ตอนที่ 46
จับไม้สั้นไม้ยาว
จนกระทั่งเมื่อครู่ท่านเป็นผู้กล่าววาจาออกมาจากปากเองว่าเขาเป็นศิษย์ของท่าน นั่นย่อมแสดงว่าอาจารย์อนุญาตให้เขาบ่งบอกออกไปได้โดยมิผิดคำสัตย์ที่เคยให้ไว้แล้วนั่นเอง จ่านจือเมื่อทำความเคารพอาจารย์แล้วจากนั้นหันหน้ามาสู่ทุกคนในที่ชุมนุม แล้วส่งเสียงอันดังกล่าวว่าเรียนต่อท่านอาวุโสและเหล่าชาวยุทธ์ว่า
“ทุกท่าน ข้าพเจ้าแซ่จ้าวมีชื่อว่าจ่านจือ ท่านนี้เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าฉายาเจ้าโอสถสายรุ้งนามเส้าเยี๊ยะเทียน ที่แล้วมามีผู้ใช้วาจาล่วงเกินอาจารย์ของข้าพเจ้าทำให้รู้สึกละอายใจยิ่งนักที่ทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียเกียรติ หากจะดุด่าว่ากล่าวอันใด?ก็ขอให้ข้าพเจ้าจ่านจือรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าขอร้องต่อทุกท่านอย่าได้ใช้วาจาล่วงเกินอาจารย์ของข้าพเจ้าอีกเลย”
ทุกคนยังคงนั่งนิ่งเงียบกริบมิมีผู้คาดคิดมาก่อนว่าจ่านจือจะเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แต่กระนั้นก็มีหลายท่านในที่ชุมนุมต่างแสดงสีหน้ายินดีต่อจ่านจือออกมารวมถึงนางชีเทวราชชิ้วโส่วกับเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือแห่งวัดเส้าหลินด้วย ส่วนเจ้าอสูรโลกันตร์กับศิษย์ต่างรู้สึกเสียหน้าอยู่มากทีเดียวจึงมิกล้ากล่าววาจาใดออกมาอีก เมื่อเรื่องราวทุกอย่างกระจ่างชัดทุกคนล้วนทราบแล้วว่าบุรุษหนุ่มจ่านจือเป็นศิษย์มีอาจารย์มิได้หลอกลวงผู้ใดไม่
ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มปรึกษาหารือเกี่ยวกับกฎกติกาการประลองยุทธ์ที่จะเกิดขึ้น ผ่านไปไม่นานต่างมีความเห็นว่าอาจจะเจาะจงลงไปว่าผู้ใดควรจับคู่ประลองกับผู้ใดเดี๋ยวจะมีผู้หนึ่งผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ ดังนั้นจึงเห็นควรว่าให้สวรรค์เป็นผู้กำหนดแล้วแต่วาสนาโชคชะตาของแต่ละคนว่าจะได้คู่ประลองเป็นผู้ใด
ดังนั้นวิธีการที่รวบรัดและง่ายดายที่สุดคือให้ผู้ประลองแต่ละคนจับไม้สั้นไม้ยาว โดยมีไม้อยู่ทั้งหมดแปดอันด้วยกัน ผู้ที่จับได้ไม้ที่มีขนาดความยาวเท่ากันนั่นคือคู่ประลองของตน ซึ่งผู้ประลองทั้งหมดมีด้วยกันทั้งสิ้นแปดคนเท่ากับได้คู่ประลองทั้งหมดสี่คู่ ผู้ชนะในแต่ละคู่จะมาจับไม้สั้นไม้ยาวกันอีกครั้งเพื่อหาคู่ประลองของตนในยกที่สอง
โดยการประลองทั้งหมดจะแบ่งเป็นสามรอบ ยกสุดท้ายจะเหลือเพียงสองคนที่จะมาตัดสินแพ้ชนะ หากว่าผู้ใดเป็นฝ่ายชนะในยกสุดท้ายก็จะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์คนต่อไป แต่หากว่าศิษย์คนสุดท้ายที่ชนะการประลองจะยกตำแหน่งนี้ให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ทำหน้าที่แทนไปก่อนก็มิผิดกติกาแต่ประการใด แต่มิว่าอย่างไรสุดท้ายก็ต้องรับตำแหน่งด้วยตนเองเมื่อเห็นว่าพร้อมที่รับภาระอันหนักหน่วงนี้
