Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์

  • 13/08/2565

ตอนที่ 45

ปรากฏตัวต่อชาวยุทธ์

บรรยากาศในงามชุมนุมชาวยุทธ์บัดนี้ทวีความตื้นเต้นเร้าใจขึ้นทุกขณะ เมื่อสิ้นเสียงของนางชีเทวราชชิ้วโส่วที่กล่าวว่า ผู้ที่นางต้องการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งชาวยุทธ์ในครั้งนี้มาถึงแล้ว ทุกคนต่างนั่งสงบนิ่งมิมีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวรอลุ้นว่าคนผู้นี้ที่แท้เป็นผู้ใด อีกประการหนึ่งทุกคนยังมิอยากเชื่อวาจาของนางเท่าใดนัก เนื่องด้วยในอดีตเคยทำนายทายทักผิดพลาดมาแล้วหนหนึ่งนั่นเอง            

สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังบันไดขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นทางขึ้นมายังวัดเส้าหลินก่อนจะเป็นทางเดินที่ทอดยาวมาสู่ลานชุมนุม ภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเป็นนางชีสี่นางท่าทางสำรวมก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นมามิเร่งรีบนัก เมื่อก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายแล้วเดินตรงมายังลานชุมนุมยิ่งทำเอาเหล่าผู้ชุมนุมทั้งหมดต่างอดสงสัยและแปลกประหลาดใจมิได้            

จากคำพูดของนางชีเทวราชชิ้วโส่วที่กล่าวไว้ก่อนหน้านั้นว่า ผู้ที่นางจะส่งเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์เป็นบุคคลที่นางมิเคยรู้จักมาก่อน แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นนางชีสี่นางหากให้คาดเดาทุกคนย่อมดูออกว่าเป็นนางชีในอารามอเทวตานั่นเอง นางชีทั้งสี่ก้าวเดินตรงเข้าหานางชีเทวราชชิ้วโส่วเมื่อทำความเคารพตามกฎของอารามแล้ว แลเห็นหนึ่งในแม่ชีสี่นางกระซิบกระซาบกระไรบางอย่างต่อนาง สีหน้าท่าทางของนางบ่งบอกว่าพึงพอใจต่อคำบอกกล่าวของแม่ชีนางนั้นยิ่งนักแต่ยังมิกล่าววาจาใดออกมา            

ขณะที่สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่กลุ่มของนางชีเทวราชชิ้วโส่วอยู่นั้น บนทางเดินปรากฏร่างของบุคคลผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมาแต่ยังไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องสายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องอยู่ที่กลุ่มของนางชีเทวราชชิ้วโส่วนั่นเอง จากนั้นได้ยินเสียงตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินส่งเสียงกล่าวดังออกมาว่า            

"น่าขันนางชีเทวราชชิ้วโส่วเสียทีที่ท่านออกบวชเป็นชีถือศีลเป็นเวลานานถึงยี่สิบปี ทุกท่านในที่นี้ต่างได้ยินท่านกล่าวเมื่อครู่ชัดเจน ว่าคนที่ท่านจะเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งเป็นคนที่ท่านมิเคยรู้จักมักจี่มาก่อน แต่เท่าที่ข้าพเจ้าตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินเห็นมีเพียงแม่ชีในอารามของท่านสี่นางเท่านั้นเอง หรือว่าตอนที่ท่านอาศัยอยู่ในอารามมิเคยพบหน้ากับแม่ชีเหล่านี้มาก่อน เสียแรงที่เหล่าบรรดาชาวยุทธ์และผู้ชุมนุมทั้งหมดต่างรอคอยเพื่อดูว่าคนที่ท่านกล่าวมีสารรูปเยี่ยงไร? ที่แท้ก็เป็นแม่ชีธรรมดาในอารามอเทวตาเท่านั้นเอง"            

พอตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินกล่าวจบ อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงจึงส่งเสียงหัวร่อออกมา พร้อมกับเสียงของเหล่ามารอธรรมทั้งหลายต่างส่งเสียงหัวร่ออย่างขบขันต่อคำพูดของตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน มีเพียงเยี่ยนผิงที่นั่งนิ่งสงบมิได้สนใจกระไร สีหน้าของนางคล้ายร้อนรนกระวนกระวายใจบางอย่างอยู่กระนั้น พอสิ้นเสียงหัวร่ออินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงจึงส่งเสียงกล่าวต่อทันทีว่า

"ซือไท่ชิ้วโส่ว หรือว่าคำพูดของตาเฒ่าเข็มวิเศษที่กล่าวว่าท่านกับนางชีในอารามของท่านมิเคยรู้จักกันมาก่อนจะเป็นความจริง หากเป็นเช่นนั้นนับว่าน่าแปลกประหลาดนัก แม่ชีอารามเดียวกันแต่มิเคยเห็นหน้ามิเคยรู้จักกันมาก่อน เห็นทีฉายาเทพธิดาชินแสของท่านในอดีต คงจะได้มาจากการต้มตุ๋นหลอกลวงผู้คนโดยแท้ ซึ่งแท้จริงแล้วท่านหาได้ทำนายทายทักสิ่งใดได้ ครั้งนี้เห็นทีท่านคงสร้างความอับอายขายหน้าต่อเหล่าบรรดาชาวยุทธ์อีกครั้งแล้วกระมัง? ฮาฮา"            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วได้ยินเช่นนั้นหันมาถลึงตาใส่ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินกับอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง อีกทั้งเหล่ามารอธรรมที่ส่งเสียงห่อร่ออย่างขบขันก่อนจะกล่าววาจาสวนกลับออกไปทันทีว่า            

"ตาเฒ่าโปรดเก็บปากของท่านไว้รับประทานอาหารอันโอชะก่อนลาโลกเถิด ท่านจงรีบหุบปากโสโครกของท่านให้สนิท หากท่านมิรู้สิ่งใดแล้วไม่เอ่ยวาจาออกมาก็มิมีผู้ใดยื่นมือไปตบปากท่าน บังคับให้พูดจาดั่งผายลมออกมากระมัง? ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วยังมิได้เอ่ยว่าคนที่ข้าพเจ้าเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งเป็นนางชีในอารามข้าพเจ้าแม้แต่ครึ่งค่อนคำ ทุกคนในที่นี้สามารถเป็นพยานได้ ท่านเองเฒ่าชราปูนนี้แล้วอีกมินานก็ต้องละสังขารมิสู้อยู่โดยสงบก่อนตายจะไม่ดีกว่าดอกรึ? ท่านก็อีกคนอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงอย่าได้ชักใบให้เรือเสีย ข้าพเจ้ายังมิต้องการด่ากล่าวผู้ใดให้เสียบรรยากาศการชุมนุม"            

หลังจากนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าววาจาจบลง ทั้งตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินและอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงรีบสงบปากลงมิกล้ากล่าววาจาใดออกมาอีก ทุกคนในงานยิ่งเพิ่มความสงสัยมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณหากมิใช่แม่ชีสี่นางแล้วเป็นผู้ใด เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือท่านเองก็อดสงสัยมิได้เช่นกัน ดังนั้นจึงเอ่ยกล่าวไต่ถามต่อนางออกไปว่า            

"ซือไท่ในเมื่อมิใช่คนในอารามท่านแล้วเป็นผู้ใด?"            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วรีบกล่าวตอบต่อเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือโดยทันทีว่า            

"เป็นเจ้าหนุ่มผู้นั้น"            

ทุกคนในที่ชุมนุมต่างพร้อมใจกันหันไปมองตามสายตาของนางชีเทวราชชิ้วโส่วโดยพร้อมเพรียงกัน ภาพที่ทุกคนเห็นตรงหน้าเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแข็งแรงกำยำ อีกทั้งยังมีใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายดั่งเทพบุตรผู้หนึ่ง ซึ่งมิมีผู้ใดทันสังเกตเห็นว่าบุรุษผู้นี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินเพียงเสียงไป่ชิงส่งเสียงด้วยความยินดีดังมาว่า            

"จ่านจือข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะไม่มาเสียอีก ข้าพเจ้ากับพี่ชายรู้สึกเป็นห่วงท่านมากเกรงว่าสตรีอัปลักษณ์นางนั้นจะทำร้ายท่านเสียอีก"            

ไป่ชิงกล่าวจบรีบก้าวออกมาพร้อมกับคว้าแขนจ่านจือเอาไว้อย่างยินดี ในเวลาเดียวกันเยี่ยนผิงนางแสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างลืมตัว แต่พอรู้สึกตัวว่าตนเองอยู่ฝ่ายใดรีบสำรวมอาการมิแสดงออกมาให้แก่มารดาและท่านน้าพบเห็น มีเพียงสองมารฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถาและเฉาลู่ฟางเท่านั้นที่ทราบความนัยทั้งหมด ไป่ชิงเมื่อคว้าแขนจ่านจือเอาไว้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจว่า            

"จ่านจือในที่สุดท่านมาถึงแล้วข้าพเจ้าไป่ชิงรู้สึกยินดียิ่งนัก มาทางด้านนี้เร็วเข้าข้าพเจ้าจะแนะนำอาจารย์ของข้าพเจ้าพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ให้แก่ท่านได้รู้จัก"

กล่าวจบไป่ชิงนางรีบลากแขนจ่านจือไปยังโต๊ะ ซึ่งเจ้าผาแห่งสายลมกับศิษย์พี่ใหญ่ของนางนามเหมาต้าและมู่เหอนั่งอยู่ มิเพียงแต่นางที่ส่งเสียงเรียกจ่านจือยังมีซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนางทั้งสองต่างส่งเสียงเรียกจ่านจือด้วยความยินดีอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน เนื่องจากนางทั้งสองมิได้เจอเขาหลังจากจบเหตุการณ์บนดอยตะวันในค่ำคืนนั้น หลังจากที่เขาต้องเดินทางมาขอยาถอนพิษจากเหยาจิ้งเฟยนั่นเอง            

หลังจากวันนั้นนางทั้งสองก็มิได้ข่าวคราวของจ่านจืออีก ก่อนที่นางทั้งสองจะเดินทางมายังวัดเส้าหลินเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุม ในระหว่างทางนางทั้งสองแวะไปยังบ้านของเขาที่หมู่บ้านเย้ยอรุณเมื่อไม่พบจ่านจือนางทั้งสองรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยมิคลาย จึงได้นำห่อผ้าที่ภายในมีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นางทั้งสองช่วยกันตัดเย็บให้กับเขาติดมือมาด้วย            

จนกระทั่งบัดนี้นางทั้งสองยังมิทราบว่าเหยาจิ้งเฟย บุรุษผู้ซึ่งจ่านจือเดินทางไปรับยาถอนพิษผู้นั้นที่แท้หาใช่บุรุษนามเหยาจิ้งเฟยไม่ แต่กลับเป็นดรุณีงดงามสะคราญโฉมมากเล่ห์เหลี่ยมคูแห่งสำนักมารสวรรค์นั่นเอง เมื่อเห็นจ่านจือเดินทางมาถึงรีบลุกขึ้นจากที่นั่งเดินตรงเข้ามาหาเขาโดยทันที            

ทางด้านเหยาเยี่ยนผิงนางน่าจะแสดงอาการยินดีมากกว่าผู้ใดที่เห็นจ่านจือปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ แต่ติดอยู่ตรงที่มีมารดาอยู่ด้วยจึงมิกล้าแสดงท่าทางออกมา ได้แต่ส่งสายตาทอดมาทางเขา แต่จ่านจือเองในขณะนี้ยังมิทันได้สังเกตเห็นนางแต่อย่างใด            

ทางด้านขอทานพเนจรหวงเกาฉือกับผู้เฒ่าเก้าทิกว่อ ต่างแสดงสีหน้ายินดีออกมาเช่นกันเมื่อเห็นจ่านจือปรากฏตัวในงานนี้ นอกจากจะได้ทราบว่าที่แท้เขาเป็นศิษย์ของผู้ใดแล้ว อีกเรื่องหนึ่งท่านทั้งสองจะสนับสนุนให้เขาเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้อีกด้วย            

แม้แต่เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าท่านก็แสดงท่าทียินดีด้วยเช่นกัน ที่เห็นจ่านจือปรากฏตัวพร้อมกับบอกกล่าวต่อประมุขพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงกับเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ ว่าเขาเป็นผู้ที่มีพระคุณที่กล่าวถึง ซึ่งเขาเคยช่วยเหลือท่านกับศิษย์ทั้งสองเอาไว้นั่นเอง และยังบอกกล่าวอีกว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มที่หายาก เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำใจและมีความซื่อสัตย์เป็นยิ่งนัก            

จะมีก็แต่เพียงมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ที่แสดงอาการไม่พอใจต่อจ่านจือออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่เยี่ยนผิงยังสังเกตเห็นส่วนคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าแน่นอนย่อมไม่ชอบหน้าเขามากกว่าผู้ใดเป็นแน่ เพราะเขาเคยสอดมือเข้าขัดขวางพวกมันเอาไว้ถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน            

เหตุการณ์ในขณะนี้กลายเป็นว่าทุกคนที่รู้จักจ่านจือ ต่างลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปต้อนรับเขา คล้ายกับเป็นบุคคลสำคัญปานฉะนั้น ทุกคนต่างส่งเสียงทักทายเขาด้วยความยินดี จ่านจือหลังจากทำความเคารพเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์แล้ว จึงหันมาทำความเคารพต่อเหล่าอาวุโสทั้งหลายภายในงานด้วย ไม่เว้นแม้แต่ฟากฝั่งของฝ่ายมารอธรรมเขาเองก็มิกล้าเสียมารยาทประสานมือคารวะไปโดยรอบทั้งที่ยังมิเคยรู้จักมาก่อน ส่วนผู้คนที่มิเคยรู้จักจ่านจือมาก่อนต่างแสดงท่าทางแปลกประหลาดใจออกมา ว่าไฉนบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งจึงมีคนมากมายกรูเข้าไปต้อนรับด้วยความยินดีถึงเพียงนั้น            

เมื่อทุกคนทักทายกันครบแล้วและทำความรู้จักกับเหล่าอาวุโสแต่ละท่านคร่าว ๆ นางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงกล่าววาจาต่อจ่านจือขึ้นว่า            

"เจ้าหนุ่มเจ้ายังจดจำวาจาของเจ้าในค่ำคืนที่เจ้ากล่าวเอาไว้ที่สุสานร้างได้หรือไม่?"            

จ่านจือรีบหันมาตามเสียงเมื่อพบว่าเป็นนางชีผู้หนึ่ง แต่ยังมิทราบว่าเป็นผู้ใด เนื่องจากคนที่เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักเมื่อครู่ยังมิครบถ้วน นอกเหนือจากนั้นอีกหลายท่านเขายังมิได้ทำความรู้จักโดยทั่วถึง พอได้ยินว่าตนได้กล่าววาจาใด?เอาไว้ที่สุสานร้างพลันนึกออกโดยทันที ดังนั้นรีบก้าวออกมาแล้วเดินตรงเข้าหานางชีเทวราชชิ้วโส่วซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า เมื่ออยู่ห่างจากนางราวก้าวครึ่งรีบย่อกายคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกับประสานมือทั้งสองต่อหน้านางแล้วกล่าววาจาว่า            

"อาวุโสที่แท้เป็นท่านเอง ข้าพเจ้ามีชื่อว่าจ้าวจ่านจือในค่ำคืนนั้นจดจำคำพูดที่กล่าวไว้ได้หมดสิ้นมิลืมเลือน ในคืนนั้นด้วยความรีบร้อนเพราะข้าพเจ้ามีเหตุจำเป็นเร่งด่วนต้องเดินทางไปขอยาถอนพิษเพื่อไปช่วยพี่น้องขอทานนับพันชีวิต ซึ่งหากนับจากระยะเวลาในขณะนั้นเหลืออีกไม่กี่ชั่วยามพิษก็จะกระจายไปทั่วร่างพวกเขาแล้ว ด้วยความเป็นห่วงพวกเขาเหล่านั้นจึงได้ดำเนินอุบายอันต่ำช้าเช่นนั้นต่ออาวุโสออกไป วันนี้ได้พบกับอาวุโสที่นี่ข้าพเจ้าจ่านจือจึงขอกล่าวคำขอขมาต่อท่านจากใจจริง หากอาวุโสจะลงโทษข้าพเจ้าประการใด ข้าพเจ้าจ่านจือขอน้อมรับโดยมิโต้แย้งแม้แต่น้อย เชิญอาวุโสลงโทษข้าพเจ้าตามสบายเถิด"            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วได้ยินเช่นนั้นระเบิดเสียงหัวร่ออย่างสบอารมณ์และพึงพอใจเป็นที่สุด แล้วกล่าววาจาต่อจ่านจือออกไปว่า            

