก่อนที่ฉีฝ่านกับต้าถงจะรีบพุ่งร่าง มายืนรวมกับอันสุ่ยด้วยความลนลานอย่างเห็นได้ชัด

ทางด้านเยี่ยนผิง เมื่อบรรลุถึงสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง กระบี่อัคคีน้ำค้างยังมิได้ดึงออกจากฝัก แต่ใช้ฟาดเข้าใส่เจียฮุยซึ่งอยู่ทางด้านซ้าย เจียฮุยเห็นเช่นนั้น รีบยกกระบองปลายทู่อาวุธประจำกายขึ้นต้านรับ ในขณะเดียวกันเจียจิ้งซึ่งอยู่ทางด้านขวา หวดกระบองเข้าใส่ไหล่ขวาของนางซึ่งว่างเปล่า เยี่ยนผิงเมื่อฟาดออกหนึ่งกระบี่ บังคับให้เจียฮุยถอยร่นไปสามก้าว พอเห็นเจียจิ้งหวดกระบองเข้าใส่ไหล่ขวา รีบเบี่ยงตัวไปทางซ้ายตามสภาวะ กระบองของเจียจิ้งจึงพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย

เยี่ยนผิงรีบหมุนร่างกลับมาหาเจียจิ้ง แล้วใช้วิชาใดมิทราบ บังคับกระบี่อัคคีน้ำค้าง  เห็นตัวกระบี่พุ่งออกจากฝัก ก่อเกิดเป็นประกายกระบี่วูบวาบจนสายตาพร่ามัว ส่วนที่พุ่งเข้าหาเจียจิ้งมิใช้ปลายกระบี่ แต่เป็นด้ามกระบี่ ซึ่งรวดเร็วดั่งกระพริบตาเพียงครั้ง พอด้ามกระบี่กระแทกร่างเจียจิ้ง ปลายกระบี่พุ่งกลับมาเข้าฝักดั่งเดิม แม้แต่เจียจิ้งเองยังไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำ ว่าตัวกระบี่มีลักษณะเช่นไร? แต่ที่สามารถรับรู้ได้ ทราบว่าร่างของตนเองกระเด็นถอยหลังมาถึงห้าหกก้าว

ในขณะเดียวกัน เจียฮุยโผพุ่งเข้ามาใหม่อีกครา กระบองในมือฟาดฟันเข้าใส่เยี่ยนผิงอย่างบ้าคลั่งหมายจะให้ร่างของนางแหลกเละลงไปตรงหน้าก็มิปาน เยี่ยนผิงยังคงไม่เผยคมกระบี่อัคคีน้ำค้างออกมา ใช้ฝักกระบี่ในมือปัดซ้ายป่ายขวา แล้วฝ่ามือซ้ายแผ่พุ่งออกอย่างร้อนรน พร้อมส่งเสียงร้องว่า

"ฝ่ามือกระซิบวิญญาณ"

สิ้นเสียงร้องของเยี่ยนผิง ร่างของเจียฮุยลอยกระเด็นไปตามฝ่ามือ พร้อมกับโลหิตพุ่งเป็นทางยาวออกมาจากริมฝีปาก เจียจิ้งเทวทูตซ้ายเห็นเช่นนั้นส่งเสียงร้องขึ้นว่า

"นางมารน้อย กล้าทำร้ายน้องรองข้าพเจ้าเชียวรึ? ท่านอย่าได้มีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกเลย" 

กล่าวจบหวดกระบองในมือ ซึ่งได้กดปุ่มกลไกตรงด้ามจับ ทำให้กระบองปลายทู่เพิ่มเหล็กแหลมโผล่ยื่นออกมารอบตัวกระบอง กระบวนท่านี้คิดจะบดขยี้เยี่ยนผิง ให้แหลกเละเป็นเศษธุลี เยี่ยนผิงหัวร่อเสียงดังสดใส กระบี่ในมือกวาดตัวกระบองออกด้านข้าง มือซ้ายกดกระแทกเข้าใส่ร่างเจียจิ้งอย่างสวยสดงดงาม เสียงทึบหนัก ๆดังขึ้น พร้อมกับร่างของเจียจิ้งล่องลอย คล้ายกับมีคนจับร่างเหวี่ยงออกไปดั่งว่าวไร้สายขาดการควบคุม พอแผ่นหลังกระทบพื้นฉีดพ่นโลหิตเป็นเส้นสายออกมา เจียฮุยผู้น้องซึ่งได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านั้น รีบตรงเข้ามาพยุงร่างอย่างลำบากยากเย็น

อีกด้านหนึ่งเสิ่นซื่อสูอวี้ กับเล่อต้าเต๋อ สองยอดฝีมือแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ประจันหน้ากับเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ คนทั้งสองไม่เคยพบพานกับเฒ่าประหลาดมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ทราบแน่ว่า พลังฝีมือของตาเฒ่าผู้นี้เป็นเช่นไร? แต่ทั้งสองคำนวณในใจว่า ฝีมือคงไม่เท่าไหร่ หากมิเช่นนั้นแล้วคงต้องเคยปรากฏตัว เป็นที่รู้จักในยุทธภพบ้างแล้ว

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป