ตอนที่ 71
ย้อนรอยคนชั่ว
เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่เหลียวมองใบหน้าจ่านจือวูบหนึ่งแล้วส่งเสียงตอบเขาว่า
“ตอนแรกเราเองก็มีรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า พยายามเพ่งมองเท่าไหร่ก็ดูไม่ออกเช่นกันว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด? แต่ในช่วงจังหวะที่เจ้าถูกหลวงจีนวัดเส้าหลินใช้กรงเล็บอินทรีทำร้ายเจ้า จนเสื้อบริเวณลำคอของเจ้าฉีกขาด พอพบเห็นหยกเหินลมที่เจ้าห้อยคออยู่เราพลันนึกออกทันทีว่ามันหมายถึงสิ่งใด? ไหนเจ้าลองนำหยกเหินลมของเจ้าออกมาเทียบดู ว่าเหมือนกับสัญลักษณ์บนฝักกระบี่หรือตัวกระบี่หรือไม่?”
จ่านจือพอฟังคำตอบเช่นนั้นมิรอช้า รีบปลดเชือกที่ใช้คล้องหยกเหินลมของตนออกมา แล้วนำหยกชิ้นนั้นที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เล็กมาลองเทียบดู ปรากฏว่าทาบได้พอดีกับสัญลักษณ์บนฝักกระบี่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่พอนำหยกชิ้นดังกล่าวมาทาบกับสัญลักษณ์บนตัวกระบี่ กลับพบว่าไม่สามารถทาบได้เหมือนเช่นฝักกระบี่ ดังนั้นจึงสร้างความสงสัยแก่เขายิ่งนัก ว่าไฉนหยกเหินลมที่ตนเองพกพามาตลอด จึงมาปรากฏอยู่บนฝักกระบี่อัคคีน้ำค้าง ของสำนักตำหนักหมื่นเทพได้
เยี่ยนผิงเห็นเช่นนั้นส่งเสียงโพล่งขึ้นมาว่า
“หรือว่าหยกเหินลมจะมีสองชิ้น? ไหนจ่านจือท่านลองส่งหยกของท่านมาให้ข้าพเจ้าดูหน่อย”
จ่านจือรีบส่งหยกเหินลมแก่เยี่ยนผิง หลังจากนางสำรวจดูไม่นานนัก พลันแสดงสีหน้ายินดีพร้อมกับรีบส่งเสียงออกมาทันทีว่า
“เรียนอาวุโส จ่านจือ ข้าพเจ้าคาดเดามิผิดหยกชิ้นนี้ของท่านถูกหักออกเป็นสองส่วน ดูจากร่องรอยที่ไม่เรียบสนิทตรงนี้ สันนิษฐานได้ว่าหยกมิได้มีรูปร่างเช่นนี้ แต่ถูกคนหักแบ่งหยกออกเป็นสองส่วนอยู่ที่ท่านหนึ่งส่วน แล้วอีกส่วนหนึ่งเล่าอยู่ที่ผู้ใด? อาวุโสท่านมีความคิดเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้?” เฒ่าประหลาดหันมาทางด้านจ่านจืออีกครั้ง แล้วกล่าวกับเขาว่า
“เราเฒ่าประหลาดเริ่มจะสงสัยในศักดิ์ศรีที่แท้จริงของเจ้าเสียแล้ว เราขอถามว่าเจ้ามิทราบชาติกำเนิดของตนเองเลยเช่นนั้นหรือ? บิดามารดาเจ้าเป็นผู้ใด? เจ้าก็มิทราบ แต่เจ้ามีหยกชิ้นนี้ติดตัว เราคิดว่าเจ้าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน และต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียนอย่างแน่นอน” จ่านจือได้ยินเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่กล่าวเช่นนั้น รีบส่งเสียงกล่าวปฏิเสธออกไปทันทีว่า
“ข้าพเจ้าจ่านจือเป็นเพียงชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดา ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่จดจำได้ว่าชีวิตไม่เคยสุขสบาย ตอนที่ยังเป็นเด็กข้าพเจ้าเองก็หกระเหเร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วข้าพเจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักตำหนักหมื่นเทพได้เช่นไร? ส่วนหยกเหินลมชิ้นนี้ ข้าพเจ้าก็พกติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ส่วนมันจะเกี่ยวข้องอันใดกับกระบี่อัคคีน้ำค้างเล่มนี้หรือไม่? ข้าพเจ้าเองก็มิอาจทราบได้แล้วท่านอาวุโสพาเราทั้งสองมายังสถานที่แห่งนี้ นอกจากกระบี่เล่มนี้กับหยกเหินลมของข้าพเจ้าแล้ว ท่านยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”
เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือต่อว่า
“ความจริงในตอนแรกเราก็มิมีสิ่งใดติดใจเกี่ยวกับตัวเจ้า แต่พอเห็นเจ้ามีหยกชิ้นนี้ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบี่ของเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียน เราจึงคิดปะติดปะต่อเรื่องราวเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แต่มิทราบว่าเราจะคาดเดาถูกต้องหรือไม่? เรื่องนี้นอกจากเกี่ยวข้องกับเจ้าและสำนักตำหนักหมื่นเทพแล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางอันเป็นที่รักของเราอีกด้วย” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยี่ยนผิงจึงส่งเสียงซักถามต่อเฒ่าประหลาดทันทีว่า
“เช่นนั้นท่านช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น ให้ข้าพเจ้ากับจ่านจือรับทราบด้วยจะได้หรือไม่? อาจบางทีข้าพเจ้ากับเขาจะช่วยไขข้อกังขาของท่านได้บ้าง ยิ่งเรื่องที่ท่านจะเล่าให้เราทั้งสองฟังมีส่วนช่วยท่าน ในการติดตามหาคนรักของท่านด้วยแล้ว ข้าพเจ้ากับเขายิ่งยินดีที่จะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่”
เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่เงียบเสียงไปครู่หนึ่ง คล้ายดั่งกำลังลำดับเหตุการณ์บางอย่างอยู่ก็มิปาน จากนั้นเริ่มบอกเล่าเรื่องราวในอดีตออกมาให้แก่จ่านจือกับเยี่ยนผิงได้รับทราบพร้อมกัน เฒ่าประหลาดเริ่มเล่าเหตุการณ์ตอนที่ได้รู้จักกับนางอันเป็นที่รักของท่าน สีหน้ายังคงแสดงความหดหู่สิ้นหวังตลอดเวลาว่า
เมื่อสำนักตำหนักหมื่นเทพก่อตั้งขึ้นมาแล้ว เจ้าสำนักเซียนเมฆาล่องลอยลวี้ยู่เฉียนได้ใช้เวลาทั้งหมดในการสอนวรยุทธ์ให้แก่ศิษย์ทั้งห้าคน นอกจากวรยุทธ์แล้วยังสอนศาสตร์แขนงต่าง ๆที่ท่านสั่งสมให้แต่ละคนตามความถนัดอีกด้วย ท่านในวัยเด็กจนถึงวัยหนุ่มเป็นคนใฝ่รู้เป็นหนอนตำรา ดังนั้นจึงมีความรอบรู้ศาสตร์ต่าง ๆ แทบทุกแขนง
วันเวลาผ่านไปหลายปีจู่ ๆวันหนึ่งมีบุรุษสตรีคู่หนึ่งเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน ต่อมาทราบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นบุตรชายโทนของท่าน มีชื่อว่าเหวินอี้ ส่วนสตรีอีกผู้หนึ่งเป็นภรรยาของบุตรชายท่าน มีชื่อว่าเพ่ยอิง ก่อนหน้านั้นท่านมิเคยบอกกล่าวต่อชาวยุทธ์และศิษย์ทั้งห้า ว่าท่านเคยมีบุตรชายด้วยคนหนึ่ง ส่วนรายละเอียดต่าง ๆมิมีผู้ใดกล้าสอบถามจากท่านว่าเป็นเช่นไร
หลังจากเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนรับบุตรชายและลูกสะใภ้เข้าสำนักเรียบร้อยแล้ว ทุกคนถึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้ว ท่านมิเคยสอนวรยุทธ์ให้แก่บุตรชายเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ส่วนวรยุทธ์ที่บุตรชายท่านมีติดตัวล้วนได้รับการถ่ายทอดมาจากมารดา ด้านลูกสะใภ้ของท่านก็มีฝีมือติดตัว ทราบว่านางเป็นศิษย์ฆราวาสของอารามพรตแห่งหนึ่ง
ตั้งแต่เด็กจนโตบุตรชายของลวี้ยู่เฉียนมิเคยทราบว่าผู้ใด? คือบิดาของตน จวบจนกระทั่งอายุได้ยี่สิบสามปี ตอนนั้นมารดาได้ต่อสู้กับคนชุดดำผู้หนึ่ง ผลการต่อสู้มารดาถูกคนชุดดำทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจวนเจียนสิ้นใจ ในเวลานั้นเหวินอี้บุตรชายมาพบเหตุการณ์เข้าพอดี ก่อนสิ้นใจได้มอบหยกชิ้นหนึ่งให้แก่เขา แล้วบอกว่า หยกชิ้นนั้นเป็นสมบัติของบิดาที่ทิ้งเอาไว้ให้
ในตอนนั้นเหวินอี้มีคนรักอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนที่มารดาจะสิ้นใจทั้งสองจึงได้ทำพิธีแต่งงานกัน เพื่อส่งดวงวิญญาณมารดาไปสู่สุขคติ ก่อนสิ้นใจมารดาสั่งเสียให้บุตรชายเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน แล้วมอบหยกชิ้นนั้นแก่เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน
เมื่อเหวินอี้กับเพ่ยอิงเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน หลังจากได้พบกับเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนท่านเมื่อเห็นหยกชิ้นนั้น พร้อมกับได้รับฟังคำสั่งเสียของมารดาที่เหวินอี้กับเพ่ยอิงบอกเล่าต่อท่าน ทำให้ท่านทราบว่าแท้จริงบุรุษผู้นี้คือบุตรชายของตนเอง ก่อนหน้านั้นท่านมิเคยทราบมาก่อนว่าสตรีนางหนึ่ง ซึ่งท่านทอดทิ้งมาก่อนที่ท่านจะหายตัวไปจากยุทธภพ นางจะตั้งครรภ์ สตรีนางนั้นที่ท่านทอดทิ้งมามีชื่อว่ากุ้ยอิง พอได้ทราบว่านางได้เสียชีวิตแล้ว ทำให้เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพโศกเศร้าเสียใจอยู่หลายเดือน
