ตอนที่ 72
ซุ่มซ่อนตัดรากถอนโคน
“ต่อให้นางพิการแขนขาขาดปากเบี้ยวจมูกแหว่งแถมหูหนวกตาบอดพร้อมทั้งสติฟั่นเฟือนเลอะเลือนไป เราเฒ่าประหลาดก็ไม่คิดรังเกียจนางกลับจะยิ่งเพิ่มความรักต่อนางมากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วสภาพของเราเองในตอนนี้ก็ไม่แตกต่างกับนางเท่าใดนัก” เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่กล่าวพลางสำรวจดูสารรูปของตนเองก่อนจะเอ่ยกล่าวต่อว่า
“เรายังเกรงว่านางจะยังมีใจต่อเราอยู่หรือไม่? นางจะรังเกียจสารรูปของเราในตอนนี้หรือไม่?” แต่ฟังเจ้าทั้งสองบอกว่านางเรียกหาตนเองเป็นเซียวเหยาเซิงนางยังใช้แซ่ของเรานั่นก็แสดงว่านางยังคงมิลืมเราไป มาเถิดเราจะหาอาหารมาเลี้ยงเจ้าทั้งสอง ถือว่าเป็นการร่วมแสดงความยินดีล่วงหน้าก็แล้วกัน”
แล้วเฒ่าประหลาดรีบตรงเข้าไปในห้องศิลาพร้อมกับนำอาหารและผลไม้มาเลี้ยงจ่านจือกับเยี่ยนผิง ส่วนจ่านจือกับเยี่ยนผิงอดคิดถึงคนที่อยู่บนหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมิได้ ป่านฉะนี้ทุกคนจะเป็นเช่นไรบ้าง? แต่ยังพอรู้สึกอุ่นใจได้บ้างเมื่อทราบว่ามีหลายสำนักเดินทางไปช่วยเหลือ แต่เหล่ามารย่อมมีแผนการอันต่ำช้าดังนั้นเขากับนางจึงยังคงรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้มิได้
กล่าวถึงทางด้านสองสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะเส้นทางระหว่างหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกับพรรคไผ่หลิวล้วนชุมนุมไปด้วยยอดฝีมือของสำนักอสูรโลกันตร์ กอปรด้วยเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับมารน้อยขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง อีกยังมีมือดีสองคนนามเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้ง ข้างกายของขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณยังมีสองดรุณีนามเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋ออีกด้วย นอกจากนั้นยังมีดีของสำนักรวมแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน
ถัดมาอีกไม่ไกลกันมากนักเป็นคนของสองสำนักมาร ได้แก่สำนักอินทรีขาวกับสำนักฝ่ามือโลหิตกอปรด้วยอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับมือดีของสำนักอีกสิบกว่าคน สำนักฝ่ามือโลหิตมีเจ้าสำนักหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยกับมือดีของสำนักอีกสิบกว่าคนด้วยกัน
อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย หลังจากถอนตัวจากหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวต่างเร่งฝีเท้ามาสมทบกับสำนักอสูรโลกันตร์ คาดว่าอีกไม่นานคนของพรรคไผ่หลิวคงเดินทางผ่านมา หากเวลานั้นมาถึงต่างจะออกจากที่ซ่อนตัวแล้วกวาดล้างคนของพรรคไผ่หลิวไม่ให้เหลือซาก
อีกด้านหนึ่งเส้นทางระหว่างหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวกับสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ล้วนแอบซุ่มชุมนุมไปด้วยยอดฝีมือของสามสำนักประกอบไปด้วยสำนักใหญ่คือสำนักมารสวรรค์ ผู้ที่นำหน้าขบวนเป็นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนติดตามด้วยคู่หูข้างกายนามอั้งเซี๊ยะเปา นอกนั้นเป็นมือดีของสำนักราวสามสี่สิบคน
