ตอนที่ 74
สองนางสิงห์ประจันหน้า
“ฮา ๆ นางชีเทวราชชิ้วโส่วอุตส่าห์มาเยี่ยมเยียน ข้าพเจ้านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนจะไม่ออกมาต้อนรับได้เช่นไร? ต้องขออภัยที่ออกมาล่าช้าเผอิญมีธุระต้องกระทำประการหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้มาเพียงลำพังยังมีคนอื่น ๆมาต้อนรับท่านด้วย และข้าพเจ้าได้ส่งข่าวออกไปยังมือดีที่อยู่ตามสาขาต่าง ๆให้เร่งรุดมายังสถานที่นี้ด้วยนับว่าวันนี้คงได้ครึกครื้นอย่างแน่นอน”
นางชีเทวราชชิ้วโส่วมิต้องการเสียเวลาไม่ปล่อยให้นางมารเยือกเย็นกล่าววาจาเหลวไหลสืบต่อ นางส่งเสียงต่อนางชีทั้งแปดนางทันทีว่า
“ตั้งค่ายเก้าชโลทร”
นางมารเยือกเย็นกับเจ้าอสูรโลกันตร์พอเห็นนางชีแปดนางเคลื่อนย้ายตั้งค่ายกลต่างหันมาสบตากันวูบหนึ่ง ทั้งสองต่างทราบถึงความร้ายกาจของค่ายกลเก้าชโลทรมาแล้ว ในใจของทั้งคู่ต่างรู้สึกเจ็บแค้นแน่นอกที่นางชีเทวราชชิ้วโส่วขัดขวางแผนการของตนเป็นครั้งที่สอง ยังมิทันจะได้ปรึกษากันว่าจะกระทำเช่นไรต่อไปดี? เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนพลิ้วร่างมาถึงพร้อม ๆ กัน
ลำพังอารามอเทวตาสร้างความยุ่งยากให้แก่เหล่ามารอธรรมมากแล้ว ยิ่งเพิ่มยอดฝีมืออีกสองคนยิ่งเพิ่มความกล้าแข็งให้กับฝ่ายธัมมะอีกเท่าตัว เมื่อประเมินสถานการณ์ว่าขืนลงมือผลที่ได้จะไม่คุ้มเสีย ดังนั้นเหล่ามารอธรรมจำต้องถอนตัวโดยมิเต็มใจเท่าใดนัก ก่อนจากไปนางมารเยือกเย็นจับจ้องใบหน้าของนางชีเทวราชชิ้วโส่วอย่างเคียดแค้นไม่นานนักเหล่ามารอธรรมต่างจากไปจนหมดสิ้น
เมื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงปรากฏว่าได้รับบาดเจ็บภายในต้องใช้เวลารักษาอาการบาดเจ็บสักระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงลงความเห็นกันว่าทั้งหมดจะเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียนเพื่อความปลอดภัย ขณะกำลังจะออกเดินทางขบวนของเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณก็เดินทางมาถึงและเห็นด้วยที่จะขึ้นเขาหมื่นเซียนเพื่อรอศิษย์ของแต่ละสำนักกลับมาแล้วค่อยคิดหาวิธีการฟื้นฟูสำนักกันอีกที
ทางด้านศิษย์ของสี่สำนักซึ่งกำลังเดินทางติดตามหาจ่านจือกับเยี่ยนผิง หลังจากเดินทางอยู่หลายวันยังไม่พบร่องรอยของทั้งสอง จึงลงความเห็นกันว่าถึงแม้ติดตามหาในละแวกนี้ก็ยากพบร่องรอย เนื่องด้วยแถบนี้สภาพส่วนใหญ่เป็นป่าเขาหากทั้งสองปลอดภัยดีคงเดินทางกลับสำนักตำหนักหมื่นเทพไปแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปรอฟังข่าวของจ่านจือกับเยี่ยนผิงที่สำนักตำหนักหมื่นเทพ
หลังจากใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งวันกับหนึ่งคืนทั่งหมดจึงเดินทางพ้นแนวป่าขุนเขา เนื่องด้วยทั้งหมดเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ตอนแรกคิดจะหาที่พักในเมืองสักคืนก่อนจะเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน แต่เมื่อใคร่ครวญทั้งหมดเห็นว่าจะเป็นที่ผิดสังเกตแก่ผู้ไม่หวังดี ดังนั้นจึงเสาะหาศาลเจ้าหรือวัดร้างสำหรับใช้หลับนอนพักผ่อนในค่ำคืนนี้น่าจะปลอดภัยกว่า
ราวหนึ่งชั่วยามจะมืดค่ำในที่สุดทั้งหมดเสาะพบอารามที่หนึ่งซึ่งปล่อยรกร้างปกคลุมด้วยเถาวัลย์แต่เมื่อสำรวจสภาพด้านในเห็นว่าปลอดภัยใช้สำหรับพักผ่อนได้ไม่ลำบากนัก หลังจากช่วยกันทำความสะอาดสถานที่แล้วเทียนจิ้งกับมู่เหอและหนานตี้รับอาสาออกไปล่าไก่ป่ากับกระต่ายป่ามาเป็นอาหารในค่ำคืนนี้ ส่วนเหวินมู่กับอวี้หว่อและเหมาต้ารับอาสาออกไปหาฟืนกับน้ำดื่ม ส่วนไป่ชิงกับศิษย์สตรีทั้งหมดต่างพากันเดินสำรวจบริเวณโดยรอบอีกเที่ยวหนึ่ง
ผ่านไปไม่นานกลุ่มของเทียนจิ้งกลับมาในมือหิ้วไก่ป่ากับกระต่ายป่าร่วมสิบตัว ส่วนเหวินมู่กับอวี้หว่อและเหมาต้าหาฟืนมาเตรียมพร้อมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว หลังจากทั้งหมดช่วยกันก่อกองไฟแล้วจึงจัดแจงนำไก่ป่ากับกระต่ายป่าเสียบไม้ย่างไฟจนกลิ่นหอมฉุยตลบไปทั่วบริเวณ เมื่อย่างจนสุกเหลืองต่างแบ่งออกแจกจ่ายแล้วรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากแบ่งหน้าที่กันว่าผู้ใดจะเป็นผู้เฝ้าเวรยามได้ข้อสรุปว่า เทียนจิ้งกับมู่เหอเฝ้าด้านหน้าอารามร้าง ส่วนคนอื่น ๆต่างทยอยล้มตัวพักผ่อนเพื่อเก็บเรี่ยวแรงไว้คอยสับเปลี่ยนเวรยาม บรรยากาศเงียบสงัดความมืดเริ่มเข้าปกคลุมจนมองไม่เห็นลายเส้นบนฝ่ามือ เวลาผ่านไปราวสามชั่วยามมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นจันทราลอยเด่นอยู่กลางฟากฟ้าน่าจะเป็นเวลายามสาม(เที่ยงคืน)เห็นจะได้
เทียนจิ้งกับมู่เหอได้เวลาสับเปลี่ยนเวรยามกับเหวินมู่และอวี้หว่อ แสงจันทร์นวลสาดแสงผ่านยอดไม้ลงมาเห็นเป็นเงาเลือนราง ทันใดนั้นเทียนจิ้งกับมู่เหอรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวหนึ่งใกล้เข้ามาทั้งสองมิรอช้ารีบดับไฟที่ก่อไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่น ๆที่นอนพักผ่อนได้ยินเสียงผิดปกติรีบขยับลุกขึ้นเทียนจิ้งรีบส่งสัญญาณว่าอย่าได้เคลื่อนไหว ทั้งหมดจึงปฏิบัติตามทราบว่าต้องมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น มีเพียงไป่ชิงที่สะอึกเข้ามาหาพี่ชายมู่เหอด้วยฝีเท้าแผ่วเบาจากนั้นกระซิบกล่าวถามที่ริมโสตว่า
"พี่ชายเกิดเรื่องราวใดขึ้น? มีสัตว์ป่าดุร้ายเข้ามาหรืออย่างไร? เห็นพี่ใหญ่กับเทียนจิ้งร้อนรนจนผิดปกติ" มู่เหอกระซิบตอบน้องสาวออกไปว่า
"มิใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจข้ารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของผู้ทักษะยุทธ์จำแนกทิศทางกำลังเคลื่อนไหวตรงมายังด้านนี้ ไป่ชิงเจ้าอย่าได้ชักช้าถอยกลับเข้าไปแล้วแจ้งแก่ทุกคนว่าให้หามุมลับหลบซ่อนตัวเอาไว้ก่อน เรายังไม่ทราบว่าผู้ที่มาเป็นผู้ใด? ดังนั้นต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนจะได้มิผิดพลาด"
ไป่ชิงพยักหน้ารับทราบแล้วรีบถอยกลับเข้าไปแจ้งแก่คนที่เหลือให้หาสถานที่หลบซ่อนตัว ผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูปมอดเสียงลมกระพือดังใกล้เข้ามาแล้วร่างสองสายพุ่งกายเข้ามาด้วยความเร็วสุดบรรยาย เมื่อทิ้งร่างลงซึ่งไม่ไกลจากเทียนจิ้งกับมู่เหอใช้ซ่อนกายอยู่ เงาร่างสองสายนั้นก้าวเดินเข้ามาอีกห้าก้าวแล้วหยุดยืนในความมืดมองไม่เห็นชัดเจนนัก เสียงแหบพร่าของสตรีสูงวัยพลันกล่าวขึ้นว่า
"เรื่องราวผ่านมาจนกระทั่งบัดนี้ท่านยังไม่คิดจะเปิดเผยโฉมหน้าออกมาให้ข้าพเจ้าได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงสักครั้งเชียวรึ? เราทั้งสองต่างร่วมมือกันมาช้านานแต่ตลอดเวลาท่านกลับมิยอมเปิดเผยโฉมหน้าออกมาแม้แต่คราเดียว มีเพียงสัญญาณลับที่ท่านใช้สื่อสารกับข้าพเจ้าซึ่งสามารถยืนยันได้ว่าเป็นตัวท่านมิแปลกปลอม"
อีกร่างหนึ่งสวมชุดดำปกปิดใบหน้าส่งเสียงหัวร่อราบเรียบก่อนจะกล่าววาจาโต้ตอบกลับมาว่า
"นั่นหาใช่ปัญหาที่ท่านจะต้องวิตกไม่ ปัญหาใหญ่ในตอนนี้เราต่างทราบแล้วว่าผู้ที่ปล่อยวลีสี่ประโยคเบาะแสของคัมภีร์สุริยันจันทราออกมาคือสำนักมารสวรรค์ ดังนั้นเป็นไปได้มากทีเดียวที่คัมภีร์ครึ่งแรกอาจตกไปอยู่ในมือของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนแล้ว แต่ที่เรายังไม่แน่ใจคือคัมภีร์ครึ่งหลังนั้นได้ตกไปอยู่ในมือผู้ใดกันแน่? แต่หากจะให้เราคาดเดาคิดว่ามิเป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันก็ต้องเป็นหลิวซุ่นกงกงอย่างแน่นอน" สตรีนางนั้นกล่าวโต้ตอบในความมืดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
"คัมภีร์ครึ่งหลังทั้งข้าพเจ้าและท่านยังคงเป็นการคาดเดาว่าอาจเป็นคนใดคนหนึ่งซึ่งท่านกล่าวถึงเมื่อครู่ ส่วนครึ่งแรกข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าต้องตกอยู่ในมือของนางมารเยือกเย็นอย่างแน่นอน คิดแล้วข้าพเจ้ายิ่งเจ็บใจจนอยากสับร่างนางออกเป็นชิ้น ๆแท้จริงนางกับเจ้าอสูรโลกันตร์ทั้งสองคิดจะกำจัดข้าพเจ้าให้พ้นทาง จุดประสงค์ของพวกเขาเพื่อตัดจำนวนคนในการแก่งแย่งคัมภีร์เล่มนี้” สตรีนางนั้นชะงักน้ำเสียงลงเมื่อกล่าวถึงตรงนี้คล้ายดั่งกำลังไตร่ตรองว่าจะกล่าววาจาต่อดีหรือไม่? ในที่สุดนางจึงเอ่ยวาจากับชายชุดดำว่า