"ฮาฮา เจ้าช่างกล่าววาจาได้ถูกใจข้านางชีเทวราชชิ้วโส่วนัก วาจาของเจ้าช่างฟังแล้วไพเราะระรื่นหูยิ่งนัก นานมากแล้วที่ข้ามิเคยได้ยินวาจาจริงใจจากคนนอกเช่นเจ้ามาก่อน ออกจากอารามมาก็ได้ยินแต่วาจาสุนัขผายลมของบุคคลหน้าอย่างใจอย่างนับมิถ้วน พอได้ยินเจ้ากล่าวเมื่อครู่ค่อยทำให้ข้าหายระคายหูไปได้มากโขทีเดียว เจ้ามีชื่อว่าจ่านจือเช่นนั้นรึ? รีบลุกขึ้นแล้วค่อยรับฟังว่าข้าจะลงโทษเจ้าประการใด"

จ่านจือได้ยินแม่ชีตรงซึ่งเรียกหาตนเองว่านางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าววาจา ในน้ำเสียงแม้จะฟังดูดุดันแต่คล้ายกับเอ็นดูเขาอยู่ไม่น้อย เขาในขณะนี้จึงเดามิถูกว่านางที่แท้ต้องการให้เขารับโทษสถานใด จึงมิกล้ารีรอชักช้ารีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนน้อมเช่นเดิมรอฟังว่านางจะลงโทษเขาเช่นไร นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวต่อว่า

"เจ้าเป็นคนกล่าวออกมาเองทุกคนล้วนได้ยินทั่วกัน ว่าหากข้าจะลงโทษเจ้าประการใด เจ้าจะไม่คัดค้านขัดขืนหรือโต้แย้งเด็ดขาด และจะกระทำตามที่ข้าสั่งทุกประการถูกต้องหรือไม่?"         

"ถูกต้องอาวุโสท่านเข้าใจมิผิด ข้าพเจ้าจ่านจือกล่าววาจาแล้วไม่คืนคำเป็นเด็ดขาดลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ อาวุโสคิดจะลงโทษข้าพเจ้าประการใด? โปรดลงมือได้โดยเต็มที่ข้าพเจ้าจะไม่เก็บมาเจ็บแค้นฝังใจโดยเด็ดขาดขอให้ทุกท่านในที่นี้เป็นพยาน"            

ก่อนที่นางชี่เทวราชชิ้วโส่วจะได้กล่าววาจาใดสืบต่อ ผู้เฒ่าเก้าทิกว่อพร้อมด้วยขอทานพเนจรหวงเกาฉือก้าวออกมายืนข้าง ๆ กับจ่านจือ ต่อจากนั้นขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าววาจาต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่วว่า            

"ซือไท่ชิ้วโส่ว ข้าพเจ้าขอทานเฒ่าหวงเกาฉืออยากจะขอสอดมือยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้ากับอาจารย์ของท่านก็เคยคบหากันมาก่อนส่วนเรื่องราวต่าง ๆ ในสำนักของท่านข้าพเจ้าเองก็รู้สึกเสียใจ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ได้ล่วงเลยมาถึงยี่สิบปีใครผิดถูกสวรรค์ย่อมรับรู้สักวันความจริงจะต้องเปิดเผยออกมา แต่สำหรับเรื่องของเจ้าหนุ่มผู้นี้ข้าพเจ้ามิอาจนิ่งเฉยดูดายได้ มิทราบว่าท่านจะยอมรับฟังวาจาของข้าพเจ้าตาเฒ่าขอทานสักไม่กี่ประโยคจะได้หรือไม่?"            