หลังจากนั้นเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนเดินทางลงจากเขาหมื่นเซียน เพื่อไปจัดการฝังร่างของกุ้ยอิงส่วนสถานที่นั้นไม่มีผู้ใดทราบ ว่าท่านนำร่างนางไปฝังยังสถานที่ใด? ต่อมาเมื่อเดินทางกลับขึ้นเขาหมื่นเซียนแล้ว เพื่อเป็นการชดเชยความผิดที่ท่านได้ทอดทิ้งนางและบุตรชายมา ท่านจึงได้เรียกศิษย์ทั้งห้าเข้าพบ และแจ้งแก่ศิษย์ทุกคนว่า ต่อจากนี้ท่านจะใช้เวลาสอนวิชาฝีมือทั้งหมดให้แต่บุตรชายของท่าน
ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนจึงทุ่มเทเวลา สอนวิชาให้แก่เหวินอี้บุตรชายท่าน ส่วนเพ่ยอิงยามอยู่ว่างเว้นมิทราบว่าจะกระทำสิ่งใด จึงได้ส่งข่าวไปถึงสหายรักของนางให้ขึ้นมาท่องเที่ยวยังเขาหมื่นเซียน สหายรักของนางมีนามว่าเหยาเซิง แต่ในระหว่างทางที่เดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียนได้ถูกคนของสำนักอสรพิษดำรุมทำร้าย หมายจับตัวด้วยเห็นว่านางมีรูปโฉมงดงามยากยิ่งจะได้พานพบในบู๊ลิ้ม
เหยาเซิงมีฝีมือติดตัวแต่ก็มิอาจสู้คนมากได้ทำให้พลาดพลั้งเสียที โชคดีมีบัณฑิตผู้หนึ่งผ่านมาพบเห็นเหตุการณ์เข้า จึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเอาไว้ หลังจากขับไล่คนของสำนักอสรพิษดำไปแล้ว หลังจากสอบถามทราบว่านางกำลังเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน ดังนั้นบัณฑิตผู้นั้นจึงได้อาสาเดินทางไปส่งนางขึ้นเขาหมื่นเซียน
เมื่อส่งเหยาเซิงขึ้นเขาหมื่นเซียนแล้ว บัณฑิตผู้นั้นได้พบเจอกับเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียน หลังจากได้สนทนาพูดคุยกัน ทั้งสองรู้สึกถูกคอกันด้วยมีความรอบรู้ด้วยกันทั้งสองคน ดังนั้นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพจึงออกปากให้บัณฑิตผู้นั้นอาศัยอยู่ที่เขาหมื่นเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้แก่กัน
ระยะเวลาผ่านไปเหยาเซิงเกิดมีใจต่อเหวินอี้คนรักของเพ่ยอิงเข้า ส่วนศิษย์คนที่สองของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ฉายาภูผาผลักเมฆาหม่าถิงอันเกิดหลงรักต่อเพ่ยอิง ซึ่งเป็นคนรักของเหวินอี้ นอกจากนั้นศิษย์คนที่ห้าฉายาอัคคีสวรรค์เหยาเยี๊ยะเหยียน นางเกิดหลงรักเหวินอี้บุตรชายของเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนเข้าอีกคน
ต่อมาเหยาเซิงรู้สึกตัวว่ากระทำผิดคิดมิซื่อต่อสหายรัก จึงได้ถอนตัวออกจากวังวนแห่งรักที่สับสนวุ่นวาย หลังจากนั้นนางจึงหันมาช่วยเหลือสหายรักเพ่ยอิง ในการขัดขวางศิษย์คนที่ห้าอัคคีสวรรค์มิให้มาใกล้ชิดสนิทสนมกับเหวินอี้
ในระหว่างนั้นเหยาเซิงเองนางกลับพบว่า มีคนผู้หนึ่งแอบจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา สายตาที่จ้องมองเต็มไปด้วยความรักต่อนาง จึงทำให้นางหันมาสนใจต่อคนผู้นั้นนั่นก็คือบัณฑิตผู้ที่เคยช่วยเหลือนางนั่นเอง