“เมื่อหลายวันก่อนพวกมันให้ถู่ฝูลงมือสังหารข้าพเจ้าแต่ยังนับว่าโชคข้าพเจ้ายังดีที่ระแคะระคายเสียก่อน อีกประการหนึ่งนางมารเยือกเย็นคงคาดคิดมิถึงว่าแท้จริงถู่ฝูเป็บบุตรชายของข้าพเจ้า ในอดีตข้าพเจ้าได้ส่งตัวเขาเข้าไปอาศัยอยู่หมู่ตึกกระเรียนฟ้าตั้งแต่เด็ก หลิวซุ่นกงกงสายตาปราดเปรียวเฉลียวฉลาดส่งถู่ฝูขึ้นไปเป็นหนอนบ่อนไส้ยังเส้าหลิน ทุกเรื่องราวที่หลิวซุ่นกงกงทราบเกี่ยวกับวัดเส้าหลินข้าพเจ้าก็ทราบเช่นกันอาจจะกล่าวได้ว่าทราบละเอียดกว่าหลิวซุ่นกงกงด้วยซ้ำไป เสียดายสามีชราของข้าพเจ้ามาจบชีวิตภายใต้น้ำมือของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเสียก่อน มิเช่นนั้นข้าพเจ้าคงมีผู้ช่วยออกความคิดเห็นอีกแรงหนึ่ง" คนชุดดำส่งเสียงกล่าวถามสตรีนางนั้นว่า
"แล้วท่านมั่นใจได้เช่นไร?ว่าทุกเรื่องราวภายในวัดเส้าหลินท่านทราบความเคลื่อนไหวกระจ่างชัด เราว่าท่านประเมินตนเองสูงเกินไปมัวแต่สนใจวัดเส้าหลินจนทำให้สำนักตนเองถูกคนชุดดำลึกลับลอบเข้าไปสังหารคนของท่านจนหมดสิ้น อีกทั้งยังรื้อทำลายสิ่งปลูกสร้างของท่านจนเสียหายย่อยยับ มาตรว่าจะไม่อำมหิตเท่ากับท่านที่เผาสำนักเมฆฟ้าพิรุณจนไม่เหลือซาก ส่วนสำนักอินทรีขาวกับสำนักฝ่ามือโลหิตล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับท่าน ถูกคนชุดดำบุกเข้าไปทำลายจนย่อยยับเช่นกัน อยากทราบนักคนชุดดำทั้งสามคนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่? ถึงได้ลงมือพร้อม ๆกันในเวลาเดียวกัน" เสียงสตรีนางนั้นส่งเสียงโต้ตอบกลับมาว่า
"สำนักของข้าพเจ้าถูกทำลาย แต่ข้าพเจ้าจะสร้างขึ้นมาใหม่อีกครา ยี่สิบกว่าปีที่ข้าพเจ้าเฝ้ารอคอยสืบสาวหาร่องรอยของคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ข้าพเจ้ายังอดทนรอได้ คงมิลำบากเท่าใดที่ข้าพเจ้าจะก่อตั้งสำนักอสรพิษดำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่เรื่องที่สำนักของข้าพเจ้าถูกทำลายไป ข้าพเจ้ากลับเห็นว่ามีส่วนดีต่อข้าพเจ้าเช่นกัน"
"ส่วนดีอันใด? ท่านลองบอกกล่าวออกมาให้เราได้รับทราบเดี๋ยวนี้" ชายชุดดำรีบกล่าวสวนทันควัน สตรีชรานางนั้นแท้จริงคือยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วรีบกล่าวตอบว่า
"ในเมื่อข้าพเจ้าไม่มีสำนักแล้วย่อมส่งผลดีต่อข้าพเจ้าในการหลบซ่อนตัว ข้าพเจ้าจะได้มิต้องระวังป้องกันศัตรูหลายด้าน อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าจะได้จับตาดูนางมารเยือกเย็นกับเจ้าอสูรโลกันตร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย ข้าพเจ้าคิดว่าสถานการณ์คงมิแตกต่างกับข้าพเจ้าสักเท่าใด อีกไม่นานสองคนนั่นคงคิดจะกำจัดทิ้งไปเช่นกันหากหมดประโยชน์ให้ใช้สอยได้แล้ว" แล้วคนชุดดำผู้นั้นส่งเสียงกล่าวถามสตรีนางนั้นต่อทันทีว่า