นางชีเทวราชชิ้วโส่วหันมาทางด้านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ดูจากกิริยาท่าทางของนางค่อนข้างจะให้เกียรติต่อขอทานพเนจรอยู่ไม่น้อย จากนั้นเอ่ยถามขอทานพเนจรหวงเกาฉือขึ้นว่า            

"ประสกหวงขนาดท่านซึ่งไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของผู้อื่นมาก่อน ยังออกหน้าต่อเจ้าหนุ่มผู้นี้ ความจริงอาวุโสในยุทธภพในตอนนั้นคงมีท่านอีกคน ที่ข้าพเจ้าให้ความนับถือเลื่อมใส เอาเถอะท่านมีคำพูดใดก็จงกล่าวออกมา ข้าพเจ้าจะลองรับฟังดูสักคราว่าท่านจะกล่าววาจาใด?"           

"ความจริงแล้วหากจะเอาผิดต้องมาเอาที่ข้าพเจ้าขอทานเฒ่าหวงเกาฉือ หากมิใช่เพราะครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ไหว้วานให้เจ้าหนุ่มผู้นี้พร้อมกับศิษย์สตรีทั้งสองของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ให้ทั้งสามปลอมตัวเป็นขอทานเข้าไปในงานชุมนุมของขอทานบนดอยตะวัน หากในค่ำคืนนั้นมิได้เจ้าหนุ่มผู้นี้กับศิษย์ทั้งสองของท่านมู่เข้าช่วยเหลือเอาไว้ ป่านนี้บรรดาขอทานนับพันคนคงจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ยังมีอีกผู้หนึ่งที่สามารถยืนยันคำพูดข้าพเจ้าได้นั่นก็คือศิษย์น้องสี่ของท่าน ถึงแม้เจ้าจะไม่เรียกหาเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับท่าน แต่ข้าพเจ้าขอทานเฒ่าอยากให้ท่านเชื่อในคำพูดของข้าพเจ้าสักครั้ง"           

นางชีเทวราชชิ้วโส่วหันมาทางด้านจ่านจือซึ่งในตอนนี้ยังคงยืนรอการลงโทษจากนาง จากนั้นนางระเบิดเสียงหัวร่อดังลั่นไปทั่วบริเวณก่อนจะหันมากล่าวต่อเขาว่า            

"เจ้าหนุ่ม เจ้านับว่าร้ายกาจนักแม้แต่ขอทานเฒ่ายังออกหน้ารับแทนเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกคนต่างชื่นชมในตัวเจ้า ดังนั้นโทษของเจ้าที่ข้าจะลงโทษคงต้องหนักหนาสาหัสสักหน่อยแล้วกระมัง?"            

ยังมิทันที่จ่านจือจะได้กล่าววาจาใดออกมา นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังได้ยินไปทั่วบริเวณว่า            

"เจ้าหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าจ้าวจ่านจือซึ่งเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าได้ทำนายเอาไว้ว่า จะเป็นจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่ในภายหน้า ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วต้องให้เจ้าหนุ่มผู้นี้รับโทษอย่างหนักหนาสาหัส โทษของเจ้าหนุ่มผู้นี้ก็คือเป็นตัวแทนของข้าพเจ้า เข้าร่วมประลองยุทธ์เพื่อคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์รุ่นเยาว์ ที่จะนำพายุทธภพให้สงบสุขสืบไปภายหน้า ตั้งแต่ข้าพเจ้าออกจากอารามอเทวตาก็สัมผัสรับรู้ถึงความพิเศษบางอย่างในตัวเขา และมั่นใจในตัวเขาเมื่อข้าพเจ้าได้คำนวณอย่างมั่นเหมาะไม่มีผิดพลาดโดยเด็ดขาด ถึงเจ้าหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนหนุ่มวัยเยาว์แต่บุคลิกภาพของเขา ยังนับว่าน่าคบหามากกว่าผู้ที่เรียกตนเองว่าจอมยุทธ์ผู้กล้าหลายคนในที่นี้เสียอีก"           

"ท่านอาวุโส ข้าพเจ้า..."           

ยังไมทันที่จ่านจือจะกล่าววาจาจบ นางชีเทวราชชิ้วโส่วชิงกล่าววาจาต่อก่อนว่า            

"เจ้าไม่ต้องกล่าวกระไรอีกแล้ว ชะตาฟ้ากำหนดมิมีผู้ใดหลีกหนีพ้น อีกอย่างเจ้าได้รับปากต่อข้าแล้วด้วยว่า ข้าจะให้เจ้ากระทำสิ่งใดเจ้าจะไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?"            