เมื่อจัดเตรียมไม้สั้นไม้ยาวสำหรับจับหาคู่ประลองได้แล้ว เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือเรียกให้ผู้ประลองออกมาจับทีละคน ยังมิทันสิ้นเสียงท่านเท่าใดนักมารขลุ่ยเงินเยิ่นหว่อถิงรีบวิ่งออกมาจับก่อนเป็นคนแรก คนที่สองเป็นเยี่ยนผิงซึ่งเป็นมารดาเป็นผู้ดันหลังนางออกมาแต่ยังช้ากว่ามารน้อยผู้นี้ จากนั้นเป็นซื่อเหมี่ยนตามด้วยหนานตี้ เทียนจิ้งจับเป็นคนที่ห้ามู่เหอจับต่อเป็นคนที่หกยังเหลือไม้เพียงสองชิ้นสุดท้ายในมือของเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือ ซึ่งพอดีกับจำนวนคนที่เหลือนั่นก็คือถู่ฝูแห่งเส้าหลินกับจ่านจือนั่นเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้นจ่านจือรู้ตัวว่าเขามาถึงเป็นคนสุดท้าย แท้จริงแล้วตัวเขามิได้ต้องการประลองยุทธ์ในครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่ด้วยรับปากต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่วออกไปว่าจะปฏิบัติที่นางต้องการทุกประการจึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงกล่าวต่อเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือว่า
“เรียนท่านไต้ซือ ข้าพเจ้าจ่านจือเดินทางมาล่าช้ากว่าทุกคน อีกทั้งหากมิได้รับปากต่อท่านซือไท่เอาไว้คงมิกล้าลงแข่งขันในครั้งนี้ ดังนั้นจะได้ประลองกับผู้ใดแล้วแต่สวรรค์ท่านกำหนด ข้าพเจ้าจึงมิขอจับแต่จะรอไม้สุดท้ายในมือท่านไต้ซือเป็นคู่ประลองก็แล้วกัน”
ดังนั้นต้าทงไต้ซือจึงพยักหน้าต่อศิษย์ถู่ฝูให้เข้ามาจับไม้ที่เจ็ดไป จนคนสุดท้ายไม่ต้องจับเพราะเหลือไม้อีกเพียงชิ้นเดียวในมือท่านนั่นคือจ่านจือนั่นเอง เมื่อเอาไม้ของแต่ละคนที่จับมาเทียบเคียงกันแล้ว ผลที่ปรากกออกมาผู้ที่ได้คู่ประลองในยกที่หนึ่งมีดังนี้
คู่แรกเหยาเยี่ยนผิงแห่งสำนักมารสวรรค์ประลองกับหนานตี้แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ คู่ที่สองเยิ่นหว่อถิงแห่งสำนักอสูรโลกันตร์ประลองกับเฟิ่นมู่เหอแห่งผาแห่งสายลม คู่ที่สามถู่ฝูแห่งวัดเส้าหลิน ประลองกับซื่อเหมี่ยนแห่งหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว สุดท้ายจ่านจือศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนประลองกับเทียนจิ้งแห่งพรรคไผ่หลิวเป็นคู่ที่สี่
แต่ก่อนที่การประลองในยกแรกจะเริ่มขึ้น นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนอดมิได้ที่จะใช้วาจากล่าวเสียดสีต่อจ่านจือออกมา ลึก ๆ ภายในใจของนางพอทราบว่าเขาเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนซึ่งอดีตคือศิษย์พี่ใหญ่ของนาง ดังนั้นฝีมือที่ได้รับการถ่ายทอดย่อมไม่รวบรัดธรรมดาดั่งที่คาดคิดเอาไว้ตั้งแต่คราวแรก พอทราบว่าเขาเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถสายรุ้งซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักตำหนักหมื่นเทพในขณะนั้น