"ไหนท่านลองเล่าเหตุการณ์ในวันที่พวกท่านแยกย้ายดักเล่นงานสำนักเมฆฟ้าพิรุณ กับพรรคไผ่หลิวให้เราฟังสักหน่อย ว่าด้วยเหตุใดจึงลงมือล้มเหลวอีกทั้งยังต้องแยกย้ายหลบหนีกันไม่เป็นท่าอีกด้วย"
แล้วสตรีนางนั้นจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้คนชุดดำผู้นั้นได้รับฟังว่า ในวันนั้นหลังจากแยกย้ายจากถู่ฝูแล้วนางจึงได้ติดตามกลุ่มของนางมารเยือกเย็นไปห่าง ๆ เมื่อติดตามไปถึงพรรคไผ่หลิวในตอนแรกการต่อสู้ระหว่างเฉิงปู้กงกับเยิ่นหว่อถิงสูสีก่ำกึ่ง แต่ในตอนท้ายเยิ่นหย่อถิงดำเนินอุบายทำร้ายประมุขพรรคไผ่หลิวบาดเจ็บสาหัส หากมิใช่นางชีเทวราชชิ้วโส่วสอดมือเข้าช่วยเหลือป่านนี้เฉิงปู้กงคงทิ้งร่างที่ไร้วิญญาณไปเนิ่นนานแล้ว
ในตอนแรกฝ่ายอธรรมเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดเจนหากมิใช่คนของอารามอเทวตาปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน เหล่ามารทั้งหลายรวมถึงเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อร่วมมือกำจัดฝ่ายธัมมะคิดว่าสำเร็จหากไม่มีคนของอารามอเทวตาเข้ายุ่งเกี่ยว มิฉะนั้นป่านนี้คนของสำนักต่าง ๆของฝ่ายธัมมะคงจบสิ้นแล้วรวมทั้งเต้าเฉียนไต้ซือแห่งเส้าหลินด้วย
แต่ดูคล้ายกับว่าแนวทางวิชาของอารามอเทวตาจะเป็นดาวข่มของเหล่ามารทั้งหลาย พอนางชีทั้งหมดทุ่มเทวิชาเก้าชโลทรออกมาทำให้เหล่ามารแตกพ่ายไม่เป็นขบวนจึงได้แต่แยกย้ายหลบหนีเพื่อหาหนทางเอาคืนในภายหลัง สำนักมารเมื่อแยกย้ายกลับถึงสำนักของตน สามสำนักอันได้แก่สำนักอินทรีฟ้ากับสำนักฝ่ามือโลหิตและสำนักอสรพิษดำต้องพบเห็นสภาพของสำนักรวมทั้งศิษย์ของตนถูกสังหารผู้ที่เหลือลมหายใจรวยรินได้บอกว่าผู้ลงมือเป็นคนชุดดำที่ปรากฏกายในยุทธภพขณะนี้
เทียนจิ้งกับเหวินมู่และอวี้หว่อทั้งสามพอได้ยินว่าอาจารย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่เสียชีวิตต่างค่อยเบาใจ ดังนั้นทั้งสามจึงสงบจิตใจแน่นิ่งรอเงี่ยหูสดับรับฟังต่อว่าคนทั้งสองพูดคุยเรื่องราวใดต่อไปอีก ฟังจากเรื่องราวที่ทั้งสองสนทนากันล้วนทราบว่าสตรีนางนั้นเป็นยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ส่วนบุรุษชุดดำอีกผู้หนึ่งคาดเดามิออกว่าที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่? คนชุดดำผู้นั้นส่งเสียงต่อสตรีนางนั้นต่ออีกว่า