อีกสองสำนักเป็นสำนักอสรพิษดำของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วพร้อมทั้งมือดีของสำนักที่เหลือรอดชีวิตจากผาพยัคฆ์ขาวราวสิบกว่าคน อีกฟากหนึ่งเป็นเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อกับลูกน้องมือดีคนสนิทนามผางกว่าน นอกนั้นเป็นมือดีมีฝีมือติดตัวอีกราวยี่สิบกว่าคน ทั้งหมดซุ่มรอคอยเวลาที่เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่เดินทางกลับสำนักผ่านมาเส้นทางนี้ แล้วทุกคนจะออกมารุมเข่นฆ่าให้สิ้นเพื่อแผนยึดครองยุทธภพของสองสำนักใหญ่ แต่ในครั้งนี่ยังไม่เห็นยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเข้าร่วมด้วย
เวลาผ่านไปไม่นานนักทางด้านพรรคไผ่หลิว ประมุขพรรคเฉิงปู้กงเดินทางมากับบรรดาขอทานราวห้าสิบกว่าคน ในจำนวนนั้นประมุขพรรคไผ่หลิวให้ยอดฝีมือของท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือปลอมตัวเป็นศิษย์เอกทั้งสามเดินทางมาเพื่อตบตาเหล่ามารทั้งหลายที่ซุ่มรออยู่ไม่ไกลมากนัก
ส่วนด้านหลังขบวนของพรรคไผ่หลิวยังมียอดฝีมืออีกหลายท่านติดตามมา ประกอบไปด้วยท่านผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ สองผู้เฒ่ารักษากฎผู้เฒ่าลู่กับผู้เฒ่าโอ่ว ขบวนหลังสุดทิ้งระยะห่างกับขบวนแรกราวครึ่งลี้ นั่นเป็นไปตามแผนการของไป่ชิงกับเทียนจิ้งที่ได้นำเสนอออกมา ส่วนเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเต้าเฉียนไต้ซือกับศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างเดินทางติดตามขบวนของสำนักเมฆฟ้าพิรุณไปห่าง ๆ
ส่วนขอทานพเนจรหวงเกาฉือกับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยและอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง ทั้งสามปลอมตัวเป็นคนชุดดำลึกลับเดินทางมุ่งหน้าสู่สำนักอสรพิษดำกับสำนักอินทรีขาวและสำนักฝ่ามือโลหิต แผนการในครั้งนี้ที่คิดจะย้อนรอยเหล่าคนชั่วล้วนดำเนินไปพร้อม ๆกันเพื่อมิให้เหล่ามารชั่วได้ทันตั้งตัวนั่นเอง
ไม่นานนักประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงได้เดินเข้ามาในรัศมีที่คนของเหล่ามารแอบซุ่มตัวรอคอยอยู่ เมื่อขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเห็นเช่นนั้นส่งเสียงต่อเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันผู้เป็นอาจารย์ทันทีว่า
“ท่านเจ้าอสูรพวกมันเดินมาโน้นแล้ว ไม่คิดว่าพวกมันจะเดินเข้ามาติดกับของพวกเราเข้าจนได้ แต่หากพวกเรารีบลงมือจัดการต่อพวกมันเฉิงปู้กงคงมิทันจะได้เห็นสภาพของพรรคไผ่หลิวอีกทั้งคนในพรรคของมันว่ามีสภาพเป็นเช่นไร? ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่าปล่อยให้พวกมันเดินทางเข้าพรรคก่อนจะดีหรือไม่? เมื่อมันเห็นสภาพพรรคไผ่หลิวของมันอีกทั้งคนของมันถูกเข่นฆ่าหมดสิ้น สภาพพรรคไผ่หลิวของมันถูกเผาจนเหลือแต่กองเถ้าถ่าน ในตอนนั้นเราค่อยลงมือเข่นฆ่าพวกมันข้าพเจ้าว่าน่าจะสร้างความสะใจให้แก่ฝ่ายเราอีกทั้งยังสร้างความแค้นก่อนตายให้กับพวกมันอีกด้วย ท่านเจ้าอสูรเห็นว่าเป็นเช่นไร?”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันส่งหัวร่อในลำคออย่างอำมหิต แล้วส่งเสียงตอบขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงไปว่า