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน โดยท่านได้รวบรวมเอาจุดเด่นของศิษย์ทุกคนในบรรดาศิษย์น้องทั้งสี่ ซึ่งศิษย์น้องทั้งสี่มีแนวทางวิชาแตกต่างกันแยกออกเป็นสี่ธาตุอันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เมื่อเจ้าสำนักลวี้ยู่เฉียนรวมจุดเด่นของสี่ธาตุธรรมชาติแล้ว จึงผนึกประสานรวมกันกลายเป็นแนวทางจักรวาลขึ้นมา และได้เรียกหาวิชาชุดนั้นว่าวิชาดาวดึงส์อันมีจุดเด่นของความแข็งกร้าวและความอ่อนหยุ่น ความเปลี่ยนแปลงของวิชาชุดนี้นับได้ว่าพิสดารโดยอาศัยการเคลื่อนไหวย้ายท่าร่างเลียนการโคจรของดวงดาวในห้วงจักรวาลนั่นเอง ดังนั้นนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนจึงรู้สึกกริ่งเกรงอยู่เก้าส่วน
ดังนั้นจึงคิดจะกล่าววาจาเพื่อเป็นการทำลายขวัญสมาธิ อีกทั้งความมั่นใจของจ่านจือลงก่อนการประลองจะเริ่มขึ้นนั่นเอง ด้วยสมองอันชาญฉลาดร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมของนางมิต้องเสียเวลาขบคิดเนิ่นนาน รีบก้าวเดินออกมาด้านหน้าแล้วส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือว่า
“เฮอะเจ้าหนุ่ม เจ้ายังนับว่าโชคดีที่ได้อาจารย์เป็นพี่ใหญ่ของข้าถ่ายทอดวิชาฝีมือให้ แต่ทว่าอาจารย์ดีใช่ว่าศิษย์จะมีฝีมือดีตามด้วยทุกคนไม่? ตอนประลองเจ้าจะแสดงออกมาได้ดีหรือไม่?ยังมิมีผู้ใดทราบ แต่ที่ข้ายังเคลือบแคลงสงสัยนั่นคือชาติกำเนิดของเจ้าว่าเป็นเช่นไร ศิษย์ของท่านอื่น ๆ ข้ายังไม่สงสัยกระไรนัก แต่สำหรับเจ้าหัวนอนปลายเท้าเจ้าอยู่ที่ใด? บิดามารดาของเจ้าเล่ามีชื่อแซ่ว่ากระไร และพำนักอยู่สถานที่แห่งหนใด แต่ถ้าหากว่าเจ้ามิมีบิดาหรือมารดาเช่นนั้นย่อมหมายความว่าเจ้าเป็นเด็กกำพร้าสินะ”
พอนางมารเยือกเย็นเหยาเยี่ยะเหยียนกล่าวยังมิทันสิ้นเสียงเท่าใดนัก พลันเสียงหนึ่งดังมาจากทิศทางหนึ่งโดยที่เจ้าของร่างยังบรรลุมาไม่ถึงความว่า
“ฮาฮา นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนมิได้พบเจอกันนานหลายปี ปากท่านยังมิหายเน่าเหม็นอีกรึ? กระทั่งบัดนี้ท่านยังคงกล่าววาจาสุนัขได้ระคายหูยิ่งกว่าเก่าหลายเท่านัก เห็นเงียบหายไปเนิ่นนานมิเคยโผล่หัวยื่นหางออกมานึกว่าลาจากโลกนี้ไปเสียแล้ว พอได้ยินวาจาเมื่อครู่พอทราบว่าเป็นท่านนับว่าหนังเหนียวคงมิเหี่ยวย่นตายง่าย ๆ ดอก โบราณท่านกล่าวไว้มิมีผิดสันดอนขุดได้สันดานขุดยาก เช่นท่านคงต้องเรียกว่าฝังรากหยั่งลึกลงไปใต้พื้นดิน ค้นหารากเหง้ามิเจอขุดเท่าใดคงมิหมดโดยง่ายดายสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเสียเปล่า ๆ เซียวจือเจ้ามิต้องกลัวถูกผู้คนกล่าวหาว่าเป็นเด็กกำพร้าแล้ว ผู้เป็นมารดากำลังรีบรุดไปหาเจ้าบัดเดี๋ยวนี้”
บรรยากาศงานชุมนุมชาวยุทธ์ยิ่งมายิ่งเพิ่มเรื่องราวให้เหล่าจอมยุทธ์ผู้กล้าได้ตื่นเต้นขึ้นทุกขณะ พอสิ้นเสียงแหลมเล็กปรากฏร่างสตรีสวมชุดยาวสีแดงสดใสสาดร่างมาด้วยท่าร่างวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม พอร่างใกล้บรรลุถึงกึ่งกลางลานกว้างหมุนร่างกลางอากาศคล้ายลูกข่างอยู่หลายรอบ กระทั่งชุดยาวสีแดงสดถูกอัดแน่นไปด้วยอากาศธาตุอยู่ภายใน ชายกระโปรงยาวพลิ้วไหวหมุนวนเป็นวงดูแล้วงดงามยิ่ง ก่อนที่ร่างนั้นจะทิ้งร่างลงใกล้ ๆกับจ่านจืออย่างนุ่มนวลแผ่วเบา