"นับจากนี้ไปเราจะบอกต่อท่านว่า สัญญาณลับที่เราใช้ติดต่อสื่อสารกับท่านมาโดยตลอดขอให้ยกเลิกเสีย มิต้องนำมาใช้อีกต่อไปขอให้ใช้วาจาต่อไปนี้แทน ท่านจงจดจำให้ดี "สายลมพลิ้วไหว พัดไกวใบหญ้าโอนเอน" ส่วนท่านก็จงกล่าวตอบเราด้วยประโยคนี้ "นกกางเขนหาเหยื่อ คาบหญ้าทำรัง" หากท่านเป็นผู้กล่าวประโยคแรกก่อน เราก็จะตอบท่านด้วยประโยคหลัง จำเอาไว้หากมิใช่สองประโยคนี้อย่าได้เปิดเผยตัวเป็นเด็ดขาด” ชายชุดดำคลุมหน้าลึกลับเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อยายเฒ่าหมื่นพิษต่อว่า
“ในยุทธภพขณะนี้ปรากฏคนชุดดำถึงสามคนด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเราเอง ส่วนอีกสองคนเรายังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด? ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มาก มีอีกเรื่องหนึ่งถู่ฝูแจ้งต่อท่านว่าเด็กน้อยจ่านจือกับนางมารน้อยเยี่ยนผิง ถูกคนประหลาดจับตัวไปไร้ร่องรอย แต่น่าแปลกคนประหลาดนั่นเปิดเผยร่องรอยความลับของกระบี่อัคคีน้ำค้างออกมา นอกจากคัมภีย์ยุทธ์สุริยันจันทราแล้วยังมีกระบี่คู่สุริยันจันทรา และยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ อีกทั้งดีงูมรกตเก้าหัว เราต้องสืบเสาะและแย่งชิงมาเป็นเจ้าของให้จงได้ นี่ก็ดึกมากแล้วท่านกับเราแยกย้ายกันตรงนี้ หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงกะทันหันเราจะส่งข่าวต่อท่านอีกที"
กล่าวจบสองร่างนั้นพากันพลิ้วกายจากไปดั่งสายลมหอบหนึ่ง ทั้งหมดซึ่งแอบอยู่รีบออกมาจากที่ซ่อนทุกคำพูดของสองคนเมื่อครู่ได้ยินหมดสิ้นทั้งยังรับทราบสัญญาณลับที่สองคนนั่นใช้ติดต่อสื่อสารกันอีกด้วย ไป่ชิงได้ยินว่าจ่านจือถูกคนประหลาดจับตัวไปอดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมามิได้ คนอื่น ๆก็เช่นกันรู้สึกเป็นห่วงจ่านจือแต่ทั้งหมดต่างคิดว่าเขาเป็นคนดีมีน้ำใจย่อมปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง ดังนั้นทั้งหมดจึงก่อกองไฟขึ้นมาใหม่และพักผ่อนนอนหลับจนกระทั่งรุ่งสางของอีกวัน
หลังจากล้างหน้าล้างตาและทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพทุกคนก็พร้อมออกเดินทางจุดหมายคือสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน หนุ่มสาวหลังจากร่วมเดินทางด้วยกันหลายวันต่างมีความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทียนจิ้งกับไป่ชิงคล้ายกับเคยคบหากันมาก่อนหน้านั้นหลายปีก็มิปาน ระหว่างทางต่างพากันพูดจาหยอกล้อเย้าแหย่ซึ่งกันและกันหากคนภายนอกมองมาคงคิดว่าเป็นคู่รักคู่หนึ่ง