“ความคิดเจ้าไม่เลว ข้าเองก็อยากเห็นสีหน้าของเฉิงปู้กงเช่นกันว่าพอมันเห็นพรรคของมันมีสภาพดั่งเช่นกองเถ้าถ่าน อีกทั้งคนของมันนอนทิ้งซากศพเกลื่อนกลาดมันจะแสดงสีหน้าเช่นไร? เช่นนั้นข้าก็รอให้พวกมันเดินทางไปถึงพรรคก่อนแล้วค่อยปรากฏตัวสังหารพวกมันไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
เมื่อลงความเห็นเช่นนั้นทั้งหมดจึงสงบท่าทีรอคอยให้ขบวนของประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงเดินทางผ่านไป จากนั้นเคลื่อนย้ายติดตามไปไม่ห่างแต่หาได้คิดว่าห่างไปอีกไม่ไกลมานักขบวนของผู้เฒ่าเก้าทิกว่อติดตามมาด้านหลัง
ในที่สุดขบวนของประมุขพรรคไผ่หลิวก็บรรลุถึงเมื่อเห็นสภาพตรงหน้าสร้างความโกรธแค้นต่อประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงยิ่งนัก สภาพที่เห็นบนพื้นนอนเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพส่วนอาคารบ้านเรือนล้วนถูกไฟเผาพลาญเหลือเพียงกองเถ้าถ่าน เมื่อแยกย้ายสำรวจดูจนทั่วบริเวณไม่พบผู้รอดชีวิตหลงเหลือแม้แต่ผู้เดียว
ประมุขพรรคไผ่หลิวใบหน้าแดงคล้ำจนเกือบเขียวด้วยความโกรธแค้นตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า
“เจ้าตัวบัดซบพวกท่านเป็นได้ก็เพียงสุนัขลอบกัด อาศัยตอนที่ข้าพเจ้าเฉิงปู้กงไม่อยู่ลอบเข้ามาฆ่าคนวางเพลิงการกระทำเช่นนี้ยังนับได้ว่าเป็นลูกผู้ชายได้เช่นไร? ทางที่ดีจงปรากฏตัวออกมาสู้กับข้าพเจ้าให้รู้ดีชั่ว ถึงพวกท่านจะซุกหัวซ่อนหางไม่ออกมาข้าพเจ้าเฉิงปู้กงสาบานว่าจะตามไปแก้แค้นต่อพวกท่านให้กับพี่น้องของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน”
สิ้นเสียงเฉิงปู้กงเสียงหัวร่อดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพลันดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างหลายสายพุ่งทะยานออกมาแล้วแยกย้ายโอบล้อมคนของพรรคไผ่หลิวเอาไว้ ผู้ที่ส่งเสียงหัวร่อเป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน พอเท้าสัมผัสพื้นส่งเสียงลอดผ่านหน้ากากรูปอสูรที่ปกปิดใบหน้าดังว่า
“ต้องขออภัยท่านเฉิงปู้กงที่ข้าพเจ้าเจ้าอสูรโลกันตร์เดินทางมาโดยมิได้นัดหมาย ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าเดินทางมาหาท่านแต่กลับไม่พบมีเพียงคนของท่านที่เกะกะขวางทางข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้จัดการเก็บกวาดสถานที่ให้กับท่าน ท่านเห็นแล้วรู้สึกชื่นชอบบ้างหรือไม่? ฝีมือเก็บกวาดของข้าพเจ้าและคนของข้าพเจ้ากระทำได้เรียบร้อยดีหรือไม่? ฮา ๆ”
ประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงได้ยินวาจาหยามเหยียดเย้ยหยันของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันยิ่งสร้างความโกรธแค้นขึ้นเป็นทวีคูณ รีบส่งเสียงด่าทอออกไปในทันควันว่า
“เจ้าตัวบัดซบ ท่านมันก็แค่สุนัขลอบกัด ข้าพเจ้าเฉิงปู้กงคิดไม่ถึงว่าท่านจะกระทำชั่วช้าสามานย์ได้ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าขอสาปแช่งเจ้าขอมิให้มีทายาทสืบทอดสกุลความแค้นนี้ข้าพเจ้าเฉิงปู้กงต้องทวงถามจากท่านให้สาสม มิเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะขอตกตายไปพร้อมกับท่าน”