จากนั้นนางชีเทวราชชิ้วโส่วหันมากล่าวกับไต้ซือต้าทงเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินว่า            

"ไต้ซือ ผู้ที่ข้าพเจ้าจะเสนอชื่อเข้าร่วมประลองก็คือเจ้าหนุ่มจ่านจือผู้นี้ ดังนั้นรบกวนท่านรีบกำหนดกติกาในการประลองเถอะ นึกมิถึงว่าวันนี้ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วจะมีโอกาสกระทำสิ่งที่น่ายินดีเช่นนี้ได้"            

คนอื่น ๆ ซึ่งมิเคยรู้จักจ่านจือมาก่อนต่างพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือส่งเสียงต่อทุกคนให้อยู่ในความสงบก่อน จากนั้นหันมาทางจ่านจือแล้วกล่าวว่า            

"ประสกน้อยในเมื่อเจ้าได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมประลองในครั้งนี้ เพื่อให้ทุกคนในที่นี้ได้รู้จักเจ้าพร้อมชื่ออาจารย์ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงกล่าวแนะนำตัวพร้อมกับแจ้งต่อทุกคนว่าเจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใด?"            

จ่านจือได้ยินเช่นนั้นรีบกล่าววาจาตอบต้าทงไต้ซือกลับไปว่า            

"เรียนท่านไต้ซือชื่อแซ่ของข้าพเจ้าสามารถบอกกล่าวได้และเมื่อครู่ข้าพเจ้าก็ได้บอกกล่าวออกไปแล้วเที่ยวหนึ่ง แต่ทว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าหาบอกกล่าวต่อทุกท่านได้ เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาตจากอาจารย์เสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าก็มิอาจบอกกล่าวออกมาได้ท่านไต้ซือโปรดอภัย"            

ทุกคนในที่ชุมนุมต่างส่งเสียงดังฟังวุ่นวายอยากทราบว่าที่แท้จ่านจือเป็นศิษย์ของผู้ใด จะมีก็แต่เพียงมู่เหอกับไป่ชิงพร้อมกับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกับศิษษ์คนโตนามเหมาต้าเท่านั้นที่ทราบว่าเขาเป็นศิษย์ของผู้ใด จังหวะนั้นขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าววาจาออกมาว่า            

"ทุกท่านที่คนผู้นี้กล่าวอ้างว่าไม่กล้าเอ่ยชื่อของอาจารย์โดยมิได้รับอนุญาต แท้จริงข้าคิดว่าที่มิกล้าบอกชื่อเสียงของอาจารย์ออกมา มิใช่ว่าไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ของมันแต่ประการใด แต่คงเป็นเพราะอาจารย์ของมันอาจเป็นคนไร้ชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับถืออีกทั้งยังมีฝีมือต่ำต้อยอยู่ชั้นปลายแถวแต่ทำอวดดีเป็นรับศิษย์ถ่ายทอดวิชาให้" 

มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเว้นจังหวะพร้อมกับแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมาก่อนจะกล่าวต่อทันทีว่า

"แม้แต่ตัวของอาจารย์มันเองคงมีฝีมือติดตัวนิดหน่อยเทียบมิได้กับหางอึ่ง หรือไม่บางทีอาจเป็นเพราะอาจารย์ของมันเองที่ไม่กล้าให้ศิษย์ชั้นปลายแถวของมันบอกกล่าวออกไป ด้วยเกรงว่าจะสร้างความอับอายขายหน้ามาสู่ตัวเอง ข้าพเจ้าเห็นมันผู้นี้คลุกคลีอยู่กับหญิงโสโครกน่าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวนางหนึ่งด้วยเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทุกท่านลองตรองดูบางทีอาจารย์ของมันอาจมีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวด้วยก็เป็นไปได้"            

กล่าวจบปรากฏเงาร่างเคลื่อนไหววูบวาบรวดเร็วแต่เบาบางคล้ายหมอกควันกลุ่มหนึ่ง จนยากดูออกว่าแท้จริงเป็นเงาร่างของผู้ใด เงาร่างสายนั้นเคลื่อนไหววูบเข้าหาขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงจากนั้นได้ยินเสียงฉาด ๆ ดังสดใสคล้ายดั่งฝ่ามือกระทบกับผิวหนังโดยแรง ยังไม่ทันจะกระพริบตาร่างนั้นก็เคลื่อนไหวกลับมาดั่งหมอกควันจางหาย            