ส่วนมู่เหอเองแม้เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกเท่าใดนัก แต่สายตาของเขาดูออกว่าให้ความสนใจต่อกุ้ยโส่วศิษย์สตรีของสำนักเมฆฟ้าพิรุณเป็นพิเศษ สตรีนางนี้มีฝีมือก้าวหน้าใกล้เคียงหนานตี้ผู้เป็นศิษย์พี่ก็ว่าได้ นางกับไป่ชิงแตกต่างกันที่กุ้ยโส่วมีบุคลิกภาพเรียบร้อยอ่อนหวานถ้อยวาจาที่เอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลช่างซึ่งตรงกันข้ามกับพลังฝีมือของนางยิ่งนัก
ส่วนศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินกลับดูมิออกว่า ระหว่างศิษย์คนที่หนึ่งกับศิษย์คนที่สองของพรรคไผหลิวเหวินมู่กับอวี้หว่อหรือศิษย์คนโตของสำนักเมฆฟ้าพิรุณหนานตี้และศิษย์คนโตของผาแห่งสายลมเหมาต้านางทั้งสองให้ความสนใจต่อผู้ใดในจำนวนสี่คนนี้ หลังจากทั้งหมดออกเดินทางได้ราวร้อยลี้เส้นทางข้างหน้าเป็นทางสามสาย เส้นทางซ้ายมือเป็นเส้นทางที่จะมุ่งหน้าสู่สำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน
เหลือระยะทางอีกเพียงไม่กี่ก้าวจะบรรลุถึงทางแยกสายนั้น ดั่งคำกล่าวเดินทางหมื่นลี้ยากนักพบพานมิตรสหายแต่คนชั่วอันธพาลมิเสาะแสวงหากลับพบเจอง่ายดาย เส้นทางแยกทางด้านขวามือปรากฏกลุ่มคนขึ้นจำนวนหนึ่งผู้ที่ก้าวเท้านำหน้ามีลักษณะเด่นชัดศีรษะโล้นเลี่ยนไร้เส้นผมอีกทั้งยังนุ่งห่มจีวรของเพศบรรพชิตอีกด้วย ทั้งหมดต่างมิต้องคาดเดาส่งเสียงออกมาโดยพร้อมเพรียงกันว่า
"หลวงจีนชั่วต๊กม้อเต็กลามะ!"
หลวงจีนต๊กม้อเต็กลามะมิได้มาเพียงผู้เดียวด้านหลังยังติดตามไปด้วยหัวหน้าตึกทั้งสามอันสุ่ยกับฉีฝ่านและต้าถง ถัดไปเป็นสองเทวทูตซ้ายขวาเจียจิ้งกับเจียฮุยสองข้างยืนขนาบด้วยยอดฝีมืออีกสองคนเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อ เมื่อทั้งหมดเห็นศิษย์ของสี่สำนักกำลังเดินทางอยู่ตรงหน้ารีบกระโดดปราดขึ้นแล้วโอบล้อมเอาไว้ทุกเส้นทาง ต๊กม้อเต็กลามะส่งเสียงหัวร่ออย่างชั่วร้ายแล้วส่งเสียงว่า
"ฮา ๆ เดินทางอยู่หลายวันมิพบเรื่องราวสนุกสนานให้ละเล่น นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมาเจอสตรีงดงามถึงสี่นางที่นี่เห็นทีวันนี้ต้องสนุกสนานให้เต็มที่ ส่วนบุรุษเหล่านี้ล้วนเกะกะสายตาอาตมายิ่งนักพวกท่านช่วยจัดการคนพวกนี้ให้พ้นทางเร็วเข้า” มาละชั่วกล่าวพร้อมกับส่งสัญญาณต่อยอดฝีมือฝ่ายตนพร้อมกล่าวต่อว่า
“เมื่อจัดการคนเหล่านั้นแล้วพวกเราจะได้หาความสำราญกับสตรีงดงามให้เต็มที่ อีกทั้งเราท่านยังมีเรื่องราวไปแจ้งต่อท่านเจ้าหมู่ตึกเพื่อรับความดีความชอบอีกด้วย อย่าได้รอช้ารีบลงมือเร็วเข้าแต่บุปผางามคู่ควรแก่การทะนุถนอมพวกท่านอย่าได้สร้างรอยช้ำเสียหายก่อนที่จะได้ดอมดมชมเชยเสียก่อนละ"
สิ้นเสียงของต๊กม้อเต็กลามะยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าต่างชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อม ศิษย์ของทั้งสี่สำนักแม้มีจำนวนคนมากกว่าแต่ทว่าคนที่มาล้วนเป็นยอดฝีมือเทียบชั้นกับเจ้าสำนักแถวหน้า ดังนั้นวันนี้เห็นทีศิษย์ของสี่สำนักคงตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแล้ว