ทุกสายตาภายในงานชุมนุมเพ่งจับจ้องไปยังผู้ที่เพิ่งบรรลุมาถึง เมื่อเห็นชัดเจนผู้ที่มาที่แท้เป็นผู้หนึ่งที่เหล่าชาวยุทธ์ยกย่องให้เป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในอดีต ก่อนที่จะเก็บตัวซ่อนกายหายไปจากยุทธภพด้วยเช่นกัน คนผู้นี้สร้างความตระหนกและทิ้งปริศนาเรื่องราวซ่อนเร้นเอาไว้ จู่ ๆ มีผู้คนพบเห็นคนผู้นี้มีหน้าตารูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิมหรือจะเรียกให้ถูกอาจต้องเรียกว่าอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวก็นับว่ามิผิด ซึ่งก่อนหน้านั้นคนผู้นี้นับได้ว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองนางหนึ่งในแผ่นดิน
ดังนั้นบรรดาชาวยุทธ์ที่พบเห็นต่างพากันเรียกหานางว่าอัปลักษณ์ อาจเนื่องด้วยนางชื่นชอบสวมใส่อาภรณ์สีแดงแถมอาวุธที่ใช้ยังเป็นกระสวยทอผ้าพร้อมเข็มด้าย ล่าสุดก่อนที่นางจะหายตัวไปจากยุทธภพฉายาของนางก็คืออัปลักษณ์อาภรณ์แดงนามเซียวเหยาเซิง การปรากฏตัวในงานชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้ของนาง ย่อมต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่ทุกคนอาจจะยังไม่ทราบมาก่อนมาเปิดเผยก็เป็นได้
เมื่อทิ้งตัวลงสองเท้าเหยียบย่างพื้นเรียบร้อยแล้วสอดส่ายสายตามองไปโดยรอบบริเวณงานชุมนุม ก่อนที่จะหันมาประสานมือแสดงความเคารพต่อต้าทงไต้ซือแห่งเส้าหลิน แล้วหันหน้าเข้าหานางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนก่อนที่จะเอ่ยกล่าววาจาออกไปว่า
“เฮอะ อัคคีสวรรค์เหยาเยี๊ยะเหยียน ก่อนหน้านั้นพฤติกรรมพร้อมวาจาของท่านเป็นเช่นไร ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีกระทั่งเปลี่ยนฉายาเป็นนางมารเยือกเย็น แต่ไฉนพฤติกรรมกับวาจาของท่านยังคงเป็นเช่นเดิมมิเปลี่ยนแปลงดั่งเช่นเปลี่ยนฉายาเล่า? นับได้ว่าท่านช่างเป็นคนที่รักษาพฤติกรรมอันต่ำช้าที่มิอาจจะเรียกว่านิสัยเอาไว้ได้ดียิ่ง เซียวจือเป็นลูกข้าพเจ้าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง ผู้ใดยังกล้ากล่าวหาว่าเขาเป็นลูกกำพร้าไร้หัวนอนปลายเท้าอีกละก็ คนผู้นั้นเห็นทีจะต้องลองลิ้มชิมรสเข็มด้วยแดงของข้าพเจ้าดูสักครา”
พออัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงกล่าวจบ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนระเบิดเสียงหัวร่อขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน ก่อนที่จะใช้วาจาตวาดตอบกลับมาว่า