กล่าวจบประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงกระชับไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องในมือเกร็งลมปราณขึ้นทั่วร่างแล้วพุ่งกายเข้าหาเจ้าอสูรโลกันตร์ในทันที หม่าถิงอันโบกมือต่อยอดฝีมือฝ่ายตนให้ถอยไปท่วงท่าปลอดโปร่งคล้ายกับไม่มีอันใดเกิดขึ้นก็มิปาน
พอเห็นเฉิงปู้กงพุ่งร่างมาถึงไม้เท้าไผ่หลิวในมือใช้ออกด้วยท่วงท่าดุดันปรากฏเป็นเงาสีเขียวของไม้เท้าเข้าปกคลุม เจ้าอสูรโลกันตร์มิกล้าประมาทฝีมือรีบชักกระบี่สีเงินยวงที่กลางหลังออกมา แล้ววาดกระบี่เป็นวงก่อเกิดเป็นปราณกระบี่สีเงินเป็นเส้นสายประกายขาวละลานตาไปทั่วบริเวณ เฉิงปู้กงเห็นเช่นนั้นรีบเปลี่ยนกระบวนท่าแต่กลางคันไม้เท้าจากฟาดเฉียงเปลี่ยนเป็นฟันตรง ๆลงมายังศีรษะของเจ้าอสูรโลกันตร์สุดกำลัง
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันรีบวกกระบี่ขึ้นต้านรับไม้เท้าไผ่หลิวเก้าปล้องของเฉิงปู้กง พอไม้เท้ากับกระบี่ปะทะกันเกิดเป็นเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ส่วนยอดฝีมือคนอื่น ๆต่างแยกย้ายเข้าจู่โจมต่อคนที่ติดตามประมุขพรรคไผ่หลิวมาทันที ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกับมือดีอีกสองคนเยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งต่างพุงเข้าหาศิษย์ของพรรคไผ่หลิวโดยมิได้นัดหมาย เยี่ยเหว่ยกับจางจิ้งคิดจะทวงถามความแค้นต่อศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวที่ทั้งสามบังอาจทำลายดวงตาข้างขวาของพวกมันไป แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นยอดฝีมือของขอทานปลอมตัวเป็นศิษย์ของพรรคไผ่หลิวหาใช่ศิษย์เอกทั้งสามตัวจริงไม่
หากจะวิจารณ์ตามพลังฝีมือลำพังขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเพียงพอสำหรับสยบยอดฝีมือขอทานสามคนซึ่งปลอมตัวเป็นศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิว หากทว่าในร้อยกระบวนท่ายังมิสามารถเอาชัยได้รวดเร็ว
ส่วนอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยต่างแยกย้ายจู่โจมเข้าใส่บรรดาขอทานด้วยความถือดีในพลังฝีมือ เพียงลงมือไม่กี่กระบวนท่าสามารถทำร้ายบรรดาขอทานล้มลงได้ถึงสิบกว่าคนยิ่งสร้างความฮึกเหิมให้แก่มารชั่วทั้งสองเป็นยิ่งนัก แต่ก่อนที่ฝ่ายของพรรคไผ่หลิวจะย่ำแย่ไปมากกว่านั้นกลุ่มของผู้เฒ่าเก้าทิกว่อเดินทางมาถึง เมื่อเห็นเหตุการณ์คับขันน่าหวาดเสียวจึงได้แยกย้ายกำลังเข้าช่วยเหลือในทันที
ผู้เฒ่าเก้าทิกว่อกระโจนเข้าต่อสู้กับเจ้าสำนักอินทรีขาวหว่าเกาเฉิงพลังฝีมือของผู้เฒ่าเก้าแม้ตกเป็นรอง แต่ในเบื้องต้นอินทรีกลางฟ้ายังไม่สามารรวบรัดเอาชัยได้เช่นเดียวกัน เสียงไม้เท้าของผู้เฒ่าเก้าทิกว่อเคาะฟาดใส่กรงเล็บอินทรีเหล็กของอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงดังเลื่อนลั่นสนั่นทั่ว