ต๊กม้อเต็กลามะดึงห่วงทองเหลืองคู่อาวุธประจำกายออกมา ครั้งก่อนที่วัดเส้าหลินเห็นเทียนจิ้งประลองฝีมือกับจ่านจือดูออกว่าเทียนจิ้งมีฝีมือกล้าแข็งที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของสี่สำนักดังนั้นจึงเลือกลงมือต่อเทียนจิ้งก่อนในทันที เมื่อกวัดแกว่งห่วงทองเหลืองในมือแล้วรีบพุ่งร่างเข้าหาเทียนจิ้งดั่งสายฟ้า เทียนจิ้งตระเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วรีบชักกระบี่หยกไผ่หลิวออกมาพร้อมกับฟาดออกต้านทานห่วงคู่ประทับฟ้าของต๊กม้อเต็กลามะ
เสียงห่วงทองเหลืองปะทะกับคมกระบี่ดังกึกก้องพร้อมกับประกายไฟแปลบปลาบปรากฏออกมาทุกครั้งที่คมกระบี่กับห่วงคู่ปะทะกัน เทียนจิ้งทราบว่ามีฝีมือไม่ทัดเทียมต๊กม้อเต็กลามะดังนั้นจึงมิกล้าผลีผลามทุกกระบวนท่าล้วนรัดกุมอาศัยเคล็ดความเคลื่อนไหวที่ได้เรียนรู้ครั้งประลองกับจ่านจืออย่างแยบคาย ดังนั้นจึงสร้างความขุ่นแค้นต่อต๊กม้อเต็กลามะยิ่งนักผ่านมาราวห้าสิบกระบวนท่ายังไม่สามารถจัดการกับเทียนจิ้งได้
ส่วนเสิ่นซื่อสูอวี้อาวุธประจำกายคือดาบหนาตรงสันดาบหนาคล้องด้วยห่วงเหล็กเก้าห่วงด้วยกันส่วนวิชาที่ใช้เรียกว่าเก้าห่วงทะลวงใจยามกวัดแกว่งอาวุธเกิดเป็นเสียงข่มขวัญคู่ต่อสู้ดังมิขาดหู ผู้ที่เสิ่นซื่อสูอวี้เลือกลงมือเป็นมู่เหอศิษย์คนรองของผาแห่งสายลมส่วนมู่เหอใช้กระบี่ยาวเป็นอาวุธ เมื่อเห็นเสิ่นซื่อสูอวี้ฟาดฟันดาบเก้าห่วงเข้ามาอย่างหักโหมมิกล้ายกกระบี่ขึ้นต้านรับตรง ๆ รีบเบี่ยงตัวออกด้านข้างแล้วกรีดกระบี่เป็นวงเข้าใส่บริเวณสีข้างของเสิ่นซื่อสูอวี้ ยอดฝีมือผู้นี้หัวร่ออย่าเย้ยหยันแล้วขวางดาบหนาเข้าสกัดกั้นกระบี่ของมู่เหออย่างยโสโอหังว่าเหนือล้ำกว่า
มู่เหอถึงเช่นไรเคยผ่านการต่อสู้มาหลายครั้งคราดังนั้นเสิ่นซื่อสูอวี้ยังยากลงมือได้อย่างง่ายดาย วิชาที่ใช้เป็นวิชาประจำสำนักมีนามว่าวิชาวายุกรีดนภาทุกกระบี่ยามกรีดกรายปรากฏเป็นเส้นสายละลานตาแม้เสิ่นซื่อสูอวี้จะมีพลังฝีมือกล้าแข็งกว่ายังอดที่จะตื่นตระหนกออกมามิได้ ด้วยวิชานี้มิมีผู้ใดเคยพบพานมาถึงยี่สิบกว่าปีหลังจากเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยเก็บตัวไม่ข้องแวะกับยุทธจักร ครั้งนี้พอเห็นมู่เหอใช้ออกด้วยท่วงท่าสวยงามและพิสดารเสิ่นซื่อสูอวี้ครุ่นคิดว่าหากปล่อยให้เด็กผู้นี้ฝึกปรืออีกหลายปีตนคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นแน่แท้
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564