“ฮาฮา น่าขันวาจาเหล่านี้ท่านก็กล่าวออกมาได้ ชาวยุทธ์หลายท่านก็คงทราบก่อนที่ท่านจะกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว จริงอยู่ท่านให้กำเนิดทารกผู้หนึ่งจริงแต่ท่านคงไม่ปฏิเสธว่า ท่านได้ปล่อยให้ทารกที่เพิ่งคลอดของท่าน ถูกคนชุดดำแย่งชิงตัวไปจากมือ แม้แต่ลูกตนเองเป็นหญิงหรือชายท่านยังไม่มีปัญญาจะรับรู้ได้ คงด้วยสาเหตุนี้กระมังท่านถึงได้กลายสภาพเป็นปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวดั่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้ หากเจ้าเด็กจ่านจือผู้นี้เป็นลูกของท่านแล้วมิทราบว่าจะใช้หลักฐานใดกัน ที่จะยืนยันได้ท่านจงรีบบอกออกมาอย่าได้ชักช้า”
อัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงหาได้ใส่ใจต่อคำพูดของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน หมุนกายมาทางด้านจ่านจือพร้อมกับกล่าวต่อเขาว่า
“เซี่ยวจือมารดามีเจ้า เจ้ามีมารดาเพียงเท่านี้ยังต้องการหลักฐานใดเล่า? วันนี้มารดาดีใจยิ่งนักที่ทราบว่าเจ้าเป็นศิษย์มีอาจารย์ แถมยังเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้คนหลายคนในที่นี้ จนทำให้ใครบางคนตาร้อน การประลองในครั้งนี้มารดาจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ เจ้ายังจำคำสั่งสอนของมารดาได้ครบถ้วนดีอยู่หรือไม่?”
“ข้าพเจ้าจ่านจือย่อมจดจำได้ทุกถ้อยคำ สิ่งที่มารดาสั่งสอนจดจำขึ้นใจมิตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว ครั้งนี้ได้รับความไว้วางใจจากหลายท่าน ข้าพเจ้าจะพยายามจนสุดความสามารถ ทุกท่านที่สนับสนุนจะได้ไม่ผิดหวังในตัวของข้าพเจ้า”
จ่านจือตอบรับคำต่ออัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง พร้อมกับแสดงท่าทางมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมยิ่งทำให้ขับเสริมบุคลิกภาพของจ่านจือให้โดดเด่นขึ้นมาจนหลายคนแปลกประหลาดใจ แต่มีสายตาหลายคู่จับจ้องมายังร่างเขาคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ หนึ่งในนั้นคงมิยกเว้นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง
มันผู้นี้หลังจากสร้างชื่อเสียงด้วยการสยบสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะเอาไว้ได้ จึงคิดว่าในงานชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้จะมีผู้คนให้ความยำเกรงอีกทั้งเข้ามาแสดงความชื่นชมยินดีต่อความสามารถของตน แต่มิเป็นไปดั่งใจคิดไว้กลับกันกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แถมยังเป็นก้างชิ้นโตที่จะมาขวางกั้นเส้นทางความรักของมันอีกด้วย
เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างมิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงการประลองฝีมือจึงได้เริ่มขึ้น ต้าทงไต้ซือแห่งเส้าหลินส่งเสียงต่อผู้ประลองทั้งสี่คู่ว่า
“ผู้ใดจะเริ่มประลองเป็นคู่แรกในรอบนี้โปรดก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกับอาวุธที่จะใช้ กฎกติกาในการประลองขอเพียงเอาชนะได้เป็นเพียงพอและหยุดมือลงโดยทันที ห้ามมิให้ลงมือหนักเกินไปจนต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บเป็นอันขาด ทุกท่านเข้าใจในกฎกติกาแล้วหรือไม่?”
ทุกคนต่างพยักหน้าเป็นอันรับทราบกฎกติกาในการประลอง มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงรีบก้าวเท้าออกมาก่อนเป็นคนแรกด้วยความลำพองและกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ คนผู้นี้ชอบออกตัวเสนอหน้าอยู่ก่อนผู้อื่นเสมอ ด้านหนึ่งเพื่อแสดงให้เยี่ยนผิงได้เห็นว่าตนเองกล้าหาญและมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด นอกจากเยี่ยนผิงแล้วสายตาของมันยังแอบเผื่อแผ่มองมาทางด้านไป่ชิงกับกุ้ยโส่ว ไม่เว้นแม้แต่ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินมันยังแอบสำรวจจนทั่วทั้งเรือนร่าง
อีกเหตุผลหนึ่งที่รีบก้าวออกมาเป็นคนแรกนั่นคือ ด้วยเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันแอบกระซิบต่อเยิ่นหว่อถิงว่า
“หว่อถิงพอเริ่มประลองเจ้าจงรีบออกไปเป็นคนแรก แล้วแสดงฝีมือสยบคู่ประลองของเจ้าอย่าให้มันได้ทันตั้งตัว ด้านหนึ่งเป็นการสร้างความอับอายขายหน้าต่อผู้เป็นอาจารย์ของมัน ด้านหนึ่งเพื่อแสดงให้ผู้ประลองคนอื่น ๆ ได้เห็นว่าเจ้ามีฝีมือร้ายกาจเพียงไหน แถมยังเป็นผลดีต่อเจ้าอีกด้วยหากสามารถสยบคู่ต่อสู้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เจ้าจะได้มีเวลาพักผ่อนเก็บเกี่ยวเรียวแรงเอาไว้ประลองในรอบต่อไป อีกอย่างข้ากับเจ้าจะได้คอยดูว่าคู่อื่น ๆ ที่ประลองใช้วิชาท่าร่างไปในทิศทางใด รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งย่อมชนะร้อยครั้งเจ้าจงจดจำเอาไว้”
คู่ประลองของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงคือเฟิ่นมู่เหอศิษย์ของเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย มู่เหอความจริงเป็นศิษย์คนรองของสำนักผาแห่งสายลม แต่ด้วยความสุขุมเยือกเย็นและปฏิภาณไหวพริบของเขาเหนือกว่าเหมาต้าซึ่งเป็นศิษย์คนโตอยู่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยจึงส่งมู่เหอเป็นตัวแทนของสำนักลงประลองในครั้งนี้
ผลการจับไม้สั้นไม้ยาวถือว่ามู่เหอได้คู่ประลองที่ตึงมืออยู่ไม่น้อย ด้วยทราบแต่ต้นว่ามารน้อยผู้นี้เคยสยบสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะมาแล้ว แต่กระนั้นเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยก็มิได้มุ่งหวังให้ศิษย์ของตนเป็นผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ที่หวังเพียงให้ศิษย์ได้หาประสบการณ์ในการต่อสู้เท่านั้นเอง โดยส่วนตัวท่านเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายต่อการแก่งแย่งช่วงชิงกันในยุทธภพมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นผู้ใดจะได้เป็นผู้นำชาวยุทธ์ขึ้นอยู่กับชะตาฟ้ากำหนดแล้ว
มู่เหอเลือกอาวุธเป็นกระบี่ซึ่งเป็นอาวุธติดตัวมาโดยตลอด ส่วนเยิ่นหว่อถิงในครั้งนี้อาวุธที่ใช้เป็นขลุ่ยเงินยาวราวฟุตครึ่ง ทั้งสองเมื่อพร้อมก้าวออกมาตรงกลางของลานประลองที่จัดเตรียมเอาไว้ จากนั้นท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือจึงส่งเสียงออกมาว่าให้เริ่มการประลองได้