อีกด้านหนึ่งสองผู้เฒ่ารักษากฎผู้เฒ่าลู่กับผู้เฒ่าโอ่วร่วมมือกันต้านรับกระบวนท่าของหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยอย่างหักโหม วิชาฝ่ามือโลหิตของหัตถ์อำมตะหลี่ปู้เหว่ยนับว่าอำมหิตดุร้ายไร้ความปรานี ดังนั้นสองผู้เฒ่าจึงไม่ผลีผลามทุกกระบวนท่าล้วนอาศัยความรัดกุมช่วงชิงจังหวะรุกรับประสานกันอย่างลงตัว
ส่วนคนอื่น ๆต่างแยกย้ายเข้ารับมือต่อคนของสามสำนักมารดูท่าพรรคไผ่หลิวคำนวณกำลังคนผิดพลาดแล้ว หากนับยอดฝีมือของสำนักมารอาศัยเพียงเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง คาดว่าเพียงพอสำหรับจัดการกับคนทั้งหมดได้ไม่ลำบากยากเย็นนัก นี่ยังมีอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยอีกเห็นทีคนทั้งหมดจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วกระมัง
ทางด้านสำนักเมฆฟ้าพิรุณสถานการณ์ไม่แตกต่างกับพรรคไผ่หลิวมากนัก แต่ยังนับว่าโชคดีที่มีเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเต้าเฉียนไต้ซือกับศิษย์ทั้งสองฝู่เสียงกับฝ่าเสียงที่พลังฝีมือกล้าแข็งและทุเลาจากการบาดเจ็บแล้วอีกทั้งยังมีศิษย์รูปอื่น ๆของเส้าหลินซึ่งมีกระบวนท่าที่รัดกุมแข็งแรง จึงคล้ายดั่งกำแพงประสานตั้งรับคนของสามสำนักมารเอาไว้ได้
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนหาโอกาสที่จะประลองฝีมือกับท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือมานานแล้ว วันนี้พอสบโอกาสทุ่มเทท่าร่างเข้าใส่ดั่งเปลวเพลิงโหมกระหน่ำวิชาที่ใช้ออกเป็นฝ่ามืออัคคีกับพลังซ่อนเปลวไฟในแขนเสื้อของนาง ดูจากพลังวัตรของนางมารเยือกเย็นคล้ายยังเหนือล้ำกว่าท่านเจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซืออยู่ขั้นหนึ่ง
ส่วนสตรีอีกนางนามอั้งเซี๊ยะเปาฝีมือร้ายกาจดุดันไม่น้อยไปกว่านางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ยังมียายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกับเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝู่เต๋ออีกสองคน ที่พลังฝีมือกล้าแข็งสุดยอด อีกทั้งยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วยังเจ้าเล่ห์ซ่อนพิษอย่างร้ายกาจ
หากต่อสู้ซึ่งหน้าคาดว่าฝ่ายธัมมะย่อมเสียเปรียบอย่างแน่นอน ขณะที่กำลังคิดหาแผนการอยู่นั่นเองถู่ฝูพลันปรากฏร่างขึ้นหลังจากหายหน้าไปสามวัน แท้จริงแล้วถู่ฝูเร่งฝีเท้าติดตามเฒ่าประหลาดไป แต่ระหว่างทางถูกเฒ่าประหลาดใช้อุบายหลอกล่อทำให้ไม่สามารถติดตามไปได้ทัน ดังนั้นจึงเร่งเดินทางกลับมาระหว่างทางสอบถามผู้คน ทราบว่าเห็นขบวนของวัดเส้าหลินมุ่งหน้ามาทางสำนักเมฆฟ้าพิรุณจึงได้เร่งรุดมาเกรงว่าจะเป็นที่สงสัยแก่เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือ พอเจ้าอาวาสเต้าเฉียนเห็นเช่นนั้นร้องถามออกไปทันทีว่า
“ถู่ฝู เจ้าหายหน้าไปที่ใดมาสามวัน? อย่าได้ชักช้าเจ้าจงรับมือต่อประสกเนี๊ยะซิ้วเร็วเข้า”
เจ้าอาวาสเต้าเฉียนไต้ซือออกคำสั่งในขณะที่พัวพันอยู่กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ถู่ฝูมีจิตใจอำมหิตอยู่ในสันดานอีกทั้งได้ทราบมาว่าเจ้าอสูรโลกันตร์กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนคิดจะกำจัดสำนักอสรพิษดำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงคิดฉวยโอกาสนี้ลงมือเพื่อสร้างผลงาน คิดได้เช่นนั้นพุ่งร่างเข้าหายายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วก่อนจะบรรลุถึงกระแทกหมัดใส่คนของสำนักอสรพิษดำล้มลงถึงสิบกว่าคน