ในที่สุดความวุ่นวายเกิดขึ้นในสำนักตำหนักหมื่นเทพ พร้อมกับเหล่ามารก่อการใหญ่ก่อกวนยุทธภพระลอกแล้วระลอกเล่า ศิษย์ภายในสำนักเกิดขัดแย้งแตกคอกันเอง มีศิษย์บางคนหันมาสนับสนุนพรรคมาร สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นมากกว่าเดิม แต่ในเรื่องความรักระหว่างเหวินอี้กับเพ่ยอิง กลับมิมีผู้ใดสามารถทำให้ทั้งคู่หมดรักจากกันได้ ทั้งคู่ยิ่งทราบว่ามีคนไม่หวังดียิ่งเพิ่มความรักความผูกพันแก่กันมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นจึงเพิ่มความโกรธแค้นต่อหม่าถิงอันศิษย์คนที่สองของลวี้ยู่เฉียน และสร้างความไม่พอใจแก่เหยาเยี๊ยะเหยียนไปด้วยพร้อม ๆ กัน
อีกคู่หนึ่งคือบัณฑิตผู้นั้นกับเหยาเซิง ความรักของทั้งคู่สุกงอมจึงได้ทำพิธีแต่งงานกัน เมื่อมีผู้สมหวังในความรักถึงสองคู่ สร้างความริษยาให้แก่ผู้ที่ผิดหวัง ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงได้หาทางทำลายคนทั้งหมดอยู่ตลอดเวลา วันเวลาผ่านไปไม่นานนัก เพ่ยอิงกับเหยาเซิงและเหยาเยี๊ยะเหยียนเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
ในตอนนั้นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางยังมิได้ผ่านพิธีแต่งงานแต่กลับตั้งครรภ์ จึงสร้างความสงสัยให้แก่ทุกคน ว่านางมีความสัมพันธ์กับผู้ใด? จึงได้เกิดเรื่องงามหน้าเช่นนี้ แต่ดูเหมือนเรื่องการตั้งครรภ์ของนาง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและทราบเรื่องกลับเป็นหม่าถิงอัน ด้วยทั้งคู่สร้างเรื่องนี้มาเพื่อทำลายบัณฑิตผู้นั้นกับเหวินอี้ โดยเหยาเยี๊ยะเหยียนได้บอกกล่าวต่อทุกคนว่า ลูกในครรภ์ของนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเหวินอี้ ส่วนหม่าอิงอันออกมาประกาศว่าเด็กในครรภ์ของเหยาเซิง ความจริงแล้วเป็นเลือดเนื้อของตน โดยกล่าวหาว่านางนอกใจ ต่อบัณฑิตผู้นั้นและแอบมามีความสัมพันธ์กับตน
ดังนั้นจึงได้สร้างความเข้าใจผิดต่อบัณฑิตผู้นั้นกับเหยาเซิง ส่วนคู่ของเหวินอี้กับเพ่ยอิงก็เกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา ด้วยน้ำมือของเหยาเยี๊ยะเหยียน เหตุการณ์ความวุ่นวายไม่จบสิ้นง่ายดายจนกระทั้งนางทั้งสามท้องแก่ ในที่สุดนางทั้งสามเจ็บท้องคลอดในค่ำคืนเดียวกัน เพ่ยอิงให้กำเนิดทารกแฝดอ้วนท้วนคู่หนึ่ง ส่วนเหยาเซิงกับเหยาเยี๊ยะเหยียน ทั้งสองให้กำเนิดทารกอวบขาวน่ารักด้วยเช่นกัน
แต่เรื่องที่เพ่ยอิงให้กำเนิดทารกแฝด ผู้ที่ทราบมีเพียงสี่คนเท่านั้น ได้แก่เหวินอี้กับเพ่ยอิงซึ่งเป็นบิดามารดา เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนผู้เป็นปู่ และคนสุดท้ายคือหมอตำแยผู้ทำคลอดให้แก่นางนั้นเอง แต่กว่าเซียนเมฆาล่องลอยจะได้ทราบ ว่าตนเองมีหลานซึ่งให้กำเนิดจากสะใภ้เพ่ยอิง ก็เป็นเวลาจวนเจียนสิ้นลมของนางและบุตรชายแล้ว ด้วยเกิดมีคนร้ายแต่งชุดดำสามคนบุกรุกขึ้นเขาหมื่นเซียน