เยิ่นหว่อถิงมิรอช้าชิงจังหวะจู่โจมเข้าใส่มู่เหอโดยทันที ขลุ่ยเงินยาวฟุตครึ่งในมือขวาเป็นอาวุธที่จัดสร้างจากเหล็กกล้าชนิดพิเศษ มีดดาบหรือกระบี่หาได้ระคายผิวของด้ามขลุ่ยเงินได้ไม่ ยามที่กวัดแกว่งอาวุธชิ้นนี้เกิดเป็นเสียงประหลาดคอยรบกวนสมาธิของคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา เยิ่นหว่อถิงฝึกฝนการใช้อาวุธชิ้นนี้จนชำนาญดุจดั่งเคลื่อนไหวนิ้วบนฝ่ามือ คล้ายดั่งว่าขลุ่ยเงินด้ามนี้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมันไปแล้วก็ว่าได้
ความสำเร็จในการใช้อาวุธชิ้นนี้ของเยิ่นหว่อถิงนับได้ว่าสุดพิสดารนัก ในยุทธภพหามีผู้ใดใช้อาวุธลักษณะนี้ได้ดีกว่ามันไม่มีเป็นคนที่สองอีกแล้ว เคล็ดความพิสดารของวิชาชุดนี้ อาศัยทั้งกระบวนท่าพลังลมปราณที่บังคับออกมา แม้ขลุ่ยจะไร้คมดั่งเช่นกระบี่แต่ทว่ามารน้อยผู้นี้ฝึกถึงขั้นใช้ออกได้ดั่งใจปรารถนา คิดว่าขลุ่ยเป็นกระบี่ก็เป็นเช่นกระบี่ คิดว่าเป็นดาบหนาก็เป็นเช่นดาบหนา คิดว่าเป็นกระบองพลองทวนหรือหอกล้วนเป็นเช่นนั้นดั่งใจคิด
ที่กล่าวมาทั้งหมดนับว่าร้ายกาจแล้ว สิ่งที่น่ากลัวไปมากกว่านั้นกลับเป็นบทเพลงอสูรโลกันตร์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้เป็นอาจารย์เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน วิชาชุดนี้นับว่าพิสดารล้ำลึกผู้ที่เป็นปรมาจารย์เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนเป็นผู้คิดค้นขึ้น เป็นการอาศัยศาสตร์ดนตรีผสานกับท่วงท่าศิลปะการร่ายรำเข้าด้วยกัน เมื่อประสานลมปราณเข้าไปนับว่าร้ายกาจล้ำลึกถึงที่สุด
ดั่งเช่นที่ผ่านมาเมื่อไม่นานแม้แต่สองดรุณีนามเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อ ใช้พิณกับปี่แป้บรรเลงเพลงอสูรโลกันตร์ไปเพียงสามบทเพลงถึงกับทำลายล้างพรรคไผ่หลิวไปถึงร้อยสิบชีวิตด้วยกัน แม้แต่ประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงพร้อมกับศิษย์เอกทั้งสามแทบไม่อาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
บทเพลงอสูรโลกันตร์มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเก้าบทเพลง แบ่งออกเป็นสามห้วงทำนองด้วยกัน โดยแต่ละทำนองยังแบ่งแยกออกเป็นสามบทเพลงได้แก่ ห้วงทำนองอันไพเราะนุ่มนวลชวนให้หลงใหล บทเพลงที่หนึ่งมีชื่อว่าโลกันตร์กล่อมจิต บทเพลงที่สองชื่อว่าโลกันตร์กล่อมใจ และบทเพลงที่สามมีชื่อว่าโลกันตร์กล่อมวิญญาณ
ท่วงทำนองที่สองเป็นห้วงทำนองที่โศกศัลย์เศร้าโศกโศกาอาดูรฟังแล้วชวนให้โศกซึ้งหดหู่จับจิตจับใจมีสามบทเพลงเช่นเดียวกันคือ บทเพลงที่หนึ่งมีชื่อว่าโลกันตร์รำพึงรำพัน บทเพลงที่สองมีชื่อว่าโลกันตร์คะนึงหา และบทเพลงที่สามมีชื่อว่าโลกันตร์คร่ำครวญหวนไห้
ท่วงทำนองที่สามเป็นห้วงทำนองเร่าร้อนรุนแรงฟังแล้วชวนร้อนรุ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้มีสามบทเพลงคือ บทเพลงที่หนึ่งมีชื่อว่าโลกันตร์กักวิญญาณ บทเพลงที่สองมีชื่อว่าโลกันตร์สลายวิญญาณ และบทเพลงที่สามชื่อว่าโลกันตร์ขับขานวิญญาณสลาย
ที่ผ่านมาเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงแม้เป็นผู้สืบทอดวิชานี้ แต่ทว่าทั้งสองฝึกเพลงอสูรโลกันตร์ได้เพียงหกบทเพลงเท่านั้นเอง ส่วนเหนียงเอ๋อกับเจียวเอ๋อเยิ่นหว่อถิงเพียงสอนเพลงอสูรโลกันตร์ให้เพียงผิวเผินแค่ห้วงทำนองละหนึ่งบทเพลงเท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นอานุภาพที่ดรุณีทั้งสองใช้ทำร้ายคนของพรรคไผ่หลิวถึงหนึ่งร้อยสิบชีวิตก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนว่าน่ากลัวถึงเพียงไหน
แต่ทว่าเพลงอสูรโลกันตร์จะร้ายกาจล้ำลึกน่ากลัวถึงเพียงใดใช่ว่าจะมิมีวิชาที่สามารถสยบได้ ดรรชนีเทวะของนางชีเทวราชชิ้วโส่วเป็นดาวข่มของวิชานี้แต่ที่ผ่านมาเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนมิเคยบอกกล่าวความลับนี้ให้แก่ศิษย์คนใดทราบ
การประลองระหว่างมู่เหอกับเยิ่นหว่อถิงผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า แม้จะเป็นการประลองยุทธ์เพียงทดสอบฝีมือเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่ในงานชุมนุมต่างดูออกว่ามารน้อยนามเยิ่นหว่อถิงลงมืออย่างหักโหม ทุกกระบวนท่าที่ลงมือเข้าใส่มู่เหอคู่ต่อสู้แฝงไปด้วยรังสีอำมหิตดุร้ายหมายเอาชีวิตก็ว่าได้
แต่มู่เหอยังอาศัยความสุขุมเยือกเย็นสามารถหลบรอดท่าร่างเหล่านั้นอย่างหวุดหวิดหวาดเสียว วิชาวายุกรีดนภาถูกนำออกมาใช้จะเห็นได้ว่ากระบี่ของมู่เหอดูพลิ้วไหวคล้ายมีชีวิตชีวา เสียงปะทะระหว่างกระบี่กับด้ามขลุ่ยเงินดังสดใสเสนาะหู ผ่านไปราวร้อยกระบวนท่าเยิ่นหว่อถิงยิ่งเร่งเร้าลมปราณจนถึงขีดสุด
วิชาเงาปีศาจพันร่างถูกเยิ่นหว่อถิงนำออกมาใช้ วิชานี้อาศัยเคล็ดลับการเคลื่อนย้ายท่าร่างที่รวดเร็ว ผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายเปลี่ยนตำแหน่งไปมาได้ตามต้องการมองเห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนรางดั่งภาพมายา วิชาวายุกรีดนภาของมู่เหอแม้จะพลิ้วไหวถึงเพียงใด ก็มิอาจคำนวณได้ว่าจะจู่โจมเข้าใส่ตำแหน่งใดของมันได้ เมื่อเห็นร่างของมันแปรเปลี่ยนเป็นสิบเป็นร้อยพันร่าง กว่าที่มู่เหอจะทันตั้งตัวด้ามขลุ่ยเงินก็พุ่งเข้าใส่บริเวณชายโครงแล้ว ถึงจะรีบสะบัดกระบี่ในมือเข้าขัดขวางอย่างเร่งร้อนแต่ปลายขลุ่ยพลันสัมผัสร่างแล้ว พร้อมด้วยกระแสลมปราณที่ส่งผ่านด้ามขลุ่ยเข้ามาจนมู่เหอต้องรีบเกร็งลมปราณขึ้นต้านทานจุดอันตรายเอาไว้ พร้อมกับพุ่งร่างถอยหลังมาราวห้าหกก้าว
เยิ่นหว่อถิงความจริงควรหยุดมือแต่เห็นว่าควรสั่งสอนให้มู่เหอเห็นถึงความร้ายกาจของตน พร้อมกับเป็นการแสดงให้คู่ประลองคนอื่น ๆที่เห็นได้รับทราบไปพร้อมกันตามคำแนะนำของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันผู้เป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงรีบพุ่งร่างตามติดเพื่อมิให้มู่เหอทันตั้งตัวได้ทัน ขลุ่ยเงินในมือแปรเปลี่ยนเป็นดั่งกระบี่แหลมคม
แต่ก่อนที่ขลุ่ยเงินที่เห็นกลายสภาพเป็นดั่งกระบี่จะทันถึงร่างของมู่เหอ ไม้เท้าพระธรรมของต้าทงไต้ซือพลันพุ่งเข้าต้านทานเอาไว้เสียก่อน ทำเอาขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงถึงกับเหงื่อตกอดตื่นตระหนกออกมามิได้ จดจำได้ว่าก่อนที่ตนจะพุ่งร่างเข้าหามู่เหอต้าทงไต้ซือยืนอยู่ไกลไปอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่น่าจะบรรลุมาถึงรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564