จากนั้นแยกย้ายหมัดฝ่ามือเข้าใส่ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วถี่ยิบ ยายเฒ่าหมื่นพิษประสบการณ์ในยุทธภพนับว่าโชกโชน ทางหนึ่งใช้ออกด้วยวิชาอสรพิษซ่อนร่างเข้าต้านรับอีกด้านหนึ่งเริ่มเข้าใจว่าถู่ฝูมีจุดประสงค์ใด? ดังนั้นร้องเพ้ยออกมาคำหนึ่งแล้วทุ่มเทฝีมือต่อสู้อย่างสุดกำลัง หลวงจีนชั่วแม้มีพลังฝีมือกล้าแข็งกลับไม่กล้าวู่วามฉายายายเฒ่าหมื่นพิษมิได้มีไว้หลอกลวงผู้คน เกรงว่ายายเฒ่าหมื่นพิษจะแพร่พิษออกมาเมื่อใดยากคาดเดา
ยายเฒ่าหมื่นพิษเห็นเช่นนั้นชักนำถู่ฝูออกจากวงต่อสู้ หลวงจีนชั่วรีบเร่งฝีเท้าติดตามไปไม่ห่าง เมื่อติดตามมาได้ระยะหนึ่งเห็นว่ารอดพ้นสายตาผู้คนถู่ฝูส่งเสียงร้องต่อยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วว่า
“หยุดเท้าเถิดคงมิมีผู้ใดติดตามเรามาแล้ว ท่านมิเป็นไรกระมัง? ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่ต้องกระทำเช่นนั้น ท่านเองคงมิเคืองโกรธโทษข้าพเจ้ากระมัง? ที่ลงมือสังหารคนของท่านไปนับสิบคน”
ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วส่งเสียงหัวร่อดังก้องกังวานแล้วหันหน้ามาจากนั้นเดินตรงมายังถู่ฝูแล้วส่งเสียงต่อมันว่า
“ถู่ฝูเจ้ากระทำได้ดียิ่งมิเสียแรงที่มารดาส่งเจ้าไปอยู่เส้าหลิน บิดาเจ้าเสียชีวิตภายใต้น้ำมือของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนแค้นนี้ข้าทราบว่าเราจะผิดพลาดมิได้ เจ้าสังหารคนของเราไปสิบกว่าคนจะนับเช่นไรได้ หากเจ้ามิกระทำเช่นนั้นจะตบตาพวกเขาได้เช่นไร? นี่เป็นตำราแก้พิษของบิดาเจ้า มารดาจะซัดเจ้าหนึ่งฝ่ามือเพื่อให้ดูแนบเนียนแล้วเจ้าจงรีบกลับไปเถิด ข้าจะต้องคิดบัญชีกับนางมารเยือกเย็นกับเจ้าอสูรโลกันตร์มันทั้งสองคิดจะกำจัดข้าให้พ้นทางเช่นนั้นรึ? ไม่ง่ายดายเท่าใดนักดอกไปเจ้ารีบไป”
กล่าวจบยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วซัดฝ่ามือใส่ถูฝูหนึ่งฝ่ามือปรากฏโลหิตไหลซึมออมาจากมุมปากของมัน หลวงจีนชั่วทั้งไม่ร้องออกมาแถมยังไม่เช็ดปาดคราบโลหิตรีบพุ่งร่างกลับไปแล้วส่งเสียงเบา ๆว่า
“มารดาท่านจงถนอมตัวให้ดีหากทางนี้มีการเคลื่อนไหวใด ข้าพเจ้าถู่ฝูจะส่งข่าวกลับไปให้ท่านได้รับทราบ จากนี้ไปท่านจงระวังตัวจากนางมารเยือกเย็นกับเจ้าอสูรโลกันตร์ไว้ให้มาก หากมีโอกาสมันทั้งสองต้องกำจัดท่านอย่างแน่นอน”
ถู่ฝูเมื่อพุ่งร่างกลับมาถึงทำทีเป็นได้รับบาดเจ็บสาหัส นางมารเยือกเย็นเห็นสภาพเช่นนั้นพอคาดเดาได้ทันทีว่ามันกำจัดยายเฒ่าหมื่นพิษไม่สำเร็จแต่ก็ไม่สามารถจะกระทำเช่นไรได้ การต่อสู้ผ่านมาเนิ่นนานทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย ผู้ที่ยังมีพละกำลังและไม่ได้รับบาดเจ็บยังคงต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง
ฝ่ายมารอธรรมผู้ที่เหลือก็มีนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนกับอั้งเซี๊ยะเปา เจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อกับผางกว่านและมือดีของนางมารเยือกเย็นอีกราวยี่สิบคน ส่วนฝ่ายธัมมะมีหลวงจีนเต้าเฉียนไต้ซือพร้อมศิษย์ทั้งสองฝู่เสียงกับฝ่าเสียงและศิษย์รุ่นต่อมาอีกราวสิบรูปและเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ ส่วนถู่ฝูไม่แน่นักว่าสมควรจะนับรวมไว้กับฝ่ายธัมมะ
เมื่อผลปรากฏออกมาเช่นนี้ผู้ที่รับมือนางมารเยือกเย็นได้ก็มีเพียงหลวงจีนเต้าเฉียนไต้ซือ ส่วนเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ยังพอรับมือได้แม้พลังฝีมือจะตกเป็นรอง นางมารเยือกเย็นเองคิดไม่ถึงว่าแผนการที่วางไว้จะคลาดเคลื่อนตอนแรกคิดว่าจะมีเพียงเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณกับลูกศิษย์กับคนในสำนักเพียงเท่านั้นที่เดินทางมา
ดังนั้นจึงสิ้นเปลืองคนในสำนักไปเป็นจำนวนมาก แต่ดูจากสถานการณ์หากจะกำจัดคนที่เหลือก็มิใช่ว่าเป็นไปมิได้เสียดายถู่ฝูไม่น่าขับไล่ยายเฒ่าหมื่นพิษไปเสียก่อน มิเช่นนั้นยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วนับว่าเป็นหมากตัวหนึ่งที่ร้ายกาจที่สามารถใช้สอยได้อย่างดี คิดได้เช่นนั้นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนส่งเสียงขึ้นว่า
“ท่านเจ้าประกาศิต เจ้าสำนักเหิงข้าพเจ้าขอมอบให้ท่านจัดการส่วนหลวงจีนร้ายกาจผู้นี้ข้าพเจ้ากับอั้งเซี๊ยะเปาจะลงมือจัดการเอง คนที่เหลือแยกย้ายจัดการต่อพวกมันอีกไม่นานคนของข้าพเจ้าอีกชุดจะเดินทางมาถึง เช่นไรวันนี้เราต้องกวาดล้างคนพวกนี้ให้สิ้นซาก”
พอสิ้นเสียงนางมารเยือกเย็นคนผู้หนึ่งพุ่งร่างเข้ามาดั่งเกาทัณฑ์ ร่างยังไม่บรรลุถึงเสียงหัวร่อบรรลุถึงก่อนพร้อมกับส่งเสียงดังว่า
“ฮา ๆ ต้องขออภัยที่ข้าพเจ้า เจ้าโอสถสายรุ้งมาช้าไปก้าวหนึ่ง ได้ฟังวาจาโอหังของท่านเมื่อครู่นับว่าท่านไม่เห็นพี่ใหญ่คนนี้อยู่ในสายตาของท่านแล้วกระมัง? หากคิดว่าสามารถเอาชนะข้าพเจ้าได้ก็จงอยู่แต่หากไม่มั่นใจก็จงพาคนของท่านไปซะ มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าพเจ้าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนรังแกศิษย์น้องร่วมสำนักมิได้เป็นอันขาด”
พอเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนปรากฏตัวสถานการณ์ย่อมไม่เหมือนเดิม นางมารเยือกเย็นกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจขืนต่อสู้สืบไปยากที่จะเอาชัยได้ แต่จะให้จากไปในทันทีเกรงว่าจะเสื่อมเสียหน้าจึงรีบส่งเสียงต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนว่า
“ที่แท้เป็นพี่ใหญ่ในเมื่อท่านปรากฏตัว ข้าพเจ้าในฐานะน้องเล็กย่อมมิกล้าล่วงเกินพี่ใหญ่ เช่นไรข้าพเจ้ากับท่านก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันมาก่อนเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ท่าน ข้าพเจ้ากับคนของข้าพเจ้าจะขอหลีกทางจากไปแต่โดยดีแต่ครั้งหน้าข้าพเจ้าคงมิเกรงใจต่อท่านอีกอย่างแน่นอนพวกเราไป”
พอกล่าวจบเหล่ามารทั้งหมดแยกย้ายจากไปอย่างรวดเร็ว นับว่าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนมาทันตอนเหตุการณ์คับขันพอดี มิเช่นนั้นยังไม่อาจคาดเดาได้วาเหตุการณ์จะจบลงเช่นไร
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564