คนร้ายทั้งสามแยกย้ายกันช่วงชิงทารกจากอกมารดา ซึ่งสตรีทั้งสามให้กำเนิดพร้อม ๆกันโดยแยกห้องคลอดเป็นสามห้องติดกัน ตอนหัวค่ำเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพให้วายุล่องลอยศิษย์คนที่สี่ กับบัณฑิตผู้นั้นลงเขาไปรับหมอตำแยสามคน แต่เมื่อคนทั้งสองรับหมอตำแยเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียนเกิดพายุฟ้าฝนกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางสายฝนและพายุทารกเพิ่งกำเนิดเกิดมา ถูกสามคนชุดดำแย่งชิงไป มีเพียงทารกน้อยซึ่งให้กำเนิดจากเหยาเยี๊ยะเหยียนซึ่งนางแย่งชิงกลับคืนมาได้ หนึ่งในคนชุดดำได้ลงมือสังหารเหวินอี้กับเพ่ยอิงเสียชีวิตด้วยฝ่ามือเดียว วิชาที่ใช้กลับเป็นวิชาหนึ่งที่เจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนคิดค้นขึ้น ที่ผ่านมาวิชาฝ่ามือนี้ไม่เคยถ่ายทอดให้กับศิษย์คนใดมาก่อน จึงได้สร้างความปวดร้าวใจให้แก่เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพเป็นยิ่งนัก
ดังนั้นในค่ำคืนนั้นนอกจากทารกแฝดแล้ว ยังมีทารกน้อยอีกคนหนึ่งถูกแย่งชิงไป นั่นก็คือทารกที่เหยาเซิงเพิ่งให้กำเนิดเกิดมา ในตอนนั้นนางอ่อนแรงจากการให้กำเนิดลูกน้อย จึงยังมิทราบว่าทารกน้อยเป็นเพศชายหรือเพศหญิง พอเห็นมีคนลึกลับเข้ามาขโมยลูกน้อยไป มิทราบว่านางเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด? ไล่ติดตามคนผู้นั้นไป สุดท้ายนางถูกคนชุดทำทำร้ายพลัดตกหน้าผาไป เล่าถึงตอนนี้เฒ่าประหลาดส่งเสียงด้วยความรันทดปวดร้าวว่า
“จนกระทั่งบัดนี้เราเองยังมิทราบว่านางจะเป็นหรือตาย? หลังจากเก็บตัวถึงยี่สิบปี เราจึงตัดสินใจออกสืบข่าว นอกจากนางแล้วเลือดเนื้อเชื้อไขของเราที่ถูกลักพาตัวไป เราต้องติดตามหาลูกเราให้พบ หากลูกเรายังมีชีวิตอยู่คงมีอายุไล่เลี่ยกับเจ้าทั้งสองคน”
จ่านจือกับเยี่ยนผิงพอฟังเฒ่าประหลาดเล่าจบ ต่างหันมาสบตากันโดยมิต้องนัดหมาย แล้วจ่านจือส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจว่า
“มารดาบุญธรรมของข้าพเจ้า” ต่อด้วยเยี่ยนผิงส่งเสียงตามติดว่า “อัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง”
เฒ่าประหลาดเห็นจ่านจือกับเยี่ยนผิงแสดงอาการดีใจออกมา จึงได้กล่าวถามออกมาทันทีว่า “เจ้าทั้งสองดีใจเรื่องใดกัน? เราเพิ่งเล่าเรื่องราวชวนหดหู่ให้เจ้าทั้งสองฟัง อันที่จริงน่าจะแสดงอาการสงสารเรา แต่นี่เจ้าทั้งสองกลับแสดงอาการดีใจออกมา พวกเจ้าหมายความว่าเช่นไร?” เยี่ยนผิงแทบเก็บอาการดีใจไว้ไม่ไหว ส่งเสียงต่อเฒ่าประหลาดออกไปทันทีว่า
“ข้าพเจ้ากับจ่านจือต้องขออภัยต่อท่านอาวุโสยิ่งนักที่เสียมารยาท แต่ที่เราทั้งสองแสดงความดีใจล้วนมีเหตุผล ข้าพเจ้าขอถามอาวุโสว่าคนรักของท่าน ชื่นชอบการแต่งกายด้วยชุดแดงใช่หรือไม่? อีกทั้งคนรักของท่านยังมีฝีมือในการทอผ้าด้วยถูกต้องหรือไม่?” พอเยี่ยนผิงกล่าวจบสร้างความตกใจและประหลาดใจ ให้แก่เฒ่าประหลาดยิ่งนัก รีบส่งเสียงกล่าวถามนางทันทีว่า
“แม่นางน้อยท่านนี้เจ้าทราบได้เช่นไร? ว่าคนรักของเราชมชอบชุดสีแดงและยังทราบอีกว่าคนรักของเรามีฝีมือในการทอผ้าด้วยอีกด้วย เจ้าอย่าชักช้ารีบบอกกล่าวออกมาให้เรารับทราบเดี๋ยวนี้” เยี่ยนผิงยิ้มแก้มแทบปริซึ่งไม่ต่างจากจ่านจือ นางส่งเสียงด้วยความยินดีตอบออกไปว่า
“เรื่องนี้ข้าพเจ้าขอให้จ่านจือเป็นผู้ตอบคำถามท่านจะดีกว่า เขาทราบเรื่องราวเหล่านั้นมากกว่าข้าพเจ้าแถมยังเป็นบุตรบุญธรรมของนางด้วย”
จ่านจือเองรู้สึกยินดีต่อเฒ่าประหลาดเช่นกัน ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าคนรักที่เฒ่าประหลาดติดตามหาอยู่นั้นแท้จริงคือมารดาบุญธรรมของเขานั่นเอง ดังนั้นจึงได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ให้รับทราบตั้งแต่ต้นโดยละเอียด
เฒ่าประหลาดพอรับฟังเรื่องราวจากจ่านจือจบลง รีบกระโดดตัวลอยด้วยความยินดีวิ่งเข้ามาสวมกอดจ่านจือเอาไว้ แล้วส่งเสียงกล่าวออกมาด้วยอาการดีใจอย่างที่สุด
“เจ้าหนุ่มนับว่าเป็นข่าวน่ายินดีที่สุดในยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ นางยังคงมีชีวิตอยู่จริง ๆหรือนี่? ฟังว่านางรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม เช่นนั้นเราก็ต้องเรียกหาเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของเราเช่นกันสินะ? อีกสองวันเราจะออกเดินทางจากที่นี่แล้ว เจ้าพาเราเดินทางไปหานางไปหามารดาบุญธรรมของเจ้า” เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ดีใจจนเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แม้ดวงตาทั้งสองของเฒ่าประหลาดจะถูกบดบังไปด้วยม่านน้ำตา แต่ทว่ามิอาจบดบังประกายสายตายินดีปรีดาอย่างถึงที่สุดเอาไว้ได้ จากนั้นเฒ่าประหลาดเอ่ยกล่าวต่อจ่านจือว่า
“เซี่ยวจือเราเฒ่าประหลาดต้องขอบคุณต่อเจ้า หากในครั้งนั้นเจ้ามิยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางเอาไว้เราคงมิมีโอกาสได้พบกับนางอีก ถือว่าครั้งนี้เราจะช่วยเหลือเจ้าเป็นการตอบแทนต่อไปทุกเรื่องของเจ้า เราจะถือว่าเป็นเรื่องของเราในฐานะบิดาบุญธรรมของเจ้า มิทราบว่าเจ้าจะรังเกียจเราเฒ่าประหลาดผู้นี้หรือไม่?”
จ่านจือรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเฒ่าประหลาดสวมกอดเขาเอาไว้ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มิเคยพบพานบิดาอย่าว่าแต่การได้รับการสวมกอดเช่นนี้เลย แม้แต่ใบหน้าของบิดาหรือมารดาเขาเองก็มิเคยได้เห็นมาก่อน ดังนั้นความรู้สึกตื้นตันเช่นนี้เขาแทบเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แต่เกรงว่าจะอับอายขายหน้าต่อเยี่ยนผิงจึงได้กล้ำกลืนเอาไว้มิให้น้ำตาหลั่งไหลออกมา รีบส่งเสียงกล่าวตอบเฒ่าประหลาดออกไปว่า
“ข้าพเจ้าจ่านจือเกิดมาไม่เคยพบหน้าบิดามารดา ท่านยินยอมเรียกหาข้าพเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมข้าพเจ้าจะรังเกียจท่านได้เช่นไร? เกรงว่าท่านเองจะรังเกียจข้าพเจ้าที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเสียมากกว่า”
เฒ่าประหลาดปล่อยแขนจากการสวมกอดจ่านจือ เมื่อหันมาด้านเยี่ยนผิงกลับพบว่าผู้ที่หลั่งน้ำตาออกมากลับเป็นนางเอง ความจริงนางเห็นภาพเฒ่าประหลาดสวมกอดจ่านจือพลันนึกถึงตัวนางขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่เล็กจดจำความได้นางอาศัยอยู่กับมารดากับคนในสำนักยังมิเคยเห็นหน้าบิดาแม้แต่คราเดียวเช่นกัน มารดาของนางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องบิดา ส่วนนางเองก็ไม่เคยเอ่ยถามมารดาถึงบิดาเช่นกัน
จ่านจือเห็นเช่นนั้นทราบว่าเยี่ยนผิง คงนึกถึงบิดาเช่นเดียวกับเขา แม้ภายนอกนางจะทำตัวเข้มแข็ง แกร่งเยี่ยงบุรุษ แต่เรื่องราวเหล่านี้ต่อให้จิตใจเข้มแข็งแกร่งดั่งศิลา ก็ต้องมีความโศกเศร้าเสียใจเป็นปุถุชนคนธรรมดา
หลังจากปลอบใจเยี่ยนผิงครู่หนึ่งจนกระทั่งนางรู้สึกดีขึ้น ดังนั้นนางจึงหันมาทางเฒ่าประหลาดแล้วบอกกล่าวเรื่องหนึ่งซึ่งจ่านจือมิได้เล่ารายละเอียดให้แก่เฒ่าประหลาดได้รับทราบความว่า
“อาวุโสมีเรื่องหนึ่งซึ่งจ่านจือมิกล้าบอกกล่าวต่อท่านออกไป ด้วยเกรงว่าท่านจะรับฟังมิได้นั่นก็คือว่าคนรักของท่านไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ในเวลานี้สภาพของนางไม่เหมือนตอนที่ท่านรู้จักเมื่อยี่สิบปีก่อนมิทราบว่าท่านจะสามารถรับได้หรือไม่?” เฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่รีบกล่าวตอบโดยมิต้องขบคิดว่า
“มีเรื่องราวใดรีบบอกกล่าวออกมา มิมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าข่าวคราวของนางอีกแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าได้อ้ำอึ้งรีบกล่าวออกมาเร็วเข้า” พอเฒ่าประหลาดกล่าวจบเยี่ยนผิงหันมาสบตากับจ่านจือคราหนึ่งแล้วหันไปกล่าวกับเฒ่าประหลาดว่า
“เรื่องที่ข้าพเจ้ากับจ่านจือมิกล้าบอกกล่าวต่อท่าน นั่นก็คือเรื่องของคนรักของท่านไม่เหมือนเดิมแล้ว ฟังจากที่ท่านเล่ามาคนรักของท่านในอดีตงดงามสะคราญโฉม แต่ที่ข้าพเจ้ากับจ่านจือพบเห็นกลับมิใช่ในตอนนี้นางมีใบหน้าอัปลักษณ์น่ารังเกียจไม่เหมือนผู้คนจึงถูกชาวยุทธ์เรียกหาเป็นอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง ท่านยังจะไปพบหน้านางอีกหรือไม่?” เฒ่าประหลาดหัวร่อเสียงพิกลแล้วส่งเสียงตอบออกมาโดยมิต้องคิดว่า
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564