จะมีก็แต่เพียงขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงยืนเอามือลูบคลำใบหน้าบริเวณแก้มติดกับริมฝีปากทั้งสอง เมื่อมองให้ชัดเจนบริเวณแก้มทั้งสองปรากฏร่องรอยนิ้วมือขึ้นทั้งสองด้าน ข้างมุมปากยังมีโลหิตไหลซึมออกมาเป็นทางอีกด้วย ผู้ที่มีสายตาปราดเปรียวที่มองเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้มีอยู่หลายคนด้วยกันรวมทั้งจ่านจือด้วย แต่สำหรับขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงยังมิเข้าใจว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้นกับตน ขณะที่ทุกคนยังไม่หายจากอาการตื่นตระหนกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นว่า            

"ด้วยฝีมือชั้นปลายแถวเยี่ยงเรา นี่ถือว่าเป็นการสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้า เราเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ตั้งแต่ท่องยุทธภพมายังมิเคยพบพานกับเด็กปากโสโครกเช่นนี้มาก่อน วาจาของเจ้าช่างบ่งบอกสันดานอันหยาบช้าแลกำพืดของตัวเอง หากเราไม่เห็นแก่เจ้าที่ต้องลงประลองยุทธ์แล้วละก็ เราจะเอาเลือดในร่างของเจ้าออกมาชมดูสักครา ว่าที่แท้มันมีสีใดกันแน่หรือว่าจะสกปรกโสโครกดั่งวาจาของเจ้าที่ผายออกมาก็เป็นได้"            

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนใช้วาจาด่าขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงออกไป โดยที่มิได้ให้ความเกรงอกเกรงใจต่อเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันผู้เป็นอาจารย์แม้แต่น้อย เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เห็นว่าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเกรี้ยวกราดแสดงอาการโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด แถมยังตบหน้าศิษย์ของตนไปถึงสองฝ่ามือติดต่อกัน ดังนั้นจึงลุกขึ้นแล้วส่งเสียงกล่าวถามออกไปทันทีว่า            

"พี่ใหญ่ท่านเป็นกระไรไปรึ? อยู่ดี ๆ ท่านก็แสดงอาการเกรี้ยวโกรธแถมยังลงไม้ลงมือต่อศิษย์ของข้าอีกด้วย ท่านจงบอกกล่าวออกมาให้กระจ่างแจ้งมิเช่นนั้นแล้วข้าผู้เป็นอาจารย์หายินยอมไม่?"            

ทุกคนในสถานที่ชุมนุมแห่งนั้นต่างนิ่งเงียบงันรอฟังว่าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนจะกล่าวตอบคำถามนี้ของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันว่าอย่างไร เจ้าโอสถสายรุ้งหันมาทางจ่านจือ พร้อมกับกล่าววาจาต่อทุกคนว่า            

"เรียนต่อผู้กล้าและจอมยุทธ์ทุกท่าน ผู้ที่เป็นอาจารย์ของเจ้าหนุ่มจ่านจือที่ทุกท่านเห็นอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ ซึ่งถูกเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมใช้วาจายโสโอหังสามหาวอวดดีกล่าวถึงเมื่อครู่ คนผู้นั้นเป็นตัวข้าพเจ้าเองทุกท่านยังคิดว่า ข้าพเจ้ามีฝีมือชั้นปลายแถวหรือว่าหน้าตาอุบาทว์อัปลักษณ์อยู่อีกหรือไม่?"            

เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าววาจาจบลงทุกคนต่างปิดปากเงียบกริบ มิมีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่เพียงผู้เดียว จ่านจือเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้นรีบเดินเข้าไปหาผู้เป็นอาจารย์ พร้อมกับประสานมือทำความเคารพอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง หลังจากก่อนหน้าครั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงเขามิกล้าแสดงตัวให้ทุกคนทราบว่าท่านคืออาจารย์ของเขา

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป